Geek Talk EP41 : Together Treble Winners กับบทเรียนความเป็นผู้นำจาก Pep Guardiola

ในวงการผู้ฝึกสอนและผู้จัดการทีมมืออาชีพนั้นไม่มีชื่อไหนที่จะดังกระฉ่อนโลกได้มากไปกว่าชื่อของ Pep Guardiola โดยเขาเป็นที่รู้จักในด้านบุคลิกที่น่าสนใจ และความสำเร็จขั้นสูงสุดในการคุมทีมฟุตบอล แนวทางการนำทีมของ Guardiola นั้นได้ดึงดูดความสนใจทั้งจากคนในวงการกีฬาและผู้นำองค์กรธุรกิจเป็นอย่างมาก

จากสารคดีชุดใหม่ของ Netflix อย่าง Together : Treble Winners นั้นรูปแบบการคุมทีมของ Guardiola สามารถเปิดเผยบทเรียนที่มีค่าซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสภาพแวดล้อมธุรกิจที่ท้าทายได้ ซึ่งความคล้ายคลึงระหว่างปรัชญาการคุมทีมของ Guardiola กับการเป็นผู้นำองค์กรธุรกิจ วิธีการของเขาสามารถสร้างแรงบันดาลใจและสร้างพลังแก่ทีมงานระดับท็อปในสถานการณ์ที่มีความท้าทายสูงสุดได้อย่างไร

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yxbcetjf

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2wjhke24

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2s3nj497

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
 https://tinyurl.com/mr29a53s

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/tp45mmnolNs

CHIP WAR จากการคัดลอกสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของญี่ปุ่น

ถ้าย้อนกลับไปมองประเทศญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเรียกได้ว่าญี่ปุ่นได้กลายเป็นประเทศที่แทบจะแตกสลาย ญี่ปุ่นเองโดนระเบิดนิวเคลียร์ไปถึงสองลูกที่เมืองนางาซากิและฮิโรชิมาอย่างที่เราได้รับรู้กัน

แต่พวกเขาสามารถที่จะพลิกประเทศกลับมารวดเร็วได้อย่างน่าเหลือเชื่อมากๆ ซึ่งก็ต้องบอกว่าอุตสาหกรรมชิปเองก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นพลิกประเทศให้กลายมาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วสามารถต่อสู้กับสหรัฐอเมริกาและกลายเป็นศัตรูที่สำคัญทางด้านเศรษฐกิจของอเมริกาได้

ในช่วงแรกแม้ญี่ปุ่นจะไม่มีผู้เชี่ยวชาญมีวิศวกรระดับสูงเหมือนที่ซิลิคอนวัลเลย์ในอเมริกามี แต่พวกเขาอาศัยรูปแบบของการก๊อปปี้หรือคัดลอกเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาเป็นหลักก่อน

มันเป็นเรื่องปรกติมากในยุคนั้นที่หลาย ๆ ประเทศก็ใช้วิธีการแบบนี้ คือการคัดลอกเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาเรียนรู้และพัฒนาด้วยตัวเองด้วยต้นทุนด้านต่าง ๆ ที่ต่ำกว่า

สหรัฐอเมริกาอาจจะเป็นผู้คิดค้นนวัตกรรมที่สุดล้ำมากมาย แต่ก็นำไปใช้ในวงการทหารเป็นหลัก แต่ญี่ปุ่นมีวิสัยทัศน์อีกแบบนึง พวกเขาแทบจะไม่มีกองทัพเป็นของตนเองหลังจากสงครามโลก การที่จะสร้างอุตสาหกรรมใหม่และทำให้พวกเขาสามารถที่จะจำหน่ายไปทั่วโลกได้ก็ต้องเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการอุปโภคบริโภคโดยคนทั่วไป

ความน่าสนใจก็คือหลังจากที่โตเกียวถูกทิ้งระเบิดราบเป็นหน้ากอง พวกเขาสามารถที่จะเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ ๆ จากนักฟิสิกส์ชั้นนำของอเมริกา เพราะว่าสำนักงานใหญ่ขององค์กรต่าง ๆ ของสหรัฐอยู่ในโตเกียวแทบจะทั้งหมด และได้อนุญาตให้นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นเข้าถึง know-how ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องงานวิจัยที่เกี่ยวกับแอพพลายฟิสิกส์ รวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดนั่นก็คือ อากิโอะ โมริตะ ที่ได้ก้าวเข้ามาในธุรกิจนี้แม้ตอนแรก โมริตะ จะทำธุรกิจโรงกลั่นสาเกซึ่งถือว่าเป็นโรงกลั่นที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น

แต่โมริตะชื่นชอบในการซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เขาเรียนจบปริญญาด้านฟิสิกส์ ซึ่งความเชี่ยวชาญด้านฟิสิกส์นี่เองที่ช่วยชีวิตเขา โดยโมริตะร่วมมือกับอดีตผู้ร่วมงานชื่อ มาซารุ อิบุกะ สร้างธุรกิจทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมา

ต่อมาพวกเขาก็ตั้งชื่อบริษัทว่า Sony มาจากภาษาละติน Sonus ที่แปลว่าเสียง และยังใช้ชื่อเล่นแบบอเมริกันว่า Sunny อุปกรณ์ชิ้นแรกของพวกเขาคือหม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่ตอนนั้นต้องบอกว่ามันเป็นสินค้าที่ดูไร้เสน่ห์เป็นอย่างมาก

โมริตะร่วมมือกับอดีตผู้ร่วมงานชื่อ มาซารุ อิบุกะ สร้างบริษัท Sony ขึ้นมา (CR:GettyImage)
โมริตะร่วมมือกับอดีตผู้ร่วมงานชื่อ มาซารุ อิบุกะ สร้างบริษัท Sony ขึ้นมา (CR:GettyImage)

แต่โมริตะเห็นถึงศักยภาพของอุปกรณ์อิเล็กทรอนนิกส์ว่ามันคืออนาคตของเศรษฐกิจโลก Sony เองได้ประโยชน์จากการมีค่าแรงที่ถูกกว่าในญี่ปุ่น รวมถึงโมริตะมีความเชี่ยวชาญในการออกแบบผลิตภัณฑ์และการตลาด

บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งมีชื่อเสียงในการผลิตเป็นเลิศ โดยสามารถสร้างตลาดใหม่ ด้วยวงจรเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของซิลิคอนวัลเลย์ แผนของโมริตะก็คือการชี้นำประชาชนด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แทนที่จะถามพวกเขาว่าต้องการผลิตภัณฑ์ประเภทใด  

มันเป็นสิ่งที่ที่ไม่น่าแปลกใจที่ สตีฟ จ็อบส์ อดีตซีอีโอผู้ล่วงลับของ Apple นั้นก็ได้รับแรงบันดาลใจที่สำคัญจากโมริตะ จนถึงขึ้นที่จ็อบส์เองต้องการสร้าง Apple ให้เหมือน Sony ซึ่งจ็อบส์มักจะนึกถึงการเปลี่ยนแปลงโลกมากกว่าการทำกำไรให้กับบริษัท และมีวิสัยทัศน์แบบเดียวกับโมริตะในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าต่างหลงรัก

ความสำเร็จแรกของ Sony ในการเข้าสู่ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ก็คือวิทยุทรานซิสเตอร์ แต่ตอนนั้นพวกเขาก็ไม่มีปัญญาที่จะสร้างชิปขึ้นมาเองต้องพึ่งพาบริษัทในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะจากซิลิคอนวัลเลย์

ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ก็มีการป้อนชิปเหล่านี้ให้กับญี่ปุ่น ดังนั้นถ้าอเมริกาเองก็ไม่คิดว่าญี่ปุ่นจะสามารถสร้างเทคโนโลยีสุดล้ำอะไรได้มากมาย พวกเขาจึงไม่ได้มีการระแวดระวังมากนักในการป้องกันทรัพย์สินทางปัญญาของพวกเขา

ในช่วงแรกทั้งสองประเทศก็มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างเกื้อหนุนกัน เพราะว่าในสหรัฐอเมริกาสามารถสร้างคอมพิวเตอร์ได้ดีที่สุด แต่ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในญี่ปุ่นอย่าง Sony ก็จะผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขับเคลื่อนการบริโภคชิปที่ผลิตโดยสหรัฐอเมริกา

ซึ่งจะเห็นได้ว่าเมื่ออเมริกามาลงทุนเปิดโรงงานผลิตชิปที่ประเทศใดก็จะมีการถ่ายทอดเรื่องของเทคโนโลยีให้กับวิศวกรในประเทศนั้น ๆ ซึ่งจะได้เรียนรู้วิธีการผลิตหรือถึงขั้นอาจจะสามารถคัดลอกนวัตกรรมบางอย่างมาได้เลย

ยักษ์ใหญ่ด้านเซมิคอนดักเตอร์อย่างเท็กซัส อินสตรูเมนต์ ที่พยายามจะเข้ามาเปิดโรงงานในญี่ปุ่น แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านกฎหมายมากมาย แต่โมริตะสามารถไปช่วยเคลียร์กับหน่วยงานรัฐต่าง ๆ ให้ทางเท็กซัส อินสตรูเมนต์มาสร้างโรงงานได้สำเร็จ

นั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการคิดที่จะสร้างชิปด้วยตัวเองของประเทศญี่ปุ่น และเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทอเมริกันอย่างอินเทลหรือเท็กซัส อินสตรูเมนต์ รวมถึงบริษัทญี่ปุ่นอย่างโตชิบาหรือเอ็นอีซีก็สามารถที่จะสร้างชิปหน่วยความจำดีแรมของตัวเองขึ้นมาได้สำเร็จ

ตอนนั้นอเมริกาก็มองญี่ปุ่นแบบตลก ๆ ว่าคงเป็นนวัตกรรมที่ไม่ได้เลิศหรูอะไรแต่อย่างใด แต่ว่าเมื่อผลิตไปจริงๆ แล้ว กลับพบว่าชิปที่ผลิตจากญี่ปุ่นกลับมีคุณภาพที่ดีกว่าบริษัทคู่แข่งในสหรัฐอเมริกา  

ชิปที่ผลิตในสหรัฐฯ ทำงานผิดพลาดถึง 4 เท่าครึ่ง เมื่อเทียบกับการทำงานของชิปที่ผลิตโดยประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่างกันมาก นั่นทำให้ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์แม้กระทั่งในอเมริกาเองก็ตาม เริ่มที่จะหันมามองชิปจากบริษัทในประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น

ชิปที่ผลิตโดยประเทศญี่ปุ่นได้รับการยอมรับมากขึ้นในตลาดโลก (CR:Escape Authority)
ชิปที่ผลิตโดยประเทศญี่ปุ่นได้รับการยอมรับมากขึ้นในตลาดโลก (CR:Escape Authority)

แล้วที่สำคัญก็คือพวกเขาสามารถทำราคาได้ถูกมากๆ ด้วยต้นทุนด้านแรงงานรวมถึงต้นทุนในการจัดหาเงินกู้ ด้วยการอุดหนุนจากรัฐบาลที่มีนโยบายช่วยเหลือเกื้อกูลบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น เพราะทางรัฐบาลต้องการผลักดันให้ประเทศเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์  

ความเข้าใจในยุคก่อนหน้าของผลิตภัณฑ์จากญี่ปุ่นที่เป็นสินค้าราคาถูก ไร้คุณภาพ แต่แบรนด์อย่าง Sony ได้ทำให้ชื่อเสียงด้านแย่ ๆ เหล่านี้หมดไป ด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ราคาไม่แพง คุณภาพสูงเทียบเท่ากับคู่แข่งในอเมริกา

นั่นเองที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นกล้าที่จะตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นไปอีก ในการท้าทายอุตสาหกรรมของอเมริกาตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งต้องบอกว่าทำให้อเมริกาเองต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากญี่ปุ่น

ในช่วงปี 1980 อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคได้กลายเป็นสินค้าเฉพาะของญี่ปุ่น ซึ่งพวกเขาได้กลายเป็นผู้นำในการเปิดตัวสินค้าอุปโภคบริโภคใหม่ ๆ และสามารถคว้าส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งในอเมริกา

แม้ในช่วงแรกบริษัทญี่ปุ่นจะประสบความสำเร็จด้วยการเลียนแบบผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งในสหรัฐฯ โดยผลิตให้มีคุณภาพสูงขึ้นและราคาที่ถูกลง ชาวญี่ปุ่นบางคนมองว่าพวกเขาเก่งในการนำทฤษฎีไปปฏิบัติในขณะที่อเมริกาเก่งกว่าพวกเขาในด้านการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ

ในปี 1979  Sony ได้เปิดตัวอุปกรณ์อย่าง Walkman ซึ่งเป็นเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาที่ปฏิวัติวงการเพลงโดยสิ้นเชิงโดยการสร้างวงจรชิปที่ทันสมัยของบริษัท

อุปกรณ์อย่าง Walkman นี่เองที่วัยรุ่นทั่วโลกสามารถพกพาเพลงโปรดใส่ในกระเป๋าและใช้พลังงานจากชิปที่บุกเบิกจากซิลิคอนวัลเลย์แต่พัฒนาในญี่ปุ่น ทำให้ Sony ขายไปได้กว่า 385 ล้านเครื่องทั่วโลก ทำให้ Walkman กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำหรับผู้บริโภคที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์และเป็นนวัตกรรมที่บริสุทธิ์ที่สุดที่ผลิตในญี่ปุ่น

Walkman ซึ่งเป็นเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาที่ปฏิวัติวงการเพลงโดยสิ้นเชิง (CR:The Verge)
Walkman ซึ่งเป็นเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาที่ปฏิวัติวงการเพลงโดยสิ้นเชิง (CR:The Verge)

ต้องบอกว่ามันมีหลายปัจจัยที่ทำให้ญี่ปุ่นสามารถก้าวเข้ามาเป็นผู้นำในอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคอิเล็กทรอนิกส์อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้ได้

ปัจจัยแรกก็คือเรื่องของรัฐบาลที่ช่วยอุดหนุนอุตสาหกรรมนี้อย่างเต็มที่ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากๆ ในการเข้าถึงเงินทุนเพราะว่าชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีอัตราการออมที่สูงมาก ทำให้ธนาคารมีเงินสดเหลือเยอะมากๆ มาปล่อยกู้ในดอกเบี้ยที่แสนถูก

รวมถึงการที่พวกเขามีต้นทุนทางด้านแรงงานที่ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับอเมริกา และนั่นเองที่ทำให้ในท้ายที่สุดพวกเขาก็สามารถเอาชนะอเมริกาในการแข่งขันด้านชิปในช่วงทศวรรษที่ 1980 ไปได้สำเร็จนั่นเองครับผม

References :
เรียบเรียงจากหนังสือ Chip War: The Fight for the World’s Most Critical Technology โดย Chris Miller
https://failurebeforesuccess.com/akio-morito/

“ซานตาเฟ่” ควงแม็กกี้ ครีเอทเมนูใหม่ “สเต๊กสามเกลอ” เสิร์ฟความอร่อยครบรสให้ลูกค้า

“ซานตาเฟ่” ร้านอาหารประเภทสเต๊กและอาหารสไตล์ตะวันตก ภายใต้บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ครีเอทเมนูใหม่ “สเต๊กสามเกลอ” ผนึก “แม็กกี้” ผู้นำซอสปรุงอาหารนำผลิตภัณฑ์ แม็กกี้ อีซี่คุ๊ก “ซอสสามเกลอ” หมักกับไก่และหมูชีวา เสิร์ฟความอร่อยเติมรสให้ลูกค้า

คุณสมบัติ หงส์ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด เปิดเผยว่า ซานตาเฟ่สเต๊ก เป็นร้านอาหารที่อยู่คู่กับผู้บริโภคชาวไทยมานานกว่า 20 ปี กลยุทธ์ที่ทำให้ร้านครองใจลูกค้าอย่างแข็งแกร่ง ด้วยการเสิร์ฟวัตถุดิบคุณภาพ และรสชาติอร่อยโดนใจ รวมถึงการสร้างสรรค์เมนูใหม่ตอบสนองกลุ่มเป้าหมาย

ล่าสุด ซาตาเฟ่ ร่วมพันธมิตรอย่างแม็กกี้ นำผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด แม็กกี้ อีซี่คุ๊ก “ซอสสามเกลอ” ที่รวมส่วนผสม 3 ชนิด ได้แก่ กระเทียม พริกไทย และรากผักชี มาผสมผสานกันอย่างลงตัวและเพิ่มความเข้มข้น ทำให้ปรุงกับจานไหนก็อร่อย มีกลิ่นหอม ถึงเครื่องทุกเมนูไทย

พร้อมกันนี้ ยังเปิดตัวครั้งแรกกับซานตาเฟ่ ด้วยการรังสรรค์เมนูพิเศษ “สเต๊กสามเกลอ” ซึ่งเป็นการนำซอสสามเกลอหมักวัตถุดิบคุณภาพทั้งไก่ และหมูชีวา ช่วยเพิ่มความอร่อยโดน ครบรส ถึงเครื่องทุกเมนูไทยทุกจาน

ด้านคุณเครือวัลย์ วรุณไพจิตร ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจ เนสท์เล่ โพรเฟชชันนัล ภูมิภาคอินโดไชน่า กล่าวว่า การร่วมมือกับซานตาเฟ่ ในการนำผลิตภัณฑ์ใหม่ แม็กกี้ อีซี่คุ๊ก“ซอสสามเกลอ” มารังสรรค์เมนูสเต๊กใหม่ๆ จะช่วยสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคในการรับประทาน

อีกทั้งแนะนำให้รู้จักต่อยอดสูตรความอร่อยไปสู่ทุกครัวเรือน เพราะสามารถนำซอสสามเกลอไปหมักวัตถุดิบไก่ หมู ฯ ได้ตามต้องการ สำหรับแม็กกี้ อีซี่คุ๊ก ซอสสามเกลอ บรรจุในซอง สะดวก ใช้ง่าย ผู้บริโภคทำเมนูอร่อยได้เองที่บ้านเพียงแค่ฉีก-เท-หมัก หรือผัด ก็สามารถรังสรรค์จานโปรดได้มากกว่า 20 เมนู  

สำหรับเมนู “สเต๊กสามเกลอ” จะวางจำหน่ายพร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษ เซตสเต๊กไก่สามเกลอ ซอสแจ่ว พร้อมชามะนาวเย็น เพียง 149 บาท และ สเต๊กสันคอหมูชีวาสามเกลอ พร้อมชามะนาวเย็น 209 บาท พิเศษสำหรับลูกค้าที่รับประทานเมนู “สเต๊กสามเกลอ” รับฟรีซอสสามเกลอ “แม็กกี้ อีซี่คุ๊ก” กลับไปปรุงความอร่อยต่อที่บ้าน ของมีจำนวนจำกัด เชิญชวนมาลิ้มลองเมนูความอร่อยโดน ครบรส  เริ่มตั้งแต่ 23 เมษายน 2567 ถึง 25 มิถุนายน 2567 ที่ซานตาเฟ่ สเต๊ก ทุกสาขาทั่วประเทศ

Geek Monday EP223 : TikTok Notes แอปแชร์ภาพจาก TikTok ที่พร้อมท้าชน Instagram

TikTok แทบจะเป็นคู่แข่งรายใหญ่รายแรกนับตั้งแต่ Snapchat ที่มาขัดขวางตลาดที่ครอบงำโดย Facebook แต่เพียงผู้เดียวมานานแสนนานในตลาดแอปทางด้าน Social Network

และล่าสุดพวกเขาพร้อมที่จะลุยกับพี่ Mark Zuckerberg อีกครั้งหลังจากถูกแย่งชิงความนิยมจากยอดดาวน์โหลดโดย Instagram พวกเขาจึงสร้าง TikTok Notes แอปแชร์ภาพที่พร้อมมาท้าชนแบบเต็ม ๆ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/rrpube7u

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/tu5s7y4k

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4sp3daax

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/5s_18W0PvhE

กระเป๋านับพันล้าน ธุรกิจบริการกับการพุ่งทะยานของ Apple สู่ใจกลาง Wall Street

เมื่อสิ้นสุดปี 2018 Tim Cook ได้ลดคำสั่งซื้อชิ้นส่วนประกอบที่รวมอยู่ใน iPhone 3 รุ่นล่าสุด แม้ว่า iPhone X จะทำให้แฟรนไชส์ของ iPhone กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งก็ตามที

Cook และบริษัทมีความคาดหวังสูงสำหรับ iPhone รุ่น XR โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่ง Cook ได้ทำการตลาดโทรศัพท์รุ่นดังกล่าวให้ผู้ติดตามนับล้านบน Weibo แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชั้นนำของจีน

แต่ก็ต้องบอกว่าสถานการณ์ ณ ขณะนั้น ภูมิทัศน์การแข่งขันของจีนกำลังเปลี่ยนไป Huawei ผู้ผลิตมือถือรายใหญ่ทำการตลาดด้วยโทรศัพท์หลายรุ่นที่มีคุณสมบัติที่ดีกว่าและราคาถูกกว่าของ Apple

หนึ่งในนั้นคือ Huawei P20 ซึ่งราคาแทบจะหารสามจากราคาของ iPhone XR แต่มีพื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่า กล้องที่ดีกว่า และแบตเตอรี่ความจุมากกว่าแบบกินขาด

นั่นทำให้ลูกค้าชาวจีนมองไปที่ Huawei แทน เพราะตอบโจทย์ของพวกเขามากกว่า และพวกเขาแทบไม่ได้ประโยชน์จากบริการด้านซอฟต์แวร์ระดับเทพของ Apple อยู่แล้ว

เนื่องจากผู้ใช้มือถือสมาร์ทโฟนในจีนส่วนใหญ่ ต้องตกอยู่ภายใต้การครอบงำจาก ecosystem ของ WeChat ซึ่งเป็น Super Apps หลักที่ชาวจีนใช้กัน เนื่องจากใช้งานได้ทุกอย่างตั้งแต่การส่งข้อความ การชำระเงิน ไปจนถึงเครือขายโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งบริการเรียกรถ

Huawei P20 ที่แรงขึ้นมาท้าชน iPhone (CR:Black Miners Museum)
Huawei P20 ที่แรงขึ้นมาท้าชน iPhone (CR:Black Miners Museum)

เมื่อ iPhone XR ขายไม่ออก Cook ก็เริ่มโฟกัสไปที่ทีมขายและทีมงานด้านการตลาดของเขา และต้องพบความจริงที่แสนปวดร้าว เพราะ iPhone นั้นมีคุณภาพสูงเกินไป ทำให้การอัพเกรดจาก iPhone รุ่นเก่า ๆ เริ่มช้าลง

ฝั่ง Wall Street ผลกระทบนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน มูลค่าของ Apple ที่ครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกถูกแทนที่ด้วย Microsoft อดีตศัตรูตัวฉกาจของพวกเขา

วันที่ 2 มกราคม 2019 Apple ได้ออกจดหมายจาก Tim Cook ถึงนักลงทุนโดยลดการคาดการณ์ยอดขายรายไตรมาสของบริษัทเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี

โดย Cook ได้กล่าวว่า Apple ได้คาดการณ์ยอดขายที่ 84 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหวังไว้ที่ 89 พันล้านดอลลาร์

การปรับลดลงอย่างน่าประหลาดใจนี้ทำให้บริษัทคาดการณ์การเติบโตของบริษัทที่ลดลง 4.5 เปอร์เซ็นต์

Cook ได้พูดถึงความต้องการ iPhone ที่ลดลงและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีนเป็นต้นเหตุของความถดถอยของ Apple

“เราเชื่อว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในจีนได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นกับสหรัฐอเมริกา” เขาเขียน “ในขณะที่บรรยากาศของความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน และผลกระทบดูเหมือนจะไปถึงกลุ่มผู้บริโภคด้วยเช่นเดียวกัน โดยปริมาณ Traffic ในร้านค้าปลีกของเราและพันธมิตรช่องทางการขายของเราในจีนลดลดเมื่อไตรมาสที่ผ่านมา”

และเพียงแค่วันถัดมาราคาหุ้นของ Apple ก็ร่วงลงไป 10 เปอร์เซ็นต์และบริษัทก็สูญเสียมูลค่าไปถึง 75 พันล้านดอลลาร์

ซึ่งการลดลงในวันเดียวครั้งนี้เป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดของ Apple ในรอบ 6 ปี และทำให้การประเมินมูลค่าของบริษัทลดลงไปสู่ระดับที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2017

แน่นอนว่ามันทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ สั่นคลอนได้เลยทีเดียว เพราะ Apple ได้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่เหล่านักลงทุนสถาบันถือไว้มากที่สุด ซึ่งรวมอยู่ทั้งในกองทุนรวม กองทุนดัชนี ฯลฯ

ผลกระทบนั้นยังส่งไปถึงนักลงทุนชื่อดังอย่าง Warren Buffet จาก Berkshire Hathaway หรือแม้กระทั่งคนเฒ่าคนแก่ในฟลอริดาไปจนถึงคนทำงานในอุตสาหกรรมรถยนต์แถบมิดเวสต์ต่างก็ลงทุนในธุรกิจของ Apple ซึ่งพวกเขาทั้งหมดได้รับความเดือดร้อน

ในขณะที่ธุรกิจ iPhone กำลังถดถอย คำถามสำคัญของ Cook ก็พุ่งเป้าไปที่ Apple Store ที่เป็นธุรกิจค้าปลีกที่ดูแลโดย Angela Ahrendts อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Burberry

ต้องเรียกได้ว่า Cook คาดหวังกับผลงานกับเธอไว้สูงมาก แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการอันล้นเหลือจาก Cook ได้เลย

คนที่ทำงานกับ Ahrendts กล่าวว่าเธอไม่ได้มีตัวเลขหรือมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับตัวเลขปลีกย่อยตามที่ Cook ต้องการ เพราะเธอมาจากสายแฟชั่นที่เน้นไปที่เรื่องของอารมณ์เป็นหลัก ไม่ได้มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาซัพพอร์ตมากนัก

และการประชุมเริ่มดุเดือดขึ้นหลายครั้งในช่วงต้นปี 2019 ทำให้สุดท้าย Cook และ Ahrendts ตกลงที่จะแยกทางกัน

เพื่อทดแทนตำแหน่งดังกล่าว Cook จึงหันไปหา Deirdre O’Brien ซึ่งเป็นลูกหม้อเก่าของ Cook จากทีมสาย Operation มาอย่างยาวนาน

O’Brien เคยร่วมงานกับ Apple ในปี 1998 ตอนที่ Cook เพิ่มมาถึง และสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเองในฐานะสมาชิกคนสำคัญของทีม Operation ด้วยการคาดการณ์ความต้องการผลิตภัณฑ์ของ Apple ได้อย่างแม่นยำ และแทบจะมีนิสัยที่ตรงข้ามกับ Ahrendts เพราะเธอสนุกสนานไปกับเรื่องตัวเลขรวมถึงรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งเป็นผลพลอยได้ที่เธอผ่านการทำงานกับ Cook มาก่อนหน้านี้

Deirdre O'Brien ซึ่งเป็นลูกหม้อเก่าของ Cook จากทีมสาย Operation ที่เข้ามาแทนที่ Ahrantds (CR:Khaleej Times)
Deirdre O’Brien ซึ่งเป็นลูกหม้อเก่าของ Cook จากทีมสาย Operation ที่เข้ามาแทนที่ Ahrantds (CR:Khaleej Times)

ไม่นานหลังจากมีการการประกาศการจากลาของ Ahrendts ทางฝั่งของ Jimmy Iovine ผู้ก่อตั้ง Beats ที่ Apple ได้เข้าซื้อกิจการมาก็วางแผนที่จะแยกทางกับบริษัทเช่นเดียวกัน

Apple Music ที่เขาช่วยสร้าง มีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และคอนเทนต์จากฮอลลีวูและที่เขาผลักดันได้รับการพัฒนาโดยอดีตผู้บริหารของ Sony อย่าง Zack Van Amburg และ Jamie Erlicht

Iovine เริ่มรู้สึกว่า Apple มีขนาดใหญ่เกินไปและเป็นองค์กรแบบราชการเกินกว่าจะก้าวตามวัฒนธรรมแบบสมัยนิยมได้ และมันไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นห้าปีหลังจากการขาย Beats ให้กับ Apple มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ เขาจึงตัดสินใจที่จะเกษียณ

Eddy Cue ซึ่งเป็นผู้ดูแลด้านบริการของ Apple ได้เข้ามาทำหน้าที่แทน Iovine และในช่วงไม่กี่เดือนถัดมา ครีเอทีฟอาวุโสที่สุดของ Apple สองคนก็ได้ลาออกตามไป

Cook ได้ทำการยกเครื่องบอร์ดบริหารครั้งใหญ่ ดูเหมือนว่าเขากำลังสร้างบริษัทขึ้นมาใหม่อีกครั้งที่เขาสามารถควบคุมได้ทุกอย่างแบบเบ็ดเสร็จ ในสถานการณ์ที่วิกฤติเขาจึงต้องพึ่งพามือดีที่เป็นคนรู้ใจ เหล่าผู้บริหารที่มีวินัยและทักษะในสิ่งที่เขารู้ดีที่สุด นั่นก็คือ ผู้บริหารลูกหม้อเก่าจากฝ่าย Operation ที่เขาเคยกุมบังเหียนมาก่อน

กระเป๋านับพันล้าน

สำหรับ Cook แล้ว เขาได้เตรียมรับมือสิ่งเหล่านี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะวิกฤติที่เกิดขึ้นกับ iPhone ที่เป็นผลิตภัณฑ์ทำเงินหลักของบริษัท

Cook วางแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เขาตั้งใจสร้างสรรค์และจะกลายเป็นจุดหักเหที่สำคัญที่สุดของ Apple เลยก็ว่าได้

ที่ Apple Park ทาง Cook ได้เชิญเหล่าดารา เซเลบริตี้ชื่อดังในฮอลลีวูดมาที่สำนักงานใหญ่ของ Apple เพื่อแสดงสิ่งบางอย่าง

กลยุทธ์ส่วนหนึ่งเกิดจากความจำเป็น Cook ได้มองเห็นอนาคตที่ App Store ที่เคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำแหล่งทำเงินหลักในสินค้าด้านบริการกำลังจะสูญสิ้นไป

Apple ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากการเรียกเก็บเงิน 30 เปอร์เซ็นต์ที่เรียกเก็บจากเหล่านักพัฒนาเพื่อขายผลิตภัณฑ์ของตนเองให้กับผู้ใช้ iPhone

มีการร้องเรียนในรูปแบบเดียวกันจากเหล่าบริษัทเช่น Epic Games ผู้สร้าง Fortnite หรือ Spotify บริการ Music Streaming ชื่อดัง ที่มองว่า Apple กำลังผูกขาดผ่านนโยบายของ App Store

Cook รู้ดีว่าวิธีหนึ่งที่บริษัทจะปกป้องตัวเองได้คือการสร้างบริการเหล่านี้ของตัวเอง

แต่กลยุทธ์ดังกล่าวก็เรียกว่าท้าทาย Apple เป็นอย่างมาก เพราะจุดแข็งของ Apple คือการสร้างอุปกรณ์ที่น่าทึ่งด้วยซอฟต์แวร์ที่ผสานกันได้อย่างลงตัวมาโดยตลอดตั้งแต่ยุคของ Jobs

ส่วนประวัติความเป็นมาในธุรกิจด้านบริการนั้น ไล่มาตั้งแต่ iTunes ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามซึ่งได้เปลี่ยนโฉมวงการเพลง ส่วน Apple Maps กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า หรือ Siri ซึ่งเป็นบริการผู้ช่วยเสมือนจริงของ Apple ก็ล้าหลังคู่แข่งในด้านประสิทธิภาพ

ในกรณีที่ไม่มีอุปกรณ์ที่เปลี่ยนเกมตัวถัดไปอย่างที่พวกเขาเคยทำได้กับ iPhone , iPad หรือแม้กระทั่ง iPod ตัว Cook เองเลือกที่จะเดิมพันว่าเขาสามารถโน้มน้าวให้ลูกค้ายึดติดกับ iPhone โดยเชื่อมโยงเข้ากับบริการอย่าง Apple Music และบริการอื่น ๆ

ตามสูตรการนำเสนอของ Apple Cook ได้เปลี่ยนผู้ชมจากบริการหนึ่งไปอีกบริการหนึ่ง เขาเริ่มต้นด้วยการแนะนำ Apple News+ ซึ่งเป็นบริการที่มีค่าใช้จ่าย 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน

โดยสามารถเข้าถึงนิตยสารมากกว่า 300 ฉบับได้ไม่จำกัด รวมถึง Vogue , The New Yorker และ National Geographic

เขาเปิดตัวบัตรเครดิต Apple Card ซึ่งพัฒนาร่วมกับ Goldman Sachs และยังได้แนะนำ Apple Arcade ซึ่งเป็นบริการสมัครสมาชิกวีดีโอเกมรายเดือน

แต่ในขณะที่ Cook กำลังท่องบทอยู่บนเวที มันแทบไม่น่าตื่นเต้น ฝูงชนจากฮอลลีวูดเริ่มกระสับกระส่ายและเบื่อหน่าย ทั้ง นิตยสาร บัตรเครดิต และวีดีโอเกม มันแทบไม่เหมือนกับความคุ้นเคยที่พวกเขาเคยดู Steve Jobs เปิดตัวอุปกรณ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกมานานหลายปี

หรือการปิดท้ายด้วยบริการทีเด็ดที่ Cook หวังจะได้รับเสียงปรบมืออย่าง Apple TV+ ที่โม้ว่าจะมีเหล่านักแสดงชื่อดัง ผู้กำกับชื่อดังมาเข้าร่วมนั้นมันก็ไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนทำให้เหล่าฝูงชนผิดหวัง

แต่ความผิดหวังของผู้ชมไม่ได้หยุด Cook เพราะเขาได้ขึ้นมาบนเวทีอีกครั้งแล้วบอกว่ามีอีกเรื่องหนึ่ง (one more thing)

ทั้งห้องมืดลงเมื่อวีดีโอเริ่มเล่นพร้อมด้วยข้อความสีขาวบนหน้าจอสีดำ เมื่อแสงสว่างสาดส่องไปที่กลางเวที Oprah Winfrey ยืนอยู่บนเวทีในชุดเสื้อสีขาวและกางเกงสีดำ ฝูงชนต่างพากันลุกขึ้นยืน กรีดร้องและปรบมือกันอย่างหนัก

“โอเค” ในที่สุดเธอก็พูดออกมา “สวัสดี.” ฝูงชนหัวเราะขณะที่น้ำเสียงที่เป็นมิตรของเธอดังไปทั่วทั้งห้อง

“พวกเราทุกคนต่างโหยหาความสัมพันธ์” เธอกล่าว “เราค้นหาพื้นที่ร่วมกัน เราต้องการให้มีคนฟัง แต่เราก็ต้องฟัง เปิดกว้างและมีส่วนร่วมด้วยเช่นเดียวกัน”

เธอบอกว่านั่นคือเหตุผลที่เธอเซ็นสัญญาเป็นพิธีกรในรายการของ TV+ เพราะ Apple อนุญาตให้เธอทำสิ่งที่เธอทำมานานหลายปีในวิธีการแบบใหม่แทบจะทั้งหมด”

“เพราะว่า” – เธอยักไหล่และยกมือขึ้น จากนั้นเธอก็โน้มตัวไปข้างหน้าราวกับจะบอกความลับ – “พวกเขามีอุปกรณ์ (iPhone) ในกระเป๋าของผู้คนนับพันล้าน”

เมื่อเธอพูดจบ Cook ก็เดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมปรบมือ เขาโน้มตัวลงไปกอดเธอ “คุณนี่น่าทึ่งมาก” เขาพูดเบา ๆ

แขนของ Oprah โอบล้อมเอวของ Cook ขณะที่เขากำลังเช็ดน้ำตาจากหางตา นั่นทำให้เพื่อนร่วมงานของ Cook ประหลาดใจกับการแสดงออกทางอารมณ์ครั้งนี้ และต่างคิดว่าชายผู้มาจากเมืองเล็ก ๆ ในแอละบามาคงรู้สึกเอ่อล้นจากการที่เขามีส่วนในการชวน Oprah ให้มาเป็นคีย์หลักของรายการโทรทัศน์ที่พวกเขาต้องการนำเสนอต่อโลก

Oprah ที่ทำให้ Tim Cook ถึงกับต้องเสียน้ำตา (CR:Shacknews)
Oprah ที่ทำให้ Tim Cook ถึงกับต้องเสียน้ำตา (CR:Shacknews)

Oprah ยิ้มและหัวเราะ การนำพาความรู้สึกอันลึกซึ้งของผู้คนออกมาคือพลังพิเศษของเธอ และเธอก็ทำให้คนนับไม่ถ้วนร้องไห้ในอาชีพการงานของเธอ การที่เธอสามารถปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกของ CEO ที่ไม่ค่อยแสดงความคิดหรืออารมณ์ออกมายิ่งเสริมเสน่ห์ให้กับเธอมากยิ่งขึ้น

“ผมจะไม่มีวันลืมเรื่องนี้” Cook พูดพร้อมกับหัวเราะ และเช็ดน้ำตาอีกครั้ง “ขอโทษ” เขากล่าวกับฝูงชน

ข้างหลังเขามีภาพขาวดำของรูปถ่ายในคืนก่อนหน้านั้นซึ่งมีทีมงานของ Apple ทุกคนยกเว้น Cook

“คนกลุ่มนี้คือผู้ที่เรานับถือสำหรับเสียงที่ยิ่งใหญ่ ความคิดสร้างสรรค์อันน่ามหัศจรรย์และมุมมองที่หลากหลายอย่างยิ่ง” Cook กล่าว “พวกเขามีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและสังคมของเรา และเราตื่นเต้นมาก” เสียงของเขาสั่นเครือ และเขาหยุดพูดชั่วขณะ

“ผมรู้สึกได้รับเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับพวกเขา” Cook กล่าว

ในขณะที่ฝูงชนเริ่มออกจากงาน บางคนรู้สึกสับสน คนจากฮอลลีวูดต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนรายการทีวี คนในโลกการเงินต่างตะเกียกตะกายเพื่อเพื่อค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตรเครดิต อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอปข่าว แต่ละกลุ่มถูกบดบังด้วยทัศนคติแคบ ๆ ของตนเอง กระบวนการปฏิวัติครั้งนี้จึงแทบจะผ่านไปโดยแทบไม่มีใครสังเกต

หลังจากถูกถามคำถามเดิม ๆ นานนับปีว่า อุปกรณ์ใหม่ตัวถัดไปคืออะไร? – ในที่สุด Cook ก็ได้คำตอบแล้วว่า “ไม่มีเลย”

ข้อความของเขาต้องการสื่อสารไปยัง Wall Street ว่าเขาต้องการให้นักลงทุนเห็นว่า Apple กำลังทำการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

แทนที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียง Cook วาดภาพอนาคตที่ Apple จะเฉิดฉายในรัศมีของผู้อื่นแทน

เขาไม่ต้องการเพียงแค่อัปเดท iPhone ทุกปีเท่านั้น เขาต้องการให้ผู้คนจ่ายค่าสมัครสมาชิก Apple สำหรับภาพยนตร์ที่พวกเขาดูบน iPhone

เขาไม่ต้องการเพียงแค่อำนวยความสะดวกในการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัล เขาต้องการให้ Apple เป็นผู้ประมวลผลทุกธุรกรรม และเขาไม่ต้องการให้ Apple เป็นเพียงหน้าจอที่ผู้คนอ่านบทความ เขาต้องการขายสิทธิ์ในการเข้าถึงนิตยสารที่พวกเขาอ่าน

Cook มองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากธุรกิจเหล่านี้มาหลายปีแล้ว เขาเพียงแค่วางแผนที่จะไปถึงจุดนั้น โดยเริ่มจากการซื้อ Beats ในปี 2014 ชักชวนตัวแทนและผู้กำกับจากฮอลลีวูดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและสร้างพันธมิตรที่แน่นแฟ้นกับ Goldman Sachs

Cook มองเห็นทุกสิ่งเหล่านี้ที่จะช่วยให้ Apple หลุดพ้นจากวงจรการขายฮาร์ดแวร์ที่เหมือนจะดูเหนื่อยล้าเต็มที แล้วก้าวเข้าสู่โลกของธุรกิจบริการที่มีโอกาสเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

และสุดท้ายเมื่อ Wall Street เริ่ม Get กับกลยุทธ์ดังกล่าวนี้ ราคาหุ้นของ Apple ก็พุ่งทะยาน แทบจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในสิ้นปี บริษัทที่เคยเป็นที่รักของมหาชนได้กลายมาเป็นที่รักของ Wall Street มันเป็นชัยชนะของ Tim Cook อย่างสมบูรณ์แบบ

References :
หนังสือ After Steve: How Apple Became a Trillion-Dollar Company and Lost Its Soul โดย Tripp Mickle
https://www.cnet.com/tech/services-and-software/oprah-brings-apple-ceo-tim-cook-to-tears/
https://www.cnbc.com/2019/03/26/oprah-had-best-explanation-for-what-apples-tv-event-was-really-about.html