ถ้าให้ลองนึกถึงการทุจริตในห้องเรียน หลายคนคงนึกถึงภาพการจดโพยเล็ก ๆ ซ่อนไว้ในกล่องดินสอ หรือการแอบมองคำตอบของเพื่อนข้าง ๆ
นี่คือภาพจำของการโกงในยุคอะนาล็อก ที่ต้องใช้ความกล้าและความแนบเนียนเฉพาะตัว
แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าวันนี้เรามีผู้ช่วยส่วนตัวสุดฉลาดล้ำ สามารถเขียนเรียงความ วิเคราะห์ข้อมูล หรือแม้แต่ตอบข้อสอบที่ซับซ้อนให้เราได้ในเวลาไม่กี่วินาที
เรื่องราวในวันนี้เป็นเหตุการณ์จริงที่กำลังสั่นสะเทือนวงการศึกษาทั่วโลก และอาจเปลี่ยนวิธีที่เราเรียนรู้และวัดผลไปตลอดกาล
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นที่สหราชอาณาจักร เมื่อ The Guardian สื่อชื่อดังได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า มีนักศึกษามหาวิทยาลัยหลายพันคนถูกจับได้ว่าใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในการทุจริต
ตัวเลขที่พบนั้นไม่ใช่แค่หลักสิบหรือหลักร้อย แต่มีมากถึงเกือบ 7,000 เคสในปีการศึกษา 2023-24
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองคิดดูว่าในกลุ่มนักศึกษาทุก ๆ 1,000 คน จะมีประมาณ 5 คนที่ถูกจับได้ว่าใช้ AI ช่วยโกง
ตัวเลขนี้อาจดูไม่เยอะ แต่สิ่งที่น่ากังวลคืออัตราการเติบโตของมัน เพราะย้อนกลับไปแค่ปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้อยู่ที่เพียง 1.6 คนต่อ 1,000 คนเท่านั้น
นี่คือการเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าภายในเวลาแค่ปีเดียว และแนวโน้มยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่เรื่องที่น่าสนใจและดูเหมือนจะย้อนแย้งก็คือ ในขณะที่การโกงด้วย AI กำลังเฟื่องฟู การทุจริตในรูปแบบดั้งเดิมอย่างการคัดลอกผลงาน หรือที่เรียกว่า Plagiarism กลับลดลงอย่างฮวบฮาบ
จากที่เคยเป็นปัญหาใหญ่ มีสถิติสูงถึง 19 เคสต่อนักศึกษา 1,000 คน กลับลดลงเหลือเพียงประมาณ 8.5 เคสเท่านั้น
ปรากฏการณ์นี้บอกอะไรเรา? มันกำลังบอกว่าโลกของการทุจริตในแวดวงวิชาการกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นักศึกษากำลังทิ้งวิธีเก่า ๆ แล้วหันไปหาเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและแนบเนียนกว่าเดิม
มหาวิทยาลัยต่าง ๆ เองก็ดูเหมือนจะยังตามเกมนี้ไม่ทัน ข้อมูลเผยว่ามหาวิทยาลัยกว่า 1 ใน 4 ที่ตอบแบบสำรวจ ยังไม่มีการแยกประเภทการทุจริตด้วย AI ออกมาเป็นหมวดหมู่เฉพาะด้วยซ้ำ
นี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ระบบการศึกษาที่ใช้กันมานานหลายทศวรรษ กำลังเผชิญกับความท้าทายรูปแบบใหม่ที่ซับซ้อน และยังไม่มีใครมีคำตอบที่ชัดเจนว่าจะรับมือกับมันอย่างไร
แล้วถ้าตัวเลขที่จับได้นั้นน่าตกใจแล้ว ความจริงที่ซ่อนอยู่อาจน่ากังวลยิ่งกว่า
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่ากรณีที่ถูกจับได้เป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” เท่านั้น
ผลสำรวจจาก Higher Education Policy Institute ยิ่งตอกย้ำความเชื่อนี้ เมื่อพบว่ามีนักศึกษามากถึง 88% ที่ยอมรับว่าเคยใช้ AI ช่วยในการทำการบ้านหรือการสอบ
และที่น่าตกใจไปกว่านั้น คือการทดลองที่ University of Reading ที่นักวิจัยลองส่งงานที่สร้างโดย AI เข้าไปในระบบตรวจจับของมหาวิทยาลัยเอง
ผลลัพธ์คือ ระบบสามารถตรวจจับการใช้ AI ได้ล้มเหลว งานที่ AI เขียนสามารถผ่านการตรวจจับไปได้โดยไม่มีใครรู้ถึง 94% ของทั้งหมด
นี่หมายความว่าต่อให้มหาวิทยาลัยมีเครื่องมือตรวจจับที่ดีที่สุด ก็ยังมีโอกาสที่งานจาก AI จะเล็ดลอดไปได้อย่างง่ายดาย
คำถามสำคัญคือ ทำไมการตรวจจับ AI ถึงได้ยากเย็นขนาดนี้?
Dr Peter Scarfe จาก University of Reading ให้คำอธิบายที่น่าสนใจว่า การตรวจจับ AI นั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการตรวจจับ Plagiarism แบบเก่า
กับการคัดลอกผลงาน เราสามารถนำข้อความต้องสงสัยไปเทียบกับต้นฉบับในฐานข้อมูลได้ ถ้าเจอข้อความที่เหมือนกันเป๊ะ ๆ ก็สามารถยืนยันได้ทันทีว่าเป็นการคัดลอกมา
แต่ AI ไม่ได้ทำงานแบบนั้น Generative AI อย่าง ChatGPT สร้างสรรค์ประโยคและย่อหน้าขึ้นมาใหม่ทั้งหมด มันไม่ได้คัดลอกมาจากที่ไหน แต่เป็นการ “เขียน” ขึ้นมาใหม่โดยอิงจากข้อมูลมหาศาลที่มันได้เรียนรู้มา
ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นเนื้อหาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือ Unique Content ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพิสูจน์ได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามนุษย์หรือ AI เป็นคนเขียน
สถานการณ์นี้สร้างความลำบากใจให้กับอาจารย์ผู้สอนอย่างมาก เพราะต่อให้สงสัยแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน การกล่าวหานักศึกษาว่าทุจริตก็อาจนำไปสู่การกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมได้
ในขณะที่มหาวิทยาลัยกำลังพยายามหาทางรับมือ ฝั่งนักศึกษาเองก็มีการพัฒนาวิธีการใช้ AI ให้แนบเนียนยิ่งขึ้นไปอีก
บนแพลตฟอร์มอย่าง TikTok มีวิดีโอสอนเทคนิคการใช้ AI เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับอยู่มากมาย
เทคนิคเหล่านี้ไม่ใช่แค่การสั่งให้ AI เขียนงานให้แล้วคัดลอกไปส่ง แต่รวมถึงการใช้เครื่องมือ AI ประเภทอื่น ๆ เข้ามาช่วย เช่น เครื่องมือสำหรับ “Paraphrasing” หรือการถอดความใหม่ และเครื่องมือ “Humanising” ที่จะปรับแก้ข้อความที่ AI สร้างขึ้นให้มีสำนวนและลีลาการเขียนเหมือนมนุษย์มากขึ้น
มันกลายเป็นเกมวิ่งไล่จับทางเทคโนโลยี ที่ฝ่ายหนึ่งพยายามสร้างเครื่องมือตรวจจับ ส่วนอีกฝ่ายก็พยายามสร้างเครื่องมือเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับนั้น
แต่ถ้าเรามองในอีกมุมหนึ่ง ไม่ใช่นักศึกษาทุกคนที่ใช้ AI เพื่อเจตนาทุจริตอย่างเดียว
Harvey นักศึกษาจบใหม่ด้านการจัดการธุรกิจเล่าว่า เขาและเพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ใช้ ChatGPT เป็นเหมือนผู้ช่วยในการbrainstorm สร้างโครงร่างของงาน หรือหาไอเดียเริ่มต้น
เขาบอกว่าน้อยคนที่จะคัดลอกคำตอบจาก AI มาส่งแบบคำต่อคำ แต่จะนำไอเดียที่ได้มาต่อยอดและเขียนเรียบเรียงใหม่ทั้งหมดด้วยสำนวนของตัวเอง
นี่คือพื้นที่สีเทาที่น่าคิด การใช้ AI เพื่อหาไอเดียเริ่มต้นนั้น ถือเป็นการทุจริตหรือไม่?
เรื่องราวของ Amelia นักศึกษาธุรกิจดนตรี ยิ่งทำให้ภาพของ AI ซับซ้อนขึ้นไปอีก
เธอยอมรับว่าใช้ AI เพื่อช่วยสรุปเนื้อหาและ brainstorm แต่เธอชี้ให้เห็นว่าเครื่องมือนี้มีประโยชน์อย่างมหาศาลสำหรับเพื่อนของเธอที่มีภาวะ Dyslexia หรือความบกพร่องในการอ่านและการเขียน
เพื่อนของเธอจะใช้ AI โดยการป้อนประเด็นและความคิดของตัวเองลงไป แล้วให้ AI ช่วยเรียบเรียงและจัดโครงสร้างประโยคให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
ในกรณีนี้ AI ไม่ได้ทำหน้าที่คิดแทน แต่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือช่วยเหลือที่ทรงพลัง ช่วยลดอุปสรรคทางการเรียนรู้ และทำให้เธอสามารถถ่ายทอดความรู้และความคิดของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มศักยภาพ
มุมมองนี้สอดคล้องกับแนวคิดของรัฐบาลอังกฤษ ที่มองว่าควรนำ AI มาใช้เพื่อ “ยกระดับ” โอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก เมื่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างก็มองเห็นนักศึกษาเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ
Google เสนอให้นักศึกษาอัปเกรดเครื่องมือ Gemini ของตนเองได้ฟรี (ในไทย Google ให้ใช้ฟรีแล้ว 1 ปี) ส่วน OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ก็มีส่วนลดพิเศษให้กับนักศึกษาในอเมริกาและแคนาดา
เมื่อเทคโนโลยีถูกผลักดันให้เข้ามาอยู่ในมือของนักศึกษาอย่างง่ายดายและกว้างขวาง การจะห้ามไม่ให้พวกเขาใช้งานจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เมื่อการแบนหรือการตรวจจับดูเหมือนจะไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน แล้ววงการศึกษาควรจะเดินไปทางไหนต่อ?
Dr Thomas Lancaster นักวิจัยด้านจรรยาบรรณทางวิชาการ ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า บางทีปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ตัวนักศึกษาหรือเทคโนโลยี แต่อยู่ที่ “วิธีการประเมินผล” ของเราเอง
เขามองว่าการประเมินผลบางอย่างในมหาวิทยาลัยอาจดูไร้ความหมายในสายตาของนักศึกษา พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำมัน และไม่เห็นประโยชน์ที่จะได้รับ
ทางออกอาจไม่ใช่การเพิ่มการสอบที่เข้มงวดขึ้น แต่คือการออกแบบการประเมินผลรูปแบบใหม่ ที่ดึงให้นักศึกษารู้สึกมีส่วนร่วมและเข้าใจถึงคุณค่าของมัน
และที่สำคัญที่สุดคือ เราอาจต้องเปลี่ยนมุมมองต่อสิ่งที่เรียกว่า “ความรู้” และ “ทักษะ” ที่จำเป็นสำหรับโลกอนาคต
ในยุคที่ข้อมูลทุกอย่างสามารถเข้าถึงได้เพียงปลายนิ้ว และ AI สามารถตอบคำถามข้อเท็จจริงได้แทบทุกเรื่อง คุณค่าของการเรียนรู้แบบท่องจำ หรือ Rote Learning ก็ค่อย ๆ ลดน้อยลงทุกที
แต่,uทักษะบางอย่างที่ AI ยังไม่สามารถทำแทนได้ง่าย ๆ
นั่นคือทักษะด้านการสื่อสาร, การทำงานร่วมกับผู้อื่น, ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน
นี่คือทักษะที่ควรจะได้รับการส่งเสริมและถูกให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในระบบการศึกษาแห่งอนาคต
บางที คำตอบอาจไม่ใช่การมองว่า AI เป็นศัตรูที่ต้องกำจัด แต่เป็นการยอมรับว่ามันคือเครื่องมือใหม่ที่ทรงพลัง และสอนให้นักศึกษารู้จักวิธีใช้งานมันอย่างชาญฉลาดและมีจริยธรรม
แทนที่จะตั้งคำถามว่า “นักศึกษาใช้ AI โกงข้อสอบหรือไม่?” อาจต้องเปลี่ยนไปตั้งคำถามใหม่ว่า “เราจะออกแบบการเรียนการสอนอย่างไร ให้นักศึกษาสามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือต่อยอดความคิดสร้างสรรค์และแก้ปัญหาได้”
เรื่องราวนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการทุจริต แต่มันคือสัญญาณเตือนที่ดังและชัดเจนว่า โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และระบบการศึกษาที่เคยใช้ได้ผลในอดีต อาจไม่สามารถตอบโจทย์ความท้าทายของโลกอนาคตได้อีกต่อไป
การมาถึงของ AI ไม่ใช่จุดจบของการศึกษา แต่บางทีมันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติการเรียนรู้ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติก็เป็นได้..
References : [theguardian, hepi, reading, imperial, timeshighereducation]