ลองนึกภาพตามนะครับ… ถ้าวันหนึ่ง iPhone ในมือคุณ สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่บนยอดดอยที่สูงที่สุด หรืออยู่กลางทะเลทรายที่ไม่มีสัญญาณมือถือเลยแม้แต่ขีดเดียว
นี่อาจฟังดูเหมือนเรื่องในหนัง Sci-Fi แต่เรื่องนี้กำลังจะกลายเป็นความจริงที่เร็วกว่าที่เราคิด
ปัจจุบัน Apple มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Emergency SOS via Satellite ซึ่งช่วยให้เราส่งข้อความฉุกเฉินสั้นๆ ผ่านดาวเทียมได้ มันเป็นฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยมและอาจช่วยชีวิตคนได้จริง
แต่ถ้าเรามองในแง่ของ “ประสบการณ์ผู้ใช้” ซึ่งเป็นหัวใจของ Apple… ฟีเจอร์นี้ยังค่อนข้าง “อืดอาด” และมีข้อจำกัดมาก
คำถามคือ… ทำไมบริษัทที่ “คลั่งไคล้” ความสมบูรณ์แบบอย่าง Apple ถึงยอมปล่อยฟีเจอร์ที่ยังดู “ไม่เสร็จดี” แบบนี้ออกมา?
คำตอบ มันอยู่ที่พันธมิตรที่ Apple เลือกใช้ในปัจจุบันครับ บริษัทนั้นชื่อว่า Globalstar
และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก… เรื่องราวที่อาจนำไปสู่การจับมือกันของสองยักษ์ใหญ่ที่ดูเหมือนจะ “เกลียดกัน” เข้าไส้
นั่นคือ Apple และ SpaceX ของ Elon Musk
ไม่กี่ปีก่อน Elon Musk เคยพยายามเดินเข้าไปเสนอดีลให้ Apple ใช้บริการเชื่อมต่อดาวเทียมของ SpaceX สำหรับ iPhone… แต่ผลลัพธ์คือ Apple “ปฏิเสธ”
แต่วันนี้… ดูเหมือนว่าจะมี “สัญญาณที่น่าสนใจ” บางอย่าง ที่บ่งบอกว่าดีลที่เป็นไปไม่ได้นี้ อาจจะกำลังถูกปัดฝุ่นกลับมาวางบนโต๊ะเจรจาอีกครั้ง
เรื่องของเรื่องคือ มีแหล่งข่าววงในที่รู้เรื่องนี้โดยตรง ออกมาเปิดเผยว่า ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา SpaceX ได้เริ่ม “เพิ่มการรองรับ” คลื่นความถี่วิทยุย่านหนึ่งเข้าไปในดีไซน์ดาวเทียมรุ่นใหม่ของพวกเขา
ความน่าสนใจอยู่ตรงนี้ครับ… คลื่นความถี่ที่ว่านั้น คือคลื่น “ย่านเดียวกับ” ที่ Apple ใช้สำหรับฟีเจอร์ดาวเทียมใน iPhone ปัจจุบัน (ที่ให้บริการโดย Globalstar)
การกระทำของ SpaceX นี้ มันเหมือนกับการแอบสร้างกุญแจที่ไขเข้าบ้านของ Apple ได้ โดยที่เจ้าของบ้านยังไม่ได้อนุญาต… ทำไมพวกเขาถึงทำแบบนั้น ถ้าไม่ใช่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ “ข้อตกลงในอนาคต”?
ถ้าทำได้สำเร็จ มันจะหมายความว่า Starlink ซึ่งเป็นหน่วยงานดาวเทียมของ SpaceX จะสามารถให้บริการการสื่อสารผ่านดาวเทียมกับ “อุปกรณ์ Apple ที่มีอยู่” ได้ทันที เมื่อกลุ่มดาวเทียมยุคใหม่ของพวกเขาเริ่มทำงานในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ในขณะที่ SpaceX กำลังซุ่มเตรียมความพร้อม… ทางฝั่ง Globalstar ซึ่งเป็นพันธมิตรปัจจุบันของ Apple ก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสงสัยไม่แพ้กัน
มีรายงานว่า James Monroe ประธานของ Globalstar กำลังพูดคุยกับคนใกล้ชิด ถึงความเป็นไปได้ที่จะ “ขายบริษัท” ในราคาที่สูงถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์
นี่คือตัวเลขที่น่าตกใจ… เพราะมูลค่าตลาด (Market Cap) จริงๆ ของ Globalstar ในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 5.3 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น การตั้งราคาสูงกว่าเท่าตัวแบบนี้ อาจเป็นสัญญาณว่าพวกเขากำลังพยายาม “หาทางลง” ในจังหวะที่บริษัทยังมีมูลค่าสูงสุด ก่อนที่อะไรๆ จะเปลี่ยนไป
สัญญาณทั้งสองฟากฝั่งนี้ กำลังบอกเราเป็นนัยๆ ว่า Globalstar และ Apple อาจกำลังหาทาง “แยกตัวเป็นอิสระ” จากกัน
แล้วทำไมดีลระหว่าง Apple กับ SpaceX ถึงเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้?
สำหรับ Elon Musk… นี่คือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะเติมเต็มความทะเยอทะยานของเขา ที่จะให้ SpaceX เป็นผู้ให้บริการไร้สายตรงไปยัง “โทรศัพท์มือถือ” รายใหญ่ของโลก
ปัจจุบัน Starlink เป็นผู้นำตลาดอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมก็จริง แต่ส่วนใหญ่เป็นการใช้งานผ่านเสาอากาศหรือจานรับสัญญาณ ที่ติดตั้งตามบ้านเรือนหรือยานพาหนะ
แต่ “ตลาดที่แท้จริง” คือการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนหลายพันล้านเครื่องบนโลกเข้ากับดาวเทียมโดยตรง เพื่อให้อุปกรณ์เหล่านั้นออนไลน์ได้ แม้จะอยู่นอกเขตสัญญาณมือถือปกติ
ถ้าทำได้… นี่คือการขยายขอบเขตการให้บริการของ Starlink แบบก้าวกระโดด
และ SpaceX ก็ไม่ได้แค่ “ฝัน” ครับ… พวกเขากำลัง “ทุ่มสุดตัว” เพื่อให้มันเกิดขึ้น
เมื่อเดือนที่แล้ว SpaceX เพิ่งสร้างความสั่นสะเทือนให้วงการ ด้วยการบรรลุข้อตกลงซื้อ “คลื่นความถี่ไร้สาย” มาจากบริษัท EchoStar ในราคาสูงถึง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์!
“คลื่นความถี่” ก็เปรียบเหมือน “ช่องจราจรบนอากาศ” ครับ ยิ่งคุณมีช่องจราจรที่กว้าง คุณก็ยิ่งส่งข้อมูลได้เร็วและมากขึ้น การที่ SpaceX ยอมจ่ายเงินมหาศาลขนาดนี้ ก็เพื่อให้ช่องทางด่วนพิเศษช่วยให้พวกเขาส่งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไปยังมือถือได้ทั่วโลก
ยังไม่หมดแค่นั้น… SpaceX ยังเดินเกมล่วงหน้าไปอีกขั้น พวกเขาไม่ได้รอให้ค่ายมือถือมาเชื่อมต่อ แต่กำลังเจรจากับ “ผู้ผลิตชิป” โดยตรง
Gwynne Shotwell ประธานของ SpaceX ยืนยันว่า บริษัทกำลังทำงานร่วมกับผู้ผลิตชิป เพื่อ “ฝัง” การเชื่อมต่อ Starlink เข้าไปในฮาร์ดแวร์ของโทรศัพท์ตั้งแต่โรงงานเลย นี่คือเกมระยะยาวที่น่ากลัวมาก
เมื่อเห็นภาพนี้แล้ว… มันก็ดูสมเหตุสมผลที่ Apple ควรจะหันมาจับมือกับ SpaceX ใช่ไหมครับ?
แต่เดี๋ยวก่อน… เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น
เพราะอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด อาจไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็น “ความสัมพันธ์” ที่ “ดุเดือด” ระหว่าง Apple และ Elon Musk
เราคงเคยเห็น Musk ออกมา “โจมตี” Apple อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะเรื่องค่าธรรมเนียม App Store 30% ที่เขาเรียกว่า “Apple Tax” ซึ่งส่งผลกระทบต่อโซเชียลเน็ตเวิร์ก X ของเขาเต็มๆ
ความขัดแย้งมันรุนแรงถึงขั้นฟ้องร้องกันเลยทีเดียว… เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา xAI สตาร์ทอัพด้าน AI ของ Musk ที่ควบรวมกับ X ได้ยื่นฟ้อง Apple
ข้อกล่าวหาคือ Apple บิดเบือน การจัดอันดับใน App Store เพื่อ “สกัดดาวรุ่ง” Grok แชตบอทของเขา และไป “อุ้ม” ChatGPT ของ OpenAI แทน
นี่ไม่ใช่แค่การแข่งขันทางธุรกิจธรรมดา แต่มันคือความบาดหมางส่วนตัว
และถ้าเราย้อนกลับไปดูเรื่อง “ดาวเทียม” โดยตรง… พวกเขาเคยพยายามเจรจากันมาแล้ว และมันก็ล้มเหลว
The Information เคยรายงานไว้ว่า ในปี 2022 ก่อนที่ Apple จะเปิดตัว iPhone 14 ด้วยซ้ำ… Elon Musk เคยไปเสนอขายดีลดาวเทียมนี้ให้ Apple มาก่อน
ข้อเสนอของ Musk ในตอนนั้น… ต้องบอกว่า “เหนือชั้น” และ “ทะเยอทะยาน” มาก
เขาเสนอให้ SpaceX เป็นผู้ให้บริการดาวเทียม “แต่เพียงผู้เดียว” (exclusive provider) ให้กับ iPhone เป็นเวลา 18 เดือน
โดยมีเงื่อนไขว่า… Apple ต้องจ่ายเงินล่วงหน้า 5 พันล้านดอลลาร์ และจ่ายอีกปีละ 1 พันล้านดอลลาร์ หลังจากนั้น
แน่นอนครับ… Apple “ปฏิเสธ” ข้อเสนอนั้น
แล้วอะไรเปลี่ยนไปล่ะ? ทำไม Apple ถึงอาจจะต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเองกลับมาเจรจากับคู่ปรับที่เคยปฏิเสธไป?
คำตอบก็ยังคงวนกลับมาที่ Globalstar ครับ…
Apple ภาคภูมิใจใน “ประสบการณ์ที่ดีที่สุด” (best experiences) แต่สิ่งที่ Globalstar มอบให้ มันดีไม่พอ
เครือข่ายของ Globalstar ถูกมองว่าช้าและล้าสมัย เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีของ Starlink อย่างสิ้นเชิง
นี่คือเหตุผลที่ฟีเจอร์แรกของ Apple ทำได้แค่ “ส่งข้อความ” ขอความช่วยเหลือฉุกเฉินเท่านั้น ต่อมาจึงค่อยๆ เพิ่มการแชร์ตำแหน่ง หรือเรียกบริการช่วยเหลือรถเสีย
แต่มันก็ยังห่างไกลจากคำว่า “อินเทอร์เน็ต”
Globalstar กำลังดิ้นรนอย่างหนัก ท่ามกลางการเติบโตจนเกือบครองตลาดของ SpaceX
และที่สำคัญที่สุด… Globalstar “พึ่งพา” Apple แบบสุดชีวิต
Apple ทุ่มเงินลงทุนไปใน Globalstar ราว 2 พันล้านดอลลาร์ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อช่วยอัปเกรดโครงข่าย แต่ดูเหมือนมันจะไม่ทันการณ์
ในรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของ Globalstar… นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาต้องใส่ “คำเตือน” ถึงนักลงทุน เกี่ยวกับลูกค้ารายที่สำคัญที่สุดอย่าง Apple (ซึ่งพวกเขาเรียกในเอกสารว่า “The Customer”)
คำเตือนนั้นระบุว่า… “การสูญเสียลูกค้ารายนี้ (Apple) มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ (material adverse impact) ต่อสถานะทางการเงิน ผลการดำเนินงาน และกระแสเงินสดของเรา”
นี่คือสัญญาณอันตรายขั้นสูงสุดครับ… มันคือเสียงตะโกนจากพันธมิตรของ Apple ว่า “ถ้าคุณทิ้งเราไป เราเจ๊งแน่”
การที่ Apple ต้องแบกรับพันธมิตรที่อ่อนแอขนาดนี้ ถือเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจมหาศาล
ทีนี้… หันกลับมามองที่ SpaceX
SpaceX ไม่ใช่แค่คู่แข่ง แต่คือ “ยักษ์ใหญ่” ที่มีทั้งเงินทุนและความทะเยอทะยาน
ตัวเลขมันน่าทึ่งมากครับ… SpaceX เพิ่งปล่อยดาวเทียม Starlink ดวงที่ 10,000 ขึ้นสู่อวกาศ
และมีการประเมินว่า “มากกว่า 60%” ของดาวเทียมที่ยังใช้งานอยู่ทั้งหมดที่โคจรรอบโลกในตอนนี้… เป็นของ SpaceX
Musk กำลัง “เป็นเจ้าของ” น่านฟ้าอย่างแท้จริง
ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของ Starlink คือการที่พวกเขามี “บริษัทแม่” ชื่อ SpaceX ครับ… พวกเขามีจรวดเป็นของตัวเอง สามารถยิงดาวเทียมได้เองในต้นทุนที่ต่ำกว่า และบ่อยกว่าที่รัฐบาลหรือบริษัทใดในโลกจะทำได้
เมื่อนำ Globalstar มาเทียบกับ SpaceX… มันเหมือนการเอามวยคนละรุ่นมาชกกัน
และดูเหมือนว่า ไม่ใช่แค่คนนอกที่คิดแบบนี้… เพราะมีรายงานว่าภายใน Apple เอง ผู้บริหารบางส่วนก็กังขาเกี่ยวกับดีลของ Globalstar มาตั้งแต่แรกแล้ว
พวกเขาเชื่อว่า Apple ควรจะจับมือกับ SpaceX ตั้งนานแล้ว
สถานการณ์ตอนนี้ คือ Apple กำลังติดอยู่กับพันธมิตรที่อ่อนแอ (Globalstar) ในขณะที่ศัตรูคู่อาฆาต (SpaceX) กำลังครองเทคโนโลยีที่เหนือกว่า และกำลังจะกลืนกินตลาดทั้งหมด
แล้ว Apple จะเลือกทางไหน?
มีอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญมากในการตัดสินใจของ Apple ครับ… นั่นคือ Apple ไม่อยากกลายร่างเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมเอง
เราจะสังเกตเห็นว่า Apple เปิดให้ใช้ฟีเจอร์ดาวเทียมนี้ “ฟรี” มาตลอด และเพิ่งประกาศ “ขยายเวลาฟรี” ออกไปอีก 1 ปี หลังจากที่ปีที่แล้วก็ขยายมาทีหนึ่งแล้ว
ทำไมถึงไม่เก็บเงิน?
เหตุผลลึกๆ ไม่ใช่แค่เรื่องการตลาดครับ… แต่เป็นเพราะ Apple “ไม่ต้องการอยู่ภายใต้การกำกับดูแล” ในฐานะ Carrier
การเป็น Carrier มันวุ่นวายมากครับ… ต้องเจอกับกฎระเบียบยุบยับ ข้อบังคับทางกฎหมาย ซึ่งมันไม่ใช่ DNA ของ Apple เลย… Apple เก่งเรื่องการสร้างฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และ Ecosystem ที่ปิดสนิท แต่ไม่ใช่การบริหารโครงข่ายโทรคมนาคม
นี่คือเหตุผลสำคัญว่าทำไม Apple ถึงไม่น่าจะซื้อกิจการ Globalstar มาทำเอง… แม้ว่าในข้อตกลงที่ทำไว้ Apple จะมี “สิทธิ์” ในการซื้อ Globalstar ก่อนที่ Globalstar จะขายให้คนอื่นก็ตาม
Apple ไม่อยากซื้อ “ปัญหา” และ “กฎระเบียบ” เข้ามาบริหารเอง
เมื่อ Apple ไม่อยากทำเอง… และพันธมิตรเดิมก็ไปต่อไม่ไหว… ทางเลือกมันก็เริ่มบีบเข้ามา
แม้ว่าจะเกลียดกันแค่ไหน… SpaceX ก็ดูจะเป็น “ทางเลือกเดียว” ที่สมเหตุสมผลที่สุดในตอนนี้
ถ้าดีลนี้เกิดขึ้นจริง… ใครจะได้ประโยชน์ที่สุด?
คำตอบสั้นๆ คือ “ผู้บริโภค” อย่างเราๆ ครับ
การที่ Apple ยอมหันไปหา SpaceX แปลว่าพวกเขาต้องการยกระดับประสบการณ์ไปอีกขั้น
มีข้อมูลจากคนวงในที่รู้แผนของ Apple บอกว่า… Apple วางแผนที่จะเพิ่มการรองรับเครือข่าย 5G ที่ไม่ได้ผูกติดอยู่กับพื้นผิวโลก ซึ่งก็คือ “ดาวเทียม” นั่นแหละครับ… ใน iPhone รุ่นใหม่ๆ อย่างเร็วที่สุดคือปีหน้า
ถ้านั่นเกิดขึ้นจริง… มันจะไม่ใช่แค่การส่งข้อความ SOS อีกต่อไป… แต่มันคือการ “เข้าถึงอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบ” ผ่านดาวเทียม
ลองนึกถึงภาพที่คุณไปเดินป่า กางเต็นท์ในที่อับสัญญาณ แต่ยังสามารถเปิด Google Maps, ส่งอีเมล หรืออาจจะ Video Call ได้… นี่คือโลกที่กำลังจะมาถึง
แน่นอนครับ… มันยังไม่สามารถแทนที่เครือข่ายมือถือภาคพื้นดินได้ในเร็วๆ นี้… การเชื่อมต่อดาวเทียมยังมีข้อจำกัด คือมันทำงานได้ดีที่สุดในที่โล่งแจ้งที่มองเห็นท้องฟ้าชัดๆ มันไม่สามารถทะลุทะลวงในอาคารได้ดีเท่าเสาสัญญาณปกติ
แต่สำหรับพื้นที่ห่างไกล หรือในยามภัยพิบัติ… นี่คือการ “ปฏิวัติ” วงการสื่อสารอย่างแท้จริง
และในภาพที่ใหญ่กว่านั้น… นี่คือการ “ตอกย้ำ” ชัยชนะของ SpaceX
นักวิเคราะห์อย่าง Tim Farrar ประธานบริษัทที่ปรึกษาด้านดาวเทียม ให้ความเห็นไว้อย่างเฉียบคมว่า…
“ถ้า Apple ยอมแพ้ที่จะพยายามแข่งขันกับ SpaceX (ด้วยการปั้น Globalstar)… เมื่อนั้น Starlink ก็จะกลายเป็นผู้ที่ ‘แทบจะไร้คู่แข่ง’ ในตลาดนี้”
มันคือการ “ตอกย้ำความเป็นเจ้าตลาด” ของ SpaceX อย่างสมบูรณ์แบบ
ลองคิดดูสิครับ… ถ้า Starlink ได้ฐานลูกค้า iPhone หลายร้อยล้านเครื่องทั่วโลกมาอยู่ในมือ… ใครจะสามารถต่อกรกับพวกเขาได้อีก
เรื่องราวนี้จึงเป็นมากกว่าการจับมือทางธุรกิจ… มันคือการต่อสู้กันระหว่างสองยักษ์ใหญ่ สองปรัชญาที่แตกต่างกันสุดขั้ว
ฝั่งหนึ่งคือ Apple ที่เน้นความสมบูรณ์แบบ การควบคุมทุกอย่างในระบบปิด
อีกฝั่งคือ Elon Musk ที่เน้นความเร็ว ความทะเยอทะยาน และการทลายทุกข้อจำกัด
แต่สุดท้าย… ไม่ว่าพวกเขาจะขัดแย้งกันแค่ไหน… พลังของ “ตลาด” และ “ความต้องการของผู้บริโภค” ที่อยากจะออนไลน์ตลอดเวลา อาจจะแข็งแกร่งพอ…
ที่จะบีบให้ศัตรูคู่อาฆาต… หันมาจับมือกัน เพื่อสร้างพันธมิตรที่ทรงพลังที่สุดในโลกเทคโนโลยีก็เป็นได้
References : [theinformation,bloomberg,reuters,techcrunch,spacenews]
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA
Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
Geek Forever’s Podcast
“Open Your World With Technology“
AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning
Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ














