Geek Story EP486 : เรื่องราวน่าทึ่งของ Abdul Alim จาก รปภ. กะ 12 ชม. พลิกชีวิตเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทเดียวกัน

เคยสงสัยไหมครับว่า คนเราจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองจากจุดที่แทบจะเรียกได้ว่าติดลบ ไปสู่จุดสูงสุดของสายอาชีพที่หลายคนใฝ่ฝันได้จริงหรือเปล่า

เรื่องราวที่เราจะคุยกันในวันนี้ อาจจะเป็นคำตอบของคำถามนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องในหนัง ไม่ใช่นิยาย แต่เป็นเรื่องจริงของผู้ชายคนหนึ่งที่เริ่มต้นจากตำแหน่ง “พนักงานรักษาความปลอดภัย” กะ 12 ชั่วโมง และในวันนี้ เขาคือ “โปรแกรมเมอร์” หรือ Software Engineer ในบริษัทเดียวกันนั้น

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นที่อินเดีย กับชายที่ชื่อว่า Abdul Alim และบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า Zoho

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4jy3z9ty

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2dzf756m

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/42asvm97

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/6cEsPeTIVyA

วิกฤตการศึกษาครั้งใหม่ จากเครื่องมือช่วยเรียน สู่เครื่องมือช่วยโกง AI กำลังพาเราไปทางไหน?

ถ้าให้ลองนึกถึงการทุจริตในห้องเรียน หลายคนคงนึกถึงภาพการจดโพยเล็ก ๆ ซ่อนไว้ในกล่องดินสอ หรือการแอบมองคำตอบของเพื่อนข้าง ๆ

นี่คือภาพจำของการโกงในยุคอะนาล็อก ที่ต้องใช้ความกล้าและความแนบเนียนเฉพาะตัว

แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าวันนี้เรามีผู้ช่วยส่วนตัวสุดฉลาดล้ำ สามารถเขียนเรียงความ วิเคราะห์ข้อมูล หรือแม้แต่ตอบข้อสอบที่ซับซ้อนให้เราได้ในเวลาไม่กี่วินาที

เรื่องราวในวันนี้เป็นเหตุการณ์จริงที่กำลังสั่นสะเทือนวงการศึกษาทั่วโลก และอาจเปลี่ยนวิธีที่เราเรียนรู้และวัดผลไปตลอดกาล

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นที่สหราชอาณาจักร เมื่อ The Guardian สื่อชื่อดังได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า มีนักศึกษามหาวิทยาลัยหลายพันคนถูกจับได้ว่าใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในการทุจริต

ตัวเลขที่พบนั้นไม่ใช่แค่หลักสิบหรือหลักร้อย แต่มีมากถึงเกือบ 7,000 เคสในปีการศึกษา 2023-24

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองคิดดูว่าในกลุ่มนักศึกษาทุก ๆ 1,000 คน จะมีประมาณ 5 คนที่ถูกจับได้ว่าใช้ AI ช่วยโกง

ตัวเลขนี้อาจดูไม่เยอะ แต่สิ่งที่น่ากังวลคืออัตราการเติบโตของมัน เพราะย้อนกลับไปแค่ปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้อยู่ที่เพียง 1.6 คนต่อ 1,000 คนเท่านั้น

นี่คือการเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าภายในเวลาแค่ปีเดียว และแนวโน้มยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แต่เรื่องที่น่าสนใจและดูเหมือนจะย้อนแย้งก็คือ ในขณะที่การโกงด้วย AI กำลังเฟื่องฟู การทุจริตในรูปแบบดั้งเดิมอย่างการคัดลอกผลงาน หรือที่เรียกว่า Plagiarism กลับลดลงอย่างฮวบฮาบ

จากที่เคยเป็นปัญหาใหญ่ มีสถิติสูงถึง 19 เคสต่อนักศึกษา 1,000 คน กลับลดลงเหลือเพียงประมาณ 8.5 เคสเท่านั้น

ปรากฏการณ์นี้บอกอะไรเรา? มันกำลังบอกว่าโลกของการทุจริตในแวดวงวิชาการกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นักศึกษากำลังทิ้งวิธีเก่า ๆ แล้วหันไปหาเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและแนบเนียนกว่าเดิม

มหาวิทยาลัยต่าง ๆ เองก็ดูเหมือนจะยังตามเกมนี้ไม่ทัน ข้อมูลเผยว่ามหาวิทยาลัยกว่า 1 ใน 4 ที่ตอบแบบสำรวจ ยังไม่มีการแยกประเภทการทุจริตด้วย AI ออกมาเป็นหมวดหมู่เฉพาะด้วยซ้ำ

นี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ระบบการศึกษาที่ใช้กันมานานหลายทศวรรษ กำลังเผชิญกับความท้าทายรูปแบบใหม่ที่ซับซ้อน และยังไม่มีใครมีคำตอบที่ชัดเจนว่าจะรับมือกับมันอย่างไร

แล้วถ้าตัวเลขที่จับได้นั้นน่าตกใจแล้ว ความจริงที่ซ่อนอยู่อาจน่ากังวลยิ่งกว่า

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่ากรณีที่ถูกจับได้เป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” เท่านั้น

ผลสำรวจจาก Higher Education Policy Institute ยิ่งตอกย้ำความเชื่อนี้ เมื่อพบว่ามีนักศึกษามากถึง 88% ที่ยอมรับว่าเคยใช้ AI ช่วยในการทำการบ้านหรือการสอบ

และที่น่าตกใจไปกว่านั้น คือการทดลองที่ University of Reading ที่นักวิจัยลองส่งงานที่สร้างโดย AI เข้าไปในระบบตรวจจับของมหาวิทยาลัยเอง

ผลลัพธ์คือ ระบบสามารถตรวจจับการใช้ AI ได้ล้มเหลว งานที่ AI เขียนสามารถผ่านการตรวจจับไปได้โดยไม่มีใครรู้ถึง 94% ของทั้งหมด

นี่หมายความว่าต่อให้มหาวิทยาลัยมีเครื่องมือตรวจจับที่ดีที่สุด ก็ยังมีโอกาสที่งานจาก AI จะเล็ดลอดไปได้อย่างง่ายดาย

คำถามสำคัญคือ ทำไมการตรวจจับ AI ถึงได้ยากเย็นขนาดนี้?

Dr Peter Scarfe จาก University of Reading ให้คำอธิบายที่น่าสนใจว่า การตรวจจับ AI นั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการตรวจจับ Plagiarism แบบเก่า

กับการคัดลอกผลงาน เราสามารถนำข้อความต้องสงสัยไปเทียบกับต้นฉบับในฐานข้อมูลได้ ถ้าเจอข้อความที่เหมือนกันเป๊ะ ๆ ก็สามารถยืนยันได้ทันทีว่าเป็นการคัดลอกมา

แต่ AI ไม่ได้ทำงานแบบนั้น Generative AI อย่าง ChatGPT สร้างสรรค์ประโยคและย่อหน้าขึ้นมาใหม่ทั้งหมด มันไม่ได้คัดลอกมาจากที่ไหน แต่เป็นการ “เขียน” ขึ้นมาใหม่โดยอิงจากข้อมูลมหาศาลที่มันได้เรียนรู้มา

ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นเนื้อหาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือ Unique Content ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพิสูจน์ได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามนุษย์หรือ AI เป็นคนเขียน

สถานการณ์นี้สร้างความลำบากใจให้กับอาจารย์ผู้สอนอย่างมาก เพราะต่อให้สงสัยแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน การกล่าวหานักศึกษาว่าทุจริตก็อาจนำไปสู่การกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมได้

ในขณะที่มหาวิทยาลัยกำลังพยายามหาทางรับมือ ฝั่งนักศึกษาเองก็มีการพัฒนาวิธีการใช้ AI ให้แนบเนียนยิ่งขึ้นไปอีก

บนแพลตฟอร์มอย่าง TikTok มีวิดีโอสอนเทคนิคการใช้ AI เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับอยู่มากมาย

เทคนิคเหล่านี้ไม่ใช่แค่การสั่งให้ AI เขียนงานให้แล้วคัดลอกไปส่ง แต่รวมถึงการใช้เครื่องมือ AI ประเภทอื่น ๆ เข้ามาช่วย เช่น เครื่องมือสำหรับ “Paraphrasing” หรือการถอดความใหม่ และเครื่องมือ “Humanising” ที่จะปรับแก้ข้อความที่ AI สร้างขึ้นให้มีสำนวนและลีลาการเขียนเหมือนมนุษย์มากขึ้น

มันกลายเป็นเกมวิ่งไล่จับทางเทคโนโลยี ที่ฝ่ายหนึ่งพยายามสร้างเครื่องมือตรวจจับ ส่วนอีกฝ่ายก็พยายามสร้างเครื่องมือเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับนั้น

แต่ถ้าเรามองในอีกมุมหนึ่ง ไม่ใช่นักศึกษาทุกคนที่ใช้ AI เพื่อเจตนาทุจริตอย่างเดียว

Harvey นักศึกษาจบใหม่ด้านการจัดการธุรกิจเล่าว่า เขาและเพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ใช้ ChatGPT เป็นเหมือนผู้ช่วยในการbrainstorm สร้างโครงร่างของงาน หรือหาไอเดียเริ่มต้น

เขาบอกว่าน้อยคนที่จะคัดลอกคำตอบจาก AI มาส่งแบบคำต่อคำ แต่จะนำไอเดียที่ได้มาต่อยอดและเขียนเรียบเรียงใหม่ทั้งหมดด้วยสำนวนของตัวเอง

นี่คือพื้นที่สีเทาที่น่าคิด การใช้ AI เพื่อหาไอเดียเริ่มต้นนั้น ถือเป็นการทุจริตหรือไม่?

เรื่องราวของ Amelia นักศึกษาธุรกิจดนตรี ยิ่งทำให้ภาพของ AI ซับซ้อนขึ้นไปอีก

เธอยอมรับว่าใช้ AI เพื่อช่วยสรุปเนื้อหาและ brainstorm แต่เธอชี้ให้เห็นว่าเครื่องมือนี้มีประโยชน์อย่างมหาศาลสำหรับเพื่อนของเธอที่มีภาวะ Dyslexia หรือความบกพร่องในการอ่านและการเขียน

เพื่อนของเธอจะใช้ AI โดยการป้อนประเด็นและความคิดของตัวเองลงไป แล้วให้ AI ช่วยเรียบเรียงและจัดโครงสร้างประโยคให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์

ในกรณีนี้ AI ไม่ได้ทำหน้าที่คิดแทน แต่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือช่วยเหลือที่ทรงพลัง ช่วยลดอุปสรรคทางการเรียนรู้ และทำให้เธอสามารถถ่ายทอดความรู้และความคิดของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มศักยภาพ

มุมมองนี้สอดคล้องกับแนวคิดของรัฐบาลอังกฤษ ที่มองว่าควรนำ AI มาใช้เพื่อ “ยกระดับ” โอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก เมื่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างก็มองเห็นนักศึกษาเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ

Google เสนอให้นักศึกษาอัปเกรดเครื่องมือ Gemini ของตนเองได้ฟรี (ในไทย Google ให้ใช้ฟรีแล้ว 1 ปี) ส่วน OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ก็มีส่วนลดพิเศษให้กับนักศึกษาในอเมริกาและแคนาดา

เมื่อเทคโนโลยีถูกผลักดันให้เข้ามาอยู่ในมือของนักศึกษาอย่างง่ายดายและกว้างขวาง การจะห้ามไม่ให้พวกเขาใช้งานจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

เมื่อการแบนหรือการตรวจจับดูเหมือนจะไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน แล้ววงการศึกษาควรจะเดินไปทางไหนต่อ?

Dr Thomas Lancaster นักวิจัยด้านจรรยาบรรณทางวิชาการ ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า บางทีปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ตัวนักศึกษาหรือเทคโนโลยี แต่อยู่ที่ “วิธีการประเมินผล” ของเราเอง

เขามองว่าการประเมินผลบางอย่างในมหาวิทยาลัยอาจดูไร้ความหมายในสายตาของนักศึกษา พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำมัน และไม่เห็นประโยชน์ที่จะได้รับ

ทางออกอาจไม่ใช่การเพิ่มการสอบที่เข้มงวดขึ้น แต่คือการออกแบบการประเมินผลรูปแบบใหม่ ที่ดึงให้นักศึกษารู้สึกมีส่วนร่วมและเข้าใจถึงคุณค่าของมัน

และที่สำคัญที่สุดคือ เราอาจต้องเปลี่ยนมุมมองต่อสิ่งที่เรียกว่า “ความรู้” และ “ทักษะ” ที่จำเป็นสำหรับโลกอนาคต

ในยุคที่ข้อมูลทุกอย่างสามารถเข้าถึงได้เพียงปลายนิ้ว และ AI สามารถตอบคำถามข้อเท็จจริงได้แทบทุกเรื่อง คุณค่าของการเรียนรู้แบบท่องจำ หรือ Rote Learning ก็ค่อย ๆ ลดน้อยลงทุกที

แต่,uทักษะบางอย่างที่ AI ยังไม่สามารถทำแทนได้ง่าย ๆ

นั่นคือทักษะด้านการสื่อสาร, การทำงานร่วมกับผู้อื่น, ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน

นี่คือทักษะที่ควรจะได้รับการส่งเสริมและถูกให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในระบบการศึกษาแห่งอนาคต

บางที คำตอบอาจไม่ใช่การมองว่า AI เป็นศัตรูที่ต้องกำจัด แต่เป็นการยอมรับว่ามันคือเครื่องมือใหม่ที่ทรงพลัง และสอนให้นักศึกษารู้จักวิธีใช้งานมันอย่างชาญฉลาดและมีจริยธรรม

แทนที่จะตั้งคำถามว่า “นักศึกษาใช้ AI โกงข้อสอบหรือไม่?” อาจต้องเปลี่ยนไปตั้งคำถามใหม่ว่า “เราจะออกแบบการเรียนการสอนอย่างไร ให้นักศึกษาสามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือต่อยอดความคิดสร้างสรรค์และแก้ปัญหาได้”

เรื่องราวนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการทุจริต แต่มันคือสัญญาณเตือนที่ดังและชัดเจนว่า โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และระบบการศึกษาที่เคยใช้ได้ผลในอดีต อาจไม่สามารถตอบโจทย์ความท้าทายของโลกอนาคตได้อีกต่อไป

การมาถึงของ AI ไม่ใช่จุดจบของการศึกษา แต่บางทีมันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติการเรียนรู้ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติก็เป็นได้..

References : [theguardian, hepi, reading, imperial, timeshighereducation]

Geek Book EP51 : Source Code : My Beginnings ชีวประวัติเล่มเดียวที่เขียนโดย Bill Gates

ถ้าพูดถึงชื่อ Bill Gates ทุกคนจะนึกถึงอะไรครับ? มหาเศรษฐี? ผู้ก่อตั้ง Microsoft? นักการกุศลที่ทุ่มเงินหลายพันล้านเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก? หรือภาพของชายใส่แว่นใจดีที่กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคของเรา?

ภาพเหล่านี้คือ Bill Gates ที่เราทุกคนคุ้นเคยดี แต่เคยสงสัยกันไหมครับว่า ก่อนที่เขาจะกลายเป็นตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่… เขาเป็นใคร? อะไรคือ “Source Code” หรือรหัสต้นฉบับที่หล่อหลอมให้เด็กชายคนหนึ่ง กลายมาเป็น Bill Gates ในวันนี้

วันนี้ เราจะย้อนเวลากลับไปสำรวจเรื่องราวในวัยเยาว์ของเขา เรื่องราวที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ความอัจฉริยะ โศกนาฏกรรม และจุดเปลี่ยนที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน โดยอ้างอิงจากหนังสือชีวประวัติเล่มล่าสุดของเขาที่ชื่อว่า “Source Code” ซึ่งเล่าเรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงวันที่เขาก่อตั้งบริษัทที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล… Microsoft

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/dny34s4z

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3ak7w2a5

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/mwaertep

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/bakCG_iJYu8

สรุป Krungsri Tech Day 2025 เทคโนโลยีจะทำให้ชีวิตคุณ ‘ง่ายขึ้น’ ได้อย่างไร?

หากจะพูดถึงหนึ่งในอุตสาหกรรมที่กำลังถูกคลื่นเทคโนโลยีซัดเข้าใส่อย่างจัง คงหนีไม่พ้น “ธนาคาร”

ภาพที่เราคุ้นเคยกับการเดินเข้าไปในสาขาเพื่อทำธุรกรรม กำลังค่อย ๆ เลือนหายไปทีละน้อย ข่าวการลดจำนวนสาขา หรือการ Lay off พนักงาน กลายเป็นเรื่องที่เราได้ยินบ่อยขึ้น

บทบาทของธนาคารในโลกยุคใหม่ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในอาคารอีกต่อไป แต่ย้ายตัวเองเข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์ม แอปพลิเคชัน และโลกของ Data อย่างเต็มตัว

การเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการมาถึงของ Generative AI ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่

อาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงของวงการธนาคารในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มีความรุนแรงยิ่งกว่าการเปลี่ยนแปลงในรอบหลายสิบปีก่อนหน้ารวมกันเสียอีก

เรื่องนี้นับเป็นความท้าทายมหาศาลสำหรับสถาบันการเงินทุกแห่ง ที่ต้องเร่งปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

ซึ่งท่ามกลางความท้าทายนี้ ธนาคารกรุงศรีฯ ได้จัดงาน Krungsri Tech Day 2025 ขึ้น ซึ่งสะท้อนภาพความพยายามในการปรับตัวครั้งสำคัญ

แนวคิดหลักของงานนี้ ถูกสรุปไว้ในประโยคสั้น ๆ แต่ทรงพลังว่า “Empower people to make life simple” หรือการใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้ชีวิตของผู้คน “ง่ายขึ้น” ไม่ใช่ “ซับซ้อนกว่าเดิม”

คำถามคือ ธนาคารขนาดใหญ่จะนำเทคโนโลยีที่ดูซับซ้อน มาทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นได้อย่างไร? ประเด็นแรกที่น่าสนใจจากงานนี้ คือแนวคิดเรื่อง “Technology Simplicity” หรือความเรียบง่ายของเทคโนโลยี

กรุงศรีฯ เชื่อว่า นวัตกรรมที่ดีที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่ล้ำสมัยจนคนทั่วไปเข้าไม่ถึง แต่คือเทคโนโลยีที่สามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ลดขั้นตอนที่วุ่นวาย และทำให้ทุกอย่างสะดวกสบายขึ้น

ภายในงานมีการจัดแสดงเทคโนโลยีมากมาย โดยเฉพาะการนำ AI และ Generative AI เข้ามาเป็นผู้ช่วยเบื้องหลัง

ลองนึกภาพการทำธุรกิจในอดีต ที่เจ้าของกิจการต้องวุ่นวายกับการสร้างระบบหลังบ้านของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นระบบบัญชี การจัดการภาษี หรือการบริหารการเงิน ซึ่งต้องใช้ทั้งเงินทุน เวลา และบุคลากรจำนวนมหาศาล

แต่บ่อยครั้ง ระบบที่สร้างขึ้นมาก็อาจไม่ตอบโจทย์ หรือล้าสมัยไปอย่างรวดเร็ว

กรุงศรีฯ พยายามตอบโจทย์ความท้าทายนี้ ด้วยการเปิดระบบหลังบ้าน (Backend) ของธนาคาร ให้นักพัฒนาและภาคธุรกิจสามารถเข้ามาเชื่อมต่อได้

เปรียบเสมือนการมีทีมเทคโนโลยีทางการเงินที่แข็งแกร่งคอยสนับสนุน โดยที่ธุรกิจไม่จำเป็นต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่จากศูนย์

สิ่งนี้ช่วยให้กระบวนการทางธุรกิจรวดเร็วขึ้น ลดความซ้ำซ้อน และทำให้ผู้ประกอบการมีเวลาไปโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญกว่า นั่นคือการพัฒนาสินค้าและบริการของตัวเอง

แนวคิดนี้ นำมาสู่ประเด็นสำคัญข้อที่สอง คือ “Enabling for Growth” กรุงศรีฯ มองว่า เทคโนโลยีไม่ใช่แค่ “เครื่องมือ” ที่เราหยิบมาใช้เมื่อต้องการ แต่ควรจะเป็น “พาร์ทเนอร์” ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตไปพร้อมกัน

ลองจินตนาการว่าเราเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ที่มีทีมงานไม่กี่คน แต่ต้องดูแลทุกอย่าง ตั้งแต่การผลิต การตลาด การขาย ไปจนถึงการเงิน

ภาระงานที่ล้นมือ อาจทำให้เราไม่มีเวลาพอที่จะวางแผนกลยุทธ์ หรือมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในการเติบโต กรุงศรีฯ มองเห็น Pain Point จุดนี้ จึงนำเสนอโซลูชันที่เข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระ

แทนที่ธุรกิจจะต้องเสียทรัพยากรไปกับการจัดการเรื่องการเงินที่ซับซ้อน ก็สามารถใช้เทคโนโลยีของธนาคารเข้ามาช่วยจัดการได้เลย

ทำให้ผู้ประกอบการสามารถทุ่มเทสติปัญญาและพลังงานทั้งหมด ไปกับการพัฒนาหัวใจหลักของธุรกิจได้อย่างเต็มที่ นี่คือความหมายของการเติบโตไปพร้อมกัน โดยมีธนาคารเป็นเหมือนเพื่อนร่วมทางที่ไว้ใจได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเราพูดถึงเทคโนโลยีที่ทรงพลังอย่าง AI คำถามที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือเรื่องของความรับผิดชอบ

พลังของ AI ก็เปรียบเสมือนดาบสองคม มันสามารถสร้างประโยชน์มหาศาล แต่ก็อาจสร้างผลกระทบในวงกว้างได้เช่นกันหากถูกใช้อย่างไม่ระมัดระวัง

ประเด็นนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันในระดับโลก เราจะเห็นข่าวความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนา AI ที่ขาดการควบคุม หรือการเปลี่ยนแปลงวิสัยทัศน์ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง OpenAI

แม้ว่าเราจะเพิ่งเริ่มใช้งาน Generative AI อย่างแพร่หลายได้ไม่นาน แต่ผลกระทบของมันเริ่มปรากฏให้เห็นแล้วในหลายมิติ

สิ่งนี้จึงนำมาสู่ประเด็นสุดท้ายและสำคัญที่สุดจากงาน Krungsri Tech Day 2025 นั่นคือ “Sustainable AI”

แนวคิดนี้หมายถึง การพัฒนาและใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบ ยั่งยืน และมีจริยธรรมเป็นที่ตั้ง กรุงศรีฯ เน้นย้ำว่า การนำ AI มาใช้ จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความ “โปร่งใส”

คำว่าโปร่งใสในที่นี้ หมายถึง ผู้ใช้งานต้องสามารถเข้าใจได้ว่า AI ทำงานอย่างไร ใช้ข้อมูลอะไรในการตัดสินใจ และมีกระบวนการคิดแบบไหน

ลองนึกถึงกรณีที่ AI ถูกนำมาใช้ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ หากลูกค้าถูกปฏิเสธ พวกเขาควรมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่า AI ตัดสินใจจากปัจจัยอะไร และมีช่องทางที่จะอุทธรณ์การตัดสินใจนั้นได้หรือไม่

ความโปร่งใสเช่นนี้ คือสิ่งที่จะช่วยสร้างความไว้วางใจระหว่างผู้ใช้งานและเทคโนโลยี

นอกเหนือจากความโปร่งใสแล้ว การใช้ AI ยังต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ไม่ใช่แค่ผลกำไรขององค์กร

ตัวอย่างเช่น การพัฒนา AI ที่ช่วยลดการใช้พลังงานใน Data Center หรือ AI ที่ช่วยให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนหรือมีสถานะทางการเงินเป็นอย่างไร

อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของ Sustainable AI คือความรับผิดชอบต่อข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า

การปล่อยให้ AI เรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาล จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันที่รัดกุม เพื่อไม่ให้ข้อมูลเหล่านั้นถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด

กรุงศรีฯ ให้ความสำคัญกับการสร้าง Framework และนโยบายที่ชัดเจนในด้าน Data Ethics และ Privacy ของข้อมูล

รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยี Cyber Security เพื่อสร้างกำแพงป้องกันข้อมูลของลูกค้าอย่างเข้มงวดที่สุด

ท้ายที่สุดแล้ว ภาพรวมจากงาน Krungsri Tech Day 2025 ได้ตอกย้ำให้เห็นว่า การเติบโตทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยี ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบเสมอ

มันไม่ใช่แค่เรื่องของการแสวงหาผลกำไรในระยะสั้น แต่คือการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับสังคม และสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว

ตั้งแต่แนวคิด Technology Simplicity ที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น, Enabling for Growth ที่เปลี่ยนเทคโนโลยีให้เป็นพาร์ทเนอร์ จนถึง Sustainable AI ที่เน้นย้ำการเติบโตอย่างมีจริยธรรม

ทั้งหมดนี้คือจิ๊กซอว์ที่ประกอบกันขึ้นเป็นภาพอนาคตของเทคโนโลยีทางการเงิน ที่กรุงศรีฯ พยายามจะสื่อสารออกมา

ในทุกวันนี้ เรื่องเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่จะช่วยขับเคลื่อนทั้งผู้คนและธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า

และที่สำคัญที่สุด มันจะต้องเป็นเทคโนโลยีที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้ชีวิตของทุกคน “ง่ายขึ้น” อย่างแท้จริง.