Geek Daily EP339 : เบื้องหลังดีลประวัติศาสตร์ (อีกครั้ง) เมื่อ Nvidia ไม่ใช่แค่ผู้ขาย แต่จะร่วมลงทุนกับ Elon Musk

เมื่อ xAI บริษัท AI น้องใหม่ที่ Musk ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อท้าชนกับยักษ์ใหญ่อย่าง OpenAI เจ้าของ ChatGPT และ DeepMind ของ Google ประกาศแผนการระดมทุนครั้งประวัติศาสตร์ เป้าหมายคือเงินก้อนโตถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์” แห่งอนาคต และหัวใจสำคัญของเครื่องจักรนี้ก็คือชิปจากบริษัท Nvidia

นี่ไม่ใช่แค่การซื้อของธรรมดา แต่มันคือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่อาจจะเปลี่ยนโฉมหน้าของมนุษยชาติไปตลอดกาล วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันว่าทำไม Musk ถึงต้องทุ่มเงินมหาศาลขนาดนี้ และทำไมชิปของ Nvidia ถึงกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ทุกคนในวงการ AI ต้องการตัวจนแทบจะพลิกแผ่นดินหา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3665d8m4

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/44fefd47

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/y2pt87k6

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/s1H0opc6tG4

สงคราม AI ระอุ เมื่อ OpenAI ไม่ได้สู้แค่กับ Google แต่กำลังท้าชน Apple

หากเราย้อนเวลากลับไปในเช้าวันที่ 10 มกราคม 2007 โลกเพิ่งได้รู้จักกับอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่ชื่อว่า iPhone เป็นครั้งแรก

ณ เวลานั้น น้อยคนจะจินตนาการออกว่าโทรศัพท์หน้าจอสัมผัสที่ไม่มีปุ่มกด จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษยชาติไปได้มากมายขนาดไหน

มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งโลกต่างรับรู้ร่วมกันว่า มีบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นแล้ว และโลกหลังจากนี้จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป

ผ่านมาเกือบ 20 ปี ความรู้สึกแบบเดียวกันนั้นได้หวนกลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นในงานของ Apple แต่เกิดขึ้นในงานประชุมนักพัฒนาที่ชื่อว่า Dev Day 2025

ศูนย์กลางของแรงสั่นสะเทือนครั้งนี้คือบริษัทที่ชื่อว่า OpenAI และชายที่ชื่อ Sam Altman

สิ่งที่เกิดขึ้นในงานไม่ใช่แค่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่มันคือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า กฎเกณฑ์ของโลกเทคโนโลยีที่เรารู้จักกำลังจะถูกเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมด

แล้ว OpenAI ทำอะไรลงไป? และทำไมมันถึงอาจสำคัญยิ่งกว่าวันที่โลกได้รู้จักกับ iPhone?

หัวใจสำคัญของงาน Dev Day 2025 คือการเปิดตัวเครื่องมือที่หลายคนตั้งตารอ นั่นคือ Agent Builder

หากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด Agent Builder คือแพลตฟอร์มที่อนุญาตให้ “ทุกคน” สามารถสร้างผู้ช่วย AI หรือที่เรียกว่า AI Agent ของตัวเองขึ้นมาได้

คำว่า “ทุกคน” ในที่นี้คือทุกคนจริงๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมแม้แต่นิดเดียว

ภาพที่ทรงพลังที่สุดคือการสาธิตสดบนเวที Sam Altman ได้สร้าง AI Agent สำหรับวางแผนการท่องเที่ยวขึ้นมาต่อหน้าผู้ชมหลายพันคน

เขาเพียงแค่ลากและวางกล่องคำสั่งต่างๆ ที่ถูกออกแบบมาอย่างดี เชื่อมต่อตรรกะเข้าด้วยกัน เหมือนกับการต่อตัวต่อ LEGO

เขาเชื่อม Agent ที่สร้างขึ้นเข้ากับบริการภายนอกอย่าง Google Flights สำหรับหาเที่ยวบิน และ Stripe สำหรับการชำระเงิน

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึง 5 นาที

วินาทีที่เขาป้อนคำสั่งง่ายๆ เข้าไป แล้ว Agent ที่เพิ่งสร้างเสร็จหมาดๆ สามารถวางแผนการเดินทางที่ซับซ้อนให้ได้ในพริบตา วินาทีนั้นเองที่ทุกคนในฮอลล์ต่างตระหนักว่า โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว

นี่คือการทลายกำแพงที่เคยกีดกันคนทั่วไปออกจากการสร้างเทคโนโลยี

ในอดีต การสร้างซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันเป็นเรื่องของโปรแกรมเมอร์และวิศวกร แต่ Agent Builder กำลังจะเปลี่ยนสมการนั้นไปตลอดกาล

มันคือการมอบอำนาจในการสร้างสรรค์ที่เคยจำกัดอยู่แค่ในวงคนกลุ่มเล็กๆ ให้มาอยู่ในมือของคนหลายร้อยล้านคนทั่วโลก

ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นรวดเร็วและรุนแรง มีรายงานว่าหุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจเป็น “ตัวกลาง” เชื่อมต่อแอปพลิเคชันอย่าง Zapier ได้รับผลกระทบในทันที

นี่คือข้อพิสูจน์ว่า Agent Builder ไม่ใช่แค่ของเล่นชิ้นใหม่ แต่มันคือ Disruptor หรือผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง ที่พร้อมจะเข้ามาสั่นคลอนโครงสร้างเดิมของทั้งอุตสาหกรรม

Agent Builder ไม่ได้ถูกเปิดตัวออกมาอย่างโดดเดี่ยว แต่มันเป็นเพียงจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่สุดในแผนการที่ใหญ่กว่านั้นของ OpenAI

เบื้องหลังความง่ายในการใช้งานของ Agent Builder คือขุมพลังของ GPT-5 Pro ซึ่งเป็น “สมอง” อัจฉริยะรุ่นล่าสุด

ข่าวลือที่ว่า GPT-5 Pro สามารถแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนซึ่งไม่มีใครเคยแก้ได้ ได้รับการยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงบนเวที

นี่ไม่ใช่แค่การแสดงโชว์ แต่เป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่าแพลตฟอร์มนี้มีศักยภาพพอที่จะรองรับงานที่ยากและซับซ้อนที่สุดได้

จิ๊กซอว์ชิ้นต่อมาคือการเปิด Sora 2 Pro API ซึ่งเป็นการอนุญาตให้นักพัฒนาสามารถนำเทคโนโลยีการสร้างวิดีโอคุณภาพสูงของ OpenAI ไปใช้ได้

ลองนึกภาพตามดูว่า ธุรกิจขนาดเล็กสามารถสร้างวิดีโอโฆษณาของตัวเองได้ โดยแค่สั่งการ AI Agent ที่สร้างขึ้นมา นี่คือการควบรวมพลังของ “ตรรกะ” เข้ากับ “ความคิดสร้างสรรค์”

แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุด คือการปรากฏตัวของ Jony Ive ตำนานนักออกแบบผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple

การที่ Sam Altman เชิญ Jony Ive ขึ้นมาบนเวที ไม่ใช่เพื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่เพื่อประกาศ “วิสัยทัศน์” ร่วมกัน

พวกเขาพูดถึงอนาคตที่การใช้งาน AI จะต้องเป็นธรรมชาติและไร้รอยต่อยิ่งกว่าเดิม ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณตรงไปถึง Apple ว่าสนามรบต่อไปอาจไม่ใช่แค่เรื่องซอฟต์แวร์อีกต่อไป

เมื่อจิ๊กซอว์ทุกชิ้นถูกนำมาประกอบกัน เราจึงได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น

OpenAI ไม่ได้ต้องการเป็นแค่ผู้สร้างโมเดล AI ที่ดีที่สุด แต่พวกเขากำลังสร้าง “ระบบนิเวศ” หรือ Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา

เป้าหมายคือการเปลี่ยน ChatGPT จากแชตบอตอัจฉริยะ ให้กลายเป็น “ระบบปฏิบัติการ” ใหม่สำหรับยุค AI

แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่นี้ ได้ส่งแรงกระเพื่อมไปถึงคู่แข่งทุกราย

Google ที่เคยเป็นผู้นำในโลกของการค้นหาและข้อมูล ตอนนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุด เพราะ Agent Builder อาจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเข้าถึงข้อมูลของผู้คนไปตลอดกาล

Meta ของ Mark Zuckerberg ที่ทุ่มเทให้กับ Metaverse และอุปกรณ์สวมใส่มานานหลายปี กลับกลายเป็นว่าพวกเขากำลังเดินอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง เพราะสงคราม AI ในระยะยาว อาจตัดสินกันที่ใครสามารถสร้างประสบการณ์ผ่าน “ฮาร์ดแวร์” ได้ดีกว่า

และที่สำคัญที่สุดคือ Apple ผู้ที่เป็นราชาแห่งการสร้าง Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบมาตลอดทศวรรษ

การปรากฏตัวของ Jony Ive บนเวทีของ OpenAI เปรียบเสมือนการประกาศสงครามกับ Apple โดยตรง มันคือการท้าทายในเรื่องที่ Apple ทำได้ดีที่สุด นั่นคือการออกแบบและประสบการณ์ผู้ใช้

สมรภูมิ AI ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน

สิ่งที่เกิดขึ้นในงาน Dev Day 2025 ไม่ใช่บทสรุป แต่เป็นเพียงบทนำของเรื่องราวบทใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

การแข่งขันในโลก AI ได้วิวัฒนาการไปอีกขั้น จากเดิมที่เป็น “สงครามแห่งโมเดล” ที่แข่งกันว่าของใครฉลาดกว่ากัน ตอนนี้มันได้กลายเป็น “สงครามสามแนวรบ” ที่ซับซ้อนและเกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก

แนวรบแรกคือสงครามแพลตฟอร์ม

เป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงนักพัฒนาและผู้ใช้งาน ระหว่าง Agent Builder ของ OpenAI กับระบบนิเวศทั้งหมดของ Google ใครสร้างเครื่องมือที่ดีกว่าและมีประโยชน์มากกว่าจะเป็นผู้ชนะ

แนวรบที่สองคือสงครามฮาร์ดแวร์

นี่คือเกมระยะยาวที่มองไปถึงอนาคต เป็นการต่อสู้ระหว่างวิสัยทัศน์อุปกรณ์ AI ของ OpenAI และ Jony Ive กับ iPhone ของ Apple และอุปกรณ์สวมใส่ของ Meta

และแนวรบที่สามคือสงครามชิป

ซึ่งเป็นรากฐานของทุกสิ่ง ใครที่สามารถควบคุมเทคโนโลยีการผลิตชิป ซึ่งเปรียบเสมือนสมองของ AI ได้ ก็จะกุมความได้เปรียบในทุกสนามรบ

มันหมายความว่าเรากำลังยืนอยู่บนจุดเริ่มต้นของยุคแห่งโอกาสครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ อำนาจในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่เคยถูกจำกัดไว้ กำลังจะถูกส่งต่อมาอยู่ในมือของพวกเราทุกคน

ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก นักเรียน หรือคนทำงานทั่วไป คุณก็สามารถสร้างเครื่องมือ AI ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันหรือสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

โลกได้ถูกแบ่งออกเป็นสองยุคอย่างชัดเจนแล้ว นั่นคือยุค “ก่อน Dev Day 2025” และยุค “หลัง Dev Day 2025”

คำถามที่สำคัญที่สุดในวันนี้จึงไม่ใช่ว่า OpenAI หรือบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จะสร้างอะไรต่อไป

แต่เป็นคำถามที่เราทุกคนต้องตอบ นั่นคือ…

เมื่อเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดได้มาอยู่ในมือของเราแล้ว…

เราจะใช้มันเพื่อสร้างอะไร?

References : [theverge,techcrunch,reuters,bloomberg,theinformation]

ถูกจนช็อก หรือ ถูกหลอก? เปิดโปงความลับดำมืดเบื้องหลังพัสดุสีส้มจาก Temu

เคยรู้สึกไหมครับว่า ในยุคที่ข้าวของแพงขึ้นทุกวัน แต่กลับมีแพลตฟอร์มชอปปิ้งแห่งหนึ่งโผล่ขึ้นมาสวนกระแส ด้วยการขายสินค้าในราคาที่ถูกจนน่าตกใจ

บริษัทนั้นคือ Temu แอปพลิเคชันอีคอมเมิร์ซสีส้ม ที่ปรากฏตัวพุ่งทะยานขึ้นมาในปี 2022 และได้เปลี่ยนภูมิทัศน์การช้อปปิ้งออนไลน์ไปอย่างสิ้นเชิง

สโลแกนของพวกเขาเรียบง่ายแต่ทรงพลัง “Shop like a Billionaire” หรือช้อปให้เหมือนมหาเศรษฐี มันคือคำที่ดูหอมหวาน ในยุคที่ผู้คนกำลังรู้สึกว่าเงินในกระเป๋าลีบเล็กลง

แท็ปเล็ตราคาไม่ถึงร้อย โซฟาอย่างเทพในราคาที่ถูกจนเหลือเชื่อ โดรนติดกล้องในราคาไม่กี่ร้อยบาท หรือแม้แต่ไวโอลินในราคาที่ถูกกว่าค่าเรียนดนตรีหนึ่งชั่วโมง ทั้งหมดนี้มาพร้อมกับบริการส่งฟรีถึงหน้าบ้าน

คำถามที่เกิดขึ้นในใจของทุกคนจึงเหมือนกันหมด.. มันเป็นไปได้อย่างไร?

เรื่องราวของ Temu ไม่ใช่แค่เรื่องของแอปขายของถูก แต่มันคือมหากาพย์ทางธุรกิจที่ซับซ้อน เป็นกรณีศึกษาที่เผยให้เห็นกลยุทธ์อันน่าทึ่ง และความลับอันดำมืดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังราคาที่เห็น

การจะเข้าใจปรากฏการณ์นี้ เราต้องย้อนกลับไปมองภาพที่ใหญ่กว่านั้นก่อน

Temu ไม่ใช่ผู้เล่นหน้าใหม่ที่เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่เป็นแบรนด์ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Pinduoduo บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซจากประเทศจีน

ที่จีนแผ่นดินใหญ่ Pinduoduo คือตำนาน พวกเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีในการสร้างอาณาจักรขึ้นมาท้าชนกับ Alibaba เจ้าตลาดที่ดูเหมือนจะไม่มีใครโค่นล้มได้

สูตรสำเร็จของ Pinduoduo คือการเจาะตลาดต่างจังหวัดและผู้มีรายได้น้อย ด้วยโมเดล Social Commerce ที่ให้ผู้ซื้อชวนเพื่อนมาซื้อด้วยกันเพื่อปลดล็อกราคาที่ถูกลงไปอีก

เมื่อพิชิตตลาดจีนได้สำเร็จ สมรภูมิต่อไปที่พวกเขาเล็งไว้ก็คือ ตลาดโลก และสหรัฐอเมริกาก็คือเป้าหมายแรกที่ต้องยึดครองให้ได้

แต่การบุกตลาดที่มีเจ้าถิ่นอย่าง Amazon ครองอยู่ ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขารู้ดีว่าต้องใช้กลยุทธ์ที่เหนือความคาดหมาย จึงเป็นที่มาของการสร้างแบรนด์ Temu ขึ้นมาใหม่ พร้อมกับทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อสร้างแรงกระเพื่อมให้ดังที่สุด

พวกเขาไม่ได้มาแบบเงียบๆ แต่มาพร้อมกับสงครามการตลาดแบบสายฟ้าแลบ มีรายงานว่า Temu ใช้เงินโฆษณาบนแพลตฟอร์มของ Meta เพียงอย่างเดียวสูงถึงปีละ 2,000 ล้านดอลลาร์

นั่นคือเม็ดเงินที่มากพอๆ กับ 10% ของรายได้รวมทั้งปีของบริษัทแม่อย่าง Facebook เลยทีเดียว

แต่แรงกระเพื่อมที่ดังที่สุด เกิดขึ้นในคืนการแข่งขัน Super Bowl ซึ่งเปรียบเสมือนมหกรรมหยุดโลกของชาวอเมริกัน

ค่าโฆษณาในช่วงเวลานี้แพงระยับถึง 7 ล้านดอลลาร์ต่อ 30 วินาที แต่ Temu กลับตัดสินใจซื้อโฆษณาถึง 3 ตัวในคืนเดียว เป็นเงินกว่า 21 ล้านดอลลาร์

ผลลัพธ์คือความสำเร็จถล่มทลาย Temu กลายเป็นแอปที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในชั่วข้ามคืน และชื่อของพวกเขาก็เป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ

เมื่อประตูบานแรกเปิดออก ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้าไปในแอป และก็ได้พบกับราคาที่ทำให้พวกเขาต้องขยี้ตาซ้ำแล้วซ้ำอีก

ถึงตรงนี้ ก็ได้วนกลับมาที่คำถามเดิมอีกครั้ง.. พวกเขาทำได้อย่างไร?

ความลับของ Temu สามารถแบ่งออกได้เป็นสองส่วนหลักๆ ส่วนแรกคือความลับเบื้องหลัง “ราคาสินค้า” และส่วนที่สองคือความลับเบื้องหลัง “ราคาของลูกค้า”

เรามาเริ่มจากส่วนแรกกันก่อน ทำไมสินค้าของพวกเขาถึงถูกได้ขนาดนี้?

คำตอบไม่ได้อยู่แค่คำว่า “Made in China” แต่มันซับซ้อนกว่านั้นมาก สินค้าจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์จากฝ้าย มีความเชื่อมโยงกับมณฑล Xinjiang

Xinjiang คือศูนย์กลางการผลิตฝ้ายที่สำคัญ คิดเป็นสัดส่วนถึง 20% ของผลผลิตฝ้ายทั้งโลก แต่ในขณะเดียวกัน ที่นี่ก็เป็นศูนย์กลางของข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่รุนแรง

องค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งและรัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวหาว่ามีการใช้แรงงานบังคับชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยมุสลิมในพื้นที่

เรื่องนี้ชวนให้นึกถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ ที่โรงงานทอผ้าสามารถผลิตสินค้าได้ในราคาถูก ก็เพราะอาศัยแรงงานราคาถูกและสภาพการทำงานที่ย่ำแย่

การเข้าถึงแหล่งผลิตที่มีต้นทุนค่าแรงต่ำอย่างมาก คือหนึ่งในจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ทำให้ Temu สามารถตั้งราคาได้ต่ำกว่าคู่แข่งอย่างมหาศาล

แบรนด์ใหญ่ๆ ทั่วโลกต่างพยายามตีตัวออกห่างจากซัพพลายเชนใน Xinjiang สหรัฐฯ ถึงกับออกกฎหมาย “Uyghur Forced Labor Prevention Act” เพื่อกีดกันสินค้าเหล่านี้

แล้ว Temu รอดพ้นจากการตรวจสอบไปได้อย่างไร?

คำตอบคือช่องโหว่ทางกฎหมายที่เรียกว่า de minimis ซึ่งเป็นกฎที่ยกเว้นภาษีและการตรวจสอบอย่างเข้มงวดสำหรับพัสดุที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ (ในภายหลังประธานาธิบดี Donald Trump สั่งยกเลิกกฎหมายนี้แล้ว)

โมเดลธุรกิจของ Temu ที่เน้นการส่งพัสดุชิ้นเล็กๆ ตรงถึงผู้บริโภค ทำให้พัสดุเกือบทั้งหมดของพวกเขาเข้าเกณฑ์นี้พอดี มันจึงเหมือนการมีช่องทางด่วนพิเศษที่บินลอดใต้เรดาร์ของศุลกากรไปได้

นี่คือความลับข้อแรกเบื้องหลังราคาที่ถูกจนน่าตกใจ

แต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นั้น เพราะต่อให้ต้นทุนสินค้าจะต่ำแค่ไหน ก็ไม่น่าจะครอบคลุมค่าการตลาดที่เผาไปหลายพันล้านดอลลาร์ได้

สถาบันการเงินอย่าง Goldman Sachs ประเมินว่า Temu ขาดทุนประมาณ 6 ดอลลาร์หรือราว ๆ 200 บาทต่อทุกๆ การจัดส่ง ทำไมบริษัทถึงยอมทำธุรกิจที่ขาดทุนทุกครั้งที่ขายของ?

คำตอบก็นำเราไปสู่ความลับส่วนที่สอง.. นั่นก็คือราคาของ “ลูกค้า”

ในโลกธุรกิจมีคำกล่าวคลาสสิกที่ว่า “ถ้าคุณไม่ได้จ่ายเงินเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ แสดงว่าตัวคุณนั่นแหละคือผลิตภัณฑ์”

กลยุทธ์ของ Temu ไม่ได้มุ่งหวังกำไรจากการขายสินค้าในระยะสั้น แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือ “การได้มาซึ่งผู้ใช้” (User Acquisition)

การยอมขาดทุนมหาศาล ก็เพื่อเป้าหมายเดียว คือการทำให้คนหลายสิบล้านคนดาวน์โหลดและติดตั้งแอปของพวกเขาไว้ในโทรศัพท์มือถือ

แล้วทำไมการมีแอปอยู่ในมือถือของคุณถึงสำคัญขนาดนั้น?

เพราะทันทีที่คุณกดยอมรับเงื่อนไขการใช้งาน คุณอาจกำลังมอบกุญแจเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดของคุณให้กับพวกเขา

มีคดีฟ้องร้องแบบกลุ่มในสหรัฐฯ ที่กล่าวหาว่า Temu ไม่ใช่แค่แอปช้อปปิ้งธรรมดา แต่เป็นสปายแวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเก็บเกี่ยวข้อมูลผู้ใช้

แอปขอสิทธิ์การเข้าถึงในส่วนที่ไม่จำเป็นต่อการซื้อของออนไลน์เลย เช่น กล้อง ไมโครโฟน รายชื่อผู้ติดต่อ ข้อความส่วนตัว และรูปภาพ

ที่น่ากังวลไปกว่านั้น คำฟ้องยังระบุว่า โค้ดของแอปถูกเขียนขึ้นมาอย่างแยบยลเพื่อให้สามารถหลบเลี่ยงระบบความปลอดภัยของโทรศัพท์ และดึงข้อมูลออกไปได้โดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว

เรื่องนี้คล้ายกับยุคแรกของโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook ที่เริ่มต้นจากการเป็นแพลตฟอร์ม “ฟรี” เพื่อเชื่อมต่อผู้คน แต่โมเดลธุรกิจที่แท้จริงคือการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้ เพื่อนำไปขายให้กับผู้ลงโฆษณา

Temu ก็กำลังทำในสิ่งที่ไม่ต่างกัน พวกเขายอม “ขาดทุน” ในการขายสินค้า เพื่อสร้างสินทรัพย์ที่มีค่ามหาศาลยิ่งกว่า นั่นคือฐานข้อมูลส่วนตัวของชาวอเมริกันหลายร้อยล้านคน

ดังนั้น ราคาที่ถูกจนเหลือเชื่อจึงเป็นเพียง “เหยื่อล่อ” มันคือชีสชิ้นหอมหวานที่วางอยู่บนกับดัก เพื่อให้เราเดินเข้าไปติดกับด้วยความเต็มใจ

เมื่อนำภาพทั้งหมดมาต่อกัน เราจะเห็นว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องของแอปขายของถูก แต่เป็นยุทธศาสตร์สองด้านที่น่ากลัว

ด้านหนึ่งคือการโจมตีระบบเศรษฐกิจ ด้วยการทุ่มตลาดด้วยสินค้าที่มาจากซัพพลายเชนที่น่ากังขา จนผู้ผลิตท้องถิ่นไม่สามารถแข่งขันได้

อีกด้านหนึ่งคือการทำสงครามข้อมูล ด้วยการใช้แอปที่ดูไม่มีพิษภัยเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมหาศาล

และเราต้องไม่ลืมว่า ในฐานะบริษัทสัญชาติจีน Pinduoduo และ Temu อยู่ภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ที่บังคับให้บริษัทเอกชนต้องให้ความร่วมมือกับรัฐบาลหากมีการร้องขอข้อมูล

เรื่องราวของ Temu จึงเป็นภาพสะท้อนของโลกยุคใหม่ ที่การค้า เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์ ถูกหลอมรวมเป็นเรื่องเดียวกันอย่างแยกไม่ออก

มันเริ่มต้นจากความต้องการง่ายๆ ของเรา ที่อยากได้ของดีราคาถูก แต่เราอาจกำลังกลายเป็นเบี้ยในเกมที่ใหญ่กว่านั้นมากโดยไม่รู้ตัว

พัสดุสีส้มที่วางอยู่หน้าประตูบ้านอาจดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันคือตัวแทนของเครือข่ายผลประโยชน์ระดับโลกที่ซับซ้อนและทรงพลัง

ในโลกที่ทุกอย่างมีราคาของมัน บางทีคำถามที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่ว่าสินค้านี้ราคาเท่าไหร่ แต่คือ “ต้นทุนที่แท้จริง” ที่เราต้องจ่ายคืออะไร และใครกันแน่ที่เป็นคนจ่ายมันในท้ายที่สุด

References : [uscc .gov, cnn, bbc, grizzlyreports]