ต้องบอกว่าแม้ Meta จะเป็นเจ้าของทั้งแพล็ตฟอร์ม Instagram และ Facebook แต่ก็เรียกได้ว่าความรู้สึกของผู้ใช้งานของทั้งสองแพลตฟอร์มนั้นแทบจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เราจะสังเกตุได้ว่า ยังมีกลุ่มวัยรุ่น Gen ใหม่ ๆ บางกลุ่มที่ยังติดหนึบอยู่กับแพลตฟอร์มอย่าง Instagram เพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย เมื่อพ่อแม่ของพวกเขาเข้ามาเล่นในแพล็ตฟอร์มอย่าง Facebook
ในขณะที่ Facebook เป็นแพล็ตฟอร์มที่ถูกขับเคลื่อนโดยการตัดสินใจผ่านข้อมูลเป็นหลัก ในการสร้างสรรค์ฟีเจอร์ต่าง ๆ ออกมา เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจของพวกเขาที่ใช้สำหรับคนหมู่มาก
แต่ Instagram นั้นแตกต่างออกไป โดยเฉพาะในช่วงที่ Kevin Systrom และ Mike Krieger ยังเป็นผู้นำอยู่ การตัดสินใจหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นบนแพล็ตฟอร์มนั้น อาศัยเรื่องของอารมณ์และความรู้สึกจากมนุษย์โดยเฉพาะจาก Systrom เป็นหลัก
แม้จะก่อตั้งมาเพียงไม่ถึงสองปี แล้วได้ทำการขายกิจการให้กับ Facebook ไปมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ แต่หลังจากถูกเข้าซื้อนั้น Mark Zuckerberg ก็ยังให้ Systrom ควบคุม Instagram แบบอิสระ
ถ้าย้อนไปในยุคนั้น Facebook มีผู้ใช้งานเกือบแตะ 1 พันล้านคน แต่ Instagram ยังมีผู้ใช้งานเพียงหลักร้อยล้านคน เพิ่งจะมี version android ออกมาได้ไม่นานเพียงเท่านั้น
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมเหล่า influencers ที่มีอิทธิพลสูงสุดนั้น ส่วนใหญ่จะนับจากยอด follower ของแพล็ตฟอร์ม Instagram เป็นหลัก
เพราะมันคือเรื่องของ Human Emotions ที่ถูกออกแบบมาตั้งแต่ต้น Systrom นั้นควบคุมทุกอย่างด้วยตัวของเขาเองให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ scale กิจการ หรือ ประสบการณ์ต่าง ๆ ในแแพล็ตฟอร์ม
Instagram สามารถเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้ฟีเจอร์หลาย ๆ อย่างของ Facebook เช่น การแชร์ ซึ่งทำให้แพล็ตฟอร์มนั้นเติบโตแบบก้าวกระโดดได้มากกว่า เพราะมีการ Viral ของโพสต์อย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้
แต่การที่ Instagram ไม่มีปุ่มแชร์ มันคือสเน่ห์ที่สำคัญลำดับต้น ๆ ของแพล็ตฟอร์มเลยก็ว่าได้ เพราะทุกเนื้อหาที่จะโพสต์ใน account ใด ๆ นั้น ต้องมาจากเจ้าของตัวจริง ไม่มีการนำโพสต์จากที่อื่นมาแชร์ออกไป
สิ่งนี้ทำให้ Influencers ในแพล็ตฟอร์มของ Instagram นั้นจะมีอิทธิพลสูงกว่าแพล็ตฟอร์มอื่น ทำให้พวกเขาสร้างรายได้มากกว่าแแพล็ตฟอร์มอื่น ๆ เพราะความ exclusive ที่ถูกออกแบบมาโดย Systrom นั่นเอง
ถึงขั้นที่ว่า Mark Zuckerberg เองก็มีการระแวงแพล็ตฟอร์มอย่าง Instagram ที่เขาเป็นเจ้าของด้วยซ้ำในช่วงแรก ๆ หลังจากการซื้อกิจการ
เพราะกลัวจะถูกแย่งส่วนแบ่งจากไข่ในหินของ Zuckerberg อย่าง Facebook เพราะตอนแรกดูเหมือนว่าแพล็ตฟอร์มทั้งสองนั้นจะแข่งกันเองด้วยซ้ำ
ในขณะที่ Facebook เติบโตจนมีผู้ใช้งานเป็นพันล้านคน สามารถสร้างรายได้จากโฆษณาได้มากมาย มีการปล่อยให้เจ้าของเพจสามารถมา boost โพสต์ได้เอง คล้าย ๆ กับสิ่งที่ Google ทำใน Adsword เพราะมันจะได้ตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก
แต่ Instagram ในยุคแรกช่วงที่ Systrom ปกครองอยู่นั้น ไม่ต้องการสร้างรายได้ด้วยอะไรแบบนี้ เพราะมันส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแพล็ตฟอร์ม จะเกิดโฆษณาขยะขึ้นในแพล็ตฟอร์มที่เขารักและหวงมาก ๆ
เพราะฉะนั้น Systrom เอง จึงเลือกที่จะควบคุมคนที่จะมาลงโฆษณาเองในทุก ๆ แบรนด์ ต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับแพล็ตฟอร์ม และต้องตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแพล็ตฟอร์ม ทุกโฆษณาจะผ่านตา Systrom โดยตรง
หรือแม้แต่ในเรื่องความสัมพันธ์กับเหล่าผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงต่างๆ ก็ดี Systrom นั้นเลือกที่จะเดินหน้าสานสัมพันธ์ด้วยตัวเขาเองตั้งแต่ดารานักร้องในฮอลลีวู้ด นักกีฬาชื่อดัง หรือแม้กระทั่ง สมเด็จพระสันตปาปา
มีหลากหลายฟีเจอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม ที่ได้รับ feedback มาจากเหล่า influencers โดยตรง ซึ่งไม่แปลกว่าทำไมในตอนนี้ Instagram จึงเป็นแพล็ตฟอร์มที่เป็นที่รักของเหล่า influencers และ แบรนด์ต่าง ๆ มากที่สุด
แต่ก็ต้องบอกว่าเรื่องราวที่กล่าวมาข้างต้น ผมเรียบเรียงมาจากหนังสือ No Filter : The Inside Story of Instagram โดย Sarah Frier ซึ่งฉายภาพเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเรื่องราวที่เหมือนเปรียบเหมือนปาฏิหาริย์ของ Instagram
แต่หลังจาก Systrom ได้ออกจากบริษัทไป ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะสุดท้ายตอนนี้ Instagram นั้นก็ถูกตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ โดย AI หรือ ข้อมูล ผ่านการวิเคราะห์ ที่ไม่ต่างจาก Facebook ซึ่งทำให้ Instagram ในตอนนี้ไม่ได้มีสเน่ห์ที่ดึงดูดใจเหมือนยุคของ Systrom อีกต่อไปนั่นเองครับผม
Credit Image : https://www.digitalinformationworld.com/2019/04/instagram-founder-kevin-systrom-facebook-mark-zuckerberg.html
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA
Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
Geek Forever’s Podcast
“Open Your World With Technology“
AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning
Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ