Apple กำลังเดินตามรอย IBM? วงจรอุบาทว์ เมื่อ “การตลาด” กลืนกิน “นวัตกรรม”

เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมบริษัเทคโนโลยีที่เคยยิ่งใหญ่และเป็นเหมือนพระเจ้าในยุคหนึ่ง ถึงกลับค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน

เรื่องราวแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่มันเป็นเหมือนรูปแบบ pattern ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์

เราเคยเห็นภาพนี้มาแล้วกับ IBM ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าแห่งโลกคอมพิวเตอร์ หรือ Xerox ที่ชื่อของบริษัทเคยกลายเป็นคำกริยาแทนที่คำว่า “ถ่ายเอกสาร”

แม้กระทั่ง Microsoft ในยุค 90 ก็เคยผ่านช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะไม่มีใครสามารถโค่นล้มบัลลังก์ของพวกเขาลงได้

บริษัทเหล่านี้ต่างมีจุดเริ่มต้นที่คล้ายกัน นั่นคือการสร้างนวัตกรรมที่พลิกโฉมโลก จนทำให้พวกเขากลายเป็นผู้เล่นที่ผูกขาดตลาดไปโดยปริยาย

แต่เรื่องที่น่าเหลือเชื่อก็คือ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นั้นเอง กลับกลายเป็นเหมือนยาพิษที่ค่อย ๆ ทำลายบริษัทจากภายใน และเป็นจุดเริ่มต้นของการเสื่อมถอย

วันนี้เราอาจกำลังจะได้เห็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้งกับบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเรา นั่นคือ Apple

คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า หรือ Apple ในวันนี้ กำลังจะกลายเป็น IBM ยุคใหม่ ที่ซึ่ง “การตลาด” ได้เอาชนะ “นวัตกรรม” ไปเรียบร้อยแล้ว?

เพื่อที่จะเข้าใจภาพทั้งหมด เราอาจต้องย้อนกลับไปดูเรื่องเล่าจากบริษัทนอกวงการเทคโนโลยีกันก่อน ซึ่งเป็นเรื่องราวของ Pepsi บริษัทน้ำอัดลมยักษ์ใหญ่ของโลก

John Sculley อดีตผู้บริหารของ Pepsi เคยเล่าไว้ว่า ที่ Pepsi นั้น การเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์แทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย ในรอบสิบปีอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงแค่ครั้งเดียว

และการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนดีไซน์ขวดหรือขนาดกระป๋องใหม่เท่านั้นเอง

ลองนึกภาพตามว่า หากเราเป็นนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ในองค์กรแบบนี้ คงเป็นเรื่องยากที่จะได้แสดงฝีมือหรือสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ ที่จะมาเปลี่ยนทิศทางของบริษัทได้

แล้วในบริษัทที่ผลิตภัณฑ์แทบไม่เคยเปลี่ยนแบบนี้ ใครคือคนกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จขององค์กรมากที่สุด?

คำตอบก็คือ “ฝ่ายขายและการตลาด”

คนกลุ่มนี้คือคนที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และค่อย ๆ ไต่เต้าขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูง เพราะพวกเขาสามารถสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้ แม้ตัวผลิตภัณฑ์จะเหมือนเดิม

สำหรับธุรกิจเครื่องดื่ม การบริหารในลักษณะนี้อาจจะดูสมเหตุสมผล แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ตรรกะเดียวกันนี้ ถูกนำมาใช้กับบริษัทเทคโนโลยีที่กลายเป็นผู้ผูกขาดตลาดไปแล้ว ปัญหาก็จะเริ่มก่อตัวขึ้น

ลองนึกถึงกรณีของ IBM หรือ Xerox ในอดีต หากเราเป็นวิศวกรที่คิดค้นคอมพิวเตอร์หรือเครื่องถ่ายเอกสารรุ่นใหม่ที่ทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิม คำถามคือ มันจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของบริษัทได้มากน้อยแค่ไหน?

คำตอบที่น่าเศร้าก็คือ แทบจะไม่มีผลอะไรเลย

เพราะในวันที่บริษัทครองส่วนแบ่งตลาดไปเกือบทั้งหมดแล้ว การมีผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นอีกเล็กน้อย แทบจะไม่ได้ช่วยเพิ่มยอดขายหรือกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญอีกต่อไป

ในสถานการณ์เช่นนี้ คนกลุ่มเดียวที่ยังสามารถผลักดันให้บริษัทเติบโตต่อไปได้ ก็คือฝ่ายขายและการตลาดนั่นเอง

พวกเขาจึงกลายเป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจมากที่สุดในองค์กร ในขณะที่วิศวกรและนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ ก็จะเริ่มถูกผลักออกจากกระบวนการตัดสินใจที่สำคัญไปเรื่อย ๆ

และนี่คือจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม…

วันที่บริษัทเริ่มหลงลืมไปว่า “การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม” นั้นเป็นอย่างไร ผู้บริหารที่มาจากสายการตลาด ไม่ได้มีความเข้าใจในเทคโนโลยีอย่างลึกซึ้ง พวกเขาขาดสัญชาตญาณที่จะมองเห็นว่านวัตกรรมใดมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนโลกได้

ตัวอย่างที่เจ็บปวดที่สุดก็คือเรื่องราวของ Xerox ที่ศูนย์วิจัย Palo Alto Research Center หรือ PARC

ที่นั่นคือสถานที่ที่วิศวกรของ Xerox ได้คิดค้นเทคโนโลยีที่จะกลายมาเป็นมาตรฐานของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเมาส์ หรือหน้าจอแบบกราฟิก (GUI)

แต่น่าเสียดายที่ผู้บริหารในยุคนั้นกลับมองไม่เห็นคุณค่าของมัน เพราะมัวแต่ให้ความสำคัญกับการขายเครื่องถ่ายเอกสารซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่ทำเงินมหาศาลอยู่แล้ว

สุดท้ายแล้ว Steve Jobs ก็เป็นคนที่มองเห็นศักยภาพของนวัตกรรมเหล่านี้ และนำมันมาต่อยอดจนกลายเป็นคอมพิวเตอร์ Macintosh ที่ปฏิวัติวงการไปตลอดกาล

นี่คือวงจรที่น่ากลัว นวัตกรรมนำไปสู่การผูกขาด การผูกขาดนำไปสู่การยกย่องฝ่ายการตลาด และการที่ฝ่ายการตลาดขึ้นมามีอำนาจ ก็นำไปสู่การละเลยนวัตกรรม ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ก็คือการเสื่อมถอยนั่นเอง

แล้ว Apple แตกต่างจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในอดีตอย่างไร? หลายคนอาจจะบอกว่าเป็นเพราะแบรนด์ที่แข็งแกร่ง หรือ Apple Store ที่มอบประสบการณ์สุดพิเศษ

แต่หากมองให้ลึกลงไป ความแตกต่างที่สำคัญจริง ๆ อาจจะอยู่ที่ “วิธีการทำการตลาด” ที่แยบยลกว่าเดิม

Apple เชี่ยวชาญอย่างมากในการสร้างความตื่นเต้นและความปรารถนาให้กับผลิตภัณฑ์ใหม่ในแต่ละรุ่น พวกเขาสามารถทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องมีฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดอยู่เสมอ แม้ว่าฟีเจอร์นั้นอาจจะไม่ได้จำเป็นต่อการใช้งานจริง ๆ ก็ตาม

ลองดูตัวอย่างล่าสุดอย่าง Apple Intelligence ก็ได้ครับ เหตุผลที่ทำให้หลายคนอยากได้ฟีเจอร์นี้ อาจไม่ใช่เพราะประโยชน์ของมันจริง ๆ แต่เป็นเพราะความต้องการที่จะได้เห็นหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองมีอนิเมชันที่สวยงาม มีลูกเล่นใหม่ ๆ ที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจ

ซึ่งแน่นอนว่าความคิดแบบนี้ ไม่ได้มาจากสมองของวิศวกร แต่มาจากกลยุทธ์ทางการตลาดที่ถูกวางแผนมาอย่างดี

ถ้า Pepsi ใช้น้ำตาลเพื่อดึงดูดผู้บริโภค Apple ก็ใช้การตลาดที่สวยงามและมีสีสันเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกัน

นี่คือเหตุผลที่เราเห็นสื่อต่าง ๆ ทั่วโลกพยายามหาซื้อ iPhone สีใหม่ทุกสีมาทำคลิปแกะกล่อง ทั้งที่ Apple ก็รู้ดีว่าสุดท้ายแล้ว ผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็จะเลือกซื้อแค่สีพื้นฐานอย่างสีดำ สีขาว หรือสีเทาเท่านั้น

คำถามคือ แล้วทำไม Apple ถึงยังต้องออกผลิตภัณฑ์สีใหม่ ๆ มาแทบทุกปี? ซึ่งที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นปีนี้ที่ Apple ปล่อย iPhone สีส้มออกมา

คำตอบก็คือ ทั้งหมดนี้มันคือเรื่องของ “การตลาด” ล้วน ๆ

การมีสีสันใหม่ ๆ ที่ฉูดฉาด คือวิธีที่ง่ายที่สุดในการสร้างภาพลักษณ์ว่า iPhone รุ่นนี้ “แตกต่าง” และ “ดีกว่า” รุ่นก่อน มันคือการโน้มน้าวใจผู้คนว่านี่คือผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ใส่เคสทึบ ๆ ปิดทับสีของตัวเครื่องอยู่ดี

ดูเหมือนว่า Steve Jobs เองก็อาจจะมองเห็นภาพแบบนี้ล่วงหน้ามานานแล้ว

Jobs เคยพูดประโยคที่เป็นตำนานเอาไว้ว่า “คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร จนกว่าคุณจะเอามันไปโชว์ให้พวกเขาเห็น”

นี่คือหัวใจของ Apple ในยุคของเขา การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ผู้คนยังนึกไม่ถึงด้วยซ้ำว่าพวกเขาต้องการมัน

แต่ในปัจจุบัน ปรัชญานี้ดูเหมือนจะเริ่มเลือนลางไป คุณภาพของผลิตภัณฑ์อาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นความสามารถในการ “ขาย” ผลิตภัณฑ์นั้น ๆ แทน

และเมื่อคนที่เติบโตมาจากสายการตลาดและการขาย เริ่มเข้ามามีอำนาจในการบริหาร นวัตกรรมที่เคยเป็นจิตวิญญาณของ Apple ก็อาจจะเริ่มถดถอยลง อย่างที่เราอาจจะเริ่มรู้สึกกันได้ในทุกวันนี้

บทเรียนแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับ IBM มาแล้ว ในวันที่พวกเขาคือเจ้าโลกคอมพิวเตอร์ พวกเขาลืมคุณค่าของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และปล่อยให้การตลาดนำทาง จนสุดท้ายก็พลาดคลื่นลูกใหญ่อย่างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) และเกือบจะต้องล้มละลาย

ในโลกของเทคโนโลยี เมื่อผู้นำเริ่มหยุดนิ่ง มันก็จะเกิดช่องว่างให้ผู้เล่นรายเล็ก ๆ ที่มีความคล่องตัวและกล้าได้กล้าเสียกว่า ได้แจ้งเกิดขึ้นมาเสมอ

บริษัทเหล่านี้เองที่จะกลายเป็นผู้นำในการปฏิวัติครั้งต่อไป เหมือนกับที่ Apple ในยุคของ Steve Jobs เคยเป็นม้านอกสายตาที่กล้าท้าทายยักษ์ใหญ่อย่าง IBM มาแล้ว

ดังนั้น เมื่อเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เราจะเห็นวงจรที่ชัดเจนมาก คือการเกิดขึ้น เติบโต ผูกขาด และในที่สุดก็คือการถดถอย

แต่คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ อนาคตของ Apple จะเป็นอย่างไร?

มันอาจจะมีทางออกอยู่สองทาง ทางแรกคือการเดินซ้ำรอยประวัติศาสตร์ กลายเป็นเหมือน IBM หรือ Xerox ที่ค่อย ๆ หมดความสำคัญลงไป เพราะมัวแต่ปกป้องธุรกิจเดิมของตัวเอง

แต่อีกทางหนึ่ง ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีฮีโร่คนใหม่ปรากฏตัวขึ้นมาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

เหมือนกับที่ Microsoft ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่ากำลังจะตกยุคและกลายเป็น IBM รายต่อไป แต่พวกเขาก็ได้ Satya Nadella เข้ามาเป็น CEO และพลิกชะตาของบริษัทด้วยการเดิมพันกับธุรกิจ Cloud และ AI จนกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

คำถามสุดท้ายจึงอยู่ที่ว่า Apple จะเลือกเดินไปในเส้นทางไหน?

พวกเขาจะปล่อยให้วงจรประวัติศาสตร์ดำเนินต่อไป หรือจะกล้าที่จะทุบทำลายรูปแบบเดิม ๆ และสร้างนวัตกรรมที่จะเปลี่ยนโลกขึ้นมาอีกครั้ง

อนาคตยังไม่ถูกเขียนขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ ในโลกของเทคโนโลยี การหยุดนิ่งอยู่กับที่ คือการกระทำที่อันตรายที่สุดแล้ว

References : [eugenewei, wikipedia, hbr, stratechery, biography]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube