ถ้าให้พูดถึงกิจกรรมที่คนส่วนใหญ่ทำเหมือนกันทั่วโลกในยุคนี้ หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นการหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาไถดูวิดีโอสั้นๆ
ปรากฏการณ์นี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันไปแล้ว จนเราอาจไม่ทันได้คิดว่า เบื้องหลังความบันเทิงเพียงไม่กี่วินาทีนั้น มีกลไกอะไรซ่อนอยู่
TikTok คือชื่อที่ทุกคนนึกถึงเป็นอันดับแรก แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จนในปี 2023 มีผู้ใช้งานทะลุ 1,500 ล้านคน และคาดว่าจะแตะ 2,000 ล้านคนในไม่ช้า
ตัวเลขมหาศาลนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถิติ แต่มันคือเครื่องบ่งชี้ถึงอิทธิพลที่กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมการเสพสื่อของมนุษยชาติไปอย่างสิ้นเชิง
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ TikTok แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง Instagram ก็มี Reels หรือ YouTube ก็มี Shorts ซึ่งต่างก็ใช้สูตรสำเร็จเดียวกัน คือการดึงดูดเราด้วยวิดีโอสั้นที่ดูเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น
คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า ปรากฏการณ์นี้มันส่งผลกระทบอะไรกับเราบ้าง โดยเฉพาะกับอวัยวะที่ซับซ้อนที่สุดอย่าง “สมอง”
จุดเริ่มต้นของความน่ากังวลนี้ ถูกจุดประกายขึ้นในงานสัปดาห์รณรงค์เพื่อสุขภาพจิต หรือ Mental Health Awareness Week
นักวิจัยได้นำเสนอผลการศึกษาที่น่าตกใจ โดยพบว่าผู้ที่มีภาวะใช้ TikTok ผิดปกติ หรือ ‘TikTok Use Disorder’ มีแนวโน้มที่จะแสดงอาการวิตกกังวลและซึมเศร้าสูงกว่าคนทั่วไป
ไม่เพียงเท่านั้น ความสามารถในการจดจำของพวกเขาก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย
มีการศึกษาชิ้นหนึ่งในกลุ่มนักเรียนมัธยมปลาย พบว่ากลุ่มที่ใช้ TikTok มากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน มีผลการเรียนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึง 20% และมีปัญหาการนอนหลับมากกว่ากลุ่มที่ใช้งานน้อยอย่างชัดเจน
ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็ง ที่ซ่อนความจริงอันซับซ้อนไว้เบื้องล่าง และเพื่อที่จะเข้าใจมัน เราต้องเดินทางเข้าไปสำรวจกลไกการทำงานในสมองของเรา
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปถึงการทดลองสุดคลาสสิกชิ้นหนึ่งในวงการประสาทวิทยา นักวิจัยได้ทำการฝังขั้วไฟฟ้าขนาดจิ๋วเข้าไปในสมองของหนูทดลอง
ทุกครั้งที่หนูกดคันโยกที่อยู่ตรงหน้า มันจะได้รับรางวัลเป็นกระแสไฟฟ้าที่กระตุ้นศูนย์กลางความสุขในสมองโดยตรง
ผลลัพธ์ที่ได้น่าทึ่งและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน หนูทดลองแสดงอาการ “เสพติด” การกดคันโยกอย่างรุนแรง พวกมันละเลยกิจกรรมพื้นฐานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนอน หรือการเข้าสังคมกับหนูตัวอื่น
สิ่งที่พวกมันทำมีเพียงอย่างเดียว คือการกดคันโยกนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าจะหมดแรง
ภาพของหนูทดลองตัวนั้น อาจดูไม่ต่างจากภาพของใครหลายคนที่กำลังไถหน้าจอไปเรื่อยๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
และจุดที่น่าตกตะลึงที่สุดก็คือ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ใช้เครื่อง MRI สแกนสมองของมนุษย์ขณะกำลังรับชมวิดีโอใน TikTok พวกเขาพบว่าสมองส่วนที่ถูกกระตุ้น คือส่วน “เดียวกันเป๊ะ” กับที่พบในหนูทดลอง
นี่คือหลักฐานที่ชี้ชัดว่า แพลตฟอร์มเหล่านี้สามารถกระตุ้นศูนย์กลางการเสพติดในสมองของเราได้โดยตรง
แล้วกลไกของมันทำงานอย่างไร?
ในสมองของเรามีสารเคมีที่ชื่อว่า Dopamine ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทแห่งความพึงพอใจ ทุกครั้งที่เราทำอะไรที่รู้สึกดี สมองจะหลั่งสารนี้ออกมาเป็นรางวัล
การดูวิดีโอสั้นที่ถูกใจ ก็เปรียบเสมือนการฉีด Dopamine เข้าระบบประสาทอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เกิดเป็นภาวะที่เรียกว่า ‘Dopamine Hit’
แต่เมื่อสมองถูกกระตุ้นด้วย Dopamine ที่สูงและถี่เกินไป มันจะเริ่มปรับตัวให้ชินชา ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ‘Tolerance’ หรือภาวะดื้อยา
นั่นหมายความว่า สมองของเราจะต้องการการกระตุ้นที่แรงขึ้นและบ่อยขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ความพึงพอใจในระดับเท่าเดิม นี่คือวงจรเดียวกับที่พบในการเสพติดสารเสพติดชนิดอื่นๆ
แต่เรื่องยังไม่จบเพียงแค่นั้น
นักวิจัยยังค้นพบอีกว่า การดูวิดีโอสั้นต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะไปกระตุ้นเครือข่ายสมองที่เรียกว่า Default Mode Network หรือ DMN ให้ทำงานสูงกว่าปกติ
เครือข่าย DMN นี้ ปกติจะทำงานเมื่อเราอยู่ในภาวะพักผ่อน หรือกำลังเหม่อลอย การที่มันถูกกระตุ้นขณะไถจอ ทำให้สมองของเราเข้าสู่สภาวะ “ปิดสวิตช์” หรือที่บางคนเรียกว่า “โหมดซอมบี้”
มันคือสภาวะที่เราดำดิ่งลงไปกับการเสพเนื้อหา โดยไม่ต้องใช้ความคิดวิเคราะห์ใดๆ ทั้งสิ้น
สิ่งที่ทำให้ TikTok ทรงพลังกว่าแพลตฟอร์มอื่น คืออาวุธลับที่เรียกว่า “อัลกอริทึม”
มันคือระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ฉลาดเป็นกรด สามารถเรียนรู้รสนิยมและความสนใจของเราได้อย่างแม่นยำจนน่าขนลุก
ยิ่งเราใช้งานนานเท่าไหร่ อัลกอริทึมก็จะยิ่งรู้จักเราดีขึ้นเท่านั้น มันจะคอยป้อนเนื้อหาที่ “ใช่” และ “โดนใจ” มาให้เราอย่างต่อเนื่อง สร้างเป็นวงจรการเสพติดที่สมบูรณ์แบบและยากที่จะหลุดออกมาได้
Andrew Huberman นักประสาทวิทยาชื่อดัง ได้เปรียบเทียบพฤติกรรมนี้ไว้อย่างเห็นภาพว่า มันเหมือนกับสุนัขที่กำลังขุดดินอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อหากระดูกที่ไม่มีวันเจอ
มันคือการติดอยู่ในพฤติกรรมซ้ำๆ ที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ เลย นอกจากการสูญเสียทรัพยากรที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “เวลา” และ “สมาธิ”
ที่น่าเป็นห่วงไปกว่านั้น คือการเกิดขึ้นของเทรนด์อันตรายต่างๆ ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วบนแพลตฟอร์ม สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของแรงกดดันทางสังคม ที่ทำให้ผู้คนยอมเสี่ยงเพื่อแลกกับการยอมรับในโลกออนไลน์
เมื่อมองในภาพใหญ่ขึ้น เราจะเห็นว่านี่ไม่ใช่แค่ปัญหาพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่มันได้กลายเป็นประเด็นระดับโลกไปแล้ว
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาพยายามจะแบน TikTok ไม่ได้มาจากแค่เรื่องความมั่นคงและความปลอดภัยของข้อมูล แต่ยังรวมถึงความกังวลอย่างยิ่งยวดต่อผลกระทบด้านสุขภาพจิตของประชากรในประเทศ
เมื่อมาถึงตรงนี้ เราคงเห็นภาพแล้วว่าพลังของวิดีโอสั้นนั้นน่าทึ่งและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน แล้วในฐานะผู้ใช้งาน เราจะรับมือกับมันได้อย่างไร?
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ก้าวแรกที่สำคัญที่สุดคือ “การตระหนักรู้” การยอมรับว่าเราอาจกำลังถูกควบคุมโดยอัลกอริทึม คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
เราสามารถใช้เครื่องมือที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ เช่น ฟีเจอร์ Digital Wellbeing ในสมาร์ทโฟน เพื่อตั้งเวลาจำกัดการใช้งานในแต่ละวัน
การสร้างวินัยเล็กๆ น้อยๆ เช่น การไม่หยิบมือถือขึ้นมาเล่นทันทีที่ตื่นนอน หรือก่อนเข้านอน ก็สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมหาศาล
และที่สำคัญที่สุด คือการหากิจกรรมอื่นในโลกแห่งความจริงมาทดแทน ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การอ่านหนังสือ การทำงานอดิเรก หรือการใช้เวลากับคนที่เรารัก
กิจกรรมเหล่านี้อาจไม่ได้ให้ Dopamine ที่รวดเร็วเท่ากับการไถหน้าจอ แต่มันให้ความรู้สึกเติมเต็มและความสุขที่ยั่งยืนกว่ามาก
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่ได้ต้องการจะบอกว่า TikTok หรือเทคโนโลยีเป็นผู้ร้าย แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า ในยุคที่ “ความสนใจ” ของเราได้กลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่ามหาศาล
การเรียนรู้ที่จะปกป้องและบริหารจัดการความสนใจของตัวเอง คือทักษะการเอาตัวรอดที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในศตวรรษที่ 21
เพราะการเป็นนายของเทคโนโลยี ย่อมดีกว่าการตกเป็นทาสของมันเสมอ
References : [psychologytoday, scientificamerican, nimh .nih, humanetech, hubermanlab]