25 ปีแห่งความภักดี VS 1 วินาทีของอัลกอริทึม เมื่อ Microsoft ใช้คอมพิวเตอร์อัลกอริทึมตัดสินว่าใครควรออก

เคยคิดไหมว่าวันหนึ่งคอมพิวเตอร์จะมาตัดสินชะตากรรมชีวิตการทำงานของเรา? เรื่องราวในบทความนี้อาจทำให้เราต้องคิดทบทวนความเชื่อเรื่องความภักดีต่อบริษัทใหม่

ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2025 วงการเทคโนโลยีได้รับข่าวใหญ่จาก Microsoft ยักษ์ใหญ่ซอฟต์แวร์ที่หลายคนเทิดทูน ประกาศการปลดพนักงานครั้งใหญ่

Microsoft ปลดพนักงานไป 6,000 คน หรือประมาณ 3% ของพนักงานทั่วโลก บริษัทให้เหตุผลแบบเป็นทางการ “เราดำเนินการปรับเปลี่ยนองค์กรอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บริษัทมีตำแหน่งที่ดีที่สุดในการแข่งขัน”

การปลดงานครั้งนี้เป็นรอบที่ใหญ่ที่สุดของ Microsoft นับตั้งแต่ปี 2023 ที่บริษัทปลดพนักงานออกไป 10,000 คน

ที่น่าสนใจคือครั้งนี้เป็นรอบที่สองในปี 2025 แล้ว ก่อนหน้านี้บริษัทเพิ่งปลดพนักงานไปประมาณ 1% ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา

สิ่งที่น่าสนใจของการปลดพนักงานในรอบนี้ก็คือ มันกระจายไปทุกระดับ ทุกทีม ทุกพื้นที่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการระดับสูงหรือพนักงานทั่วไป

วิศวกรซอฟต์แวร์กลายเป็นเป้าหมายหลัก ถูกปลดออกไปมากกว่า 2,000 ตำแหน่งในรัฐ Washington เพียงแห่งเดียว

บริษัทอ้างว่าเป็นการ “กำจัดชั้นการจัดการที่ไม่จำเป็น” และปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อเร่งโครงการ AI แต่พอดูตัวเลขผลกำไรแล้วทุกคนต่างสงสัยกับการตัดสินใจครั้งนี้ของ Microsoft

Microsoft เพิ่งรายงานผลกำไรที่ดีมาก ๆ ในไตรมาสแรกของปี 2025 เกินคาดการณ์ด้วย แล้วทำไมต้องปลดคนล่ะ?

ในบรรดาเรื่องราวที่เกิดขึ้น มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้คนทั้งโลกต้องอึ้ง นั่นคือเรื่องของพนักงาน Microsoft คนหนึ่งที่ทำงานมา 25 ปีเต็ม

ลองคิดดู 25 ปี มันคือเกือบครึ่งชีวิตของคนเราแล้ว แต่เขาถูกปลดงานด้วยเหตุผลที่โครตไร้สาระ “ถูกเลือกแบบสุ่มโดยอัลกอริทึมคอมพิวเตอร์”

ภรรยาของเขาเล่าเรื่องนี้บน Reddit ด้วยความระทมทุกข์ เธอบอกว่าสามีของเธอได้รับการบอกกล่าวเรื่องการปลดงานเพียงไม่กี่วันก่อนวันเกิดปีที่ 48

ที่โหดที่สุดคือวันสุดท้ายของเขาในที่ทำงานคือวันเกิดของเขาเองพอดี เป็นของขวัญวันเกิดที่เจ็บปวดที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

เขาเป็นคนออทิสติกและป่วยเป็นโรค Multiple Sclerosis แต่แทบไม่เคยลาป่วยเลย เขาทำงานกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยไม่เคยบ่น เขาเป็นคนที่รับเวรในช่วงวันหยุด Christmas และ Thanksgiving เพื่อให้เพื่อนร่วมงานที่มีลูกได้กลับบ้าน

ภรรยาของเขาเล่าต่อว่า “เขาไม่เคยขาดงานสักวัน แทบไม่เคยโทรเพื่อลาป่วย และถ้าเขาป่วยจริงๆ เขาก็จะทำงานจากบ้าน เขาไม่เคยขอขึ้นเงินเดือนหรือเลื่อนตำแหน่ง”

“เขาแค่มาทำงานต่อไปและแก้ปัญหาที่แก้ไม่ได้” คำพูดนี้ทำให้เราเห็นภาพของคนที่ทุ่มเทให้กับงานอย่างแท้จริง

และสิ่งที่น่าตลกก็คือเขาเพิ่งได้รับรางวัลคริสตัลสำหรับการทำงาน 25 ปีเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ได้รับรางวัลแล้วก็ถูกไล่ออก

เขาเคยได้รับรางวัลสำหรับการแก้ไขปัญหาเทคนิคที่มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ แต่อัลกอริทึมไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยด้วยซ้ำ

เขายังเป็นพี่เลี้ยงให้กับเพื่อนร่วมงานหลายร้อยคน หลายคนในจำนวนนั้นได้เลื่อนขั้นไปเป็นผู้บริหาร แต่สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่มีความหมายอะไรต่ออัลกอริทึม

เหตุการณ์คล้ายๆ กันยังเกิดขึ้นกับ Gabriela de Queiroz ผู้อำนวยการฝ่าย AI สำหรับ Microsoft for Startups ที่ถูกปลดงานในรอบเดียวกัน

เธอถูกปลดจากตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับ AI ในช่วงเวลาที่ Microsoft กำลังลงทุนอย่างบ้าคลั่งใน AI

Gabriela เขียนบน X ว่า “ฉันได้รับผลกระทบจากการปลดงานรอบล่าสุดของ Microsoft เศร้าใจไหม แน่นอน ฉันใจสลายที่เห็นคนเก่งมากมายที่ฉันมีเกียรติได้ร่วมงานด้วยถูกปลด”

“เหล่านี้คือคนที่ใส่ใจอย่างลึกซึ้ง ทำเกินกว่าที่คาดหวัง และสร้างความแตกต่างอย่างแท้จริง” คำพูดของเธอสะท้อนความรู้สึกของคนที่เหมือนกำลังถูกแทงข้างหลัง แม้ว่าเธอจะถูกขอให้หยุดงาน แต่เธอยังคงเข้าร่วมประชุมและทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ

“ฉันเลือกที่จะอยู่อีกสักหน่อย เข้าร่วมประชุม ทำงานที่ทำได้ให้เสร็จ” เธอกล่าว

เหตุการณ์ครั้งนี้ได้กระตุ้นให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และการถกเถียงอย่างมากในโลกออนไลน์ ผู้คนเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้อัลกอริทึมในการตัดสินใจเรื่องการปลดงาน

ผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายคนแสดงความคิดเห็นว่า “นี่คือเหตุผลที่ไม่มีใครควรภักดีต่อนายจ้าง” คำพูดที่ฟังแล้วเจ็บปวดแต่เป็นความจริง

อีกคนแสดงความสงสัยว่า “น่าสนใจที่จะรู้ว่ามีกี่คนที่ถูกเลือกโดยอัลกอริทึมนี้ที่อายุเกิน 40 และ/หรือมีปัญหาสุขภาพที่มีค่าใช้จ่ายสูง”

ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลเริ่มเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีการกำกับดูแลจากมนุษย์ในกระบวนการตัดสินใจเรื่องการปลดงาน

พวกเขาระบุว่าแม้อัลกอริทึมจะเจ๋งในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก แต่ไม่ควรเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในเรื่องการปลดงาน การขาดความเป็นมนุษย์มันดูไม่ make sense สำหรับเรื่องใหญ่ ๆ อย่างเช่นการปลดพนักงาน

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา CEO Satya Nadella เปิดเผยว่า AI ตอนนี้เขียนโค้ดได้ถึง 30% ในโครงการบางโครงการ ตัวเลขที่ฟังแล้วเจ๋งแต่ก็น่ากลัวในเวลาเดียวกัน รองประธานคนหนึ่งยังเรียกร้องให้ทีมต่างๆ เพิ่มโค้ดที่สร้างโดย AI จาก 20-30% เป็น 50%

บริษัทได้ลงทุนประมาณ 80 พันล้านดอลลาร์ในการสร้างศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ต้องลดค่าใช้จ่ายในด้านเงินเดือนพนักงาน

แต่เรื่องที่ conflict กันก็คือ Microsoft ปลดพนักงานในขณะที่ยังคงรับสมัครและจ้างพนักงานใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อขายผลิตภัณฑ์ AI ใหม่ๆ

ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ Microsoft เท่านั้น แต่ยังลามไปทั่ววงการเทคโนโลยี

ตามข้อมูลจาก Layoffs .fyi มีพนักงานเทคโนโลยีมากกว่า 53,000 คนถูกปลดงานจาก 126 บริษัทในปี 2025 เมื่อเทียบกับ 153,000 คนจาก 551 บริษัทในปี 2024

ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเทคโนโลยี ที่บริษัทต่างๆ พยายามปรับตัวเข้ากับยุคของ AI

เหตุการณ์นี้ได้เผยให้เห็นความท้าทายใหม่ในยุคดิจิทัล ที่ความภักดีและการทุ่มเทไม่ใช่การประกันความมั่นคงในอาชีพการงานอีกต่อไป

การที่อัลกอริทึมสามารถตัดสินใจได้ว่าใครควรอยู่หรือไปโดยไม่คำนึงถึงประสบการณ์ ความสามารถ หรือความทุ่มเทของแต่ละบุคคล ทำให้เกิดคำถามกับความเชื่อเดิม ๆ

มันทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับจริยธรรมและความเป็นมนุษย์ในการบริหารงาน เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่การตัดสินใจของมนุษย์

นักวิชาการและนักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการทบทวนนโยบายการใช้ AI ในการตัดสินใจด้านทรัพยากรบุคคล

Gabriela de Queiroz ได้ส่งข้อความให้กำลังใจแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยกล่าวว่า “สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน คุณไม่ได้อยู่คนเดียว มีพวกเราอีกอย่างน้อย 6,000 คน”

ภรรยาของพนักงานที่ถูกปลดงานได้ปิดท้ายโพสต์ของเธอด้วยข้อความที่เจ็บปวดรวดร้าว “ฉันไม่ต้องการความสงสาร ฉันแค่ต้องการให้ใครสักคนรู้ว่าโลกนี้ทำอะไรกับคนที่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่มัน”

เรื่องราวนี้ทำให้เราได้เห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงในโลกของการทำงาน ที่ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างไม่ใช่สิ่งที่มั่นคงอีกต่อไป

ที่สำคัญคือการที่เทคโนโลยีที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยมนุษย์กลับกลายเป็นเครื่องมือที่อาจทำลายความเป็นมนุษย์ของเราเอง

นี่คือบทเรียนที่เราทุกคนควรจดจำ ในยุคที่ AI และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวัน เราต้องไม่ลืมว่าเบื้องหลังตัวเลขและอัลกอริทึมทั้งหลาย มีมนุษย์คนหนึ่งที่มีความรู้สึก มีครอบครัว และมีความฝันอยู่

การสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพของเทคโนโลยีกับความเป็นมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่เราต้องฝ่าฝันต่อสู้ในอนาคต ไม่ให้เทคโนโลยีมาขีดชะตาชีวิตของเราแบบไร้เหตุผล

References : [cnbc, apnews, geekwire, theregister, axios]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube