Geek Story EP489 : ใครฆ่า KERRY EXPRESS? วิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้ราชาต้องยอมจำนน

วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องราวของแบรนด์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของการช้อปปิ้งออนไลน์ในเมืองไทย เป็นแบรนด์ที่แค่เห็นโลโก้สีส้ม ทุกคนก็รู้ทันทีว่า “ของมาส่งแล้ว” ใช่ครับ เรากำลังพูดถึง Kerry Express

เรื่องราวของ Kerry Express คือมหากาพย์ทางธุรกิจที่น่าทึ่ง มันคือเรื่องของยักษ์ใหญ่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นขวัญใจมหาชน และเข้าตลาดหลักทรัพย์อย่างยิ่งใหญ่ แต่แล้วในเวลาเพียงไม่กี่ปี ยักษ์ใหญ่ตนนี้กลับต้องเผชิญกับมรสุมลูกแล้วลูกเล่า จนนำไปสู่การตัดสินใจอำลาตลาดหุ้นไปในที่สุด

คำถามคือ…มันเกิดอะไรขึ้น? จากราชาผู้ครองบัลลังก์อย่างไร้เทียมทาน Kerry พลาดท่าในสงครามครั้งนี้ได้อย่างไร?

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yyj7hpp5

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/y3d63ypk

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/mz92yvyn

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/TlK2LyB1F2Y

การแก้แค้น Adobe ของ Figma ดีลล่มสะท้านโลก เมื่อผู้ถูกล่ากลายมาเป็นผู้ล่าเสียเอง

เคยรู้สึกไหมครับว่า เรากำลังพึ่งพาผลิตภัณฑ์หรือบริการอะไรบางอย่างมากเกินไปจนถึงจุดที่รู้สึกว่า ถึงแม้เราจะไม่พอใจแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า และจำใจต้องใช้มันต่อไป

เรื่องราวที่เราจะคุยกันในวันนี้ คือความรู้สึกแบบนั้นในสเกลที่ใหญ่ระดับโลก มันคือมหากาพย์ของยักษ์ใหญ่ผู้ครองบัลลังก์ กับผู้ท้าชิงหน้าใหม่ที่เกือบจะถูกกำจัด แต่กลับพลิกชะตาขึ้นมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

นี่คือเรื่องราวของ Adobe และ Figma ครับ

ถ้าเราพูดถึงโลกแห่งการสร้างสรรค์ ชื่อของ Adobe ก็เปรียบเสมือนจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ที่ครองอาณาจักรนี้มาอย่างยาวนาน

ไม่ว่าจะเป็น Photoshop สำหรับตกแต่งภาพถ่าย, Illustrator สำหรับงานวาดและกราฟิก, หรือ Premiere Pro สำหรับการตัดต่อวิดีโอ

โปรแกรมเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือ แต่คือมาตรฐานของอุตสาหกรรม ที่คนทำงานสายนี้หลายล้านคนทั่วโลกขาดไม่ได้

Adobe สร้างอาณาจักรที่มั่นคงและดูเหมือนจะไม่มีใครโค่นล้มลงได้ง่ายๆ มานานหลายทศวรรษ

แต่อำนาจที่ไร้คู่แข่ง ก็มักจะมาพร้อมกับด้านมืดบางอย่าง

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้หลายคนเริ่มอึดอัด คือตอนที่ Adobe เปลี่ยนโมเดลธุรกิจ จากการขายโปรแกรมแบบซื้อขาด มาเป็นระบบสมัครสมาชิกรายเดือนหรือรายปีที่ชื่อว่า “Creative Cloud”

ในตอนแรก มันก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดี ที่ทำให้เราเข้าถึงโปรแกรมราคาแพงได้ง่ายขึ้น และได้ใช้เวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกของการ “เป็นเจ้าของ” ซอฟต์แวร์ได้หายไป กลายเป็นการ “เช่าใช้” ที่ไม่มีวันสิ้นสุด

และสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้ผู้ใช้มากที่สุด คือ “ค่าธรรมเนียมการยกเลิกสัญญา” ที่ซับซ้อนและไม่เป็นธรรม

ลองนึกภาพตามนะครับ เราสมัครแพ็กเกจรายปีเพราะเห็นว่าราคาถูกกว่า แต่เลือกจ่ายเป็นรายเดือน พอใช้ไปสักพักแล้วอยากยกเลิกกลางคัน

Adobe จะเรียกเก็บค่าปรับจากเรา เป็นจำนวนถึง 50% ของสัญญาที่เหลืออยู่ทั้งหมด มันคือกับดักที่ทำให้หลายคนจำใจต้องเป็นสมาชิกต่อไป

ความรู้สึกอึดอัดนี้ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น เหมือนรอวันที่จะมีใครสักคนเข้ามาทลายกำแพงแห่งการผูกขาดนี้ลง

แล้วผู้ท้าชิงคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้น…

Figma คือสตาร์ทอัพที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 โดยพวกเขามองเห็นช่องว่างในตลาดและเลือกที่จะทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ Adobe แทบทุกอย่าง

Figma เป็นโปรแกรมออกแบบ UI/UX ที่ทำงานบนเบราว์เซอร์ได้เลย ไม่ต้องติดตั้งให้วุ่นวาย ทำให้มันเบาและรวดเร็ว

จุดเด่นที่สุดของมันคือฟีเจอร์การทำงานร่วมกัน (Collaboration) ที่เหมือนกับการใช้ Google Docs แต่สำหรับงานออกแบบ ทุกคนในทีมสามารถเข้ามาแก้ไขและแสดงความเห็นได้พร้อมกันแบบเรียลไทม์

และที่สำคัญที่สุด คือ Figma มีเวอร์ชันให้ใช้งานฟรี ที่ทรงพลังมากพอสำหรับงานส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาไม่ได้จาก Adobe

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ Figma จึงเติบโตอย่างก้าวกระโดด และกลายเป็นขวัญใจของนักออกแบบรุ่นใหม่ทั่วโลก

แน่นอนว่าการเติบโตนี้ ไปเข้าตาของจักรพรรดิอย่าง Adobe เข้าอย่างจัง

Adobe มองเห็นภัยคุกคามที่ชัดเจน และพวกเขาก็เลือกที่จะใช้กลยุทธ์เก่าแก่ที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในอดีต นั่นคือ “ถ้าเอาชนะไม่ได้ ก็ซื้อมันซะ”

เราต้องย้อนกลับไปในอดีต เพื่อจะเข้าใจความคิดของ Adobe ในตอนนั้น Adobe เคยมีคู่แข่งตัวฉกาจที่ชื่อว่า FreeHand ซึ่งเป็นโปรแกรมที่นักออกแบบจำนวนมากหลงรัก

แล้ว Adobe ทำอย่างไร? พวกเขาไม่ได้สู้ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่เลือกที่จะเข้าซื้อบริษัท Macromedia ซึ่งเป็นเจ้าของ FreeHand ในปี 2005

หลังจากนั้นไม่นาน Adobe ก็ค่อยๆ ยุติการพัฒนา FreeHand ปล่อยให้มันตายไปอย่างช้าๆ และบีบให้ผู้ใช้งานทั้งหมดต้องย้ายมาใช้ Illustrator แทน

มันเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลอย่างสมบูรณ์

ดังนั้น ในเดือนกันยายน ปี 2022 เมื่อมีข่าวประกาศว่า Adobe กำลังจะเข้าซื้อ Figma ด้วยเม็ดเงินมหาศาลถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์

ทุกคนในวงการต่างก็คิดเหมือนกันว่า ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอย Figma กำลังจะหายไป และอนาคตของนวัตกรรมในวงการนี้อาจจะต้องหยุดลง

แต่ดูเหมือนว่ามหากาพย์ครั้งนี้ จะไม่ได้จบลงง่ายๆ เหมือนในอดีต

ดีลการซื้อขายระดับโลกขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของเงิน แต่เป็นเรื่องของอำนาจและการผูกขาด เมื่อข่าวแพร่ออกไป หน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าทั่วโลกก็เริ่มเข้ามาตรวจสอบอย่างละเอียด

โดยเฉพาะในยุโรป ทั้งหน่วยงาน CMA ของสหราชอาณาจักร และคณะกรรมาธิการยุโรป ต่างก็มองว่าดีลนี้อาจสร้างปัญหาใหญ่

พวกเขามองว่า ถ้า Adobe ซึ่งเป็นเจ้าตลาดอยู่แล้ว ได้ Figma ซึ่งเป็นคู่แข่งอันดับหนึ่งไป ก็จะเท่ากับว่าการแข่งขันในตลาดซอฟต์แวร์ดีไซน์จะหายไปทันที

แล้วเมื่อไม่มีการแข่งขัน ใครจะเดือดร้อนที่สุด? คำตอบก็คือผู้บริโภคอย่างเราๆ นั่นเอง

ตลอดทั้งปี 2023 Adobe พยายามอย่างหนักที่จะเจรจา เพื่อให้ดีลนี้ได้รับการอนุมัติ แต่กำแพงด้านกฎระเบียบนั้นแข็งแกร่งเกินไป

จนกระทั่งในเดือนธันวาคม ปี 2023 เรื่องที่หลายคนภาวนาแต่ไม่คิดว่าจะเป็นจริงก็เกิดขึ้น Adobe และ Figma ได้ประกาศ “ยกเลิก” ข้อตกลงการควบรวมกิจการอย่างเป็นทางการ

ข่าวนี้สร้างความยินดีให้กับผู้ใช้งาน Figma ทั่วโลก แต่เรื่องที่น่าทึ่งที่สุดมันกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

ในสัญญาการซื้อขาย มีเงื่อนไขข้อหนึ่งที่เรียกว่า “Reverse Breakup Fee” อยู่ด้วย

มันคือค่าปรับที่ฝ่ายผู้ซื้ออย่าง Adobe จะต้องจ่ายให้กับฝ่ายผู้ขายอย่าง Figma หากดีลล่มลงด้วยเหตุผลที่มาจากฝั่งของผู้ซื้อเอง

ซึ่งในกรณีนี้ คือการที่ไม่สามารถผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานรัฐได้นั่นเอง

แล้วค่าปรับที่ว่านี้เป็นเงินเท่าไหร่?

คำตอบคือ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ!

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ก่อนหน้านี้ Figma ใช้เวลาหลายปีในการระดมทุนจากนักลงทุนมาได้ทั้งหมดประมาณ 333 ล้านดอลลาร์

แต่นี่คือการได้รับเงินสดก้อนเดียว เป็นจำนวน 3 เท่าของเงินทุนทั้งหมดที่เคยมีมาตลอดทั้งบริษัท

มันคือความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์ของ Adobe พวกเขาไม่เพียงแต่กำจัดศัตรูไม่สำเร็จ แต่กลับมอบเงินทุนมหาศาลให้ศัตรูเอาไปสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งกว่าเดิม

ในขณะที่ Figma กำลังเฉลิมฉลองกับโชคชะตาที่พลิกผัน Adobe กลับต้องเผชิญกับมรสุมลูกใหม่

พวกเขาถูก FTC ซึ่งเป็นหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคของสหรัฐฯ ยื่นฟ้องร้องอย่างเป็นทางการในปี 2024 ในประเด็นเรื่องค่าธรรมเนียมการยกเลิกที่ไม่เป็นธรรม

บัลลังก์ของจักรพรรดิที่เคยดูมั่นคง ตอนนี้เริ่มสั่นคลอนอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อ Figma ได้รับเงินทุนก้อนใหญ่มหาศาล พวกเขาก็ไม่รอช้าที่จะเดินหน้าเต็มกำลัง เงินก้อนนี้ไม่ได้ถูกใช้ไปอย่างสูญเปล่า แต่ถูกนำมาต่อยอดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และขยายทีมงานให้ใหญ่ขึ้น

Figma ได้เปิดตัวเครื่องมือใหม่ๆ ที่นอกเหนือไปจากการออกแบบ UI/UX ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าพวกเขากำลังจะขยายสมรภูมิรบไปท้าชนกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Adobe โดยตรง

และเพื่อตอกย้ำความสำเร็จ ในวันที่ 31 กรกฎาคม ปี 2025 Figma ก็ได้ทำการ IPO เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ

การ IPO ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้บริษัทระดมทุนเพิ่มได้อีกมหาศาล แต่ยังเป็นการประกาศอิสรภาพและศักยภาพของพวกเขาให้โลกได้รับรู้อย่างเป็นทางการ

Figma ไม่ใช่แค่ดาวรุ่งอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่พร้อมจะแข่งขันในเวทีระดับโลกแล้ว

แล้วจักรพรรดิอย่าง Adobe ล่ะ? พวกเขายอมแพ้แล้วหรือ?

คำตอบคือไม่เลย ยักษ์ใหญ่ที่มีรายได้มหาศาลและมีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นทั่วโลก ไม่ได้ล้มลงง่ายๆ

แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือ “วิธีการ” ที่พวกเขาต้องใช้ในการต่อสู้ จากเดิมที่เคยใช้วิธี “ซื้อเพื่อฆ่า” ตอนนี้ Adobe ถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องกลับมาแข่งขันด้วย “นวัตกรรม”

เราได้เห็น Adobe ทุ่มเททรัพยากรอย่างหนักในการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่าง Firefly เพื่อสร้างจุดแข็งใหม่ๆ ที่คู่แข่งยังตามไม่ทัน

พวกเขาเริ่มปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น และเริ่มรับฟังเสียงของผู้ใช้งานมากกว่าเดิม เพราะตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่า ถ้าผลิตภัณฑ์ของพวกเขาไม่ดีพอ ลูกค้าก็มีทางเลือกอื่นที่แข็งแกร่งรออยู่

สุดท้ายแล้ว ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากมหากาพย์ครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่ Figma หรือ Adobe

แต่คือพวกเราทุกคน ที่เป็นคนทำงานสร้างสรรค์และเป็นผู้บริโภค

การสิ้นสุดของยุคผูกขาด ได้นำมาซึ่งการเริ่มต้นของยุคแห่งการแข่งขันที่แท้จริง

การแข่งขันจะผลักดันให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น ราคาที่เป็นธรรมมากขึ้น และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เราไม่เคยจินตนาการถึง

เรื่องราวของ Adobe และ Figma ได้กลายเป็นกรณีศึกษาทางธุรกิจที่สำคัญ ที่สอนให้เรารู้ว่า ไม่มีอำนาจใดที่คงอยู่ตลอดไป และบางครั้ง ความพยายามที่จะกำจัดคู่แข่ง ก็อาจกลายเป็นการสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดขึ้นมาด้วยมือของเราเอง.

References : [theverge, techcrunch, ftc, reuters, wikipedia]

Apple Dream (Team) กับ 5 ปัญจเทพผู้เปลี่ยนซากปรักหักพังสู่ความรุ่งโรจน์ครั้งใหม่ของ Apple

หลายคนอาจจะคิดว่า iPhone คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ความจริงแล้วนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมด

จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติที่แท้จริง แนวคิดที่เปลี่ยน Apple จากบริษัทคอมพิวเตอร์ให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค มันเริ่มต้นจากอุปกรณ์เล็ก ๆ ที่ชื่อว่า iPod

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในปี 1985 ปีที่ Steve Jobs ชายผู้ร่วมก่อตั้ง Apple ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาสร้างมากับมือในวัยเพียง 30 ปี มันคือจุดตกต่ำที่สุดในชีวิตของเขา

แต่ในอีก 10 ปีต่อมา โชคชะตาก็เล่นตลก ในปี 1995 ขณะที่ Jobs อายุ 40 ปี เขากลับมาผงาดอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่

ปีนั้นคือปีที่ภาพยนตร์เรื่อง Toy Story ที่เขาสร้างกับ Pixar ออกฉาย และสร้างปรากฏการณ์ไปทั่วโลก และในปีถัดมา Apple ที่กำลังอยู่ในภาวะวิกฤตก็ได้ตัดสินใจซื้อกิจการ NeXT บริษัทคอมพิวเตอร์ที่ Jobs ก่อตั้งขึ้นมาใหม่

การซื้อกิจการครั้งนี้ ทำให้ Steve Jobs ได้กลับคืนสู่บ้านที่เขารักอีกครั้ง

ในตอนนั้น CEO ของ Apple ที่ชื่อ Gil Amelio เป็นคนดึง Jobs กลับมาในตำแหน่งที่ปรึกษาพาร์ทไทม์ แต่สำหรับ Jobs แล้ว เขามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เขาต้องการทวงบัลลังก์ของเขากลับคืน

สภาพของ Apple ในช่วงเวลานั้นไม่ต่างอะไรจากซากปรักหักพัง สถานะทางการเงินของบริษัทเรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤต กำลังรอวันล้มละลาย

ทันทีที่ได้กลับเข้ามา Jobs ไม่รอช้า เขาเริ่มวางหมากด้วยการดึงคนสนิทที่ไว้ใจจาก NeXT เข้ามารับตำแหน่งสำคัญ ๆ และจัดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกรรมการบริหาร เพื่อควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ

Jobs รู้ดีว่า Apple ในฐานะบริษัทคอมพิวเตอร์ได้พ่ายแพ้ให้กับ Microsoft ไปแล้วอย่างสิ้นเชิง มันถึงเวลาแล้วที่ต้องสร้างบริษัทขึ้นมาใหม่ เปลี่ยน Apple ให้เป็นอย่างอื่น เป็นบริษัทที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้บริโภค

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจกอบกู้ที่โลกต้องจดจำ

ในเดือนกันยายน 1997 หลังจาก Jobs เข้ารับตำแหน่ง CEO รักษาการ เขาได้เรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงเพื่อปลุกขวัญและกำลังใจ

หนึ่งในผู้ฟังวันนั้นคือ Jony Ive ชายหนุ่มชาวอังกฤษวัย 30 ปี ผู้มีจิตใจละเอียดอ่อนและทุ่มเทให้กับงานออกแบบอย่างสุดหัวใจ

ก่อนที่ Jobs จะกลับมา Jony Ive รู้สึกเบื่อหน่ายและกำลังจะตัดสินใจลาออก เขาผิดหวังกับ Apple ที่มุ่งเน้นแต่ผลกำไร โดยไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์เลยแม้แต่น้อย

แต่คำพูดของ Jobs ในวันนั้น ได้เปลี่ยนใจเขาไปตลอดกาล Jobs ประกาศชัดเจนว่าเป้าหมายของ Apple ไม่ใช่การทำเงิน แต่คือการสร้าง “ผลิตภัณฑ์ชั้นเยี่ยม” (great products)

วิสัยทัศน์นี้เองที่จุดประกายความหวังให้ Ive อีกครั้ง

ชีวิตของ Ive โคจรเข้ามาในวงการคอมพิวเตอร์ ตอนที่บริษัทเก่าของเขาถูก Apple ว่าจ้างให้ออกแบบเครื่อง PowerBook เขาได้ฉีกทุกกฎเกณฑ์การออกแบบในยุคนั้น

Ive มองว่าอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์มีปัญหาใหญ่เรื่องดีไซน์ เพราะผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ถูกสร้างโดยวิศวกรที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องความสวยงามหรือประสบการณ์ของผู้ใช้งานเลย

คอมพิวเตอร์ในยุคนั้นดูน่ากลัว เทอะทะ และไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้ วัสดุก็ดูธรรมดา และดีไซน์ก็เหมือนกันไปหมดทุกยี่ห้อ

ผลงานการออกแบบ PowerBook ทำให้ Ive ถูกดึงตัวมาร่วมงานกับ Apple เต็มตัวในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ และนั่นทำให้เขาได้พบกับ Steve Jobs ในที่สุด

Jobs ตระหนักในทันทีว่า เขาต้องการคนอย่าง Jony Ive เพื่อปฏิรูป Apple ทั้งคู่จึงได้เริ่มต้นโปรเจกต์ iMac รุ่นใหม่ที่เปลี่ยนโลก และต่อมา Ive ก็ได้กลายเป็นผู้อยู่เบื้องหลังดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ iPod

แต่ลำพังแค่ Jobs กับ Ive คงไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ เขาต้องการขุนพลคนสำคัญอีกหลายคน

หนึ่งในนั้นคือ Jon Rubinstein ขุนพลคู่ใจที่ตามมาจาก NeXT เขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมฮาร์ดแวร์ ที่ Jobs ดึงตัวมาในตำแหน่งรองประธานอาวุโส

Rubinstein เข้ามาช่วย Jobs จัดการเรื่องการลดต้นทุน และยกเลิกผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวจำนวนมากที่ถูกสร้างขึ้นในยุคที่ Jobs ไม่อยู่

ภารกิจของ Jobs คือการมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง และเป็น Rubinstein นี่เองที่เป็นคนไปค้นพบและชักชวน Tony Fadell ให้มาร่วมสร้างผลิตภัณฑ์ที่จะเปลี่ยนโลกอย่าง iPod

จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญอีกคนปรากฏตัวขึ้นในปี 1998 เขาคือ Tim Cook หนุ่มโสดวัย 37 ปี ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อและซัพพลายเชนของบริษัท Compaq

Cook ตกหลุมรักวิสัยทัศน์ของ Jobs ทันทีที่ได้สัมภาษณ์งาน เขาใช้เวลาเพียง 5 นาทีในการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต เพื่อมาร่วมงานกับอัจฉริยะด้านความคิดสร้างสรรค์อย่าง Jobs

บทบาทหลักของ Cook คือการนำสิ่งที่ Jobs คิด มาทำให้เป็นจริง เขาทุ่มเทให้กับงานอย่างหนัก ตื่นนอนตอนตีสี่ครึ่งทุกวัน และถึงออฟฟิศตั้งแต่หกโมงเช้า

การได้ Tim Cook มาร่วมทีม ทำให้ Apple สามารถลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมหาศาล เขาจัดการลดจำนวนซัพพลายเออร์จาก 100 ราย ให้เหลือเพียง 24 ราย และเกลี้ยกล่อมให้หลายรายย้ายโรงงานมาตั้งอยู่ใกล้กับโรงงานของ Apple

สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือเรื่องการจัดการสินค้าคงคลัง Jobs เคยลดสต็อกสินค้าจาก 2 เดือนให้เหลือเพียงเดือนเดียวได้ แต่ Cook ทำให้ Jobs ต้องประหลาดใจ ด้วยการลดมันให้เหลือเพียงแค่ 2 วัน

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังลดระยะเวลาในการผลิตคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจาก 4 เดือน เหลือเพียง 2 เดือน ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดเงินแล้ว ยังทำให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องได้ใช้ชิ้นส่วนที่ใหม่ล่าสุดในตลาดอีกด้วย

Tim Cook กลายเป็นคนที่ Jobs ไว้ใจมากที่สุด เพราะเขาคือคนเดียวที่เข้าใจวิสัยทัศน์ของ Jobs และสามารถแปลงมันออกมาเป็นการปฏิบัติได้อย่างสมบูรณ์แบบ

และแล้วก็มาถึงบุคคลที่เปรียบเสมือนหัวใจของโปรเจกต์นี้ ถ้าไม่มีเขา iPod ก็อาจจะไม่เกิดขึ้นเลย ชายคนนั้นคือ Tony Fadell

Fadell เป็นโปรแกรมเมอร์หนุ่มมาดกวน ที่มีสไตล์การแต่งตัวออกไปทางไซเบอร์พังก์ แต่เบื้องหลังภาพลักษณ์นั้น เขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะอุปกรณ์เกี่ยวกับการฟังเพลง

เขาเคยมีความฝันที่จะสร้างเครื่องเล่นเพลงที่ดีกว่าทุกเครื่องที่มีในตลาด เคยนำไอเดียนี้ไปเสนอทั้งที่ RealNetworks, Sony และ Philips แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง

จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ Fadell กำลังเล่นสกีอยู่บนภูเขา เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ปลายสายคือ Jon Rubinstein จาก Apple

Rubinstein บอกว่ากำลังหาคนมาช่วยทำ “อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก” ซึ่งเป็นงานที่ Fadell ถนัดที่สุด เขาจึงถูกเชิญให้ไปที่สำนักงานใหญ่ของ Apple ใน Cupertino

ในตอนแรก Fadell คิดว่าจะถูกจ้างไปทำเครื่อง PDA แต่บทสนทนากลับกลายเป็นเรื่องเกี่ยวกับ iTunes ที่ Apple เพิ่งพัฒนาเสร็จ

ปัญหาคือ Apple หาเครื่องเล่น MP3 ในตลาดที่ใช้งานร่วมกับ iTunes ได้ดีไม่ได้เลย ตอนนั้นมีแต่อุปกรณ์ที่ใช้งานยากและคุณภาพต่ำเต็มไปหมด Apple จึงอยากจะสร้างเครื่องเล่นของตัวเองขึ้นมา

Fadell รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก นี่คือสิ่งที่เขาฝันมาตลอด แต่ด้วยนิสัยรักอิสระ เขาจึงอยากทำงานในฐานะที่ปรึกษาเท่านั้น

แต่ Rubinstein ยื่นคำขาดว่า หาก Fadell ต้องการจะเป็นหัวหน้าทีม เขาต้องเข้ามาเป็นพนักงานเต็มเวลาเท่านั้น และยังเรียกทีมงานกว่า 20 คนเข้ามากดดันให้เขาตัดสินใจในตอนนั้นทันที

แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่ Fadell ก็ยากที่จะปฏิเสธโอกาสครั้งสำคัญนี้ เขาจึงตอบตกลง และในปี 2001 Apple ก็ได้จ้าง Fadell พร้อมกับสร้างทีมพัฒนาขนาด 30 คนเพื่อเริ่มต้นโครงการ iPod อย่างเป็นทางการ

เมื่อมีทีมวิศวกรแล้ว ก็ยังขาดอีกหนึ่งส่วนสำคัญ นั่นคือการตลาดและแนวคิดผลิตภัณฑ์ และคนที่เข้ามาเติมเต็มส่วนนี้คือ Phil Schiller

Schiller เคยทำงานกับ Apple มาก่อน และได้กลับมาร่วมงานอีกครั้งในปีเดียวกับที่ Jobs คัมแบ็ก ในตำแหน่งรองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดทั่วโลก

เขามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการให้กำเนิดไอเดียที่จะทำให้ iPod แตกต่างจากเครื่องเล่น MP3 อื่น ๆ ในตลาดอย่างสิ้นเชิง

Schiller คือคนเสนอให้มี “ล้อหมุน” หรือที่เรียกว่า “trackwheel” สำหรับใช้เลือกเพลง แค่ใช้นิ้วโป้งหมุนวงล้อ ผู้ใช้ก็จะสามารถเลื่อนดูรายชื่อเพลงนับร้อยนับพันเพลงได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

ทันทีที่ได้ยินไอเดียนี้ Jobs ถึงกับร้องอุทานออกมาว่า “นั่นแหละใช่เลย!” (That’s it!) แล้วสั่งให้ทีมของ Fadell ลงมือทำทันที

เมื่อ Jobs ได้ทีมงานที่เปรียบเสมือนดรีมทีมแล้ว เขาก็ไม่เคยกลัวสิ่งใดอีกต่อไป

เดือนเมษายน 2001 มีการประชุมนัดสำคัญเพื่อตัดสินใจเลือกดีไซน์พื้นฐานของ iPod Fadell เป็นผู้นำเสนอ โดยมี Jobs, Rubinstein, และ Schiller เข้าร่วมประชุม

การประชุมเริ่มต้นด้วยสไลด์ข้อมูลการตลาดที่น่าเบื่อ แต่ Jobs เป็นคนที่มีความอดทนต่ำ เขาไม่เคยสนใจคู่แข่ง และต้องการเห็นสิ่งที่จับต้องได้จริง

Fadell จึงนำโมเดลที่ทำจากโฟม 3 แบบเข้ามาในห้องประชุม เขาค่อย ๆ นำเสนอทีละแบบตามเทคนิคที่ Rubinstein สอนมา เพื่อให้แบบที่พวกเขาชอบที่สุดดูโดดเด่นที่สุด

แบบแรกมีช่องใส่เมมโมรี่การ์ดแบบถอดได้ Jobs ปัดตกทันทีเพราะมันดูซับซ้อนเกินไป

จนมาถึงแบบสุดท้ายที่ Fadell ประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกันเหมือนเลโก้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเครื่องเล่นที่บรรจุฮาร์ดไดรฟ์ขนาด 1.8 นิ้ว จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร

Jobs สนใจโมเดลนี้มาก และตัดสินใจเลือกแบบดังกล่าวในทันที Fadell ถึงกับทึ่งในการตัดสินใจที่รวดเร็วและเด็ดขาดของ Jobs ซึ่งแตกต่างจากบริษัทอื่นที่เขาเคยทำงานด้วยอย่างสิ้นเชิง

หลังจากนั้น Jobs ก็เข้ามาคลุกคลีกับโปรเจกต์นี้ทุกวัน เขายึดหลักการสำคัญคือ “ทำให้ง่ายเข้าไว้!” (Simplicity) ทุกฟังก์ชันต้องเข้าถึงได้ภายใน 3 คลิก

มันเป็นโจทย์ที่ท้าทายมาก ทีมงานต้องแก้ปัญหาเรื่อง User Interface กันแบบไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่ Jobs ก็คอยหาจุดอ่อนและสั่งให้แก้ไขอยู่เสมอ ทำให้ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ถูกกำจัดออกไปจนหมด

ในที่สุด วันที่ 23 ตุลาคม 2001 Jobs ก็ได้เผยโฉม iPod เป็นครั้งแรกต่อหน้าสื่อมวลชน ในบัตรเชิญมีข้อความปริศนาว่า “คำใบ้: ไม่ใช่ Mac” (Hint: It’s not a Mac)

iPod ได้กลายเป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบ เป็นบทกวีที่เชื่อมโยงวิศวกรรมเข้ากับศิลปะ ความคิดสร้างสรรค์มาบรรจบกับเทคโนโลยี การออกแบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

เมื่อลูกค้าหยิบ iPod ออกจากกล่อง มันสวยงามราวกับเรืองแสงได้ และเมื่อเทียบกันแล้ว เครื่องเล่นเพลงยี่ห้ออื่นก็ดูเหมือนถูกสร้างขึ้นมาจากดินแดนที่ล้าหลังไปเลยทีเดียว

เพียงไม่นาน iPod ก็กลายเป็นสินค้าขายดีถล่มทลาย มันได้พลิกโฉม Apple จากบริษัทคอมพิวเตอร์ให้กลายเป็นบริษัทผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์

การกลับมาของ Jobs ในครั้งนี้ เขาเริ่มต้นจากจุดที่แทบจะติดลบ แต่เขาสามารถพลิกบริษัทที่ใกล้จะล้มละลายให้กลับมายิ่งใหญ่ได้ในเวลาไม่กี่ปี ด้วยนวัตกรรมที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด

กุญแจสำคัญคือ “การโฟกัส” เขามุ่งมั่นที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม และเชื่อมั่นว่าทีมของเขาจะทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้

iPod ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ที่วิเศษที่สุด แต่มันคือการปฏิวัติอุตสาหกรรมดนตรี และเป็นการเปิดศักราชใหม่ให้กับ Apple อย่างแท้จริง

และเพราะความสำเร็จของ iPod นี่เอง ที่ทำให้ Jobs กล้าที่จะสร้าง iPhone และ iPad ตามมา เพราะเขารู้แล้วว่า ด้วยทีมงานดรีมทีมชุดนี้ เขาสามารถทำเรื่องที่เหลือเชื่อให้เกิดขึ้นได้

ลองจินตนาการถึงยุคก่อนที่จะมี iPod หรือก่อนที่จะมี iPhone ไม่มีใครเคยนึกภาพออกเลยว่าเครื่องเล่นเพลงหรือโทรศัพท์มือถือจะมีหน้าตาและการใช้งานแบบนี้ได้

Steve Jobs ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไปได้ เพราะมันคือ DNA ของการ “Think Different” ที่อยู่ในสายเลือดของ Apple

เมื่อผู้นำพร้อมจะลุย ทีมงานก็พร้อมจะสู้ ไม่ว่าอุปสรรคจะยากเย็นแค่ไหน พวกเขาก็ไม่เคยหวาดกลัวมันอีกต่อไป

References : [wired, arstechnica, fastcompany, bloomberg]

Abdul Alim จาก รปภ. กะ 12 ชม. พลิกชีวิตเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทเดียวกัน

ถ้าถามว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตคนคนหนึ่ง จะสามารถพลิกจากจุดไหนไปสู่จุดไหนได้บ้าง เรื่องราวของผู้ชายที่ชื่อ Abdul Alim อาจเป็นหนึ่งในคำตอบที่ดีที่สุด

นี่คือเรื่องจริงของชายที่เริ่มต้นจากการเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย ทำงานกะละ 12 ชั่วโมง และจบลงด้วยการเป็นโปรแกรมเมอร์ หรือ Software Engineer ในบริษัทเดียวกันนั้นเอง

เรื่องราวทั้งหมดนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2013

ตอนนั้น Abdul Alim ตัดสินใจครั้งสำคัญ เขาเดินทางออกจากบ้านเกิดเพื่อตามหาอนาคตที่ดีกว่า โดยมีเงินติดตัวเพียง 1,000 รูปีเท่านั้น

เงินจำนวนนั้นเทียบเป็นเงินไทยอาจไม่ถึง 600 บาท และเขายังต้องใช้ไปถึง 800 รูปี เพื่อเป็นค่าตั๋วรถไฟสู่จุดหมายที่ไม่แน่นอน

เมื่อมาถึงเมืองใหญ่ สิ่งที่รอเขาอยู่ไม่ใช่โอกาส แต่เป็นความว่างเปล่า เขาไม่มีทั้งงาน ไม่มีทั้งบ้าน และต้องใช้ชีวิตร่อนเร่อยู่ข้างถนนนานเกือบสองเดือน

ลองจินตนาการถึงความรู้สึกของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่ต้องเผชิญความโดดเดี่ยวและความยากลำบากในเมืองที่ไม่คุ้นเคย มันคงเป็นช่วงเวลาที่ทดสอบจิตใจอย่างหนักหน่วง

แต่แล้วเหมือนโชคชะตาจะเริ่มมองเห็นความตั้งใจของเขา Abdul ได้งานทำในที่สุด แม้จะเป็นตำแหน่งเล็กๆ นั่นคือพนักงานรักษาความปลอดภัยที่บริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่ง

บริษัทแห่งนั้นคือ Zoho Corporation

ณ จุดนี้ หลายคนอาจมองว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการตั้งหลักในชีวิต แต่อีกมุมหนึ่ง มันคือการก้าวเข้าไปอยู่ใน “ระบบนิเวศ” ที่ถูกต้อง ในเวลาที่เหมาะสม

แล้ว Zoho คือบริษัทอะไร?

สำหรับคนในแวดวงเทคโนโลยี Zoho คือยักษ์ใหญ่จากอินเดียที่ทำธุรกิจซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร หรือที่เรียกว่า SaaS (Software as a Service)

บริษัทแห่งนี้ก่อตั้งโดย Sridhar Vembu ชายผู้มีปรัชญาในการทำธุรกิจที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เขาเชื่อมั่นใน “ศักยภาพของมนุษย์” มากกว่า “ใบปริญญา” ที่ได้จากมหาวิทยาลัย

Vembu มักพูดเสมอว่า โลกนี้ยังมีคนเก่งอีกมากมายที่ไม่มีโอกาสได้เรียนสูงๆ ด้วยข้อจำกัดทางสังคมหรือเศรษฐกิจ Zoho จึงไม่เคยวัดค่าของคนจากกระดาษแผ่นเดียว

วัฒนธรรมองค์กรแบบนี้เองที่ทำให้ Zoho กลายเป็นสถานที่ที่ไม่ธรรมดา พวกเขามองหาคนที่มีความมุ่งมั่น มีความใฝ่รู้ และพร้อมจะเติบโตไปกับองค์กร

Zoho ถึงกับก่อตั้งโรงเรียนของตัวเองในชื่อ “Zoho University” ซึ่งเปิดรับนักเรียนจบมัธยมปลายที่เก่งแต่ขาดโอกาส เข้ามาฝึกฝนทักษะด้านเทคโนโลยีอย่างเข้มข้น

เด็กๆ เหล่านี้ไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน แถมยังมีเบี้ยเลี้ยงให้ และเมื่อเรียนจบก็จะได้เข้าทำงานกับบริษัททันที นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ว่า Zoho ให้ความสำคัญกับ “ทักษะ” มากกว่าสิ่งอื่นใด

และนี่คือสภาพแวดล้อมที่ Abdul Alim ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง แม้จะในฐานะพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู แต่เขาก็กำลังหายใจเอาอากาศขององค์กรที่เชื่อในศักยภาพของคนเข้าไปทุกวัน

ชีวิตของ Abdul ดำเนินไปตามปกติ ทำงาน 12 ชั่วโมง กลับไปพักผ่อน แล้ววนกลับมาทำงานที่เดิม แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังเครื่องแบบนั้น มีความฝันและความปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าซ่อนอยู่

แล้วจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาก็มาถึงในวันทำงานธรรมดาวันหนึ่ง

ขณะที่ Abdul กำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน พนักงานอาวุโสคนหนึ่งของ Zoho ได้เดินเข้ามาทักทายและพูดคุยกับเขาอย่างเป็นกันเอง

การสนทนาสัพเพเหระนำไปสู่เรื่องราวในอดีต Abdul เล่าว่าสมัยเรียน เขาเคยได้สัมผัสกับการเขียนโค้ดพื้นฐานอย่างภาษา HTML มาบ้าง

มันเป็นเพียงความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่เขาแทบจะลืมไปแล้ว แต่สำหรับพนักงานคนนั้น มันคือประกายไฟที่เขามองเห็นในตัวเด็กหนุ่มคนนี้

แทนที่จะปล่อยให้บทสนทนาจบไป เขาจึงถามคำถามที่ทรงพลังที่สุดกลับไปว่า “แล้วอยากเรียนรู้เพิ่มเติมไหม?”

วินาทีนั้นคือทางแยกสำคัญของชีวิต Abdul สามารถปฏิเสธด้วยเหตุผลนับร้อย ทั้งความเหนื่อยล้าจากการทำงาน หรือการไม่มีพื้นฐานความรู้มาก่อน

แต่เขาไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาตอบตกลงรับโอกาสนั้นไว้

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ครั้งใหม่ การต่อสู้กับความเหนื่อยของร่างกายและข้อจำกัดของเวลา เพื่อไล่ตามความฝันที่เพิ่งถูกจุดประกายขึ้นมา

ทุกๆ วัน หลังจากทำงานรักษาความปลอดภัยมาตลอด 12 ชั่วโมง แทนที่ Abdul จะกลับไปล้มตัวลงนอนเหมือนคนอื่นๆ เขาเลือกที่จะเดินไปหาพี่พนักงานคนนั้นเพื่อเรียนรู้การเขียนโปรแกรม

มันคือภาพที่น่าทึ่ง ร่างกายที่อ่อนล้าแต่จิตใจกลับตื่นตัวเพื่อซึมซับความรู้ใหม่ที่ซับซ้อน มันต้องอาศัยวินัยและความมุ่งมั่นในระดับที่ไม่ธรรมดา

วันแล้ววันเล่าที่เขาใช้เวลาหลังเลิกงานไปกับการเรียนรู้ จากที่ไม่รู้อะไรเลย เขาก็ค่อยๆ เข้าใจตรรกะของการเขียนโค้ด และฝึกฝนด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

เวลาผ่านไปนานถึง 8 เดือน ความพยายามของเขาก็เริ่มออกดอกออกผล Abdul สามารถสร้างแอปพลิเคชันเล็กๆ ขึ้นมาได้สำเร็จเป็นครั้งแรก

มันเป็นแอปที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย ทำหน้าที่เพียงรับข้อมูลจากผู้ใช้แล้วนำไปแสดงผลเป็นภาพ (Data Visualization) แต่มันคือหลักฐานที่จับต้องได้ของความทุ่มเทตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

พนักงานอาวุโสที่เปรียบเสมือนอาจารย์ของเขา รู้สึกทึ่งกับผลงานชิ้นนี้ และมองเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่พิเศษ เขาจึงตัดสินใจนำแอปนั้นไปให้ผู้จัดการของเขาดู

และนี่คือตอนที่เรื่องราวทั้งหมดเดินทางมาถึงจุดไคลแมกซ์ ผู้จัดการคนนั้นชื่นชอบผลงานของ Abdul อย่างมาก และมองทะลุผ่านเครื่องแบบ รปภ. เข้าไปเห็น “ศักยภาพ” ที่ซ่อนอยู่

เขาจึงถามกลับมาว่า “เราพอจะสัมภาษณ์เขาได้ไหม?”

โอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของ Abdul มาถึงแล้ว โอกาสที่ไม่ได้มาจากวุฒิการศึกษา ไม่ได้มาจากประสบการณ์ทำงาน แต่มาจากผลงานชิ้นเล็กๆ ที่เขาสร้างขึ้นด้วยสองมือและหนึ่งสมองหลังเลิกงาน

การสัมภาษณ์งานในวันนั้นคงแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง คำถามที่เขาน่าจะเจอคงไม่ใช่เรื่องประวัติการศึกษา แต่เป็นเรื่องที่ว่าเขาแก้ปัญหาตอนเขียนโค้ดอย่างไร หรือมีแนวคิดในการพัฒนาแอปนี้อย่างไร

มันคือการวัด “ความสามารถ” ที่แท้จริง และแน่นอนว่า Abdul ก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเขาทำได้

ผลลัพธ์ก็คือ Abdul Alim จากพนักงานรักษาความปลอดภัย ได้รับการบรรจุเข้าเป็นพนักงานประจำในตำแหน่ง “วิศวกรพัฒนาซอฟต์แวร์” ของ Zoho อย่างเป็นทางการ

เรื่องราวของเขาได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาได้เปลี่ยนจากการเป็นผู้ “ปกป้อง” ทรัพย์สินของบริษัท มาเป็นผู้ “สร้าง” ทรัพย์สินทางปัญญาให้กับบริษัทแทน

เมื่อเรื่องราวนี้ถูกแชร์ออกไปบนโลกออนไลน์ มันได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ ผู้คนนับล้านต่างเข้ามาแสดงความชื่นชมและยกย่องในความพยายามที่ไม่ธรรมดาของเขา

เรื่องของ Abdul Alim ได้สอนบทเรียนสำคัญหลายอย่างให้กับเรา

บทเรียนแรกคือ พลังของการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด เขาคือข้อพิสูจน์ว่าการศึกษาไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในรั้วโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยอีกต่อไป

ในยุคที่ความรู้ลอยอยู่เต็มไปหมดบนโลกอินเทอร์เน็ต ใครก็ตามที่มีความมุ่งมั่นมากพอ ก็สามารถคว้ามันมาเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้เสมอ

บทเรียนที่สองคือ ความสำคัญของสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้อาจไม่เกิดขึ้นหากไม่ใช่ที่ Zoho วัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้างและผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ คือกุญแจสำคัญที่ทำให้ความพยายามของเขาไม่สูญเปล่า

มันทำให้เราเห็นว่า องค์กรที่ยอดเยี่ยมไม่ใช่แค่ที่ที่คนเก่งอยากมาทำงาน แต่เป็นที่ที่สามารถ “สร้าง” คนธรรมดาให้กลายเป็นคนเก่งได้

และบทเรียนสุดท้ายคือ อย่าปล่อยให้จุดเริ่มต้นมาตัดสินอนาคตของเรา หลายครั้งเรามักตีกรอบให้ตัวเองจากพื้นฐานที่เรามี แต่เรื่องของ Abdul คือการทลายกรอบความคิดเหล่านั้นลงอย่างสิ้นเชิง

เรื่องราวของเขาจบลงอย่างสวยงาม แต่สำหรับพวกเราทุกคน มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นในการตั้งคำถามกับตัวเองว่า มีศักยภาพอะไรอีกบ้างที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา และรอวันที่จะถูกค้นพบ…เหมือนกับที่พนักงาน Zoho คนนั้นได้ค้นพบในตัว Abdul Alim นั่นเองครับผม

References : [linkedin, indiatoday, timesnownews, indianexpress, businesstoday]