Geek Monday EP295 : จากผู้สร้างตลาด สู่ผู้พ่ายแพ้ เรื่องราวของ Tarad.com และ Weloveshopping

ลองนึกย้อนกลับไปไหมครับว่า ก่อนที่เราจะมีแอป Shopee หรือ Lazada ให้กดสั่งของกันง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว… สมัยก่อนนู้นเลย เวลาเราพูดถึงการ “ซื้อของออนไลน์” ในประเทศไทย เรากำลังพูดถึงเว็บอะไรกัน

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เริ่มท่องโลกอินเทอร์เน็ตในยุค 2000 ต้นๆ สองชื่อที่น่าจะแวบเข้ามาในหัวทันทีก็คือ Tarad.com และ Weloveshopping

สองเว็บนี้ไม่ใช่แค่เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซธรรมดา แต่มันคือ “โรงเรียน” คือ “สนามเด็กเล่น” และคือ “พื้นที่แห่งโอกาส” สำหรับคนไทยรุ่นแรกๆ ที่อยากจะลองขายของบนโลกออนไลน์ มันคือตำนานที่หลายคนคิดถึง และเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง… แต่คำถามที่น่าสนใจก็คือ แล้วทำไมวันนี้ ตำนานบทหนึ่งถึงต้องปิดตัวลง ในขณะที่อีกบทหนึ่งก็ต้องปรับตัวอย่างหนัก เพื่อให้รอดจากการมาถึงของยักษ์ใหญ่สองเจ้า ที่เปลี่ยนเกมการแข่งขันไปตลอดกาล

วันนี้เราจะมาเล่าเรื่องราวสงคราม E-Commerce ในประเทศไทย ผ่านเรื่องราวของสองผู้บุกเบิกชาวไทย และวิเคราะห์กันว่า ทำไมสมรภูมินี้ถึงดุเดือด และยักษ์ต่างชาติอย่าง Lazada กับ Shopee ถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้ และที่สำคัญที่สุด… ในวันนี้ ยังมีที่ว่างสำหรับผู้เล่นสัญชาติไทยในสนามรบนี้อีกหรือไม่

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2jempnm7

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mr3hwda4

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2yrbjxsy

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/ZciEIdOFC0U

วิ่งเร็วสู่หายนะ? ถอดรหัสปัญหาหนี้สินรถไฟความเร็วสูง Whoosh ของอินโดนีเซีย

เคยมีคนกล่าวไว้ว่า รถไฟคือสัญลักษณ์ของการเดินทางที่เชื่อมโยนผู้คนเข้าด้วยกัน แต่ในบางครั้ง การเดินทางของโครงการรถไฟเอง ก็อาจซับซ้อนและเต็มไปด้วยอุปสรรคยิ่งกว่าการเดินทางของผู้โดยสารเสียอีก

เรื่องราวของรถไฟความเร็วสูง “Whoosh” ในอินโดนีเซีย ก็อาจเป็นหนึ่งในกรณีศึกษานั้น

ย้อนกลับไปไม่กี่ปี อินโดนีเซียมีความฝันอันยิ่งใหญ่ ที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการมีรถไฟความเร็วสูงสายแรกเป็นของตัวเอง

เส้นทางที่ถูกเลือกคือ จาการ์ตา-บันดุง สองเมืองเศรษฐกิจสำคัญที่การเดินทางระหว่างกันเปรียบเสมือนฝันร้ายบนท้องถนน ด้วยระยะทางเพียง 142 กิโลเมตร แต่กลับต้องใช้เวลาเดินทาง 3-4 ชั่วโมงเป็นเรื่องปกติ

โครงการนี้จึงไม่ใช่แค่การสร้างรถไฟ แต่คือการสร้างความหวังของผู้คนนับล้าน ที่จะพลิกโฉมการเดินทางและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปสู่อนาคต

เมื่อโครงการระดับชาติถือกำเนิดขึ้น สองมหาอำนาจแห่งโลกเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงอย่าง ญี่ปุ่น และ จีน ก็ได้เข้ามาแข่งขันกันเพื่อชิงโครงการแห่งความฝันนี้

ญี่ปุ่น มาพร้อมกับชื่อเสียงของรถไฟชินคันเซ็น ที่เป็นเหมือนมาตรฐานทองคำของโลก ทั้งในด้านความปลอดภัย ความตรงต่อเวลา และเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้มานานหลายทศวรรษ ข้อเสนอของญี่ปุ่นนั้นรัดกุมและเน้นความยั่งยืนทางการเงิน

แต่ข้อเสนอของญี่ปุ่นมีเงื่อนไขสำคัญข้อหนึ่ง คือรัฐบาลอินโดนีเซียจะต้องค้ำประกันเงินกู้ ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติสากลสำหรับโครงการขนาดใหญ่มูลค่ามหาศาลเช่นนี้

ในขณะที่อีกฟากหนึ่ง จีนได้ก้าวเข้ามาพร้อมกับข้อเสนอที่สั่นสะเทือนการตัดสินใจของรัฐบาลอินโดนีเซียในขณะนั้น

จีนเสนอว่าจะสร้างโครงการให้เสร็จเร็วกว่า และที่สำคัญที่สุดคือ ข้อเสนอเงินกู้ที่ดูเหมือนจะหอมหวานกว่ามาก เพราะจีนบอกว่ารัฐบาลอินโดนีเซีย “ไม่ต้องค้ำประกัน” เงินกู้ก้อนนี้

ลองจินตนาการว่าเราจะสร้างธุรกิจขนาดใหญ่ แล้วมีธนาคารสองแห่งมาเสนอสินเชื่อ แห่งหนึ่งขอดูแผนธุรกิจอย่างละเอียดและขอให้เรามีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่อีกแห่งหนึ่งบอกว่า “ไม่ต้องมีคนค้ำ เอาเงินไปใช้ได้เลยครับ”

สุดท้าย อินโดนีเซียก็เลือกข้อเสนอของจีน และในปี 2015 โครงการนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

ทุกอย่างดูเหมือนจะสดใส รถไฟขบวนนี้ถูกตั้งชื่อว่า “Whoosh” ซึ่งไม่เพียงแต่จะฟังดูทันสมัย แต่ยังเป็นคำย่อที่แสดงถึงวิสัยทัศน์ของโครงการ คือ “ประหยัดเวลา และมีระบบที่เยี่ยมยอด”

ภาพของอินโดนีเซียในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีของอาเซียนก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่ใครจะรู้ว่า พายุลูกใหญ่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ อยู่เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่สวยงามนั้น

จุดเริ่มต้นของรอยร้าวแรก มาในรูปแบบของปัญหาคลาสสิกที่เมกะโปรเจกต์ทั่วโลกต้องเผชิญ นั่นคือ “งบประมาณบานปลาย”

จากตัวเลขประเมินในตอนแรกที่ราว 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อลงมือก่อสร้างจริง ต้นทุนก็เริ่มพุ่งทะยานอย่างควบคุมไม่อยู่

ปัญหาแรกที่เจอคือเรื่อง “การเวนคืนที่ดิน” การสร้างทางรถไฟที่ต้องตัดผ่านที่ดินของประชาชนนับพันนับหมื่นราย กลายเป็นฝันร้ายด้านโลจิสติกส์และกฎหมายที่ซับซ้อนกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก

กระบวนการเจรจาที่ยืดเยื้อ ค่าชดเชยที่สูงขึ้น และข้อพิพาททางกฎหมาย ทำให้โครงการล่าช้าและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ซ้ำเติมด้วยการมาถึงของการระบาดใหญ่ COVID-19 ที่เปรียบเสมือนการกดปุ่มหยุดโลก ทำให้การก่อสร้างต้องหยุดชะงัก ซัพพลายเชนขาดสะบั้น และต้นทุนก็เพิ่มขึ้นไปอีก

สุดท้าย จาก 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โครงการนี้ปิดตัวเลขค่าก่อสร้างสุดท้ายที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ งบประมาณบานปลายไปกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยก็เกือบ 5 หมื่นล้านบาท

คำถามคือ เงินส่วนที่เกินมานี้จะหามาจากไหน? คำตอบก็คือการ “กู้เพิ่ม”

และนี่คือจุดที่เรื่องราวเริ่มซับซ้อนขึ้นไปอีกขั้น โครงสร้างหนี้ของโครงการนี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 75% มาจากเงินกู้ของธนาคารเพื่อการพัฒนาประเทศจีน (China Development Bank) และอีก 25% มาจากการลงทุนของบริษัทร่วมทุน

แต่เงินกู้ก้อนใหม่ที่นำมาโปะส่วนที่บานปลายนั้น มาพร้อมกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเดิม จากเดิมที่ 2% ต่อปี กลายเป็น 3.4% ต่อปีสำหรับเงินกู้ก้อนใหม่

มันไม่ต่างอะไรกับการที่เรามีหนี้บ้านดอกเบี้ยต่ำ แต่พอเงินชักหน้าไม่ถึงหลัง เรากลับต้องไปกดเงินสดจากบัตรเครดิตที่ดอกเบี้ยแพงกว่ามาหมุน ซึ่งยิ่งทำให้ภาระหนี้สินโดยรวมของเราหนักหน่วงขึ้นไปอีก

แล้วภาระทั้งหมดนี้ไปตกอยู่ที่ใคร? คำตอบคือบริษัทที่ถือหุ้นในโครงการนี้

บริษัทที่ดำเนินโครงการนี้มีชื่อว่า PT Kereta Cepat Indonesia China หรือ KCIC ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐวิสาหกิจจีน 40% และกลุ่มรัฐวิสาหกิจอินโดนีเซียที่ชื่อว่า PSBI อีก 60%

แต่ในกลุ่มบริษัทฝั่งอินโดนีเซียนั้น มีผู้เล่นรายหนึ่งที่เปรียบเสมือนพี่ใหญ่ที่ต้องแบกรับภาระหนักที่สุด นั่นก็คือ PT Kereta Api Indonesia หรือ KAI ซึ่งก็คือการรถไฟแห่งประเทศอินโดนีเซีย

KAI ถือหุ้นใหญ่ที่สุดในฝั่งอินโดนีเซีย ทำให้เมื่อโครงการมีปัญหาทางการเงิน KAI ก็คือบริษัทที่เจ็บตัวหนักที่สุดโดยปริยาย

เมื่อรถไฟ Whoosh เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม ปี 2023 พร้อมกับเสียงชื่นชมและความตื่นเต้นของผู้คน หลายฝ่ายก็คาดหวังว่ารายได้จากค่าโดยสารจะเข้ามาช่วยกอบกู้สถานการณ์ได้

ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ตัวเลขผู้โดยสารก็ดูดีทีเดียว มีผู้ใช้บริการถึง 2.9 ล้านคน ซึ่งถือว่าเติบโตขึ้น แต่ข่าวดีก็ดูเหมือนจะจบลงแค่นั้น

เพราะเมื่อนำรายได้ที่เข้ามา ไปเทียบกับค่าใช้จ่ายมหาศาล ทั้งค่าดำเนินการ ค่าซ่อมบำรุง และที่สำคัญที่สุดคือ “ภาระการชำระคืนเงินกู้พร้อมดอกเบี้ย” ให้กับจีน ก็จะพบว่ารายได้นั้นยังห่างไกลจากคำว่าเพียงพอ

สถานการณ์นี้ไม่ต่างอะไรกับการเปิดร้านอาหารสุดหรูที่ลงทุนไปมหาศาล แม้ลูกค้าจะเต็มร้านทุกวัน แต่รายได้ก็ยังไม่พอจ่ายค่าเช่าร้าน ค่าวัตถุดิบ และค่าผ่อนเงินกู้ธนาคาร สุดท้ายบัญชีก็ยังคงติดลบอยู่ดี

ตัวเลขขาดทุนที่ปรากฏออกมาก็ยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี มีรายงานว่าเพียงแค่ครึ่งปีแรกของปี 2025 บริษัท KCIC ขาดทุนไปแล้วถึง 1.6 ล้านล้านรูเปียห์ หรือเกือบ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

และนี่คือสถานการณ์ที่ Bobby Rasyidin CEO คนใหม่ของการรถไฟอินโดนีเซีย หรือ KAI ได้ค้นพบ หลังจากที่เขาเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ไม่นาน

เขาจึงได้ทำในสิ่งที่อาจไม่มีใครคาดคิด คือการออกมาพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้ารัฐสภา ว่าปัญหาของโครงการรถไฟความเร็วสูงนี้ “เหมือนกับระเบิดเวลาจริงๆ”

คำพูดของเขาเปรียบเสมือนการส่งสัญญาณเตือนภัยระดับสูงสุด ว่าสถานการณ์เบื้องหลังนั้นเลวร้ายกว่าที่หลายคนเคยจินตนาการไว้มาก

เมื่อความจริงถูกเปิดเผย คำถามต่อไปคือ จะกู้วิกฤตครั้งนี้ได้อย่างไร?

รัฐบาลอินโดนีเซียไม่ได้นิ่งนอนใจ และกำลังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ปัญหา หนึ่งในนั้นคือการมอบหมายให้ Danantara ซึ่งเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ เข้ามาช่วยวางแผน “ปรับโครงสร้างหนี้” กับทางจีน

การปรับโครงสร้างหนี้ ก็คือการเข้าไปเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข อาจจะเป็นการขอยืดเวลาผ่อนชำระให้นานขึ้น หรือขอลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อให้ลูกหนี้พอจะมีช่องว่างให้หายใจและดำเนินธุรกิจต่อไปได้

แน่นอนว่าโครงการ Whoosh มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์อย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์ระหว่างอินโดนีเซียและจีน เพราะนี่คือโครงการเรือธงภายใต้โครงการ “Belt and Road Initiative (BRI)” ของจีน

ด้วยเหตุนี้ หลายฝ่ายจึงเชื่อว่าจีนเองก็คงไม่อยากเห็นโครงการนี้ล้มเหลว และน่าจะยอมผ่อนปรนเงื่อนไขให้ในระดับหนึ่ง

เรื่องราวของ Whoosh ได้กลายเป็นกรณีศึกษาที่ให้บทเรียนราคาแพงหลายอย่าง

บทเรียนแรกคือ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ได้มาง่ายๆ ข้อเสนอที่ดูเหมือนจะ “ดีเกินจริง” ในตอนแรก อย่างการให้กู้โดยไม่ต้องค้ำประกัน อาจมาพร้อมกับความเสี่ยงและต้นทุนที่ซ่อนอยู่ที่เราต้องจ่ายในราคาที่แพงกว่าในภายหลัง

บทเรียนที่สอง คือเรื่อง “การทูตกับดักหนี้” หรือ Debt-trap Diplomacy ที่หลายคนกังวล แม้ว่านักวิชาการจะมองว่ากรณีนี้อาจไม่ใช่กับดักที่จีนจงใจวางไว้เพื่อยึดทรัพย์สิน แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็แสดงให้เห็นว่า “ความเสี่ยง” จากการเป็นหนี้มหาศาลนั้นเป็นเรื่องจริง และมันสามารถสร้างแรงกดดันทางการคลังให้กับประเทศลูกหนี้ได้อย่างมหาศาล

มันเป็นเคสที่น่าสนใจและให้บทเรียนกับประเทศไทยเราเช่นกันว่า ความสำเร็จของเมกะโปรเจกต์ไม่ได้วัดกันแค่วันเปิดตัวที่สวยงาม หรือเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย แต่วัดกันที่ความสามารถในการอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ คือโลกของตัวเลขทางการเงินที่โหดร้ายและตรงไปตรงมาเสมอ

นี่คือบทเรียนที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในอินโดนีเซีย แต่เป็นข้อคิดเตือนใจสำหรับทุกประเทศที่กำลังฝันถึงโครงการขนาดใหญ่ ว่าความรอบคอบและการวางแผนที่รัดกุม คือหัวใจสำคัญที่จะตัดสินว่าโครงการแห่งความฝันนั้น จะกลายเป็นความจริงที่ยั่งยืน หรือเป็นเพียงฝันร้ายทางการเงินที่รอวันปะทุขึ้นมา

References : [thediplomat, asia .nikkei, reuters, thejakartapost, benarnews]