เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมแอปพลิเคชันที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน ตั้งแต่ Search Engine ไปจนถึง Social Media หรือแอปเรียกรถ แทบจะไม่มีชื่อบริษัทจากทวีปยุโรปเลย?
เราใช้ Google , Facebook ของอเมริกา, ดู TikTok ของจีน, ชอปปิงบน Shopee , lazada ของสิงคโปร์และจีน, และคุยกับเพื่อนผ่าน Line ที่เป็นของเกาหลี
เรื่องนี้เป็นปริศนาที่น่าสนใจมาก เพราะหากเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ยุโรปคือทวีปที่เป็นต้นกำเนิดของนวัตกรรมและอุตสาหกรรมสมัยใหม่แทบทุกอย่าง
ตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18, การวางรากฐานทางวิทยาศาสตร์โดยบุคคลระดับตำนาน ไปจนถึงการให้กำเนิดเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดอย่าง World Wide Web โดย Tim Berners-Lee ที่ศูนย์วิจัย CERN ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ยุโรปมีทุกอย่างที่ควรจะทำให้เป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยี พวกเขามีมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกอย่าง Oxford และ Cambridge มีบริษัทวิศวกรรมระดับโลกอย่าง BMW, Mercedes, และ Airbus ที่สามารถแข่งขันกับใครก็ได้
แต่เมื่อโลกหมุนเข้าสู่ยุคดิจิทัล ที่ชัยชนะถูกตัดสินกันด้วยความเร็ว, แพลตฟอร์ม, และซอฟต์แวร์ ดูเหมือนว่าแชมป์เก่าอย่างยุโรป กลับก้าวเดินได้ช้ากว่าคู่แข่งอย่างน่าใจหาย
เกิดอะไรขึ้นกับทวีปที่เคยเป็นผู้นำโลก? นี่คือเรื่องราวการเดินทางของยักษ์ใหญ่ที่ดูเหมือนจะหลงทางในโลกดิจิทัล และกำลังพยายามหาเส้นทางของตัวเองอีกครั้ง
เรื่องราวทั้งหมดอาจต้องย้อนกลับไปในช่วงที่อินเทอร์เน็ตเริ่มเบ่งบาน ในขณะที่ชายหนุ่มในหอพักมหาวิทยาลัยที่อเมริกากำลังเขียนโค้ดเพื่อสร้าง Social Network หรือสองสหายที่โรงรถในแคลิฟอร์เนียกำลังสร้าง Search Engine ที่จะเปลี่ยนโลก
ณ เวลานั้น วัฒนธรรมในยุโรปยังคงยึดติดกับความสำเร็จในอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่เน้นความแม่นยำและความสมบูรณ์แบบ พวกเขาสร้างรถยนต์ที่ดีที่สุด สร้างเครื่องจักรที่ซับซ้อนที่สุด
แต่วัฒนธรรมแบบนี้กลับไม่เหมาะกับโลกของซอฟต์แวร์ที่ต้องการการเปิดตัวที่รวดเร็ว, ทดลอง, ล้มเหลว, และเรียนรู้ใหม่อยู่ตลอดเวลา
เมื่อเวลาผ่านไป ช่องว่างนี้ก็ยิ่งถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลสำคัญหลายประการที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกันราวกับพายุ
หนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดและคลาสสิกที่สุดของยุโรป คือ “ตลาดที่ไม่เป็นหนึ่งเดียว” หรือ Fragmented Market
ลองจินตนาการว่าคุณเป็นสตาร์ทอัพไฟแรง ถ้าคุณอยู่ในสหรัฐอเมริกา คุณจะมีตลาดขนาดใหญ่ที่มีประชากรกว่า 330 ล้านคน ที่ใช้ภาษาเดียวกัน มีกฎหมายและวัฒนธรรมผู้บริโภคที่คล้ายคลึงกัน ทำให้คุณสามารถขยายธุรกิจจากรัฐหนึ่งไปอีกรัฐหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว
แต่ถ้าคุณอยู่ในยุโรป ถึงแม้จะมีประชากรมากกว่าที่ 450 ล้านคน แต่คุณต้องเจอกับ 27 ประเทศ ที่มี 24 ภาษาราชการ และกฎระเบียบด้านภาษี, แรงงาน, และข้อมูลที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
การขยายธุรกิจจากฝรั่งเศสไปเยอรมนี ไม่ใช่แค่เรื่องของการแปลภาษา แต่คือการต้องรับมือกับระบบกฎหมายและวัฒนธรรมใหม่ทั้งหมด
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือกรณีของ Uber เมื่อพวกเขาพยายามบุกตลาดยุโรป พวกเขาต้องเจอกับกำแพงขนาดใหญ่ ทั้งการประท้วงจากสหภาพแท็กซี่ท้องถิ่น และกฎหมายที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ จนบางประเทศสั่งแบนบริการของพวกเขาโดยสิ้นเชิง
ความซับซ้อนนี้เองที่ทำให้สตาร์ทอัพในยุโรปเติบโตได้ช้ากว่ามาก เพราะแทนที่จะได้ทุ่มเททรัพยากรไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ พวกเขากลับต้องเสียเวลาและเงินไปกับการรับมือกับความแตกต่างของแต่ละตลาด
อีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่ทำให้ภาพของยุโรปดูแตกต่างจาก Silicon Valley คือวัฒนธรรมการลงทุน
นักลงทุน หรือ Venture Capital (VC) ในสหรัฐฯ มี DNA ของนักเสี่ยงโชค พวกเขายอมลงทุนในบริษัทที่ดูบ้าบิ่น 10 แห่ง โดยรู้ดีว่า 9 แห่งอาจจะล้มเหลว แต่ถ้าแห่งที่ 10 ประสบความสำเร็จ มันจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกและให้ผลตอบแทนมหาศาลได้
Sundar Pichai, CEO ของ Google เคยกล่าวไว้ว่า ใน Silicon Valley ความล้มเหลวจากการทำสตาร์ทอัพถูกมองว่าเป็นเหมือน “เครื่องหมายแห่งเกียรติยศ” (badge of honor) มันคือบทเรียนอันล้ำค่าที่ทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น
แต่วัฒนธรรมแบบนี้แทบจะหาไม่ได้ในยุโรป นักลงทุนส่วนใหญ่มีความคิดแบบอนุรักษนิยมมากกว่า พวกเขาต้องการการลงทุนที่ปลอดภัย เห็นผลกำไรที่ชัดเจน และมีความเสี่ยงต่ำ
ดังนั้น เงินทุนส่วนใหญ่จึงไหลไปสู่ธุรกิจที่จับต้องได้ง่ายกว่า เช่น ซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร (B2B), เทคโนโลยีการเงิน (Fintech), หรือเทคโนโลยีสุขภาพ (Health Tech) ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมบริษัทเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จที่สุดของยุโรปอย่าง SAP หรือ ASML จึงเป็นบริษัทแบบ B2B ที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จัก
เมื่อโอกาสที่จะได้รับเงินทุนก้อนใหญ่สำหรับไอเดียเปลี่ยนโลกมันมีน้อย ประกอบกับความซับซ้อนของตลาดที่กล่าวไปข้างต้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดปรากฏการณ์ “ภาวะสมองไหล” (Brain Drain)
ผู้ประกอบการและวิศวกรที่เก่งที่สุดของยุโรปจำนวนมาก เลือกที่จะเก็บกระเป๋าแล้วบินข้ามทวีปไปแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าในสหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งมีทั้งเงินทุน, ตลาด, และวัฒนธรรมที่พร้อมจะสนับสนุนความฝันของพวกเขา
ข้อมูลชี้ว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เปอร์เซ็นต์ของผู้สำเร็จการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์จาก EU ที่เลือกไปทำงานในต่างประเทศ เพิ่มขึ้นจาก 49% ไปอยู่ที่ 73% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ และมันได้ทิ้งให้ยุโรปขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะและความสามารถในการสร้างบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก
มีคำกล่าวติดตลกในวงการเทคโนโลยีว่า “อเมริกาสร้างนวัตกรรม, จีนลอกเลียนแบบ, และยุโรปกำกับดูแล” (America innovates, China copies, and Europe regulates)
แม้จะเป็นคำพูดที่เกินจริงไปบ้าง แต่มันก็สะท้อนภาพความเป็นจริงได้อย่างน่าสนใจ ยุโรปให้ความสำคัญกับสิทธิผู้บริโภค, ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล, และการแข่งขันที่เป็นธรรมอย่างมาก
กฎหมายอย่าง GDPR (General Data Protection Regulation) ได้กลายเป็นมาตรฐานทองคำในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ทั่วโลกต้องจับตามอง มันบังคับให้บริษัทต่างๆ ต้องขอความยินยอมจากผู้ใช้ในการเก็บและประมวลผลข้อมูลอย่างโปร่งใส
แต่กฎระเบียบที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเจตนาที่ดีนี้เอง ก็ได้กลายเป็นดาบสองคมที่ย้อนกลับมาทำร้ายวงการสตาร์ทอัพของยุโรปโดยไม่ได้ตั้งใจ
การปฏิบัติตามกฎหมายที่ซับซ้อนเหล่านี้ต้องใช้ทั้งเงินทุนและทีมกฎหมาย ซึ่งเป็นต้นทุนมหาศาลที่สตาร์ทอัพขนาดเล็กไม่สามารถแบกรับได้ไหว มันได้สร้าง “กำแพง” ที่สูงขึ้นสำหรับผู้เล่นรายใหม่ ทำให้การแข่งขันกับยักษ์ใหญ่จากอเมริกาที่มีทรัพยากรพร้อมกว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งขึ้น
ในขณะที่ยุโรปมัวแต่ร่างกฎหมายเพื่อควบคุมยักษ์ใหญ่จากอเมริกา บริษัทเหล่านั้นก็ได้เติบโตจนมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่ใครจะควบคุมได้ไปแล้ว
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าอนาคตของยุโรปในโลกเทคโนโลยีคงจะมืดมน แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่ายุโรปจะเริ่มตระหนักแล้วว่า การพยายามลอกเลียนแบบ Silicon Valley อาจจะไม่ใช่คำตอบ พวกเขาจึงเริ่มหันมาเล่นเกมในแบบของตัวเอง โดยใช้จุดแข็งที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์
แทนที่จะพยายามสร้าง Facebook หรือ Google ของตัวเอง ยุโรปเลือกที่จะใช้ “อำนาจในการกำกับดูแล” เป็นอาวุธสำคัญ
ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “The Brussels Effect” อธิบายเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสหภาพยุโรปเป็นตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่และร่ำรวยมาก กฎหมายที่บังคับใช้ในยุโรปจึงมักจะกลายเป็นมาตรฐานที่บริษัททั่วโลกต้องปฏิบัติตามไปด้วย เพราะมันง่ายกว่าการที่จะต้องสร้างผลิตภัณฑ์สองเวอร์ชันสำหรับตลาดที่ต่างกัน
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการที่ EU บังคับให้ Apple ต้องเปลี่ยนพอร์ตชาร์จของ iPhone มาเป็นแบบ USB-C ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้าย Apple ก็ต้องยอมทำตาม นี่คือการแสดงให้เห็นว่า แม้ยุโรปจะไม่ได้เป็นผู้สร้างแพลตฟอร์ม แต่พวกเขาก็มีอำนาจในการ “กำหนดทิศทาง” ของแพลตฟอร์มได้
นอกจากการเป็นผู้คุมกฎแล้ว ยุโรปยังหันกลับมาให้ความสำคัญกับสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีมาตลอด นั่นคือเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) และอุตสาหกรรมขั้นสูง
โครงการอย่าง European Chips Act คือการลงทุนครั้งประวัติศาสตร์มูลค่ากว่า 43,000 ล้านยูโร เพื่อสร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิปและเซมิคอนดักเตอร์ของตัวเอง ลดการพึ่งพาจากเอเชียและอเมริกา นี่คือการมองเกมระยะยาว ที่ไม่ได้หวังผลแค่การสร้างแอปพลิเคชันตัวต่อไป แต่คือการควบคุมเทคโนโลยีที่เป็นหัวใจของทุกสิ่งในอนาคต
ซึ่งบางทีความพ่ายแพ้ในสมรภูมิหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องแพ้ในสงครามทั้งหมด
พวกเขาอาจจะพลาดคลื่นลูกแรกของการปฏิวัติดิจิทัลสำหรับผู้บริโภคไป แต่ในวันที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ AI, ควอนตัมคอมพิวเตอร์, และเทคโนโลยีสีเขียว ที่ซึ่งต้องอาศัยการวิจัยขั้นสูงและความร่วมมือจากภาครัฐอย่างจริงจัง
บางที… นี่อาจจะเป็นสมรภูมิที่ยุโรปมีความพร้อมและสามารถกลับมาเป็นผู้นำได้อีกครั้ง
คำถามสุดท้ายที่น่าคิดก็คือ ในโลกที่เทคโนโลยีกำลังกุมอนาคตของมวลมนุษยชาติ การเป็นผู้ “สร้าง” ที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว กับการเป็นผู้ “กำหนดทิศทาง” ที่เดินอย่างรอบคอบ…
แบบไหนกันแน่ ที่จะสำคัญกว่ากันในระยะยาว?
References : [ techcrunch, carnegieeurope, statista]