“รถ EV ประหยัดกว่าตั้งเยอะ”
ประโยคสั้นๆ ที่เราได้ยินกันจนคุ้นหูในยุคนี้ บ้างก็เป็นคนพูดเอง บ้างก็ได้ยินเพื่อนพูดกรอกหู และดูเหมือนจะเป็นความจริงที่เถียงได้ยาก
เมื่อเราเหลือบมองราคาน้ำมันที่ป้ายหน้าปั๊ม ที่เติมหนึ่งครั้งอาจต้องควักเงินสองพันกว่าบาท เทียบกับค่าชาร์จไฟรถ EV ที่บ้านซึ่งจ่ายแค่หลักร้อย คำตอบก็ดูเหมือนจะชัดเจนอยู่ในตัว
แต่หากการตัดสินใจที่ดูเรียบง่ายนี้ กำลังเป็นกับดักทางการเงินครั้งใหญ่ ที่ซ่อนอยู่ใต้พรมของเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก เรื่องราวทั้งหมดอาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
วันนี้เราจะไม่ได้มาคุยกันแค่เรื่องรถยนต์ แต่จะเจาะลึกไปถึง “วิธีคิด” เพื่อมองให้ทะลุตัวเลขที่เราเห็นกันผิวเผิน และค้นหา “ความจริงของต้นทุน” ที่ซ่อนอยู่ ทั้งในรถยนต์ไฟฟ้า และไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์
เราต้องยอมรับว่าโลกกำลังหมุนเข้าสู่ยุคใหม่ รัฐบาลทั่วโลกต่างผลักดันนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งมาตรการอุดหนุน และการลดหย่อนภาษี จนทำให้ราคารถ EV หลายรุ่นในวันนี้ สามารถลงมาแข่งขันกับรถยนต์สันดาปภายใน หรือที่เรียกกันว่ารถ ICE ได้แล้ว
ภาพที่ทุกคนเห็นตรงกันคือความแตกต่างของค่าพลังงาน ที่เปรียบได้กับศึกระหว่างยักษ์กับคนแคระ
ลองจินตนาการตามดูง่ายๆ รถยนต์น้ำมันทั่วไปวิ่ง 1 กิโลเมตร มีต้นทุนค่าน้ำมันเฉลี่ยราว 1.5 – 4 บาทต่อกิโลเมตร ซึ่งแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทรถยนต์
ในขณะที่รถ EV หากชาร์จไฟที่บ้านในเวลากลางคืน อาจมีค่าใช้จ่ายเพียงกิโลเมตรละ 60 สตางค์ ตัวเลขที่ต่างกันถึง 3-6 เท่า
เมื่อเห็นแบบนี้ ใครๆ ก็ต้องยกให้ EV เป็นผู้ชนะ เป็นภาพแทนของอนาคตที่ประหยัดกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในวงการยานยนต์ กระแสเดียวกันยังพัดพาไปถึงเรื่องพลังงานในบ้าน เราได้ยินคำว่า “ติดโซลาร์เซลล์เหมือนได้ใช้ไฟฟรี” บ่อยขึ้น
ดวงอาทิตย์คือขุมพลังงานมหาศาลที่ไม่เคยเรียกเก็บเงิน การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา จึงเปรียบเสมือนการสร้างโรงไฟฟ้าส่วนตัว ที่ช่วยลดภาระค่าไฟในแต่ละเดือนลงได้อย่างมาก
นี่คือภาพฝันที่เทคโนโลยีหยิบยื่นให้แก่เรา ภาพอนาคตที่เราจะจ่ายน้อยลง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และยังได้ชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของการรักษ์โลก
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงของการเงินและการลงทุน ไม่มีคำว่า “ของฟรี” อยู่ในพจนานุกรม และทุกอย่างย่อมมี “ต้นทุน” ที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่
คำถามสำคัญก็คือ ต้นทุนที่ว่านั้นคืออะไร และเมื่อนำมันมาคำนวณรวมกันทั้งหมดแล้ว คำว่า “ประหยัดกว่า” ยังคงเป็นความจริงอยู่หรือไม่
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น เราต้องสวมบทบาทเป็นนักสืบทางการเงิน เพื่อเริ่มชำแหละตัวเลขทุกส่วนที่ประกอบกันขึ้นมา
หากเปรียบการแข่งขันนี้เป็นการชกมวย แค่ยกแรกในเรื่อง “ค่าพลังงาน” EV ก็ปล่อยหมัดน็อกใส่ ICE จนแทบจะลุกไม่ขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น ในยกต่อมาอย่าง “ค่าบำรุงรักษา” EV ก็ยังคงเป็นฝ่ายคุมเกมเอาไว้ได้
ลองนึกถึงความซับซ้อนของเครื่องยนต์สันดาป ที่มีชิ้นส่วนนับพันชิ้นเคลื่อนไหวและเสียดสีกันตลอดเวลา จึงจำเป็นต้องมีของเหลวหล่อลื่นและชิ้นส่วนสิ้นเปลือง เช่น น้ำมันเครื่อง หัวเทียน หรือไส้กรองต่างๆ ที่ต้องเปลี่ยนตามระยะทาง ซึ่งทั้งหมดคือค่าใช้จ่าย
ในทางกลับกัน มอเตอร์ไฟฟ้าของรถ EV มีโครงสร้างที่เรียบง่ายกว่ามาก ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อย ไม่ต้องการการเปลี่ยนถ่ายของเหลว การบำรุงรักษาส่วนใหญ่จึงเน้นไปที่ระบบช่วงล่าง ทำให้ตลอดอายุการใช้งานในระยะแสนกิโลเมตรแรก เจ้าของรถ EV อาจประหยัดเงินค่าบำรุงรักษาไปได้หลายหมื่นบาท
มาถึงจุดนี้ ดูเหมือนว่า EV จะเป็นผู้ชนะอย่างขาดลอย แต่สมรภูมินี้ยังไม่จบลงง่ายๆ
เพราะเรากำลังจะพูดถึงต้นทุนก้อนมหึมา ที่เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็งที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำ และเป็นตัวแปรที่พลิกสมการทั้งหมดให้ซับซ้อนขึ้น สิ่งนั้นเรียกว่า Depreciation หรือ “ค่าเสื่อมราคา”
ค่าเสื่อมราคา คือต้นทุนที่เกิดขึ้นเงียบๆ และอาจเป็นต้นทุนที่สูงที่สุดในการเป็นเจ้าของรถยนต์ มันคือมูลค่าที่หายไปในอากาศ ตั้งแต่วันแรกที่รถออกจากโชว์รูม เป็นต้นทุนที่ไม่เคยปรากฏบนใบเสร็จใดๆ
ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ ในตลาดรถยนต์มือสองของประเทศไทย ณ ปัจจุบัน รถ EV ยังมีอัตราค่าเสื่อมราคาที่สูงกว่ารถยนต์น้ำมัน
หากเราซื้อรถสองคันในราคา 1 ล้านบาทเท่ากัน ผ่านไป 5 ปี รถยนต์น้ำมันอาจขายต่อได้ในราคา 500,000 บาท เท่ากับว่าค่าเสื่อมราคาคือ 500,000 บาท
แต่รถ EV ในวันนี้ อาจขายต่อได้เพียง 350,000 บาท ทำให้ค่าเสื่อมราคาพุ่งสูงขึ้นเป็น 650,000 บาท ส่วนต่าง 150,000 บาทนี้ คือต้นทุนแฝงก้อนใหญ่ที่ต้องนำมาคิด
เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านี้ ยังมีต้นทุนปลีกย่อยอื่นๆ อีก เช่น ค่าเบี้ยประกันภัยรายปี ที่รถ EV มักจะสูงกว่าเล็กน้อย เนื่องจากมูลค่าของชิ้นส่วนและเทคโนโลยีที่ซับซ้อนกว่า รวมถึงค่าติดตั้ง Wall Charger ที่บ้าน ซึ่งเป็นเงินลงทุนก้อนแรกที่เจ้าของรถ EV ต้องจ่ายเพิ่ม ซึ่งในรถบางรุ่นอาจจะแถมมาให้ฟรี
เมื่อนำต้นทุนที่ซ่อนอยู่เหล่านี้มากางบนโต๊ะ การแข่งขันที่เคยดูเหมือนจะจบลงอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นการต่อสู้ที่สูสีขึ้นมาทันที
ฝั่งหนึ่งโดดเด่นเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่ายรายวัน แต่อีกฝั่งหนึ่งกลับรักษา “มูลค่า” ของตัวเองไว้ได้ดีกว่า
ทีนี้ ลองย้ายสมรภูมิมาที่เรื่องโซลาร์เซลล์ แนวคิด “ไฟฟ้าฟรี” นั้นเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจอย่างมาก แต่ความจริงก็คือ ก่อนจะได้มาซึ่งไฟฟ้าฟรี เราต้องลงทุนกับ “เครื่องมือผลิตไฟฟ้า” เสียก่อน
การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์สำหรับบ้านพักอาศัย มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นตั้งแต่หลักแสนถึงหลายแสนบาท นี่คือเงินลงทุนก้อนแรกที่ต้องจ่ายไป
และแม้ดวงอาทิตย์จะไม่เคยส่งใบแจ้งหนี้มาหาเรา แต่อุปกรณ์ต่างๆ ก็ต้องการการดูแลรักษา แผงโซลาร์เซลล์ต้องมีการทำความสะอาดเป็นประจำ เพราะฝุ่นเพียงเล็กน้อยก็อาจลดทอนประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าได้
แต่ตัวแปรสำคัญที่หลายคนอาจมองข้ามไป คืออุปกรณ์ที่เรียกว่า Inverter ซึ่งทำหน้าที่แปลงไฟฟ้าจากแผงโซลาร์ ให้กลายเป็นไฟฟ้ากระแสสลับที่เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเราใช้งานได้
เจ้า Inverter นี้มีอายุการใช้งานที่จำกัด โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8 ถึง 12 ปีเท่านั้น นั่นหมายความว่า ตลอดอายุการใช้งาน 25 ปีของแผงโซลาร์ เราอาจต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่หลายหมื่นบาท เพื่อเปลี่ยน Inverter อย่างน้อยหนึ่งถึงสองครั้ง
ดังนั้น กรอบความคิดที่ถูกต้องในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ จึงไม่ใช่ “การได้ใช้ไฟฟรี” แต่คือ “การลงทุนเพื่อรอวันคืนทุน”
มีคำศัพท์เฉพาะทางที่เรียกว่า Payback Period หรือ ระยะเวลาคืนทุน ซึ่งสำหรับประเทศไทยจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5 ถึง 10 ปี
นั่นหมายความว่า ไฟฟ้าที่เราผลิตได้ในช่วง 5-10 ปีแรก แท้จริงแล้วยังไม่ใช่ของฟรี แต่คือ “เงินผ่อน” ที่เรากำลังทยอยจ่ายคืนค่าระบบที่ลงทุนไป
“ช่วงเวลาแห่งการใช้ไฟฟรี” ที่แท้จริง จะเริ่มต้นขึ้นก็ต่อเมื่อเราเดินทางผ่านพ้นจุดคุ้มทุนนั้นไปแล้ว
จะเห็นได้ว่า ทั้งรถ EV และโซลาร์เซลล์ ต่างก็มีรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน คือมี “ต้นทุนที่มองไม่เห็น” ซ่อนอยู่มากมาย หากเรามองแค่ตัวเลขค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เราอาจกำลังตัดสินใจบนข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
แล้วเราจะหาทางออกจากสมรภูมิตัวเลขที่สับสนวุ่นวายนี้ได้อย่างไร คำตอบไม่ได้อยู่ที่เครื่องคิดเลข แต่อยู่ที่ “กรอบความคิด” ที่ถูกต้อง
ในโลกของการเงินและการจัดการสินทรัพย์ มีแนวคิดหนึ่งที่ทรงพลัง และเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขปริศนาทั้งหมดในเรื่องนี้ แนวคิดนั้นมีชื่อว่า Total Cost of Ownership หรือ TCO
หากแปลเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย มันคือ “ต้นทุนรวมตลอดอายุการใช้งาน” หรือถ้าจะให้เจาะจงลงไปที่เรื่องรถยนต์ มันก็คือ “ต้นทุนต่อกิโลเมตรที่แท้จริง”
วิธีคิดแบบ TCO คือการกวาดเอาค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ที่เราคุยกันมาทั้งหมด มารวมไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน แล้วหารด้วยระยะเวลา หรือระยะทางที่เราคาดว่าจะใช้งานมัน
ลองจินตนาการว่าเรากำลังทำบัญชีให้กับรถหนึ่งคัน ตลอดระยะเวลา 8 ปี ที่เราจะเป็นเจ้าของมัน
เราต้องใส่ค่าใช้จ่ายทุกอย่างลงไปในสมการ ทั้งต้นทุนคงที่อย่างค่าเสื่อมราคา, ค่าประกันภัย 8 ปี, ค่าภาษี 8 ปี และต้นทุนผันแปรอย่างค่าพลังงาน, ค่าบำรุงรักษา, ค่าเปลี่ยนยาง
เมื่อเรารวม “รายจ่ายทั้งหมด” ตลอด 8 ปีได้แล้ว ก็นำตัวเลขนั้นมาหารด้วยระยะทางที่เราคาดว่าจะวิ่ง สมมติว่าเป็นระยะทาง 160,000 กิโลเมตร
ผลลัพธ์ที่ได้ออกมา คือตัวเลข “บาทต่อกิโลเมตร” ที่เป็นต้นทุนที่แท้จริง และยุติธรรมที่สุดในการเปรียบเทียบ
และเมื่อนำวิธีคิดนี้มาใช้คำนวณ ผลลัพธ์ที่น่าสนใจก็คือ…
แม้ว่ารถ EV จะมีค่าเสื่อมราคาที่สูงกว่าในช่วงแรก แต่ด้วยความได้เปรียบอย่างมหาศาล จากค่าพลังงานและค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่ามาก ทำให้เมื่อมองภาพรวมในระยะยาวแล้ว ต้นทุนต่อกิโลเมตรที่แท้จริงของรถ EV มักจะต่ำกว่ารถยนต์น้ำมัน
จะเห็นได้ว่า คำตอบสุดท้ายยังคงเหมือนเดิม คือ “EV ประหยัดกว่า” แต่ “เหตุผล” ที่นำไปสู่คำตอบนั้น กลับลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าที่เราเคยเข้าใจ มันไม่ใช่แค่เพราะค่าไฟถูก แต่เป็นเพราะภาพรวมของต้นทุนทั้งหมด ตลอดช่วงชีวิตของการเป็นเจ้าของ
เพราะฉะนั้นการตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ ทางการเงิน ไม่สามารถมองแค่ “ราคาซื้อ” หรือ “ค่าใช้จ่ายรายเดือน” ได้อีกต่อไป
เราต้องเปลี่ยนมุมมองจาก “ผู้ซื้อ” มาเป็นมุมมองของ “เจ้าของ” ที่ต้องมองภาพรวมของต้นทุนทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถคันใหม่ ติดตั้งโซลาร์เซลล์ หรือแม้แต่การซื้ออสังหาริมทรัพย์ ลองใช้กรอบความคิดแบบ TCO เข้าไปจับดู
ถามตัวเองเสมอว่า… นอกจากราคาที่ต้องจ่ายในวันนี้ มีค่าใช้จ่ายอะไรอีกบ้างที่จะตามมาในอนาคต
มูลค่าของสินทรัพย์ชิ้นนี้ในอีก 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
และเมื่อรวมทุกอย่างแล้ว ต้นทุนที่แท้จริงต่อหน่วยการใช้งานคือเท่าไหร่
โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีใหม่ๆ จะเข้ามาเสนอทางเลือกที่น่าตื่นตาตื่นใจให้เราเสมอ แต่หน้าที่ของเราในฐานะผู้บริโภคที่ชาญฉลาด คือการมองให้ทะลุคำโฆษณาที่สวยหรู และทำความเข้าใจ “ต้นทุนที่แท้จริง” ที่อยู่เบื้องหลัง
เพราะท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจทางการเงินที่ดีที่สุด ไม่ได้เกิดจากความรู้สึก แต่เกิดจากความเข้าใจในตัวเลขทั้งหมดอย่างแท้จริง
References : [krungsri, ptt-autogas, solarhub, autolifethailand, goodyear]