Geek Story EP492 : หายนะ Exynos! ทำไมชิป Samsung ถึงแพ้ราบคาบ จนต้องยุบทีมทิ้ง

เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung ถึงยอมทุ่มเททรัพยากรมหาศาล พัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองนานหลายปี แต่สุดท้ายกลับต้องยอมพับโครงการนั้นทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย

นี่คือเรื่องราวของ “Mongoose” โครงการลับสุดทะเยอทะยานของ Samsung ที่จะสร้าง CPU หรือสมองของสมาร์ทโฟนขึ้นมาเอง เพื่อโค่นล้มบัลลังก์ของ Apple และ Qualcomm แต่เรื่องราวกลับไม่จบลงอย่างที่คิด และกลายเป็นบทเรียนราคาแพงที่สั่นสะเทือนวงการเทคโนโลยี

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/murcesvc

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yeyrr7bs

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/442m7zhe

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/oGaUXNPrL4U

กำเนิดใหม่ Philips ตำนาน 130 ปี ที่เกือบไม่ได้ไปต่อ… จากหลอดไฟสู่ความหวังใหม่ของวงการแพทย์

ถ้าพูดถึงชื่อ Philips คนไทยส่วนใหญ่น่าจะนึกถึงภาพของหลอดไฟ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่คุ้นเคยกันมานานหลายสิบปี

แต่ใครจะรู้ว่าวันนี้ Philips ที่เรารู้จักได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิง จากยักษ์ใหญ่ในโลกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค กลายมาเป็นบริษัทเทคโนโลยีทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพระดับแถวหน้าของโลก

นี่คือเรื่องราวการเดินทางอันน่าทึ่งของบริษัทที่มีอายุกว่า 130 ปี ที่ไม่ยอมจำนนต่อคลื่นลมแห่งการเปลี่ยนแปลง แต่กลับลุกขึ้นมาผ่าตัดองค์กรครั้งใหญ่ เพื่อก้าวต่อไปในอนาคตได้อย่างมั่นคง

จุดเริ่มต้นของตำนานนี้ต้องย้อนกลับไปไกลถึงปี 1891 ณ เมือง Eindhoven ประเทศเนเธอร์แลนด์

สองพี่น้องตระกูล Philips คือ Gerard Philips และ Anton Philips ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทเล็ก ๆ เพื่อผลิตหลอดไฟ โดยมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เกินตัว นั่นคือการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน

หลายคนอาจจะเคยเรียนมาว่า Thomas Edison คือผู้คิดค้นหลอดไฟสำเร็จเป็นคนแรกในปี 1879 แล้วสองพี่น้องชาวดัตช์คู่นี้เข้ามาสร้างความแตกต่างได้อย่างไร?

คำตอบคือ “การผลิตในระดับอุตสาหกรรม”

ในขณะที่หลอดไฟยุคแรกของ Edison ใช้ไส้หลอดที่ทำจากไม้ไผ่ ซึ่งผลิตได้ช้าและมีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ วิศวกรของ Philips ได้ค้นพบวิธีใหม่ที่เหนือกว่า

พวกเขาใช้ “ฝ้าย” มาละลายในสารละลายชนิดพิเศษ แล้วรีดออกมาเป็นเส้นใยที่มีคุณภาพสูงกว่า ทนทานกว่า และที่สำคัญคือสามารถผลิตได้รวดเร็วกว่ามหาศาล

นวัตกรรมเล็ก ๆ นี้เองที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ มันทำให้ Philips สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้มากกว่า 10 เท่าภายในเวลาเพียงทศวรรษเดียว

ในยุคนั้นอาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นไฟถนนในยุโรป ไปจนถึงแสงสว่างในพระราชวังของรัสเซีย ล้วนมาจากหลอดไฟของ Philips ทั้งสิ้น

เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น พวกเขาก็เริ่มนำความเชี่ยวชาญด้านหลอดไฟและหลอดสุญญากาศ ไปต่อยอดสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนโลก

ในปี 1927 Philips ได้เปิดตัววิทยุเครื่องแรก ซึ่งใช้เทคโนโลยีหลอดวิทยุที่เป็นญาติสนิทกับหลอดไฟ ตามมาด้วยการพัฒนาหลอด X-ray สำหรับวงการแพทย์

จากผู้ผลิตหลอดไฟรายเล็ก ๆ ในวันนั้น Philips ได้ค่อย ๆ ขยายอาณาจักร จนกลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีไฟฟ้าระดับโลก

ตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 นวัตกรรมจาก Philips ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก ตั้งแต่วิทยุ โทรทัศน์ เครื่องเล่นเทปคาสเซต ไปจนถึงเครื่องโกนหนวดและอุปกรณ์ในครัว

ความสำเร็จของ Philips ในยุคนั้น เกิดจากความสามารถในการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างลงตัว

แต่แล้ว เมื่อโลกหมุนเข้าสู่ยุคดิจิทัลในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 บัลลังก์ของ Philips ก็เริ่มสั่นคลอน

บริษัทที่เคยเป็น “ผู้นำ” ด้านนวัตกรรม กลับกลายเป็น “ผู้ตาม” ในหลายสมรภูมิ การแข่งขันที่ดุเดือดจากคู่แข่งสายเลือดใหม่ในเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของ Philips ลดลงอย่างน่าใจหาย

ปัญหาใหญ่ที่สุดของ Philips ในช่วงเวลานั้นคือ “การขาดโฟกัส”

อาณาจักรของพวกเขายิ่งใหญ่และแผ่กิ่งก้านสาขามากเกินไป มีผลิตภัณฑ์ตั้งแต่หลอดไฟ, เครื่องเสียง, โทรทัศน์ ไปจนถึงชิปคอมพิวเตอร์ ทำให้ไม่สามารถทุ่มเททรัพยากรเพื่อแข่งขันในแต่ละตลาดได้อย่างเต็มที่

ประกอบกับโครงสร้างองค์กรที่ใหญ่โตและอุ้ยอ้าย ทำให้การตัดสินใจล่าช้า ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของตลาด

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือหายนะทางการเงิน

ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ถึงต้นทศวรรษ 2000 บริษัทต้องเผชิญกับการขาดทุนอย่างหนัก คิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

Philips จำเป็นต้องปิดโรงงานหลายแห่ง และปลดพนักงานออกเป็นจำนวนมาก สถานการณ์ในตอนนั้นเลวร้ายถึงขนาดที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ตำนานกว่าร้อยปีของ Philips อาจจะต้องปิดฉากลงในไม่ช้า

แต่ในทุกวิกฤต ย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ

ผู้บริหารของ Philips ตระหนักดีว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องทำการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ หากยังคงยึดติดกับความสำเร็จในอดีต ก็มีแต่จะจมลงไปพร้อมกับเรือที่กำลังจะล่ม

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญมาถึงในปี 2011 เมื่อ Frans van Houten ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็น CEO คนใหม่

เขามองเห็นโอกาสในธุรกิจที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง นั่นคือ “การดูแลสุขภาพ” หรือ HealthTech

Van Houten เล็งเห็นว่ากระแสโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป ประชากรโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และผู้คนเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เพิ่มมากขึ้น

แนวโน้มเหล่านี้จะสร้างความต้องการด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์และบริการสุขภาพอย่างมหาศาลในอนาคต

การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ของ van Houten คือการ “เลือก” ที่จะโฟกัส เขาประกาศแยกธุรกิจของ Philips ออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ ธุรกิจแสงสว่างดั้งเดิม และธุรกิจใหม่ด้านการดูแลสุขภาพ

โดยทิศทางของบริษัทหลังจากนี้ จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์และโซลูชันด้านสุขภาพเป็นหลัก

การผ่าตัดองค์กรครั้งใหญ่นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย Philips ต้องทุ่มเงินลงทุนมหาศาลไปกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) รวมถึงการเข้าซื้อกิจการบริษัทเทคโนโลยีทางการแพทย์อีกหลายแห่ง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในสมรภูมิใหม่ที่พวกเขาไม่คุ้นเคย

เวลาผ่านไป การตัดสินใจที่กล้าหาญในวันนั้นก็เริ่มผลิดอกออกผล

Philips ค่อย ๆ เปลี่ยนตัวเองจากผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า กลายเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ของโลก พวกเขาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ครอบคลุมตั้งแต่การวินิจฉัยโรค การรักษา ไปจนถึงการดูแลสุขภาพที่บ้าน

ตัวอย่างนวัตกรรมที่น่าสนใจคือ ระบบตรวจวัดสุขภาพทางไกล (Remote Patient Monitoring) ที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถวัดสัญญาณชีพต่าง ๆ ได้เองจากที่บ้าน แล้วส่งข้อมูลให้แพทย์ติดตามอาการได้อย่างใกล้ชิด

ระบบนี้ไม่เพียงช่วยลดภาระของโรงพยาบาล แต่ยังทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอุ่นใจเหมือนมีแพทย์ดูแลอยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้ Philips ยังคงเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการถ่ายภาพทางการแพทย์ เช่น เครื่อง CT Scan และ MRI ที่ให้ภาพความละเอียดสูง ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น

ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือการนำความเชี่ยวชาญดั้งเดิมด้าน “แสง” กลับมาประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีทางการแพทย์

อย่างเช่น การพัฒนาสายสวนหัวใจที่ใช้เทคโนโลยี Fiber-optic แทนสายไฟฟ้าแบบเดิม ทำให้การตรวจรักษามีความปลอดภัยและแม่นยำสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด

การพลิกโฉมธุรกิจของ Philips ถือเป็นกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

จากบริษัทที่เคยเกือบล้มละลาย พวกเขากลับมายืนหยัดในฐานะผู้นำของอุตสาหกรรมใหม่ได้อย่างสง่างาม ปัจจุบัน Philips คือหนึ่งใน 3 บริษัทเทคโนโลยีทางการแพทย์ชั้นนำของโลก

รายได้จากธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพของพวกเขาเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ Philips จะเปลี่ยนทิศทางธุรกิจไปโดยสิ้นเชิง แต่พวกเขายังคงยึดมั่นในปรัชญาดั้งเดิมที่ก่อตั้งบริษัทมาตั้งแต่แรก

นั่นคือ “การใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน”

เรื่องราวของ Philips ไม่ใช่แค่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ แต่มันสอนให้รู้ว่า ไม่ว่าจะเคยยิ่งใหญ่แค่ไหน ความสำเร็จในอดีตก็ไม่ใช่หลักประกันสำหรับอนาคต

ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้ที่กล้าจะละทิ้งสิ่งเก่าเพื่อคว้าสิ่งใหม่ มองการณ์ไกล และยึดมั่นในคุณค่าหลักของตนเองเท่านั้น จึงจะเป็นผู้ที่อยู่รอดและประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

References : [philips, forbes, reuters, bloomberg, ft]

Geek Story EP491 : Snapdragon X Elite ชิปปฏิวัติวงการ หรือแค่คำโฆษณาที่ล้มเหลว?

เป็นคำถามที่น่าสนใจนะครับ… ทำไมจู่ ๆ Qualcomm ถึงกล้าที่จะกระโดดเข้ามาสู้ในสงครามที่ดูเหมือนจะถูกผูกขาดโดย Intel และ AMD มาอย่างยาวนาน?

คำตอบของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปดูความสำเร็จของคู่แข่งอีกรายหนึ่ง ที่ไม่เคยอยู่ในสมการนี้มาก่อน

นั่นก็คือ Apple

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของวงการ Laptop มันเกิดขึ้นในปี 2020 เมื่อ Apple ประกาศแยกทางกับ Intel และหันมาผลิตชิปของตัวเองในชื่อ Apple M-Series

ตอนนั้นหลายคนยังตั้งข้อสงสัย แต่ Apple ก็ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า การเปลี่ยนไปใช้สถาปัตยกรรมอย่าง ARM (อาร์ม) ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่ใช้บนมือถือ สามารถสร้าง Laptop ที่ทั้งแรง แต่กลับประหยัดพลังงานอย่างไม่น่าเชื่อ

แบตเตอรี่ใช้งานได้ข้ามวัน ไม่ต้องมีพัดลมระบายความร้อน ตัวเครื่องก็ยังเย็นเฉียบ

ความสำเร็จของ Apple M-Series มันเหมือนเป็นการตบหน้ายักษ์ใหญ่ในโลก Windows อย่างจัง และมันก็ได้จุดประกายความหวังให้กับผู้ผลิตรายอื่น ๆ ว่า… “เราก็น่าจะทำได้เหมือนกัน”

และนั่นคือประตูที่เปิดให้ Qualcomm ก้าวเข้ามา

Qualcomm มองเห็นโอกาสทอง พวกเขามีประสบการณ์โชกโชนในการพัฒนาชิป ARM ที่ทรงพลังสำหรับมือถืออยู่แล้ว คำถามก็คือ พวกเขาจะนำความเชี่ยวชาญนั้น มาสร้าง “Apple M1 Moment” ให้กับโลกของ Windows ได้หรือไม่

โครงการที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานจึงได้เริ่มต้นขึ้น

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3yh3hyzj

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4fvxuwyu

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2kknzvxh

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/ygjanqVd0PA

Apple กำลังเดินตามรอย IBM? วงจรอุบาทว์ เมื่อ “การตลาด” กลืนกิน “นวัตกรรม”

เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมบริษัเทคโนโลยีที่เคยยิ่งใหญ่และเป็นเหมือนพระเจ้าในยุคหนึ่ง ถึงกลับค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน

เรื่องราวแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่มันเป็นเหมือนรูปแบบ pattern ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์

เราเคยเห็นภาพนี้มาแล้วกับ IBM ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าแห่งโลกคอมพิวเตอร์ หรือ Xerox ที่ชื่อของบริษัทเคยกลายเป็นคำกริยาแทนที่คำว่า “ถ่ายเอกสาร”

แม้กระทั่ง Microsoft ในยุค 90 ก็เคยผ่านช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะไม่มีใครสามารถโค่นล้มบัลลังก์ของพวกเขาลงได้

บริษัทเหล่านี้ต่างมีจุดเริ่มต้นที่คล้ายกัน นั่นคือการสร้างนวัตกรรมที่พลิกโฉมโลก จนทำให้พวกเขากลายเป็นผู้เล่นที่ผูกขาดตลาดไปโดยปริยาย

แต่เรื่องที่น่าเหลือเชื่อก็คือ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นั้นเอง กลับกลายเป็นเหมือนยาพิษที่ค่อย ๆ ทำลายบริษัทจากภายใน และเป็นจุดเริ่มต้นของการเสื่อมถอย

วันนี้เราอาจกำลังจะได้เห็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้งกับบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเรา นั่นคือ Apple

คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า หรือ Apple ในวันนี้ กำลังจะกลายเป็น IBM ยุคใหม่ ที่ซึ่ง “การตลาด” ได้เอาชนะ “นวัตกรรม” ไปเรียบร้อยแล้ว?

เพื่อที่จะเข้าใจภาพทั้งหมด เราอาจต้องย้อนกลับไปดูเรื่องเล่าจากบริษัทนอกวงการเทคโนโลยีกันก่อน ซึ่งเป็นเรื่องราวของ Pepsi บริษัทน้ำอัดลมยักษ์ใหญ่ของโลก

John Sculley อดีตผู้บริหารของ Pepsi เคยเล่าไว้ว่า ที่ Pepsi นั้น การเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์แทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย ในรอบสิบปีอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงแค่ครั้งเดียว

และการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนดีไซน์ขวดหรือขนาดกระป๋องใหม่เท่านั้นเอง

ลองนึกภาพตามว่า หากเราเป็นนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ในองค์กรแบบนี้ คงเป็นเรื่องยากที่จะได้แสดงฝีมือหรือสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ ที่จะมาเปลี่ยนทิศทางของบริษัทได้

แล้วในบริษัทที่ผลิตภัณฑ์แทบไม่เคยเปลี่ยนแบบนี้ ใครคือคนกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จขององค์กรมากที่สุด?

คำตอบก็คือ “ฝ่ายขายและการตลาด”

คนกลุ่มนี้คือคนที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และค่อย ๆ ไต่เต้าขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูง เพราะพวกเขาสามารถสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้ แม้ตัวผลิตภัณฑ์จะเหมือนเดิม

สำหรับธุรกิจเครื่องดื่ม การบริหารในลักษณะนี้อาจจะดูสมเหตุสมผล แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ตรรกะเดียวกันนี้ ถูกนำมาใช้กับบริษัทเทคโนโลยีที่กลายเป็นผู้ผูกขาดตลาดไปแล้ว ปัญหาก็จะเริ่มก่อตัวขึ้น

ลองนึกถึงกรณีของ IBM หรือ Xerox ในอดีต หากเราเป็นวิศวกรที่คิดค้นคอมพิวเตอร์หรือเครื่องถ่ายเอกสารรุ่นใหม่ที่ทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิม คำถามคือ มันจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของบริษัทได้มากน้อยแค่ไหน?

คำตอบที่น่าเศร้าก็คือ แทบจะไม่มีผลอะไรเลย

เพราะในวันที่บริษัทครองส่วนแบ่งตลาดไปเกือบทั้งหมดแล้ว การมีผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นอีกเล็กน้อย แทบจะไม่ได้ช่วยเพิ่มยอดขายหรือกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญอีกต่อไป

ในสถานการณ์เช่นนี้ คนกลุ่มเดียวที่ยังสามารถผลักดันให้บริษัทเติบโตต่อไปได้ ก็คือฝ่ายขายและการตลาดนั่นเอง

พวกเขาจึงกลายเป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจมากที่สุดในองค์กร ในขณะที่วิศวกรและนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ ก็จะเริ่มถูกผลักออกจากกระบวนการตัดสินใจที่สำคัญไปเรื่อย ๆ

และนี่คือจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม…

วันที่บริษัทเริ่มหลงลืมไปว่า “การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม” นั้นเป็นอย่างไร ผู้บริหารที่มาจากสายการตลาด ไม่ได้มีความเข้าใจในเทคโนโลยีอย่างลึกซึ้ง พวกเขาขาดสัญชาตญาณที่จะมองเห็นว่านวัตกรรมใดมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนโลกได้

ตัวอย่างที่เจ็บปวดที่สุดก็คือเรื่องราวของ Xerox ที่ศูนย์วิจัย Palo Alto Research Center หรือ PARC

ที่นั่นคือสถานที่ที่วิศวกรของ Xerox ได้คิดค้นเทคโนโลยีที่จะกลายมาเป็นมาตรฐานของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเมาส์ หรือหน้าจอแบบกราฟิก (GUI)

แต่น่าเสียดายที่ผู้บริหารในยุคนั้นกลับมองไม่เห็นคุณค่าของมัน เพราะมัวแต่ให้ความสำคัญกับการขายเครื่องถ่ายเอกสารซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่ทำเงินมหาศาลอยู่แล้ว

สุดท้ายแล้ว Steve Jobs ก็เป็นคนที่มองเห็นศักยภาพของนวัตกรรมเหล่านี้ และนำมันมาต่อยอดจนกลายเป็นคอมพิวเตอร์ Macintosh ที่ปฏิวัติวงการไปตลอดกาล

นี่คือวงจรที่น่ากลัว นวัตกรรมนำไปสู่การผูกขาด การผูกขาดนำไปสู่การยกย่องฝ่ายการตลาด และการที่ฝ่ายการตลาดขึ้นมามีอำนาจ ก็นำไปสู่การละเลยนวัตกรรม ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ก็คือการเสื่อมถอยนั่นเอง

แล้ว Apple แตกต่างจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในอดีตอย่างไร? หลายคนอาจจะบอกว่าเป็นเพราะแบรนด์ที่แข็งแกร่ง หรือ Apple Store ที่มอบประสบการณ์สุดพิเศษ

แต่หากมองให้ลึกลงไป ความแตกต่างที่สำคัญจริง ๆ อาจจะอยู่ที่ “วิธีการทำการตลาด” ที่แยบยลกว่าเดิม

Apple เชี่ยวชาญอย่างมากในการสร้างความตื่นเต้นและความปรารถนาให้กับผลิตภัณฑ์ใหม่ในแต่ละรุ่น พวกเขาสามารถทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องมีฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดอยู่เสมอ แม้ว่าฟีเจอร์นั้นอาจจะไม่ได้จำเป็นต่อการใช้งานจริง ๆ ก็ตาม

ลองดูตัวอย่างล่าสุดอย่าง Apple Intelligence ก็ได้ครับ เหตุผลที่ทำให้หลายคนอยากได้ฟีเจอร์นี้ อาจไม่ใช่เพราะประโยชน์ของมันจริง ๆ แต่เป็นเพราะความต้องการที่จะได้เห็นหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองมีอนิเมชันที่สวยงาม มีลูกเล่นใหม่ ๆ ที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจ

ซึ่งแน่นอนว่าความคิดแบบนี้ ไม่ได้มาจากสมองของวิศวกร แต่มาจากกลยุทธ์ทางการตลาดที่ถูกวางแผนมาอย่างดี

ถ้า Pepsi ใช้น้ำตาลเพื่อดึงดูดผู้บริโภค Apple ก็ใช้การตลาดที่สวยงามและมีสีสันเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกัน

นี่คือเหตุผลที่เราเห็นสื่อต่าง ๆ ทั่วโลกพยายามหาซื้อ iPhone สีใหม่ทุกสีมาทำคลิปแกะกล่อง ทั้งที่ Apple ก็รู้ดีว่าสุดท้ายแล้ว ผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็จะเลือกซื้อแค่สีพื้นฐานอย่างสีดำ สีขาว หรือสีเทาเท่านั้น

คำถามคือ แล้วทำไม Apple ถึงยังต้องออกผลิตภัณฑ์สีใหม่ ๆ มาแทบทุกปี? ซึ่งที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นปีนี้ที่ Apple ปล่อย iPhone สีส้มออกมา

คำตอบก็คือ ทั้งหมดนี้มันคือเรื่องของ “การตลาด” ล้วน ๆ

การมีสีสันใหม่ ๆ ที่ฉูดฉาด คือวิธีที่ง่ายที่สุดในการสร้างภาพลักษณ์ว่า iPhone รุ่นนี้ “แตกต่าง” และ “ดีกว่า” รุ่นก่อน มันคือการโน้มน้าวใจผู้คนว่านี่คือผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ใส่เคสทึบ ๆ ปิดทับสีของตัวเครื่องอยู่ดี

ดูเหมือนว่า Steve Jobs เองก็อาจจะมองเห็นภาพแบบนี้ล่วงหน้ามานานแล้ว

Jobs เคยพูดประโยคที่เป็นตำนานเอาไว้ว่า “คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร จนกว่าคุณจะเอามันไปโชว์ให้พวกเขาเห็น”

นี่คือหัวใจของ Apple ในยุคของเขา การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ผู้คนยังนึกไม่ถึงด้วยซ้ำว่าพวกเขาต้องการมัน

แต่ในปัจจุบัน ปรัชญานี้ดูเหมือนจะเริ่มเลือนลางไป คุณภาพของผลิตภัณฑ์อาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นความสามารถในการ “ขาย” ผลิตภัณฑ์นั้น ๆ แทน

และเมื่อคนที่เติบโตมาจากสายการตลาดและการขาย เริ่มเข้ามามีอำนาจในการบริหาร นวัตกรรมที่เคยเป็นจิตวิญญาณของ Apple ก็อาจจะเริ่มถดถอยลง อย่างที่เราอาจจะเริ่มรู้สึกกันได้ในทุกวันนี้

บทเรียนแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับ IBM มาแล้ว ในวันที่พวกเขาคือเจ้าโลกคอมพิวเตอร์ พวกเขาลืมคุณค่าของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และปล่อยให้การตลาดนำทาง จนสุดท้ายก็พลาดคลื่นลูกใหญ่อย่างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) และเกือบจะต้องล้มละลาย

ในโลกของเทคโนโลยี เมื่อผู้นำเริ่มหยุดนิ่ง มันก็จะเกิดช่องว่างให้ผู้เล่นรายเล็ก ๆ ที่มีความคล่องตัวและกล้าได้กล้าเสียกว่า ได้แจ้งเกิดขึ้นมาเสมอ

บริษัทเหล่านี้เองที่จะกลายเป็นผู้นำในการปฏิวัติครั้งต่อไป เหมือนกับที่ Apple ในยุคของ Steve Jobs เคยเป็นม้านอกสายตาที่กล้าท้าทายยักษ์ใหญ่อย่าง IBM มาแล้ว

ดังนั้น เมื่อเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เราจะเห็นวงจรที่ชัดเจนมาก คือการเกิดขึ้น เติบโต ผูกขาด และในที่สุดก็คือการถดถอย

แต่คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ อนาคตของ Apple จะเป็นอย่างไร?

มันอาจจะมีทางออกอยู่สองทาง ทางแรกคือการเดินซ้ำรอยประวัติศาสตร์ กลายเป็นเหมือน IBM หรือ Xerox ที่ค่อย ๆ หมดความสำคัญลงไป เพราะมัวแต่ปกป้องธุรกิจเดิมของตัวเอง

แต่อีกทางหนึ่ง ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีฮีโร่คนใหม่ปรากฏตัวขึ้นมาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

เหมือนกับที่ Microsoft ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่ากำลังจะตกยุคและกลายเป็น IBM รายต่อไป แต่พวกเขาก็ได้ Satya Nadella เข้ามาเป็น CEO และพลิกชะตาของบริษัทด้วยการเดิมพันกับธุรกิจ Cloud และ AI จนกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

คำถามสุดท้ายจึงอยู่ที่ว่า Apple จะเลือกเดินไปในเส้นทางไหน?

พวกเขาจะปล่อยให้วงจรประวัติศาสตร์ดำเนินต่อไป หรือจะกล้าที่จะทุบทำลายรูปแบบเดิม ๆ และสร้างนวัตกรรมที่จะเปลี่ยนโลกขึ้นมาอีกครั้ง

อนาคตยังไม่ถูกเขียนขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ ในโลกของเทคโนโลยี การหยุดนิ่งอยู่กับที่ คือการกระทำที่อันตรายที่สุดแล้ว

References : [eugenewei, wikipedia, hbr, stratechery, biography]

ใครฆ่า KERRY EXPRESS? จากกำไรพันล้านสู่ขาดทุนยับ วิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้ราชาต้องยอมจำนน

หากเราย้อนเวลากลับไปสัก 5-10 ปีก่อน ในยุคที่การช้อปปิ้งออนไลน์กำลังเติบโต จะมีชื่อแบรนด์หนึ่งที่ผุดขึ้นมาในใจคนไทยเป็นอันดับแรกเสมอ

แบรนด์ที่มีโลโก้สีส้มสดใส และมาพร้อมกับประโยคติดปากที่ว่า “ของมาส่งแล้ว”

ใช่ครับ เรากำลังพูดถึง Kerry Express ราชาแห่งธุรกิจจัดส่งพัสดุ ผู้บุกเบิกตลาดจนเติบใหญ่ และกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคน

เรื่องราวของ Kerry Express คือมหากาพย์ทางธุรกิจที่ครบรส ทั้งการเติบโตอย่างรวดเร็ว การก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างยิ่งใหญ่ และการเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งสำคัญ จนนำไปสู่บทสรุปที่ไม่มีใครคาดคิด

คำถามสำคัญก็คือ… จากบริษัทที่เคยแข็งแกร่งและดูเหมือนจะไร้เทียมทาน เกิดอะไรขึ้นที่ทำให้บัลลังก์ของพวกเขาสั่นคลอนได้ถึงเพียงนี้?

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในปี 2006

ในยุคนั้น ตลาดขนส่งพัสดุในประเทศไทยยังค่อนข้างเรียบง่าย ตัวเลือกหลักของผู้คนก็คือไปรษณีย์ไทย ซึ่งก็ให้บริการได้ดีตามมาตรฐาน แต่โลกกำลังหมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

กระแสของ E-commerce เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ และนั่นคือโอกาสมหาศาลที่ Kerry Logistics Network หรือ KLN กลุ่มบริษัทโลจิสติกส์ยักษ์ใหญ่จากฮ่องกงมองเห็น

พวกเขาจึงส่ง Kerry Express เข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของธุรกิจขนส่งในประเทศไทย

แต่การจะเข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดที่มีเจ้าถิ่นอยู่แล้วไม่ใช่เรื่องง่าย Kerry รู้ดีว่าพวกเขาต้องมีอะไรที่ “พิเศษ” กว่า และสิ่งที่พวกเขานำเสนอก็ได้เปลี่ยนเกมการแข่งขันไปตลอดกาล

นั่นคือบริการ “เก็บเงินปลายทาง” หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Cash-on-Delivery (COD)

ต้องเข้าใจก่อนว่า สังคมไทยในยุคนั้นยังไม่ได้คุ้นเคยกับการใช้บัตรเครดิตหรือการโอนเงินออนไลน์มากเท่าปัจจุบัน ความกังวลที่ว่าจะโดนโกงหรือไม่ได้รับของหลังจากโอนเงินไปแล้ว คือกำแพงขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นการเติบโตของ E-commerce

บริการ COD ของ Kerry ได้เข้ามาทลายกำแพงแห่งความไม่ไว้วางใจนั้นลงอย่างสิ้นเชิง มันสร้างความสบายใจให้กับผู้ซื้อ แค่รอรับของ เช็กสินค้าให้เรียบร้อย แล้วค่อยจ่ายเงินสดหน้าบ้าน

นี่คือนวัตกรรมทางบริการที่ตอบโจทย์คนไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเป็นกุญแจสำคัญที่ปลดล็อกให้ตลาดซื้อขายของออนไลน์ในประเทศระเบิดศักยภาพออกมา

หลังจากนั้น ชื่อของ Kerry Express ก็ทะยานขึ้นสู่แถวหน้าอย่างรวดเร็ว ภาพของพนักงานในยูนิฟอร์มสีส้มที่ขี่มอเตอร์ไซค์ส่งของ กลายเป็นภาพที่คุ้นตาไปทั่วทุกหัวระแหง

ช่วงปี 2015 ถึง 2019 ถือเป็นยุคทองของ Kerry อย่างแท้จริง รายได้และผลกำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดด โลโก้ของพวกเขาไม่ได้เป็นแค่สัญลักษณ์ของบริษัทขนส่ง แต่เป็นเครื่องหมายการันตีถึงความรวดเร็ว คุณภาพ และความน่าเชื่อถือ

ความสำเร็จอันท่วมท้นนี้ นำมาสู่ก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท

นั่นคือการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 24 ธันวาคม 2020 ภายใต้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า KEX

การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนั้น กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ถูกกล่าวขานไปทั่ววงการนักลงทุน ราคาเสนอขายที่ 28 บาทต่อหุ้น พุ่งทะยานไปเปิดตลาดในวันแรกที่ 65 บาท

มันคือภาพสะท้อนของความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมที่ทุกคนมีต่ออนาคตของ Kerry Express ในวันนั้น KEX ไม่ใช่แค่ผู้นำตลาด แต่คือจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรโลจิสติกส์ของไทย ที่ดูเหมือนว่าบัลลังก์นี้จะมั่นคงไปอีกนานแสนนาน

แต่บนโลกธุรกิจ ไม่มีอะไรที่แน่นอน…

หลังจากที่ KEX เฉลิมฉลองความสำเร็จบนจุดสูงสุดได้ไม่นาน พายุลูกใหญ่ก็เริ่มก่อตัวขึ้นที่ขอบฟ้าอย่างเงียบเชียบ และมันกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้บัลลังก์ของราชาอย่างรวดเร็ว

พายุลูกนั้นมีชื่อว่า “สงครามราคา”

ตลาดขนส่งพัสดุที่เคยหอมหวานและมีกำไรงดงาม ได้ดึงดูดผู้เล่นหน้าใหม่ให้กระโจนเข้ามาร่วมวงชิงส่วนแบ่งการตลาด และหนึ่งในผู้ท้าชิงที่น่าจับตามองที่สุด ก็คือคู่แข่งที่มาพร้อมกับสายป่านที่ยาวและกลยุทธ์ที่พลิกตำราทุกหน้า

ผู้ท้าชิงรายนั้นคือ Flash Express

การมาของ Flash ไม่ใช่การเข้ามาเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือก แต่พวกเขามาเพื่อเปลี่ยนแปลงกติกาของเกมทั้งหมด และอาวุธสำคัญที่ใช้ก็เรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ นั่นคือ “ราคาที่ถูกกว่าอย่างชัดเจน”

ในขณะที่ Kerry วางตำแหน่งตัวเองเป็นแบรนด์พรีเมียมที่เน้นคุณภาพ Flash กลับใช้กลยุทธ์ทุ่มตลาดด้วยค่าส่งเริ่มต้นที่ถูกจนน่าตกใจ มันคือการเปิดฉากสงครามที่ไม่มีใครคาดคิด และมันไม่ใช่สงครามที่มีแค่เรื่องราคาเป็นเดิมพัน

Flash มองเห็น “ช่องว่าง” หรือ Pain Point ที่ผู้เล่นรายเดิมยังไม่สามารถตอบสนองลูกค้าได้ดีพอ แล้วพวกเขาก็ใช้จุดนั้นเป็นอาวุธในการโจมตี

ไม้ตายแรกคือ “บริการเข้ารับพัสดุฟรีถึงหน้าบ้าน โดยไม่มีขั้นต่ำ” นี่คือฟีเจอร์ที่เปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่การประหยัดเวลาและต้นทุนคือหัวใจสำคัญ การมีคนมารับของถึงหน้าประตูแม้จะส่งแค่ชิ้นเดียว คือความสะดวกสบายที่ยากจะปฏิเสธ

ไม้ตายที่สองคือ “เปิดให้บริการ 365 วัน ไม่มีวันหยุด” โลก E-commerce ไม่เคยมีวันหยุด การซื้อขายเกิดขึ้นได้ตลอด 24 ชั่วโมง การที่ระบบขนส่งพร้อมให้บริการทุกวันจึงเป็นการตอบโจทย์ธุรกิจออนไลน์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

Kerry ในฐานะบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ การจะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งใหญ่อาจต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนและใช้เวลา แต่ Flash ซึ่งมีความคล่องตัวแบบสตาร์ทอัพ สามารถเคลื่อนไหวและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วกว่ามาก

ราชาผู้เคยอยู่บนบัลลังก์อย่างสง่างาม ถูกบีบให้ต้องลงมาเล่นในสงครามที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้กำหนด พวกเขาต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบาก ระหว่างการรักษาระดับราคาเพื่อคงกำไร แต่เสี่ยงเสียลูกค้า หรือจะเข้าร่วมสงครามราคาเพื่อรักษาฐานที่มั่นเอาไว้

และพวกเขาก็เลือกอย่างหลัง

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือบาดแผลฉกรรจ์ทางผลประกอบการ รายได้ต่อพัสดุหนึ่งชิ้นลดลงอย่างน่าใจหาย สวนทางกับต้นทุนการดำเนินงานที่ยังคงสูงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมันหรือค่าจ้างพนักงาน

กำไรที่เคยงดงามค่อยๆ หดหายไป จนในที่สุดก็พลิกกลับมาเป็นตัวเลขขาดทุนมหาศาล

ปี 2022 KEX ขาดทุนสุทธิสูงถึง 2,830 ล้านบาท และสถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายลงในปี 2023 ที่ตัวเลขขาดทุนพุ่งขึ้นไปอีกเป็น 3,880 ล้านบาท

ตัวเลขสีแดงฉานในงบการเงิน ได้ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนลงอย่างสิ้นเชิง ราคาหุ้นที่เคยรุ่งโรจน์ดิ่งหัวลงอย่างต่อเนื่อง จากหุ้นขวัญใจมหาชน กลายเป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างเทขายเพื่อเอาตัวรอด

มันคือสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ว่า บัลลังก์ของ Kerry กำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรง และอาจถึงคราวล่มสลายในไม่ช้า

เมื่อบาดแผลจากการแข่งขันนั้นลึกเกินกว่าจะเยียวยาได้ในระยะเวลาสั้นๆ ก็ถึงเวลาที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น

การเปลี่ยนแปลงนั้นมาพร้อมกับการเข้ามาของผู้ถือหุ้นรายใหม่ นั่นคือ S.F. Holding บริษัทโลจิสติกส์ยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน การเข้ามาของพวกเขาคือจุดเริ่มต้นของบทสุดท้ายในเรื่องราวของ KEX บนตลาดหลักทรัพย์

เราได้เห็นความพยายามครั้งสำคัญในการพลิกฟื้นสถานการณ์ นั่นคือการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในช่วงต้นปี 2024 ชื่อที่คุ้นเคยอย่าง Kerry Express ถูกเปลี่ยนเป็น KEX มันคือความพยายามที่จะสลัดภาพเก่าและส่งสัญญาณว่าบริษัทพร้อมจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

แต่ดูเหมือนว่าการปรับภาพลักษณ์เพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งเลือดที่ไหลไม่หยุดได้

ในที่สุด การตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดก็ถูกประกาศออกมา ผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ยื่นคำขอเพื่อนำหุ้น KEX ออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยสมัครใจ

การตัดสินใจครั้งนี้เปรียบเสมือนการถอยทัพเพื่อกลับไปตั้งหลัก การอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้นมาพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลที่ต้องสร้างผลกำไรให้ได้ในทุกไตรมาส ซึ่งไม่เอื้อต่อการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่ต้องใช้ทั้งเวลาและอาจต้องยอมขาดทุนต่อไปอีกในระยะสั้น

การออกจากตลาดฯ จะช่วยให้บริษัทมีความคล่องตัวในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ระยะยาวมากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของราคาหุ้นรายวัน

ตลาดหลักทรัพย์ได้กำหนดให้วันที่ 14 ตุลาคม 2025 เป็นวันซื้อขายวันสุดท้าย และในวันที่ 15 ตุลาคม 2025 ชื่อของ KEX ก็จะหายไปจากกระดานหุ้นของไทยอย่างเป็นทางการ ปิดฉากมหากาพย์ราชาโลจิสติกส์ในตลาดทุนลง

เรื่องราวของ Kerry Express สอนอะไรเราบ้าง?

มันสอนให้รู้ว่าในโลกธุรกิจ ไม่มีใครที่เป็นอมตะ แม้จะเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งเพียงใด แต่หากปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ก็สามารถถูกโค่นลงจากบัลลังก์ได้เสมอ

มันยังสอนอีกว่า นวัตกรรมไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ยังรวมถึงนวัตกรรมด้านบริการที่สามารถแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ดีกว่าเดิม อย่างที่ Flash ทำสำเร็จ

และสุดท้าย มันคือบทเรียนว่า ในธุรกิจที่สินค้าหรือบริการมีหน้าตาคล้ายกันไปหมด สุดท้ายแล้วสงครามก็จะถูกตัดสินด้วย “ราคา” และ “ความสะดวกสบาย”

การเดินทางของ KEX ในฐานะบริษัทมหาชนอาจจบลงแล้ว แต่การเดินทางของบริษัท Kerry Express ยังคงดำเนินต่อไป

ซึ่งแน่นอนว่าวันใดที่ Flash ก้าวเข้าสู่การทำ IPO เมื่อไหร่ พวกเขาก็จะแปรสภาพกลายเป็นบริษัทที่ถูกกดดันจากนักลงทุนไม่ต่างจากที่ Kerry Express เคยประสบพบเจอมาก่อนอย่างแน่นอน

และเมื่อถึงวันนั้น Kerry Express ที่มีสภาพความคล่องตัวกว่า พวกเขาอาจจะกลายร่างมาเป็นเหมือน Flash ในยุคสตาร์ทอัพ ที่พร้อมฉีกทุกตำรากฏเกณฑ์การแข่งขันเพื่อกลับมาล้างแค้น Flash Express อีกครั้ง ก็เป็นได้…

References : [set, prachachat, brandbuffet, techsauce, marketeeronline]