เคยสงสัยไหมครับ ว่าวัตถุขนาดเล็กที่เรียกว่า “พระเครื่อง” ซึ่งคนไทยจำนวนมากมีไว้ในครอบครอง ทำไมบางองค์ถึงมีมูลค่าสูงกว่า Supercar ราคาหลายสิบล้านบาทเสียอีก
อะไรคือกลไกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการตีมูลค่าของวัตถุแห่งศรัทธาเหล่านี้ จากพระราคาหลักร้อยที่พบเห็นได้ทั่วไป สู่ของสะสมหายากที่มีราคาซื้อขายกันในระดับบ้านและที่ดิน
และในยุคที่เทคโนโลยีอย่าง AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกในทุกมิติ วงการที่ดูเหมือนจะอยู่นอกเหนือกาลเวลาและขับเคลื่อนด้วยสายตาของคนเพียงไม่กี่กลุ่ม กำลังจะเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์
นี่คือเรื่องราวของ “วงการพระเครื่อง” ระบบนิเวศทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมมูลค่ามหาศาล ที่กำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญระหว่างขนบธรรมเนียมดั้งเดิม กับคลื่นแห่งเทคโนโลยีที่กำลังจะซัดเข้ามา
หากเรามองย้อนกลับไป จุดเริ่มต้นของพระเครื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของเงินทอง แต่เป็นเรื่องของความศรัทธาโดยแท้ พระเครื่องถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ หรือเป็นอนุสรณ์ในการสืบทอดพระพุทธศาสนา
แต่เมื่อกาลเวลาผันผ่าน ความเชื่อในเรื่องของ “พุทธคุณ” หรือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในองค์พระ ก็ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ จนกลายเป็นหัวใจที่คอยหล่อเลี้ยงให้วงการนี้เติบโตและขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง
ความเชื่อนี้ได้ก่อให้เกิดระบบนิเวศขนาดใหญ่ ที่มีผู้เล่นหลากหลายกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่นักสะสมที่เก็บพระด้วยใจรัก ไปจนถึงนักลงทุนที่มองพระเครื่องเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่ไม่ต่างจากทองคำหรืองานศิลปะ
แต่บุคคลที่สำคัญที่สุด ซึ่งเปรียบเสมือนผู้คุมกฎและเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมด ก็คือกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า “เซียนพระ”
เซียนพระ คือผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับนับถือในวงการ ว่ามีสายตาและประสบการณ์ที่เฉียบคม สามารถแยกแยะได้ว่าพระองค์ไหนคือ “พระแท้” ที่สร้างขึ้นในยุคสมัยนั้นจริงๆ และองค์ไหนคือ “พระเก๊” ที่ทำขึ้นมาเพื่อลอกเลียนแบบ
ในโลกที่ไม่มีมาตรฐานกลาง ไม่มีเครื่องมือชี้วัดที่ชัดเจน สายตาและคำตัดสินของเซียนพระ จึงมีสถานะไม่ต่างจากกฎหมายสูงสุด
คำพูดของเซียนพระเพียงไม่กี่คำ สามารถเปลี่ยนพระดินเผาที่ดูธรรมดา ให้กลายเป็นของล้ำค่าราคานับล้านได้ในชั่วข้ามคืน และในทางกลับกัน ก็สามารถทำให้พระที่มีคนเชื่อว่าเป็นของแท้ กลายเป็นของที่ไร้ค่าไปเลยทันที
มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับ ในเมื่อมูลค่ามหาศาลของพระเครื่อง ถูกแขวนไว้บนเส้นด้ายแห่งการตัดสินว่า “แท้” หรือ “เก๊” คำถามสำคัญที่ตามมาก็คือ แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าการตัดสินจากสายตาของมนุษย์นั้นถูกต้องเสมอ?
นี่คือความขัดแย้งที่อยู่ใจกลางวงการนี้มาเนิ่นนาน เป็นเกมการแข่งขันที่วัดกันระหว่างฝีมือของคนทำพระปลอม กับสายตาและประสบการณ์ของคนดูพระแท้
เมื่อเดิมพันสูงถึงระดับนี้ การตรวจสอบพระจึงไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ทำได้ แต่มันคือศาสตร์และศิลป์ที่ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์
ความรู้เหล่านี้เคยถูกส่งต่อกันแบบปากต่อปาก จากรุ่นสู่รุ่นในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ กลายเป็นองค์ความรู้ที่จับต้องได้ยาก และมีเพียงคนในวงการเท่านั้นที่จะเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง
หัวใจหลักของการตรวจสอบแบบดั้งเดิมนี้ มีองค์ประกอบสำคัญ 4 อย่างที่เซียนพระทุกคนต้องจดจำให้ขึ้นใจ เริ่มจาก “ทรงพิมพ์” ซึ่งก็คือรูปลักษณ์และรายละเอียดโดยรวมขององค์พระ
หลักการพื้นฐานคือ พระที่สร้างจากแม่พิมพ์เดียวกัน ก็ควรจะมีหน้าตาและสัดส่วนเหมือนกันทุกประการ พระเก๊ที่เกิดจากการถอดพิมพ์ มักจะมีความตื้นเขินหรือมีรายละเอียดบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไป
ต่อมาคือ “เนื้อหา” หรือมวลสารที่ใช้สร้างพระ ซึ่งมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปในแต่ละสำนักและยุคสมัย เซียนพระที่ชำนาญจะจดจำได้ว่าเนื้อพระรุ่นนี้ต้องมีส่วนผสมอะไรบ้าง หรือมีลักษณะทางกายภาพเป็นอย่างไร
องค์ประกอบที่สามคือ “ตำหนิ” ซึ่งเป็นร่องรอยเล็กๆ ที่เกิดขึ้นบนแม่พิมพ์โดยไม่ได้ตั้งใจ และมันจะปรากฏอยู่บนพระทุกองค์ที่ออกมาจากแม่พิมพ์นั้นๆ เปรียบเสมือนรหัสลับที่คนทำพระเก๊มักจะมองข้ามไป
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นสิ่งที่ปลอมแปลงได้ยากที่สุด คือองค์ประกอบสุดท้ายที่เรียกว่า “ธรรมชาติความเก่า”
เฉกเช่นเดียวกับวัตถุโบราณอื่นๆ พระเครื่องที่มีอายุหลายสิบหรือหลายร้อยปี จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพไปตามกาลเวลาอย่างเป็นธรรมชาติ
พระเนื้อดินจะมีความแห้งและความหดตัว พระเนื้อโลหะจะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น หรือเกิดสนิมในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่ง “ความเก่า” ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินี่เอง คือไม้ตายที่เซียนพระใช้ในการตัดสินชี้ขาด
นี่คือทักษะที่น่าทึ่งและต้องอาศัยประสบการณ์อย่างสูง แต่ในขณะเดียวกัน ระบบที่พึ่งพาสายตาของมนุษย์เพียงอย่างเดียว ก็ย่อมมีช่องโหว่และความเป็นอัตวิสัยซ่อนอยู่
ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ และที่สำคัญคือ คนทำพระเก๊ในปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีและฝีมือที่สูงขึ้นมาก จนสามารถสร้างพระเก๊ฝีมือเฉียบที่หลอกสายตาผู้เชี่ยวชาญเก่งๆ ได้เช่นกัน
และนั่นคือจุดที่ “วิทยาศาสตร์” เริ่มก้าวเข้ามามีบทบาท เพื่อท้าทายขนบธรรมเนียมที่เคยเป็นมา
วงการพระเครื่องที่ดูเหมือนจะขับเคลื่อนด้วยความเชื่อเป็นหลัก เริ่มถูกสั่นคลอนด้วยเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีมาก่อน อุปกรณ์ชิ้นแรกๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนเกมก็คือ “กล้องจุลทรรศน์” กำลังขยายสูง
มันช่วยให้เซียนพระยุคใหม่มองเห็นรายละเอียดของ “ธรรมชาติความเก่า” ได้ลึกซึ้งกว่าที่ตาเปล่าเคยเห็นนับร้อยเท่า ทำให้การตรวจสอบมีความแม่นยำและเป็นรูปธรรมมากขึ้น
แต่เทคโนโลยีที่สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างแท้จริง และอาจจะเปลี่ยนโฉมหน้าของวงการไปตลอดกาล คือเครื่องมือที่เรียกว่า XRF หรือ X-ray Fluorescence
อาจจะเรียกสิ่งนี้ว่าเครื่องตรวจ DNA ของพระเครื่องก็ได้ โดยเฉพาะพระที่สร้างจากโลหะ เครื่อง XRF สามารถวิเคราะห์ส่วนประกอบของธาตุในองค์พระได้อย่างแม่นยำ ว่ามีทองแดงกี่เปอร์เซ็นต์ สังกะสีกี่เปอร์เซ็นต์
ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์เหล่านี้ สามารถใช้เปรียบเทียบกับสูตรเนื้อโลหะมาตรฐานของพระรุ่นนั้นๆ ที่เคยมีการบันทึกไว้ได้เลย ถ้าส่วนผสมไม่ตรง ก็แทบจะสรุปได้ทันที โดยไม่ต้องถกเถียงกันด้วยสายตาอีกต่อไป
พร้อมกันนั้น ก็เกิดระบบ “การออกใบรับรอง” โดยสมาคมหรือองค์กรกลางขึ้นมา เพื่อสร้างมาตรฐานและความน่าเชื่อถือให้ตลาด พระจะถูกตรวจสอบโดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญหลายคน ไม่ใช่แค่คนเดียว
จะเห็นได้ว่า สงครามระหว่าง “ศิลป์” ในการใช้สายตาแบบดั้งเดิม กับ “ศาสตร์” ของเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
แต่คำถามที่น่าสนใจและท้าทายกว่านั้นก็คือ… แล้วถ้าเราจะก้าวไปให้ไกลกว่านั้นอีกขั้นล่ะ?
ในยุคที่ AI สามารถทำในสิ่งที่เคยเป็นไปไม่ได้มากมาย ทำไมเรายังต้องพึ่งพาสายตามนุษย์ในการตัดสินมูลค่าของวัตถุเหล่านี้อยู่อีก
ลองจินตนาการถึงโลกในอนาคตอันใกล้ ที่มีการสร้าง “สุดยอดฐานข้อมูลพระเครื่อง” ขึ้นมา โดยการนำพระแทต้องค์ครูทุกรุ่นทุกพิมพ์ มาสแกนด้วยเครื่องสแกน 3 มิติ ควบคู่ไปกับการเก็บข้อมูลมวลสารด้วยเครื่อง XRF
เมื่อเรามี “ลายนิ้วมือดิจิทัล” ของพระแท้ทุกองค์เก็บไว้ในระบบแล้ว เราก็สามารถป้อนข้อมูลมหาศาลเหล่านี้ให้กับ AI ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
AI จะเรียนรู้ทุกแง่มุมของพระแท้ ทั้งทรงพิมพ์ที่สมบูรณ์แบบ ตำแหน่งตำหนิที่ถูกต้อง ไปจนถึงสูตรเนื้อโลหะที่เป็นมาตรฐาน ในระดับที่ละเอียดกว่าที่มนุษย์จะจดจำได้ทั้งหมด
เมื่อมีคนนำพระมาตรวจสอบ ก็เพียงแค่นำพระองค์นั้นเข้าเครื่องสแกน AI ก็จะเปรียบเทียบข้อมูลทั้งหมดกับฐานข้อมูล แล้วประมวลผลออกมาเป็นความน่าจะเป็น ว่าพระองค์นี้มีโอกาสเป็นของแท้หรือไม่
นี่คือสิ่งที่จะเข้ามาแก้ปัญหาใหญ่ที่สุดของวงการ นั่นคือการลดทอนการตัดสินจากความรู้สึกส่วนตัวออกไป เหลือไว้แต่ข้อมูลและความจริงที่พิสูจน์ได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีปราการด่านสุดท้ายที่แข็งแกร่งที่สุด ที่ AI ยังต้องพยายามก้าวข้ามให้ได้ นั่นก็คือการเรียนรู้ “ศิลปะ” ของ “ธรรมชาติความเก่า”
อย่างที่กล่าวไปว่าความเก่าที่เกิดขึ้นตามกาลเวลามันไม่มีรูปแบบที่ตายตัว การจะสอนให้ AI เข้าใจและแยกแยะความแตกต่างที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ได้ คือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน
ดังนั้น หากถามว่าในอนาคต เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทชี้ขาดได้หรือไม่ คำตอบก็คือ “ใช่… แต่ไม่ใช่การแทนที่แบบสมบูรณ์”
เทคโนโลยีและ AI จะเข้ามาทำหน้าที่ในส่วนของ “การตรวจสอบ” หรือ Authentication ได้อย่างสมบูรณ์แบบและแม่นยำกว่ามนุษย์ จนกลายเป็นเครื่องมือมาตรฐานที่ทุกคนต้องใช้
แต่บทบาทของ “เซียนพระ” จะไม่หายไปไหน เพียงแต่มันจะวิวัฒนาการไปอีกระดับหนึ่ง จากเดิมที่เป็น “ผู้ตรวจสอบ” พวกเขาจะกลายเป็น “ผู้ตีความข้อมูล” และ “ผู้ประเมินคุณค่า” ในเชิงลึก
AI บอกได้ว่าพระองค์นี้ “แท้” แต่ AI บอกไม่ได้ว่าพระองค์นี้ “สวย” แค่ไหน มีเสน่ห์ทางศิลปะอย่างไร และมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเบื้องหลังอย่างไรบ้าง
หน้าที่ในการประเมินคุณค่าเชิงสุนทรียะ และการให้คำปรึกษาในเชิงลึก ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยประสบการณ์และมุมมองของมนุษย์อยู่
และอาจจะมีเทคโนโลยีอย่าง Blockchain เข้ามาเติมเต็มภาพนี้ให้สมบูรณ์ โดยใช้สร้างใบรับรองดิจิทัลที่ปลอมแปลงไม่ได้ และบันทึกประวัติการเปลี่ยนมือของพระแต่ละองค์ได้อย่างโปร่งใส
สุดท้ายแล้ว โลกของวงการพระเครื่องในอนาคต จะเป็นโลกที่ความศรัทธาและความเชื่อมั่น ถูกวางอยู่บนรากฐานของข้อมูลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้
มันอาจจะลดทอนความขลังหรือมนต์เสน่ห์บางอย่างลงไป แต่ในขณะเดียวกัน มันก็จะเปิดประตูให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้ามาศึกษาและสะสมได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
และนี่ก็คือเรื่องราวการเดินทางของวงการพระเครื่อง จากตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยศรัทธาและสายตา สู่ยุคใหม่ที่วิทยาศาสตร์และ AI กำลังจะเข้ามาสร้างมาตรฐานและความจริงในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ซึ่งมันก็ได้พิสูจน์ให้เราเห็นอีกครั้งว่า ไม่ว่าจะเป็นวงการไหนก็ตาม สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถต้านทานกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ไปได้..
References : [samakomphra,thaprachan,matichon,khaosod]