ผมว่าหลายท่านอาจจะไม่เคยทราบว่าในอดีตญี่ปุ่นเคยเป็นเจ้าแห่งวงการเซมิคอนดักเตอร์ของโลกมาก่อน
ในช่วงทศวรรษ 1980 ญี่ปุ่นผลิตชิปป้อนตลาดโลกมากกว่า 50% แซงหน้ามหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาไปแบบไม่เห็นฝุ่น
แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ทศวรรษ ชื่อของญี่ปุ่นในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมนี้กลับเลือนหายไปจนแทบไม่มีใครจำได้
เกิดอะไรขึ้นกับประเทศที่เคยรุ่งเรืองและแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ จากมหาอำนาจด้านชิป กลายเป็นเพียงผู้นำที่ถูกลืม เรื่องราวนี้มีบทเรียนอะไรซ่อนอยู่
เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นในฐานะผู้แพ้สงคราม ประเทศอยู่ในสภาพที่ต้องฟื้นฟูครั้งใหญ่
แต่ด้วยความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา พวกเขาก็สามารถสร้างชาติขึ้นมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
รัฐบาลญี่ปุ่นในตอนนั้นได้ก่อตั้งกระทรวงสำคัญขึ้นมา ชื่อว่า MITI หรือกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรม
MITI มองขาดว่ากุญแจสำคัญที่จะนำพาประเทศไปสู่อนาคต คืออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
ในช่วงแรก ญี่ปุ่นยังตามหลังโลกตะวันตกอยู่มาก พวกเขาต้องซื้อสิทธิ์ในการใช้เทคโนโลยีจากบริษัทอเมริกัน
บริษัทอย่าง NEC และ Toshiba ได้รับใบอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีจากบริษัทอย่าง RCA และ Western Electric เพื่อเริ่มต้นเส้นทางของตัวเอง
นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้บริษัทญี่ปุ่นสามารถผลิต “ทรานซิสเตอร์” ได้ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของวงการเซมิคอนดักเตอร์ในเวลาต่อมา
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1957 เมื่อ Sony ได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการเปิดตัววิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องแรกของโลก
สิ่งนี้เปรียบเสมือนการประกาศให้โลกรู้ว่า ญี่ปุ่นพร้อมแล้วที่จะลงมาเล่นในตลาดอิเล็กทรอนิกส์อย่างเต็มตัว
เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 1960 รัฐบาลญี่ปุ่นผ่าน MITI ได้ทุ่มเงินอุดหนุนมหาศาล พร้อมให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมนี้อย่างจริงจัง
รัฐบาลได้เปิดตัวโครงการที่ชื่อว่า “Integrated Circuit” หรือ IC โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ
บริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นอย่าง NEC, Toshiba และ Hitachi ต่างเข้าร่วมโครงการนี้
ซึ่งโครงการนี้เองที่ทำให้บริษัทญี่ปุ่นก้าวกระโดด จากที่เคยผลิตได้แค่ทรานซิสเตอร์ ก็สามารถสร้าง “วงจรรวม” หรือ IC ที่มีความซับซ้อนกว่าได้สำเร็จ
เมื่อถึงปลายยุค 60 บริษัทญี่ปุ่นก็กลายเป็นผู้เล่นที่น่าจับตาในระดับโลก โดยเฉพาะ NEC และ Fujitsu ที่ทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับการวิจัยและพัฒนา
เวลาผ่านไปอีกเพียง 10 ปี ในช่วงทศวรรษ 1970 อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของญี่ปุ่นก็เบ่งบานเต็มที่
ช่วงนั้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเฟื่องฟูถึงขีดสุด ความต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง วิทยุ โทรทัศน์ หรือเครื่องคิดเลข เติบโตอย่างก้าวกระโดดทั่วโลก
บริษัทญี่ปุ่นอย่าง NEC, Toshiba และ Fujitsu ไม่รอช้า พวกเขาฉวยโอกาสนี้มุ่งเน้นไปที่การผลิตวงจรรวม (IC) ในปริมาณมหาศาลเพื่อป้อนตลาด
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุน คือโครงสร้างอุตสาหกรรมแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า “Keiretsu”
Keiretsu คือเครือข่ายธุรกิจที่เชื่อมโยงผู้ผลิต ซัปพลายเออร์ และธนาคารเข้าไว้ด้วยกันอย่างเหนียวแน่น
ระบบนี้ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย ซึ่งสำคัญมากสำหรับการวิจัยและพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงลิ่ว
และแล้วในปี 1978 ญี่ปุ่นก็ได้ปล่อยหมัดเด็ดที่เปลี่ยนเกมไปตลอดกาล ด้วยการเปิดตัวโครงการ “Very Large-Scale Integration” หรือ VLSI
โครงการ VLSI นำโดย MITI เป็นการผนึกกำลังครั้งประวัติศาสตร์ของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของญี่ปุ่น ทั้ง NEC, Hitachi และ Fujitsu
เป้าหมายของโครงการนี้ คือการพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคนั้น โดยเฉพาะชิปหน่วยความจำที่เรียกว่า DRAM
โครงการนี้คือ “สูตรโกง” ที่ทำให้ญี่ปุ่นได้เปรียบคู่แข่งชาวอเมริกันอย่างมหาศาล
ในขณะที่บริษัทอเมริกันต่างคนต่างทำ ญี่ปุ่นกลับรวมพลังความรู้และทรัพยากรทั้งหมดมาไว้ที่เดียว โดยมีรัฐบาลคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ผลลัพธ์ที่ได้มันน่าทึ่งมาก
เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 1980 ญี่ปุ่นก็ไล่กวดสหรัฐอเมริกามาติดๆ บริษัทญี่ปุ่นเชี่ยวชาญศิลปะแห่งการผลิตจำนวนมาก พวกเขาสร้างผลผลิตได้สูง แต่มีอัตราของเสียน้อยมาก
ชิป DRAM ของญี่ปุ่นกลายเป็นสินค้าที่ทรงพลังที่สุดในตลาดโลก เพราะมีคุณภาพสูงและราคาถูกกว่า
NEC, Toshiba และ Hitachi กลายเป็นสามทหารเสือ ผงาดขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
พวกเขาผลิตชิปได้มีประสิทธิภาพเหนือกว่าคู่แข่งชาวอเมริกัน ด้วยกระบวนการผลิตและระบบควบคุมคุณภาพที่ไม่มีใครเทียบได้
และในปี 1983 ญี่ปุ่นก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดได้สำเร็จ…
พวกเขาแซงหน้าสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นผู้ผลิตชิป DRAM อันดับหนึ่งของโลก สองปีต่อมา ในปี 1986 ญี่ปุ่นก็ก้าวสู่จุดสูงสุดอย่างเป็นทางการ ปีนั้น ญี่ปุ่นควบคุมตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลกได้มากกว่า 50%
ชัยชนะอันหอมหวานนี้เอง ที่ได้ดึงดูดสายตาที่ไม่เป็นมิตรจากอีกฟากของมหาสมุทรแปซิฟิก
สหรัฐอเมริกาเริ่มกังวลกับการสูญเสียความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี พวกเขามองว่าความสำเร็จของญี่ปุ่นมาจากการค้าที่ไม่เป็นธรรม
รัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวหาว่าบริษัทญี่ปุ่นได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลและการปกป้องทางการค้า ทำให้เกิดความได้เปรียบที่ไม่ยุติธรรม
ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น นำไปสู่เหตุการณ์สำคัญที่พลิกชะตาของอุตสาหกรรมชิปญี่ปุ่นไปตลอดกาล นั่นคือ “ข้อตกลงเซมิคอนดักเตอร์สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น” ในปี 1986
ข้อตกลงนี้บังคับให้ญี่ปุ่นต้องเปิดตลาดในประเทศให้กับบริษัทต่างชาติ และกำหนดข้อจำกัดในการส่งออกชิป
นี่คือจุดเริ่มต้นของการล่มสลาย
การอนุญาตให้บริษัทอเมริกันเข้ามาตั้งฐานในตลาดญี่ปุ่น ทำให้การครองตลาดของบริษัทในประเทศถูกกัดกร่อนลงอย่างช้าๆ
มันยังจำกัดความสามารถในการส่งออก ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งที่ทำให้ญี่ปุ่นเติบโตอย่างรวดเร็ว
แต่จะโทษปัจจัยภายนอกเพียงอย่างเดียวก็คงไม่ถูกนัก เพราะอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ มาจากความผิดพลาดของญี่ปุ่นเอง
ในช่วงที่รุ่งเรือง ญี่ปุ่นทุ่มสุดตัวไปกับการผลิตชิปหน่วยความจำ หรือ DRAM แต่พวกเขากลับมองข้ามตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว นั่นคือ “ไมโครโปรเซสเซอร์” ซึ่งเปรียบเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์
บริษัทอเมริกันอย่าง Intel เห็นโอกาสนี้และรีบกระโจนเข้าไปยึดครองตลาดไว้ได้อย่างรวดเร็ว
การที่ญี่ปุ่นมุ่งเน้นแค่ตลาดเดียว ทำให้พวกเขามีความเปราะบางสูง เมื่อความต้องการ DRAM เริ่มชะลอตัว และตลาดไมโครโปรเซสเซอร์ทำกำไรได้มากกว่า ญี่ปุ่นก็เริ่มเสียหลัก
ในขณะเดียวกัน คู่แข่งรายใหม่ก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นบนเวทีโลก นั่นก็คือ Samsung จากเกาหลีใต้ที่บุกตลาด DRAM อย่างดุดัน พวกเขาใช้เทคนิคการผลิตที่ล้ำหน้าและการสนับสนุนจากรัฐบาล ทำให้สามารถผลิตชิปได้ในราคาที่ถูกกว่าญี่ปุ่น
จากนั้นไต้หวัน TSMC ได้ปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วยโมเดลธุรกิจแบบใหม่ที่เรียกว่า “Foundry” โดย TSMC ไม่ได้ออกแบบหรือขายชิปของตัวเอง แต่พวกเขารับจ้างผลิตชิปให้กับบริษัทอื่น
โมเดลนี้ทำให้บริษัทอย่าง Qualcomm และ Nvidia ที่เน้นการออกแบบ สามารถเติบโตได้โดยไม่ต้องสร้างโรงงานของตัวเอง
ในทางตรงกันข้าม บริษัทญี่ปุ่นยังคงยึดติดกับโมเดลธุรกิจแบบดั้งเดิมที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการผลิต
ความยึดติดนี้ทำให้พวกเขาขาดความยืดหยุ่นและปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ในช่วงทศวรรษ 1990 ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่เรียกว่า “ทศวรรษที่สาบสูญ” ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นแตก ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศหยุดชะงักนานนับสิบปี
บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่หลายแห่งประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก NEC, Toshiba และ Hitachi ถูกบังคับให้ต้องลดงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาลงอย่างมาก
ในขณะที่คู่แข่งทั่วโลกกำลังทุ่มเงินลงทุนในเทคโนโลยีชิปรุ่นต่อไป ญี่ปุ่นกลับไม่มีเงินพอที่จะไล่ตามให้ทัน
การขาดการลงทุนด้าน R&D ทำให้บริษัทญี่ปุ่นไม่สามารถก้าวทันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น การผลิตชิปให้มีขนาดเล็กลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้
เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของญี่ปุ่นก็เหลือเพียงเงาของความยิ่งใหญ่ในอดีต
แม้พวกเขาจะยังคงแข็งแกร่งในบางตลาด เช่น อุปกรณ์การผลิตหรือวัสดุที่ใช้ทำชิป แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้เล่นหลักในการผลิตชิปอีกต่อไป
เรื่องราวการขึ้นสู่จุดสูงสุดและการล่มสลายของอุตสาหกรรมชิปญี่ปุ่น ถือเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี
บทเรียนสำคัญจากเรื่องนี้คือ ความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีและการผลิตเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถรับประกันความสำเร็จในระยะยาวได้
การขาดความยืดหยุ่นในการปรับตัว การพึ่งพาตลาดเดียวมากเกินไป ประกอบกับปัจจัยภายนอกทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ สามารถทำให้ผู้นำอุตสาหกรรมสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปได้อย่างรวดเร็ว
เรื่องราวนี้จึงเป็นบทเรียนราคาแพง ที่เตือนใจเราว่าในโลกของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผู้ที่ไม่ปรับตัว ก็อาจจะกลายเป็นผู้ที่พ่ายแพ้ได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม.
References : [csis, asia .nikkei, spectrum .ieee, ft, wilsoncenter]