ถ้าถามว่าอะไรคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของ Elon Musk หลายคนอาจนึกถึงวันที่ SpaceX ส่งจรวดขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จ หรือวันที่ Tesla กลายเป็นบริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก
แต่รู้ไหมว่า บทเรียนที่ล้ำค่าที่สุด และเป็นเงินทุนก้อนแรกที่ทำให้เขาสร้างอาณาจักรเหล่านี้ได้ กลับมาจากเหตุการณ์ที่เขาถูก “รัฐประหาร” ในบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งมากับมือ
เรื่องราวนี้คือส่วนผสมที่ลงตัวของวิสัยทัศน์ ความขัดแย้ง การหักหลัง และการเติบโต ที่น่าติดตามไม่แพ้ภาพยนตร์ Hollywood เลยทีเดียว
ย้อนกลับไปในช่วงปลายยุค 90 หลังจากที่ Elon Musk ขายบริษัทแรกของเขาอย่าง Zip2 และกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านในวัยหนุ่ม เขาไม่ได้หยุดพักเพื่อใช้เงิน แต่กลับมองหาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ชิ้นต่อไปที่จะเข้าไปปฏิวัติ
เป้าหมายของเขาคือ “ธนาคาร” ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่และเก่าแก่ แต่ในมุมมองของ Musk เขากลับมองว่าเหล่าผู้บริหารในวงการนี้ “รวย แต่ โง่” และเคลื่อนตัวช้าเกินไปในยุคที่อินเทอร์เน็ตกำลังจะเปลี่ยนโลก
แนวคิดเรื่องธนาคารออนไลน์ ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเขา Musk เคยเสนอไอเดียนี้ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาฝึกงานที่ Bank of Nova Scotia แต่ก็ไม่มีใครรับฟัง
ความคิดนี้ตกผลึกอย่างแท้จริงในปี 1995 ตอนที่เขาฝึกงานที่ Pinnacle Research Institute ท่ามกลางนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ เขาพยายามนำเสนอไอเดียการชำระเงินออนไลน์ แต่ทุกคนกลับมองว่ามันเป็นไปไม่ได้และเสี่ยงเกินไป
ในยุคนั้น แม้แต่ Amazon การชำระเงินก็ยังต้องทำผ่านโทรศัพท์ ไม่มีใครกล้าพอที่จะกรอกข้อมูลบัตรเครดิตลงบนเว็บไซต์ แต่ Musk มองไกลกว่านั้น เขาวาดฝันถึงสถาบันการเงินออนไลน์เต็มรูปแบบ ที่ให้บริการทุกอย่างเหมือนธนาคารจริง
อุปสรรคสำคัญคือ กฎระเบียบทางการเงินที่คร่ำครึของสหรัฐอเมริกา แต่นั่นก็ไม่อาจหยุดความมุ่งมั่นของเขาได้ ทันทีที่การขาย Zip2 เสร็จสิ้น เขาก็ได้ก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาทันทีในชื่อ X .com
เขาได้รวบรวมทีมงานหัวกะทิ ทั้งจาก Zip2 และดึงตัวผู้มีประสบการณ์ในโลกการเงินอย่าง Harris Fricker และ Christopher Payne เข้ามา ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือการปฏิวัติวงการธนาคารด้วยอินเทอร์เน็ต
แต่เส้นทางแห่งการปฏิวัติก็ไม่ได้สวยหรู เพียงแค่ 5 เดือนแรก Musk ก็เกิดความขัดแย้งกับ Harris Fricker ซึ่งต้องการอำนาจในการบริหารและตำแหน่ง CEO แต่ Musk ไม่เคยยอมเป็นที่สองรองใคร สุดท้ายทั้งสองจึงแตกหักกันอย่างรวดเร็ว
การจากไปของ Fricker ถือเป็นการสูญเสียบุคลากรด้านการเงินที่สำคัญ แต่ Musk ก็ยังคงเดินหน้าต่อ เขาจ้างทีมกฎหมายที่ดีที่สุดเพื่อจัดการกับข้อบังคับต่างๆ และเร่งทีมวิศวกรให้พัฒนาซอฟต์แวร์ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด
ในที่สุด X .com ก็พร้อมเปิดตัวในช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าปี 1999 Musk ใช้วิธีการตลาดที่ดุดัน ด้วยการแจกเงิน 20 เหรียญสำหรับผู้สมัครใหม่ และอีก 10 เหรียญสำหรับการแนะนำเพื่อน เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานให้ได้มากที่สุด
นวัตกรรมที่สำคัญที่สุดของ X .com คือระบบการโอนเงินระหว่างบุคคล ที่ทำได้อย่างง่ายดายผ่านอีเมลและเมาส์คลิกเพียงไม่กี่ครั้ง มันคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกการเงิน
แต่แล้ว คู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อก็ได้ปรากฏตัวขึ้น บริษัทสตาร์ทอัพที่ชื่อว่า Confinity ซึ่งนำโดย Peter Thiel ได้เปิดตัวบริการที่คล้ายกันในชื่อ “PayPal”
สงครามระหว่างสองบริษัทได้เริ่มต้นขึ้นอย่างดุเดือด PayPal มีความได้เปรียบจากการที่สามารถเข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มประมูลออนไลน์ยักษ์ใหญ่อย่าง eBay ได้ก่อน ส่วน Musk ที่รักการแข่งขันก็สู้ไม่ถอย เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้ X .com เป็นฝ่ายชนะ
สงครามเผาเงินดำเนินไปได้ไม่นาน ทั้งสองบริษัทก็ต่างรู้ดีว่าหากยังสู้กันต่อไป มีแต่จะล้มตายกันไปทั้งคู่ ประกอบกับสถานการณ์ฟองสบู่ดอทคอมแตกที่ทำให้นักลงทุนเริ่มขาดความเชื่อมั่น
ในปี 2000 ทางออกที่ดีที่สุดจึงเกิดขึ้น นั่นคือการควบรวมกิจการ ในดีลนี้ Musk เป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่า เพราะ X .com ยังมีเงินทุนเหลือเฟือ ในขณะที่ PayPal ของ Thiel เงินสดใกล้จะหมดลงแล้ว
ผลคือ Musk กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด เขายืนกรานที่จะใช้ชื่อ X .com เป็นชื่อหลักของบริษัทใหม่ และยังสามารถระดมทุนเพิ่มได้อีกกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่การรวมกันของสองวัฒนธรรมที่แตกต่างสุดขั้ว กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งครั้งใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิม
ทีมงานฝั่ง Confinity เดิมนั้นหลงใหลในระบบ Open Source อย่าง Linux ในขณะที่ทีม X .com ของ Musk ขับเคลื่อนด้วย Windows Server ของ Microsoft ความแตกต่างทางเทคโนโลยีนี้ได้สร้างรอยแยกที่ลึกและกลายเป็นสงครามย่อยๆ ในองค์กร
ไม่นานนัก Peter Thiel ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งรองประธานบริหาร หลังจากขัดแย้งกับ Bill Harris, CEO ที่ Musk จ้างเข้ามาบริหารอย่างรุนแรง
ในเวลาเดียวกัน Musk ก็เริ่มได้ยินเสียงบ่นเกี่ยวกับผลงานของ Bill Harris และฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดลง เมื่อ Musk รู้ว่า Harris ได้นำเงินของบริษัทไปบริจาคให้พรรคการเมืองโดยพลการ
Musk จึงเรียกประชุมคณะกรรมการฉุกเฉิน และทำการปลด Bill Harris ออกจากตำแหน่ง CEO แล้วก้าวขึ้นมาคุมทัพด้วยตัวเอง
เขามอบหมายให้ David Sacks คนสนิทของ Thiel เข้ามาดูแลฝ่ายผลิตภัณฑ์ แต่ปัญหาก็ยังคงรุมเร้า ทั้งความขัดแย้งของทีมวิศวกร และปัญหาใหญ่เรื่องชื่อแบรนด์
Musk ต้องการผลักดันชื่อ X .com แต่ผลสำรวจกลับชี้ชัดว่าผู้ใช้งานเชื่อมั่นในแบรนด์ PayPal มากกว่าอย่างท่วมท้น แม้จะขุ่นเคืองเพียงใด แต่เขาก็ต้องยอมรับความจริงข้อนี้
ที่เลวร้ายไปกว่านั้น คือระบบของ X .com เริ่มไม่สามารถรองรับจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ ทำให้เว็บไซต์ล่มอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งถือเป็นฝันร้ายของบริการทางการเงิน
และแล้ว ช่วงเวลาแห่งการรัฐประหารก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดยมี David Sacks ชายที่ Musk ไว้ใจ เป็นผู้นำในการวางแผนโค่นล้มเขาเสียเอง
Sacks ได้แอบประชุมลับกับเหล่าผู้บริหารฝั่ง PayPal เดิม พวกเขามองว่าความดื้อดึงของ Musk ที่จะเปลี่ยนทุกอย่างมาอยู่บนแพลตฟอร์มของตัวเองนั้น เป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรงต่ออนาคตของบริษัท
แผนการของพวกเขาคือ การขู่ลาออกยกทีม เพื่อบีบให้คณะกรรมการต้องปลด Musk ออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้งให้ Peter Thiel กลับมาเป็น CEO แทน
Max Levchin หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal และ Reid Hoffmann เพื่อนเก่าแก่ของ Thiel ก็ได้เข้าร่วมแผนการนี้ด้วย พวกเขารวบรวมรายชื่อพนักงานที่ไม่พอใจการบริหารของ Musk เพื่อกดดันคณะกรรมการ
เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ Musk กำลังเดินทางไปฮันนีมูนกับภรรยาคนแรกที่ออสเตรเลีย เขาถูกลอบโจมตีในจังหวะที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
ทันทีที่ทราบเรื่อง Musk ก็รีบบินกลับมายัง Silicon Valley แต่ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะสายเกินไป กลุ่มผู้ก่อการได้กุมความได้เปรียบไว้ทั้งหมดแล้ว คณะกรรมการส่วนใหญ่ได้ตัดสินใจเลือกข้างเรียบร้อยแล้ว
แม้จะพยายามต่อสู้ แต่สุดท้าย Musk ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ เขายอมถอยเพื่อให้บริษัทที่เขาสร้างมากับมือสามารถเดินหน้าต่อไปได้
นี่คือจุดที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่น่าทึ่งของ Musk แทนที่จะเลือกทำลาย เขากลับเลือกที่จะก้าวลงจากตำแหน่งอย่างสง่างาม และยังคงสถานะเป็นที่ปรึกษาและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดต่อไป
เขาส่งข้อความถึงพนักงานทุกคน เพื่อยอมรับการตัดสินใจและขอบคุณการทำงานของทุกคน พร้อมทั้งให้การสนับสนุน Peter Thiel ในฐานะ CEO คนใหม่อย่างเต็มที่
ในเดือนมิถุนายน ปี 2001 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อเป็น PayPal อย่างเป็นทางการ และภายใต้การนำของ Thiel บริษัทก็เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
และแล้วผลตอบแทนของความอดทนก็ได้มาถึง ในเดือนกรกฎาคม ปี 2002 บริษัท eBay ได้ยื่นข้อเสนอซื้อกิจการ PayPal ด้วยมูลค่ามหาศาลถึง 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
ดีลนี้ทำให้ Elon Musk ได้รับส่วนแบ่งจากการขายหุ้นเป็นเงินกว่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีอย่างเต็มตัว
และเงินทุนก้อนนี้เอง ที่กลายเป็นเชื้อเพลิงให้เขาสามารถไล่ตามความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้ ทั้งการก่อตั้ง SpaceX เพื่อพามนุษย์ไปดาวอังคาร และการสร้าง Tesla เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานที่ยั่งยืน
เหตุการณ์รัฐประหารที่ PayPal อาจเป็นความพ่ายแพ้ที่เจ็บปวด แต่มันก็ได้มอบบทเรียนและทุนทรัพย์ ที่ผลักดันให้ Elon Musk กลายเป็นบุคคลที่เปลี่ยนแปลงโลกอย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บางครั้งความล้มเหลวที่ดูเหมือนจะเป็นจุดจบ อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมก็เป็นได้
References : [foxbusiness,hindustantimes,wikipedia,sequoiacap]