Geek Story EP485 : การแก้แค้น Adobe ของ Figma เมื่อผู้ถูกล่ากลายเป็นผู้ล่า

เรื่องราวในอดีตสอนให้เรารู้ว่า Adobe ไม่ได้เป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาตั้งแต่แรกนะครับ ย้อนกลับไปในปี 1994 สมัยที่โปรแกรม FreeHand ยังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงอยู่ Adobe ก็เคยใช้วิธีการซื้อกิจการมาแล้วครั้งหนึ่งครับ ตอนนั้น FreeHand เป็นคู่แข่งโดยตรงของ Illustrator เลยนะ แต่แทนที่ Adobe จะพัฒนาโปรแกรมของตัวเองให้ดีขึ้น เขากลับเลือกที่จะซื้อ FreeHand มาแล้วก็…ดองเค็มครับ! ปล่อยให้มันค่อยๆ ตายไปอย่างช้าๆ จนสุดท้ายก็ไม่มีใครใช้อีกต่อไป

ดังนั้น พอมีข่าวว่า Adobe จะซื้อ Figma ในราคา 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทุกคนในวงการก็เลยใจหายวาบกันเป็นแถว เพราะกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกครั้ง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yf6xy4xv

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2za3274y

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/ynjrb8cn

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/PjUetM-HmcY

ทำไมญี่ปุ่นร่วงจากบัลลังก์ชิปโลก? เมื่อยักษ์ใหญ่สะดุด ประเทศที่เคยครองตลาด 50% สู่ความพ่ายแพ้

ผมว่าหลายท่านอาจจะไม่เคยทราบว่าในอดีตญี่ปุ่นเคยเป็นเจ้าแห่งวงการเซมิคอนดักเตอร์ของโลกมาก่อน

ในช่วงทศวรรษ 1980 ญี่ปุ่นผลิตชิปป้อนตลาดโลกมากกว่า 50% แซงหน้ามหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาไปแบบไม่เห็นฝุ่น

แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ทศวรรษ ชื่อของญี่ปุ่นในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมนี้กลับเลือนหายไปจนแทบไม่มีใครจำได้

เกิดอะไรขึ้นกับประเทศที่เคยรุ่งเรืองและแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ จากมหาอำนาจด้านชิป กลายเป็นเพียงผู้นำที่ถูกลืม เรื่องราวนี้มีบทเรียนอะไรซ่อนอยู่

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นในฐานะผู้แพ้สงคราม ประเทศอยู่ในสภาพที่ต้องฟื้นฟูครั้งใหญ่

แต่ด้วยความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา พวกเขาก็สามารถสร้างชาติขึ้นมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

รัฐบาลญี่ปุ่นในตอนนั้นได้ก่อตั้งกระทรวงสำคัญขึ้นมา ชื่อว่า MITI หรือกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรม

MITI มองขาดว่ากุญแจสำคัญที่จะนำพาประเทศไปสู่อนาคต คืออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

ในช่วงแรก ญี่ปุ่นยังตามหลังโลกตะวันตกอยู่มาก พวกเขาต้องซื้อสิทธิ์ในการใช้เทคโนโลยีจากบริษัทอเมริกัน

บริษัทอย่าง NEC และ Toshiba ได้รับใบอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีจากบริษัทอย่าง RCA และ Western Electric เพื่อเริ่มต้นเส้นทางของตัวเอง

นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้บริษัทญี่ปุ่นสามารถผลิต “ทรานซิสเตอร์” ได้ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของวงการเซมิคอนดักเตอร์ในเวลาต่อมา

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1957 เมื่อ Sony ได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการเปิดตัววิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องแรกของโลก

สิ่งนี้เปรียบเสมือนการประกาศให้โลกรู้ว่า ญี่ปุ่นพร้อมแล้วที่จะลงมาเล่นในตลาดอิเล็กทรอนิกส์อย่างเต็มตัว

เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 1960 รัฐบาลญี่ปุ่นผ่าน MITI ได้ทุ่มเงินอุดหนุนมหาศาล พร้อมให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมนี้อย่างจริงจัง

รัฐบาลได้เปิดตัวโครงการที่ชื่อว่า “Integrated Circuit” หรือ IC โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ

บริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นอย่าง NEC, Toshiba และ Hitachi ต่างเข้าร่วมโครงการนี้

ซึ่งโครงการนี้เองที่ทำให้บริษัทญี่ปุ่นก้าวกระโดด จากที่เคยผลิตได้แค่ทรานซิสเตอร์ ก็สามารถสร้าง “วงจรรวม” หรือ IC ที่มีความซับซ้อนกว่าได้สำเร็จ

เมื่อถึงปลายยุค 60 บริษัทญี่ปุ่นก็กลายเป็นผู้เล่นที่น่าจับตาในระดับโลก โดยเฉพาะ NEC และ Fujitsu ที่ทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับการวิจัยและพัฒนา

เวลาผ่านไปอีกเพียง 10 ปี ในช่วงทศวรรษ 1970 อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของญี่ปุ่นก็เบ่งบานเต็มที่

ช่วงนั้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเฟื่องฟูถึงขีดสุด ความต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง วิทยุ โทรทัศน์ หรือเครื่องคิดเลข เติบโตอย่างก้าวกระโดดทั่วโลก

บริษัทญี่ปุ่นอย่าง NEC, Toshiba และ Fujitsu ไม่รอช้า พวกเขาฉวยโอกาสนี้มุ่งเน้นไปที่การผลิตวงจรรวม (IC) ในปริมาณมหาศาลเพื่อป้อนตลาด

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุน คือโครงสร้างอุตสาหกรรมแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า “Keiretsu”

Keiretsu คือเครือข่ายธุรกิจที่เชื่อมโยงผู้ผลิต ซัปพลายเออร์ และธนาคารเข้าไว้ด้วยกันอย่างเหนียวแน่น

ระบบนี้ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย ซึ่งสำคัญมากสำหรับการวิจัยและพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงลิ่ว

และแล้วในปี 1978 ญี่ปุ่นก็ได้ปล่อยหมัดเด็ดที่เปลี่ยนเกมไปตลอดกาล ด้วยการเปิดตัวโครงการ “Very Large-Scale Integration” หรือ VLSI

โครงการ VLSI นำโดย MITI เป็นการผนึกกำลังครั้งประวัติศาสตร์ของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของญี่ปุ่น ทั้ง NEC, Hitachi และ Fujitsu

เป้าหมายของโครงการนี้ คือการพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคนั้น โดยเฉพาะชิปหน่วยความจำที่เรียกว่า DRAM

โครงการนี้คือ “สูตรโกง” ที่ทำให้ญี่ปุ่นได้เปรียบคู่แข่งชาวอเมริกันอย่างมหาศาล

ในขณะที่บริษัทอเมริกันต่างคนต่างทำ ญี่ปุ่นกลับรวมพลังความรู้และทรัพยากรทั้งหมดมาไว้ที่เดียว โดยมีรัฐบาลคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

ผลลัพธ์ที่ได้มันน่าทึ่งมาก

เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 1980 ญี่ปุ่นก็ไล่กวดสหรัฐอเมริกามาติดๆ บริษัทญี่ปุ่นเชี่ยวชาญศิลปะแห่งการผลิตจำนวนมาก พวกเขาสร้างผลผลิตได้สูง แต่มีอัตราของเสียน้อยมาก

ชิป DRAM ของญี่ปุ่นกลายเป็นสินค้าที่ทรงพลังที่สุดในตลาดโลก เพราะมีคุณภาพสูงและราคาถูกกว่า

NEC, Toshiba และ Hitachi กลายเป็นสามทหารเสือ ผงาดขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

พวกเขาผลิตชิปได้มีประสิทธิภาพเหนือกว่าคู่แข่งชาวอเมริกัน ด้วยกระบวนการผลิตและระบบควบคุมคุณภาพที่ไม่มีใครเทียบได้

และในปี 1983 ญี่ปุ่นก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดได้สำเร็จ…

พวกเขาแซงหน้าสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นผู้ผลิตชิป DRAM อันดับหนึ่งของโลก สองปีต่อมา ในปี 1986 ญี่ปุ่นก็ก้าวสู่จุดสูงสุดอย่างเป็นทางการ ปีนั้น ญี่ปุ่นควบคุมตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลกได้มากกว่า 50%

ชัยชนะอันหอมหวานนี้เอง ที่ได้ดึงดูดสายตาที่ไม่เป็นมิตรจากอีกฟากของมหาสมุทรแปซิฟิก

สหรัฐอเมริกาเริ่มกังวลกับการสูญเสียความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี พวกเขามองว่าความสำเร็จของญี่ปุ่นมาจากการค้าที่ไม่เป็นธรรม

รัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวหาว่าบริษัทญี่ปุ่นได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลและการปกป้องทางการค้า ทำให้เกิดความได้เปรียบที่ไม่ยุติธรรม

ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น นำไปสู่เหตุการณ์สำคัญที่พลิกชะตาของอุตสาหกรรมชิปญี่ปุ่นไปตลอดกาล นั่นคือ “ข้อตกลงเซมิคอนดักเตอร์สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น” ในปี 1986

ข้อตกลงนี้บังคับให้ญี่ปุ่นต้องเปิดตลาดในประเทศให้กับบริษัทต่างชาติ และกำหนดข้อจำกัดในการส่งออกชิป

นี่คือจุดเริ่มต้นของการล่มสลาย

การอนุญาตให้บริษัทอเมริกันเข้ามาตั้งฐานในตลาดญี่ปุ่น ทำให้การครองตลาดของบริษัทในประเทศถูกกัดกร่อนลงอย่างช้าๆ

มันยังจำกัดความสามารถในการส่งออก ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งที่ทำให้ญี่ปุ่นเติบโตอย่างรวดเร็ว

แต่จะโทษปัจจัยภายนอกเพียงอย่างเดียวก็คงไม่ถูกนัก เพราะอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ มาจากความผิดพลาดของญี่ปุ่นเอง

ในช่วงที่รุ่งเรือง ญี่ปุ่นทุ่มสุดตัวไปกับการผลิตชิปหน่วยความจำ หรือ DRAM แต่พวกเขากลับมองข้ามตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว นั่นคือ “ไมโครโปรเซสเซอร์” ซึ่งเปรียบเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์

บริษัทอเมริกันอย่าง Intel เห็นโอกาสนี้และรีบกระโจนเข้าไปยึดครองตลาดไว้ได้อย่างรวดเร็ว

การที่ญี่ปุ่นมุ่งเน้นแค่ตลาดเดียว ทำให้พวกเขามีความเปราะบางสูง เมื่อความต้องการ DRAM เริ่มชะลอตัว และตลาดไมโครโปรเซสเซอร์ทำกำไรได้มากกว่า ญี่ปุ่นก็เริ่มเสียหลัก

ในขณะเดียวกัน คู่แข่งรายใหม่ก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นบนเวทีโลก นั่นก็คือ Samsung จากเกาหลีใต้ที่บุกตลาด DRAM อย่างดุดัน พวกเขาใช้เทคนิคการผลิตที่ล้ำหน้าและการสนับสนุนจากรัฐบาล ทำให้สามารถผลิตชิปได้ในราคาที่ถูกกว่าญี่ปุ่น

จากนั้นไต้หวัน TSMC ได้ปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วยโมเดลธุรกิจแบบใหม่ที่เรียกว่า “Foundry” โดย TSMC ไม่ได้ออกแบบหรือขายชิปของตัวเอง แต่พวกเขารับจ้างผลิตชิปให้กับบริษัทอื่น

โมเดลนี้ทำให้บริษัทอย่าง Qualcomm และ Nvidia ที่เน้นการออกแบบ สามารถเติบโตได้โดยไม่ต้องสร้างโรงงานของตัวเอง

ในทางตรงกันข้าม บริษัทญี่ปุ่นยังคงยึดติดกับโมเดลธุรกิจแบบดั้งเดิมที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการผลิต

ความยึดติดนี้ทำให้พวกเขาขาดความยืดหยุ่นและปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ในช่วงทศวรรษ 1990 ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่เรียกว่า “ทศวรรษที่สาบสูญ” ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นแตก ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศหยุดชะงักนานนับสิบปี

บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่หลายแห่งประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก NEC, Toshiba และ Hitachi ถูกบังคับให้ต้องลดงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาลงอย่างมาก

ในขณะที่คู่แข่งทั่วโลกกำลังทุ่มเงินลงทุนในเทคโนโลยีชิปรุ่นต่อไป ญี่ปุ่นกลับไม่มีเงินพอที่จะไล่ตามให้ทัน

การขาดการลงทุนด้าน R&D ทำให้บริษัทญี่ปุ่นไม่สามารถก้าวทันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น การผลิตชิปให้มีขนาดเล็กลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของญี่ปุ่นก็เหลือเพียงเงาของความยิ่งใหญ่ในอดีต

แม้พวกเขาจะยังคงแข็งแกร่งในบางตลาด เช่น อุปกรณ์การผลิตหรือวัสดุที่ใช้ทำชิป แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้เล่นหลักในการผลิตชิปอีกต่อไป

เรื่องราวการขึ้นสู่จุดสูงสุดและการล่มสลายของอุตสาหกรรมชิปญี่ปุ่น ถือเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี

บทเรียนสำคัญจากเรื่องนี้คือ ความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีและการผลิตเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถรับประกันความสำเร็จในระยะยาวได้

การขาดความยืดหยุ่นในการปรับตัว การพึ่งพาตลาดเดียวมากเกินไป ประกอบกับปัจจัยภายนอกทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ สามารถทำให้ผู้นำอุตสาหกรรมสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปได้อย่างรวดเร็ว

เรื่องราวนี้จึงเป็นบทเรียนราคาแพง ที่เตือนใจเราว่าในโลกของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผู้ที่ไม่ปรับตัว ก็อาจจะกลายเป็นผู้ที่พ่ายแพ้ได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม.

References : [csis, asia .nikkei, spectrum .ieee, ft, wilsoncenter]

ดีลเปลี่ยนโลก! เมื่อ “แม่” ของ Bill Gates ต่อสายตรงถึงประธาน IBM

เคยลองจินตนาการกันไหมครับว่า ดีลธุรกิจที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของอาณาจักร Microsoft เกิดขึ้นที่ไหน?

หลายคนคงนึกถึงห้องประชุมสุดหรู ที่เต็มไปด้วยผู้บริหารในชุดสูทราคาแพง กำลังต่อรองกันอย่างดุเดือด แต่ความจริงแล้วมันกลับเรียบง่ายกว่านั้นมาก

เพราะจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด มาจากบทสนทนาสั้นๆ ในงานประชุมขององค์กรการกุศลแห่งหนึ่ง และนี่คือเรื่องราวที่พิสูจน์ให้เห็นว่าบางครั้ง Connection ที่ทรงพลังที่สุด อาจไม่ใช่ Connection ทางธุรกิจ แต่เป็นสายใยของครอบครัว

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปสู่ปี 1980 โลกในยุคนั้นแตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง มันคือยุคที่ถูกครอบงำโดยยักษ์ใหญ่ที่ชื่อว่า IBM

IBM หรือที่รู้จักกันในฉายา “พี่เบิ้มสีฟ้า” (Big Blue) คือเจ้าแห่งโลกคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง พวกเขาคือผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เมนเฟรมขนาดมหึมา ที่ตั้งอยู่ในห้องแอร์เย็นเฉียบขององค์กรใหญ่ๆ เท่านั้น

สำหรับคนทั่วไป คอมพิวเตอร์ยังคงเป็นเรื่องไกลตัวและซับซ้อน IBM คือมาตรฐาน คือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีใครกล้าที่จะท้าทายอำนาจของพวกเขา

แต่ในขณะเดียวกัน ที่เมือง Seattle ก็มีบริษัทซอฟต์แวร์เล็กๆ แห่งหนึ่งกำลังก่อร่างสร้างตัว บริษัทแห่งนี้ก่อตั้งมาได้เพียง 5 ปี และมีชื่อว่า Microsoft

นำโดยหนุ่มแว่นอัจฉริยะที่ลาออกจากมหาวิทยาลัย Harvard อย่าง Bill Gates และคู่หูของเขา Paul Allen

ณ จุดนั้น Microsoft ยังห่างไกลจากคำว่ายักษ์ใหญ่ พวกเขาเป็นเพียงบริษัทเล็กๆ ที่มีพนักงานไม่กี่สิบคน รายได้หลักมาจากการขายภาษาโปรแกรมที่ชื่อว่า BASIC ให้กับคอมพิวเตอร์รุ่นแรกๆ

ถ้าเปรียบ IBM เป็นราชสีห์ผู้สง่างาม Microsoft ในตอนนั้นก็คงเป็นได้แค่ลูกแมวตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

หลายคนอาจรู้จัก Mary Gates ในฐานะ “แม่ของ Bill Gates” แต่ในความเป็นจริง โปรไฟล์ของ Mary Gates นั้นไม่ธรรมดาเลย เธอเป็นนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จและทรงอิทธิพลอย่างสูง

Mary นั่งเป็นกรรมการอยู่ในองค์กรและบริษัทชั้นนำหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือคณะกรรมการขององค์กรการกุศลชื่อดัง United Way of King County

และที่นี่เอง คือจุดที่โชคชะตาได้ขีดเส้นเรื่องราวทั้งหมด เพราะในคณะกรรมการชุดเดียวกันนั้น มีชายอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่า John Opel ซึ่งเขาคนนี้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ หรือ Chairman ของบริษัท IBM

ทั้ง Mary และ John ต่างรู้จักและให้ความเคารพซึ่งกันและกันในฐานะนักบริหารมืออาชีพ และสายสัมพันธ์เล็กๆ จุดนี้เอง ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล

จุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์เกิดขึ้นเมื่อ IBM ตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด พวกเขาตัดสินใจที่จะกระโดดลงมาเล่นในตลาด “คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล” หรือ PC

นี่คือการเคลื่อนไหวที่สั่นสะเทือนวงการ เพราะ IBM ที่เคยทำแต่ของใหญ่และแพง กำลังจะสร้างคอมพิวเตอร์สำหรับคนทั่วไป

แต่ด้วยความที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่และอุ้ยอ้าย การจะสร้างทุกอย่างขึ้นมาเองอาจใช้เวลานานเกินไป IBM จึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน นั่นคือการ Outsource หรือเปิดรับชิ้นส่วนและซอฟต์แวร์จากบริษัทภายนอก ภายใต้โปรเจกต์ลับที่ชื่อว่า “Project Chess”

และชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุดที่พวกเขาต้องการ ก็คือ “ระบบปฏิบัติการ” หรือ Operating System (OS)

ถ้าคอมพิวเตอร์คือร่างกาย OS ก็เปรียบเสมือนจิตวิญญาณที่ทำให้ร่างกายนั้นมีชีวิตและทำงานได้ มันคือซอฟต์แวร์ที่เชื่อมต่อระหว่างคนกับเครื่องจักร

IBM จึงเริ่มต้นภารกิจตามหา OS ที่ดีที่สุดสำหรับคอมพิวเตอร์ PC เครื่องแรกของโลก และแน่นอนว่าตัวเต็งอันดับหนึ่งในตอนนั้น ไม่ใช่ Microsoft

แต่เป็นบริษัทที่ชื่อว่า Digital Research ของโปรแกรมเมอร์อัจฉริยะนามว่า Gary Kildall ผู้สร้างระบบปฏิบัติการ CP/M ซึ่งเป็นมาตรฐานของวงการในยุคนั้นไปแล้ว มันคือตัวเลือกที่สมเหตุสมผลที่สุด

ทีมงานของ IBM จึงเดินทางไปเจรจากับ Digital Research แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

ตามตำนานที่เล่าขานกันมา ในวันที่ทีมของ IBM ไปถึง Gary Kildall กลับไม่อยู่เจรจาด้วย ว่ากันว่าเขาออกไปขับเครื่องบินเล่น ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่เขารัก การเจรจากับภรรยาของเขาจึงไม่ราบรื่นนัก และจบลงด้วยการที่ IBM ต้องเดินออกมามือเปล่า

สถานการณ์นี้เองที่เปิดประตูโอกาสให้กับ Microsoft

IBM ติดต่อมายังบริษัทเล็กๆ แห่งนี้ เพื่อนัดเจรจา มันคือโอกาสทองที่หล่นลงมาจากฟ้า แต่ Microsoft ก็มีปัญหาใหญ่ที่สุดอยู่หนึ่งข้อ

นั่นคือพวกเขา “ไม่มี” ระบบปฏิบัติการเป็นของตัวเอง

ใช่แล้วครับ บริษัทที่กำลังจะไปขาย OS ให้กับลูกค้ารายใหญ่ที่สุดในโลก กลับไม่มีสินค้าอยู่ในมือแม้แต่ชิ้นเดียว

เรื่องนี้รู้ไปถึงหูของ Mary Gates เธอทราบดีว่านี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของลูกชายเธอ เธอจึงตัดสินใจใช้ Connection ที่เธอมี

ในการประชุมบอร์ดของ United Way ครั้งหนึ่ง ระหว่างที่กำลังพูดคุยกัน Mary ได้หันไปสนทนากับ John Opel ประธานของ IBM

บทสนทนานั้นเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ เธอเพียงแค่เล่าให้ Opel ฟังว่าบริษัทเล็กๆ ของลูกชายเธอกำลังเติบโต และกำลังจะได้เข้าไปคุยกับ IBM เรื่องโปรเจกต์ใหม่

เธอไม่ได้ขอร้อง ไม่ได้กดดัน แต่แค่พูดถึงเรื่องราวบริษัทของลูกสุดที่รักของเธอให้กับผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของ IBM

และคำพูดนั้นมันทรงพลังกว่าที่คิด เพราะมันมาจากคนที่ John Opel ให้ความเคารพในฐานะนักธุรกิจหญิงที่เก่งกาจ ไม่ใช่แค่ในฐานะแม่คนหนึ่ง

เมื่อ Opel กลับไปที่สำนักงาน เขาได้เอ่ยถึงเรื่องนี้กับทีมงาน และคำแนะนำสั้นๆ จากประธานกรรมการ ก็เปรียบเสมือนการการันตีความน่าเชื่อถือให้กับ Microsoft ในทันที

จากบริษัทซอฟต์แวร์โนเนม Microsoft ได้กลายเป็นบริษัทที่ “ท่านประธานแนะนำมา” สถานะของพวกเขาเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน

การเจรจาดำเนินต่อไป แต่ปัญหาเดิมก็ยังคงอยู่ Microsoft จะเอา OS จากที่ไหนมาขาย?

สถานการณ์บีบคั้นสุดๆ แต่แทนที่จะยอมแพ้ Bill Gates และ Paul Allen กลับมองเห็นทางออก พวกเขานึกถึงบริษัทฮาร์ดแวร์เล็กๆ ในเมืองเดียวกันที่ชื่อว่า Seattle Computer Products (SCP)

บริษัทนี้ได้สร้างระบบปฏิบัติการของตัวเองขึ้นมา โดยตั้งชื่อเล่นแบบง่ายๆ ว่า QDOS ซึ่งย่อมาจาก “Quick and Dirty Operating System”

Paul Allen จึงรีบบินไปเจรจาทันที และปิดดีลซื้อสิทธิ์การใช้งาน QDOS มาก่อนในราคาไม่กี่หมื่นดอลลาร์ โดยไม่ได้บอกเลยว่าจะนำไปทำอะไรต่อ

จากนั้นทีม Microsoft ก็รีบนำ QDOS มาปรับปรุงแก้ไขครั้งใหญ่ แล้วเปลี่ยนชื่อมันใหม่เป็น MS-DOS ก่อนจะนำกลับไปเสนอให้กับ IBM

IBM พอใจกับ MS-DOS และตกลงที่จะใช้มัน แต่จุดที่อัจฉริยะที่สุดของเรื่องนี้ อยู่ในรายละเอียดของสัญญา

IBM ต้องการ “ซื้อขาด” MS-DOS ไปเลย แต่ Bill Gates ยืนกรานปฏิเสธอย่างหนักแน่น เขายื่นข้อเสนอที่เปลี่ยนโลกกลับไป

นั่นคือ Microsoft จะไม่ขาย แต่จะ “ให้สิทธิ์การใช้งาน” หรือ License กับ IBM ในราคาที่ถูกมาก โดยมีเงื่อนไขสำคัญข้อเดียวคือ สัญญานี้ต้องเป็นแบบ “Non-Exclusive”

ซึ่งหมายความว่า Microsoft ยังคงเป็นเจ้าของ MS-DOS และมีสิทธิ์ที่จะนำมันไปขายให้กับบริษัทอื่นได้ด้วย

สำหรับ IBM ในตอนนั้น พวกเขามองไม่เห็นปัญหา เพราะมั่นใจว่าจะไม่มีใครสามารถสร้างคอมพิวเตอร์มาแข่งกับพวกเขาได้อยู่แล้ว จึงยอมตกลงตามนั้น

และนี่คือการตัดสินใจทางธุรกิจที่เฉียบคมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

เมื่อ IBM PC เปิดตัวในปี 1981 มันก็ประสบความสำเร็จถล่มทลาย แต่สิ่งที่ IBM คาดไม่ถึงก็คือ บริษัทอื่นๆ เริ่มทำในสิ่งที่เรียกว่า “Clone” หรือการลอกเลียนแบบฮาร์ดแวร์ของ IBM PC แล้วผลิตออกมาขายในราคาที่ถูกกว่า

แล้วคอมพิวเตอร์โคลนเหล่านั้นต้องการอะไรเพื่อให้เครื่องทำงานได้? คำตอบก็คือระบบปฏิบัติการ และ OS เดียวที่เข้ากันได้ดีที่สุด ก็คือ MS-DOS นั่นเอง

ทีนี้เห็นภาพหรือยังครับ Bill Gates ไม่ได้แค่มองเกมในวันนี้ แต่มองไปถึงอนาคตที่ฮาร์ดแวร์จะกลายเป็นของโหล แต่ซอฟต์แวร์ต่างหากที่จะเป็นผู้คุมเกม

ทุกบริษัทที่ผลิต PC Clone ต้องวิ่งมาเคาะประตูบ้านของ Microsoft เพื่อขอซื้อ License ของ MS-DOS

จากดีลเดียวกับ IBM มันได้ขยายผลออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ MS-DOS กลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรม และส่งเงินสดมหาศาลเข้าสู่ Microsoft อย่างไม่ขาดสาย

เงินทุนก้อนนี้เองที่ทำให้ Microsoft สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ในตำนานอย่าง Windows ขึ้นมาได้ และเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ในปี 1986 Microsoft เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ Bill Gates กลายเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืน และในเวลาเพียงไม่นาน เขาก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

เรื่องราวทั้งหมดนี้ คงจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีบทสนทนาเล็กๆ ในวันนั้น บทสนทนาระหว่างแม่ที่เชื่อมั่นในตัวลูกชาย กับเพื่อนนักธุรกิจที่พร้อมจะรับฟัง

มันสอนให้เรารู้ว่า ในโลกของธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและตัวเลข บางครั้งปัจจัยที่เรียบง่ายที่สุดอย่าง “ความสัมพันธ์ของมนุษย์” กลับเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด

ความน่าเชื่อถือที่ Mary Gates สั่งสมมาตลอดชีวิต ได้กลายเป็นประตูบานแรกที่เปิดโอกาสให้ลูกชายของเธอได้พิสูจน์ตัวเอง

ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา ลองนึกถึงเรื่องนี้ดูครับว่า เบื้องหลังความสำเร็จของอาณาจักรซอฟต์แวร์ที่เปลี่ยนโลก มันมีเรื่องราวของสายใยความรักของแม่ ที่พร้อมจะใช้ทุก Connection ที่เธอมี เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ที่โลกต้องจดจำ

References : [cnbc, nytimes, seattletimes, businessinsider, computerhistory]

Geek Daily EP338 : วิเคราะห์ Dev Day 2025 ทำไมงานนี้อาจสำคัญกว่าวันเปิดตัว iPhone

ย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน การมาของ iPhone และ App Store ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของเราไปตลอดกาล มันไม่ได้เป็นแค่โทรศัพท์เครื่องใหม่ แต่มันคือการเปิดประตูสู่เศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า App Economy ที่สร้างอาชีพ สร้างบริษัทระดับยูนิคอร์น และเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมนับไม่ถ้วน

วันนี้ ประวัติศาสตร์อาจกำลังจะซ้ำรอยอีกครั้ง แต่ในสเกลที่ยิ่งใหญ่กว่า เร็วกว่า และอาจจะส่งผลกระทบต่อชีวิตเรามากกว่าที่เคยเป็นมา และศูนย์กลางของพายุลูกนี้ก็คือบริษัทที่ชื่อว่า OpenAI

ในวันที่ 6 ตุลาคม 2025 OpenAI จัดงานที่ชื่อว่า Dev Day ซึ่งฟังดูเผินๆ ก็เหมือนงานประชุมนักพัฒนาทั่วไป แต่ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่งานธรรมดา ๆ แต่มันอาจเป็นวันที่ Sam Altman ซีอีโอของบริษัท จะลั่นไกปืนนัดสำคัญที่จะเปลี่ยนเกมการแข่งขันในโลก AI ไปตลอดกาล

คำสำคัญของงานนี้ไม่ใช่ “โมเดลที่ฉลาดขึ้น” หรือ “ฟีเจอร์ใหม่” แต่เป็นคำสั้นๆ ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง นั่นคือคำว่า “Control” หรือ “การควบคุม” ครับ

นี่คือเรื่องราวของการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดของ OpenAI ที่จะเปลี่ยนตัวเองจาก “ผู้สร้าง AI” ไปสู่การเป็น “เจ้าของแพลตฟอร์มแห่งยุค AI” อย่างครบวงจร

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mz57uxu7

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mv9dmwvs

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2kz8c9v6

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/ufQXmGB8GP8