Geek Talk EP161 : ความจริงของแม่ค้าออนไลน์ “เถ้าแก่” หรือแค่ “ลูกจ้าง” ของแอปกันแน่?

“เคยมีความฝันไหมครับ ว่าอยากจะเป็นนายตัวเอง? อยากจะมีธุรกิจเล็ก ๆ ที่ไม่ต้องมีหน้าร้าน ไม่ต้องลงทุนมหาศาล ขอแค่มีสินค้าดี ๆ กับอินเทอร์เน็ต ก็สามารถสร้างตัวเป็น ‘เถ้าแก่ ได้…

ย้อนกลับไปไม่กี่ปีที่แล้ว โลกของอีคอมเมิร์ซ มันคือดินแดนแห่งโอกาสแบบนั้นเลยครับ แพลตฟอร์มอย่าง Lazada หรือ Shopee ได้เปิดประตูบานใหญ่ให้กับคนธรรมดาหลายล้านคน ให้ลุกขึ้นมาเป็นพ่อค้าแม่ค้า เป็นเจ้าของกิจการของตัวเองได้สำเร็จ

มันคือยุคทองที่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ใคร ๆ ก็รวยได้บนโลกออนไลน์’

แต่แล้ว…ทำไมวันนี้ ความรู้สึกของการเป็น ‘เถ้าแก่’ มันถึงเริ่มจางหายไป…และกลับถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกที่ว่า…เราเป็นแค่อะไรบางอย่างที่เล็กกว่านั้น…

ทำไมหลายคนถึงเริ่มพูดว่า ‘สุดท้ายแล้ว พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ก็เป็นได้แค่ลูกจ้างของแอป’

คำพูดนี้มันเกินจริงไปหรือเปล่า หรือว่ามันคือความจริงอันน่าเจ็บปวด ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังปุ่ม ‘กดสั่งซื้อ’ ที่เราเห็นกันทุกวัน วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องนี้กันครับ”

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2yc2tdrn

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/39xnzm4p

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/558mnppj

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/76ZzRISSD7E

EV ประหยัดกว่าจริงเหรอ? อย่าเพิ่งซื้อรถ EV ถ้าไม่รู้จัก “ต้นทุนแฝง” ที่แท้จริงเหล่านี้

“รถ EV ประหยัดกว่าตั้งเยอะ”

ประโยคสั้นๆ ที่เราได้ยินกันจนคุ้นหูในยุคนี้ บ้างก็เป็นคนพูดเอง บ้างก็ได้ยินเพื่อนพูดกรอกหู และดูเหมือนจะเป็นความจริงที่เถียงได้ยาก

เมื่อเราเหลือบมองราคาน้ำมันที่ป้ายหน้าปั๊ม ที่เติมหนึ่งครั้งอาจต้องควักเงินสองพันกว่าบาท เทียบกับค่าชาร์จไฟรถ EV ที่บ้านซึ่งจ่ายแค่หลักร้อย คำตอบก็ดูเหมือนจะชัดเจนอยู่ในตัว

แต่หากการตัดสินใจที่ดูเรียบง่ายนี้ กำลังเป็นกับดักทางการเงินครั้งใหญ่ ที่ซ่อนอยู่ใต้พรมของเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก เรื่องราวทั้งหมดอาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

วันนี้เราจะไม่ได้มาคุยกันแค่เรื่องรถยนต์ แต่จะเจาะลึกไปถึง “วิธีคิด” เพื่อมองให้ทะลุตัวเลขที่เราเห็นกันผิวเผิน และค้นหา “ความจริงของต้นทุน” ที่ซ่อนอยู่ ทั้งในรถยนต์ไฟฟ้า และไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์

เราต้องยอมรับว่าโลกกำลังหมุนเข้าสู่ยุคใหม่ รัฐบาลทั่วโลกต่างผลักดันนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งมาตรการอุดหนุน และการลดหย่อนภาษี จนทำให้ราคารถ EV หลายรุ่นในวันนี้ สามารถลงมาแข่งขันกับรถยนต์สันดาปภายใน หรือที่เรียกกันว่ารถ ICE ได้แล้ว

ภาพที่ทุกคนเห็นตรงกันคือความแตกต่างของค่าพลังงาน ที่เปรียบได้กับศึกระหว่างยักษ์กับคนแคระ

ลองจินตนาการตามดูง่ายๆ รถยนต์น้ำมันทั่วไปวิ่ง 1 กิโลเมตร มีต้นทุนค่าน้ำมันเฉลี่ยราว 1.5 – 4 บาทต่อกิโลเมตร ซึ่งแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทรถยนต์

ในขณะที่รถ EV หากชาร์จไฟที่บ้านในเวลากลางคืน อาจมีค่าใช้จ่ายเพียงกิโลเมตรละ 60 สตางค์ ตัวเลขที่ต่างกันถึง 3-6 เท่า

เมื่อเห็นแบบนี้ ใครๆ ก็ต้องยกให้ EV เป็นผู้ชนะ เป็นภาพแทนของอนาคตที่ประหยัดกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในวงการยานยนต์ กระแสเดียวกันยังพัดพาไปถึงเรื่องพลังงานในบ้าน เราได้ยินคำว่า “ติดโซลาร์เซลล์เหมือนได้ใช้ไฟฟรี” บ่อยขึ้น

ดวงอาทิตย์คือขุมพลังงานมหาศาลที่ไม่เคยเรียกเก็บเงิน การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา จึงเปรียบเสมือนการสร้างโรงไฟฟ้าส่วนตัว ที่ช่วยลดภาระค่าไฟในแต่ละเดือนลงได้อย่างมาก

นี่คือภาพฝันที่เทคโนโลยีหยิบยื่นให้แก่เรา ภาพอนาคตที่เราจะจ่ายน้อยลง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และยังได้ชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของการรักษ์โลก

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงของการเงินและการลงทุน ไม่มีคำว่า “ของฟรี” อยู่ในพจนานุกรม และทุกอย่างย่อมมี “ต้นทุน” ที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่

คำถามสำคัญก็คือ ต้นทุนที่ว่านั้นคืออะไร และเมื่อนำมันมาคำนวณรวมกันทั้งหมดแล้ว คำว่า “ประหยัดกว่า” ยังคงเป็นความจริงอยู่หรือไม่

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น เราต้องสวมบทบาทเป็นนักสืบทางการเงิน เพื่อเริ่มชำแหละตัวเลขทุกส่วนที่ประกอบกันขึ้นมา

หากเปรียบการแข่งขันนี้เป็นการชกมวย แค่ยกแรกในเรื่อง “ค่าพลังงาน” EV ก็ปล่อยหมัดน็อกใส่ ICE จนแทบจะลุกไม่ขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น ในยกต่อมาอย่าง “ค่าบำรุงรักษา” EV ก็ยังคงเป็นฝ่ายคุมเกมเอาไว้ได้

ลองนึกถึงความซับซ้อนของเครื่องยนต์สันดาป ที่มีชิ้นส่วนนับพันชิ้นเคลื่อนไหวและเสียดสีกันตลอดเวลา จึงจำเป็นต้องมีของเหลวหล่อลื่นและชิ้นส่วนสิ้นเปลือง เช่น น้ำมันเครื่อง หัวเทียน หรือไส้กรองต่างๆ ที่ต้องเปลี่ยนตามระยะทาง ซึ่งทั้งหมดคือค่าใช้จ่าย

ในทางกลับกัน มอเตอร์ไฟฟ้าของรถ EV มีโครงสร้างที่เรียบง่ายกว่ามาก ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อย ไม่ต้องการการเปลี่ยนถ่ายของเหลว การบำรุงรักษาส่วนใหญ่จึงเน้นไปที่ระบบช่วงล่าง ทำให้ตลอดอายุการใช้งานในระยะแสนกิโลเมตรแรก เจ้าของรถ EV อาจประหยัดเงินค่าบำรุงรักษาไปได้หลายหมื่นบาท

มาถึงจุดนี้ ดูเหมือนว่า EV จะเป็นผู้ชนะอย่างขาดลอย แต่สมรภูมินี้ยังไม่จบลงง่ายๆ

เพราะเรากำลังจะพูดถึงต้นทุนก้อนมหึมา ที่เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็งที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำ และเป็นตัวแปรที่พลิกสมการทั้งหมดให้ซับซ้อนขึ้น สิ่งนั้นเรียกว่า Depreciation หรือ “ค่าเสื่อมราคา”

ค่าเสื่อมราคา คือต้นทุนที่เกิดขึ้นเงียบๆ และอาจเป็นต้นทุนที่สูงที่สุดในการเป็นเจ้าของรถยนต์ มันคือมูลค่าที่หายไปในอากาศ ตั้งแต่วันแรกที่รถออกจากโชว์รูม เป็นต้นทุนที่ไม่เคยปรากฏบนใบเสร็จใดๆ

ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ ในตลาดรถยนต์มือสองของประเทศไทย ณ ปัจจุบัน รถ EV ยังมีอัตราค่าเสื่อมราคาที่สูงกว่ารถยนต์น้ำมัน

หากเราซื้อรถสองคันในราคา 1 ล้านบาทเท่ากัน ผ่านไป 5 ปี รถยนต์น้ำมันอาจขายต่อได้ในราคา 500,000 บาท เท่ากับว่าค่าเสื่อมราคาคือ 500,000 บาท

แต่รถ EV ในวันนี้ อาจขายต่อได้เพียง 350,000 บาท ทำให้ค่าเสื่อมราคาพุ่งสูงขึ้นเป็น 650,000 บาท ส่วนต่าง 150,000 บาทนี้ คือต้นทุนแฝงก้อนใหญ่ที่ต้องนำมาคิด

เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านี้ ยังมีต้นทุนปลีกย่อยอื่นๆ อีก เช่น ค่าเบี้ยประกันภัยรายปี ที่รถ EV มักจะสูงกว่าเล็กน้อย เนื่องจากมูลค่าของชิ้นส่วนและเทคโนโลยีที่ซับซ้อนกว่า รวมถึงค่าติดตั้ง Wall Charger ที่บ้าน ซึ่งเป็นเงินลงทุนก้อนแรกที่เจ้าของรถ EV ต้องจ่ายเพิ่ม ซึ่งในรถบางรุ่นอาจจะแถมมาให้ฟรี

เมื่อนำต้นทุนที่ซ่อนอยู่เหล่านี้มากางบนโต๊ะ การแข่งขันที่เคยดูเหมือนจะจบลงอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นการต่อสู้ที่สูสีขึ้นมาทันที

ฝั่งหนึ่งโดดเด่นเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่ายรายวัน แต่อีกฝั่งหนึ่งกลับรักษา “มูลค่า” ของตัวเองไว้ได้ดีกว่า

ทีนี้ ลองย้ายสมรภูมิมาที่เรื่องโซลาร์เซลล์ แนวคิด “ไฟฟ้าฟรี” นั้นเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจอย่างมาก แต่ความจริงก็คือ ก่อนจะได้มาซึ่งไฟฟ้าฟรี เราต้องลงทุนกับ “เครื่องมือผลิตไฟฟ้า” เสียก่อน

การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์สำหรับบ้านพักอาศัย มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นตั้งแต่หลักแสนถึงหลายแสนบาท นี่คือเงินลงทุนก้อนแรกที่ต้องจ่ายไป

และแม้ดวงอาทิตย์จะไม่เคยส่งใบแจ้งหนี้มาหาเรา แต่อุปกรณ์ต่างๆ ก็ต้องการการดูแลรักษา แผงโซลาร์เซลล์ต้องมีการทำความสะอาดเป็นประจำ เพราะฝุ่นเพียงเล็กน้อยก็อาจลดทอนประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าได้

แต่ตัวแปรสำคัญที่หลายคนอาจมองข้ามไป คืออุปกรณ์ที่เรียกว่า Inverter ซึ่งทำหน้าที่แปลงไฟฟ้าจากแผงโซลาร์ ให้กลายเป็นไฟฟ้ากระแสสลับที่เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเราใช้งานได้

เจ้า Inverter นี้มีอายุการใช้งานที่จำกัด โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8 ถึง 12 ปีเท่านั้น นั่นหมายความว่า ตลอดอายุการใช้งาน 25 ปีของแผงโซลาร์ เราอาจต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่หลายหมื่นบาท เพื่อเปลี่ยน Inverter อย่างน้อยหนึ่งถึงสองครั้ง

ดังนั้น กรอบความคิดที่ถูกต้องในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ จึงไม่ใช่ “การได้ใช้ไฟฟรี” แต่คือ “การลงทุนเพื่อรอวันคืนทุน”

มีคำศัพท์เฉพาะทางที่เรียกว่า Payback Period หรือ ระยะเวลาคืนทุน ซึ่งสำหรับประเทศไทยจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5 ถึง 10 ปี

นั่นหมายความว่า ไฟฟ้าที่เราผลิตได้ในช่วง 5-10 ปีแรก แท้จริงแล้วยังไม่ใช่ของฟรี แต่คือ “เงินผ่อน” ที่เรากำลังทยอยจ่ายคืนค่าระบบที่ลงทุนไป

“ช่วงเวลาแห่งการใช้ไฟฟรี” ที่แท้จริง จะเริ่มต้นขึ้นก็ต่อเมื่อเราเดินทางผ่านพ้นจุดคุ้มทุนนั้นไปแล้ว

จะเห็นได้ว่า ทั้งรถ EV และโซลาร์เซลล์ ต่างก็มีรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน คือมี “ต้นทุนที่มองไม่เห็น” ซ่อนอยู่มากมาย หากเรามองแค่ตัวเลขค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เราอาจกำลังตัดสินใจบนข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน

แล้วเราจะหาทางออกจากสมรภูมิตัวเลขที่สับสนวุ่นวายนี้ได้อย่างไร คำตอบไม่ได้อยู่ที่เครื่องคิดเลข แต่อยู่ที่ “กรอบความคิด” ที่ถูกต้อง

ในโลกของการเงินและการจัดการสินทรัพย์ มีแนวคิดหนึ่งที่ทรงพลัง และเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขปริศนาทั้งหมดในเรื่องนี้ แนวคิดนั้นมีชื่อว่า Total Cost of Ownership หรือ TCO

หากแปลเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย มันคือ “ต้นทุนรวมตลอดอายุการใช้งาน” หรือถ้าจะให้เจาะจงลงไปที่เรื่องรถยนต์ มันก็คือ “ต้นทุนต่อกิโลเมตรที่แท้จริง”

วิธีคิดแบบ TCO คือการกวาดเอาค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ที่เราคุยกันมาทั้งหมด มารวมไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน แล้วหารด้วยระยะเวลา หรือระยะทางที่เราคาดว่าจะใช้งานมัน

ลองจินตนาการว่าเรากำลังทำบัญชีให้กับรถหนึ่งคัน ตลอดระยะเวลา 8 ปี ที่เราจะเป็นเจ้าของมัน

เราต้องใส่ค่าใช้จ่ายทุกอย่างลงไปในสมการ ทั้งต้นทุนคงที่อย่างค่าเสื่อมราคา, ค่าประกันภัย 8 ปี, ค่าภาษี 8 ปี และต้นทุนผันแปรอย่างค่าพลังงาน, ค่าบำรุงรักษา, ค่าเปลี่ยนยาง

เมื่อเรารวม “รายจ่ายทั้งหมด” ตลอด 8 ปีได้แล้ว ก็นำตัวเลขนั้นมาหารด้วยระยะทางที่เราคาดว่าจะวิ่ง สมมติว่าเป็นระยะทาง 160,000 กิโลเมตร

ผลลัพธ์ที่ได้ออกมา คือตัวเลข “บาทต่อกิโลเมตร” ที่เป็นต้นทุนที่แท้จริง และยุติธรรมที่สุดในการเปรียบเทียบ

และเมื่อนำวิธีคิดนี้มาใช้คำนวณ ผลลัพธ์ที่น่าสนใจก็คือ…

แม้ว่ารถ EV จะมีค่าเสื่อมราคาที่สูงกว่าในช่วงแรก แต่ด้วยความได้เปรียบอย่างมหาศาล จากค่าพลังงานและค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่ามาก ทำให้เมื่อมองภาพรวมในระยะยาวแล้ว ต้นทุนต่อกิโลเมตรที่แท้จริงของรถ EV มักจะต่ำกว่ารถยนต์น้ำมัน

จะเห็นได้ว่า คำตอบสุดท้ายยังคงเหมือนเดิม คือ “EV ประหยัดกว่า” แต่ “เหตุผล” ที่นำไปสู่คำตอบนั้น กลับลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าที่เราเคยเข้าใจ มันไม่ใช่แค่เพราะค่าไฟถูก แต่เป็นเพราะภาพรวมของต้นทุนทั้งหมด ตลอดช่วงชีวิตของการเป็นเจ้าของ

เพราะฉะนั้นการตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ ทางการเงิน ไม่สามารถมองแค่ “ราคาซื้อ” หรือ “ค่าใช้จ่ายรายเดือน” ได้อีกต่อไป

เราต้องเปลี่ยนมุมมองจาก “ผู้ซื้อ” มาเป็นมุมมองของ “เจ้าของ” ที่ต้องมองภาพรวมของต้นทุนทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถคันใหม่ ติดตั้งโซลาร์เซลล์ หรือแม้แต่การซื้ออสังหาริมทรัพย์ ลองใช้กรอบความคิดแบบ TCO เข้าไปจับดู

ถามตัวเองเสมอว่า… นอกจากราคาที่ต้องจ่ายในวันนี้ มีค่าใช้จ่ายอะไรอีกบ้างที่จะตามมาในอนาคต

มูลค่าของสินทรัพย์ชิ้นนี้ในอีก 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร

และเมื่อรวมทุกอย่างแล้ว ต้นทุนที่แท้จริงต่อหน่วยการใช้งานคือเท่าไหร่

โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีใหม่ๆ จะเข้ามาเสนอทางเลือกที่น่าตื่นตาตื่นใจให้เราเสมอ แต่หน้าที่ของเราในฐานะผู้บริโภคที่ชาญฉลาด คือการมองให้ทะลุคำโฆษณาที่สวยหรู และทำความเข้าใจ “ต้นทุนที่แท้จริง” ที่อยู่เบื้องหลัง

เพราะท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจทางการเงินที่ดีที่สุด ไม่ได้เกิดจากความรู้สึก แต่เกิดจากความเข้าใจในตัวเลขทั้งหมดอย่างแท้จริง

References : [krungsri, ptt-autogas, solarhub, autolifethailand, goodyear]

Geek Story EP490 : Apple กำลังเดินตามรอย IBM? วงจรล่มสลายของยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี

เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เคยเป็นเจ้าแห่งนวัตกรรม พอถึงจุดหนึ่งกลับดูเหมือนจะหยุดนิ่ง และค่อย ๆ ถูกคลื่นลูกใหม่แซงหน้าไป เรื่องราวแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่มันเป็นเหมือนวงจรที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์

เราเคยเห็นภาพนี้มาแล้วกับ IBM ในยุคที่คอมพิวเตอร์เมนเฟรมครองโลก เราเคยเห็นมันกับ Xerox ที่เคยเป็นคำพ้องความหมายกับการถ่ายเอกสาร หรือแม้กระทั่ง Microsoft ในยุค 90 ที่ดูเหมือนจะไม่มีใครโค่นลงได้

บริษัทเหล่านี้เริ่มต้นจากการสร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลก จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผูกขาดตลาด แต่แล้วความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นั้นเอง กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเสื่อมถอย วันนี้เราจะมาคุยกันในหัวข้อที่น่าสนใจมาก ๆ ว่า Apple ในวันนี้ กำลังเดินซ้ำรอยประวัติศาสตร์เหล่านั้นหรือไม่ กำลังจะกลายเป็น IBM ยุคใหม่ ที่การตลาดได้เอาชนะนวัตกรรมไปแล้วจริงหรือเปล่า เรื่องราวนี้มีอะไรซ่อนอยู่

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2npewp62

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/z4wphwyy

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/5cnzpe2v

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/_rDBACtRkVc

เบื้องหลังดีลประวัติศาสตร์ เมื่อ Nvidia ไม่ใช่แค่ผู้ขาย แต่จะร่วมลงทุนกับ Elon Musk

ถ้าถามว่าทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในศตวรรษที่ 21 คืออะไร หลายคนอาจจะนึกถึงน้ำมัน, ทองคำ หรือข้อมูล แต่ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังจะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล คำตอบอาจจะเป็นสิ่งที่จับต้องได้ยากกว่านั้น นั่นคือ “พลังการประมวลผล”

และตอนนี้ ชายที่ส่งจรวดไปดาวอังคารและสร้างรถยนต์ไฟฟ้าให้เป็นที่นิยมทั่วโลกอย่าง Elon Musk กำลังจะทุ่มเงินมหาศาลเพื่อครอบครองทรัพยากรที่ว่านี้

xAI บริษัทปัญญาประดิษฐ์น้องใหม่ที่ Elon Musk ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือการสร้าง AI ที่มีความสามารถทัดเทียมหรืออาจจะเหนือกว่ามนุษย์

แต่การจะสร้าง “สมอง” ที่ฉลาดที่สุดในโลกได้นั้น มันจำเป็นต้องมีส่วนประกอบที่สำคัญที่สุด และส่วนประกอบที่ว่านี้ก็กำลังขาดแคลนและเป็นที่ต้องการของคนทั้งโลก

สิ่งนั้นคือชิปประมวลผลกราฟิก หรือ GPU จากบริษัทที่ชื่อว่า Nvidia ซึ่งเปรียบเสมือนเซลล์ประสาทนับล้านล้านเซลล์ ที่จะประกอบกันขึ้นเป็นสมองกลอัจฉริยะ

นี่คือที่มาของแผนการครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อมีรายงานว่า xAI กำลังวางแผนระดมทุนก้อนมหึมา ที่มีมูลค่าสูงถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ เจ็ดแสนสี่หมื่นล้านบาท

คำถามสำคัญคือ ทำไมเขาถึงต้องการเงินมากมายมหาศาลขนาดนั้น? และทำไมเงินทั้งหมดนี้ ถึงมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่การซื้อชิปจากบริษัทเดียวเป็นหลัก

เรื่องราวนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของธุรกิจและเทคโนโลยี แต่มันคือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ที่อาจจะกำหนดทิศทางอนาคตของมวลมนุษยชาติเลยก็ว่าได้

หากย้อนกลับไปในยุคตื่นทองที่แคลิฟอร์เนียราวปี 1849 ผู้คนที่ร่ำรวยที่สุด ไม่ใช่คนที่ขุดเจอทองเสมอไป แต่คือคนที่ขายพลั่ว, จอบ และอุปกรณ์ให้กับนักขุดทอง

วันนี้เรากำลังอยู่ในยุคตื่นทองครั้งใหม่ นั่นคือยุคตื่น AI ทุกบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Google, Microsoft หรือ Meta ต่างก็กระโจนเข้ามาเป็น “นักขุดทอง” กันอย่างบ้าคลั่ง

และบริษัทที่รับบทเป็นคนขาย “พลั่ว” ที่ดีที่สุดในยุคนี้ก็คือ Nvidia นั่นเอง ชิป GPU ของพวกเขากลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ สำหรับใครก็ตามที่ต้องการสร้าง AI ที่ทรงพลัง

Elon Musk เข้าใจเกมนี้ดีกว่าใคร เขาเห็นคู่แข่งอย่าง OpenAI ที่ได้รับการหนุนหลังจาก Microsoft หรือ DeepMind ที่มีทรัพยากรแทบไม่จำกัดของ Google การที่ xAI ซึ่งเป็นผู้เล่นหน้าใหม่จะลงสนามแข่งได้ เขาต้องมี “พลั่ว” ที่ดีที่สุดและมากที่สุดเท่าที่จะหาได้

นี่จึงเป็นที่มาของตัวเลข 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มากพอจะสั่นสะเทือนวงการการเงินและเทคโนโลยีไปพร้อมๆ กัน

เป้าหมายของเงินก้อนนี้ชัดเจนมาก นั่นคือการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์แห่งอนาคต เพื่อเป็นโรงงานผลิตปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง หรือที่เรียกกันว่า AGI (Artificial General Intelligence)

AGI ไม่ใช่ AI ทั่วไปที่เราใช้กันทุกวันนี้ แต่มันคือ AI ที่มีความเข้าใจ มีเหตุผล และเรียนรู้ได้หลากหลายเหมือนมนุษย์ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์

ปัจจุบัน xAI มีซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ชื่อว่า Colossus ซึ่งใช้ชิป GPU รุ่นท็อปอย่าง Nvidia H100 ไปแล้วหลายหมื่นตัว แต่นั่นเป็นเพียงแค่การอุ่นเครื่องเท่านั้น

แผนการต่อไปคือการขยายขนาดของ Colossus ให้มีชิป GPU มากถึง 200,000 ตัว และเป้าหมายสุดท้ายคือการสร้าง Colossus 2 ซึ่งอาจต้องใช้ชิปมากถึงหนึ่งล้านตัวเลยทีเดียว

ลองนึกภาพตามนะครับ ชิป H100 หนึ่งตัวมีราคาเฉลี่ยราว 3-4 หมื่นดอลลาร์ การจะซื้อชิปให้ได้หนึ่งล้านตัว อาจต้องใช้เงินสูงถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าเงินที่ระดมทุนในรอบนี้เสียอีก

แต่เรื่องราวที่น่าสนใจที่สุดของดีลนี้ มันมีอะไรที่ซับซ้อนไปกว่าการเป็นแค่ผู้ซื้อกับผู้ขาย เพราะมีรายงานว่า Nvidia เองก็จะเข้ามาร่วมลงทุนใน xAI ด้วย

นี่คือจุดที่ทำให้เรื่องราวแตกต่างไปจากยุคตื่นทองในอดีต มันเหมือนกับว่าคนขายพลั่วที่รวยที่สุด ไม่ได้แค่ขายอุปกรณ์ แต่ยังมองขาดว่าเหมืองไหนมีแววจะเจอทองมากที่สุด แล้วตัดสินใจเข้าไปร่วมลงทุนในเหมืองนั้นด้วยตัวเองเลย

ดีลนี้จึงเป็นสถานการณ์ที่ Win-Win สำหรับ Nvidia อย่างแท้จริง ในด้านหนึ่ง พวกเขาได้ลูกค้ารายใหญ่ที่สั่งซื้อสินค้าล็อตมโหฬาร และในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็ได้เป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัท AI ที่มีโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดดในอนาคต

การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นว่า Nvidia ไม่ได้มองตัวเองเป็นแค่ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์อีกต่อไป แต่กำลังวางตำแหน่งตัวเองเป็นศูนย์กลางของระบบนิเวศ AI ทั้งหมด

แน่นอนว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การทุ่มเงินมหาศาลไปกับฮาร์ดแวร์ที่ราคาแพงและตกรุ่นเร็วมาก ถือเป็นความเสี่ยงทางการเงินที่สูงลิ่ว

มีการประเมินกันว่าแค่ในปี 2025 ปีเดียว xAI อาจจะต้อง “เผาเงินสด” หรือใช้จ่ายเงินไปกับการดำเนินงานสูงถึง 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

นอกจากนี้ เงินทุนส่วนใหญ่ยังมาจากหนี้สิน ซึ่งหมายความว่า xAI ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยและการชำระคืนมหาศาล หากโมเดล AI ที่พัฒนาขึ้นมาไม่สามารถสร้างรายได้ตามที่คาดหวัง ก็อาจจะนำมาซึ่งวิกฤตทางการเงินได้

นี่คือการเดิมพันที่แท้จริง ระหว่างวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ของ Elon Musk กับความเป็นจริงอันโหดร้ายของโลกธุรกิจ ที่ทุกอย่างวัดกันที่ผลกำไรและกระแสเงินสด

แต่สำหรับชายคนนี้ ความเสี่ยงดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของ DNA ของเขาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น SpaceX ที่เคยเกือบล้มละลาย หรือ Tesla ที่เคยถูกปรามาสว่าจะไปไม่รอด

หลายคนอาจมองว่า Musk เป็นนักฝันที่บ้าบิ่น แต่ทุกการเคลื่อนไหวของเขามักจะมีภาพใหญ่ซ่อนอยู่เสมอ การสร้าง xAI ก็เช่นกัน

ลองจินตนาการดูว่า ถ้า xAI สามารถสร้าง AGI ที่ทรงพลังขึ้นมาได้จริงๆ มันจะกลายเป็น “สมองกลาง” ที่เชื่อมต่ออาณาจักรทั้งหมดของเขาเข้าไว้ด้วยกัน

มันอาจจะถูกนำไปใช้พัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบของรถยนต์ Tesla ให้สมบูรณ์แบบ, ใช้ในการคำนวณภารกิจที่ซับซ้อนเพื่อส่งมนุษย์ไปดาวอังคารของ SpaceX หรือแม้กระทั่งทำงานร่วมกับชิปฝังสมองของ Neuralink

xAI จึงไม่ใช่แค่บริษัท AI อีกแห่งหนึ่ง แต่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่สุด ที่จะมาเติมเต็มวิสัยทัศน์ทั้งหมดของ Elon Musk ให้กลายเป็นความจริง

ดังนั้น บทสรุปของเรื่องนี้จึงเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่การระดมทุน มันคือการประกาศอย่างเป็นทางการว่ามนุษยชาติกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการแข่งขันทางเทคโนโลยี

การแข่งขันครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อแย่งชิงดินแดนหรือทรัพยากรธรรมชาติ แต่เป็นการแข่งขันเพื่อสร้าง “สติปัญญา” ในรูปแบบใหม่ขึ้นมา

หาก xAI ทำสำเร็จ มันอาจจะช่วยให้เราค้นพบวิธีรักษโรคร้าย, แก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ หรือปลดล็อกความลับของจักรวาลได้

แต่ในทางกลับกัน มันก็มาพร้อมกับคำถามสำคัญด้านจริยธรรมและความปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ Musk เองก็เคยออกมาแสดงความกังวลอยู่บ่อยครั้ง

การที่เขากระโดดลงมาสร้าง AI ด้วยตัวเอง จึงอาจเป็นหนทางเดียวที่เขาจะมั่นใจได้ว่า เทคโนโลยีที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์นี้ จะถูกพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติอย่างแท้จริง

เรื่องราวของ xAI และ Nvidia จึงเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนภาพอนาคต มันบอกเราว่าสนามรบที่สำคัญที่สุดในยุคต่อไป จะไม่ได้สู้กันด้วยอาวุธ แต่จะสู้กันด้วยพลังการประมวลผลและอัลกอริทึม

ดีล 2 หมื่นล้านดอลลาร์นี้ จึงไม่ใช่แค่ตัวเลขในข่าวเศรษฐกิจ แต่เป็นเสียงปืนที่ดังขึ้นเพื่อบอกว่า การแข่งขันเพื่อสร้างอนาคตได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ และผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้ อาจจะได้ครอบครองกุญแจที่จะไขประตูสู่โลกยุคต่อไปเลยก็เป็นได้

References : [reuters, bloomberg, forbes, techcrunch, x .ai]