Geek Story EP483 : ถอดรหัส “ความรู้สึก” ราคาแพง อะไรซ่อนอยู่ใน Mac ที่ PC ให้ไม่ได้

เคยรู้สึกไหมครับว่า เวลาที่เราใช้คอมพิวเตอร์สองเครื่องที่สเปคใกล้เคียงกัน แต่ทำไมความรู้สึกที่ได้มันถึงต่างกันราวฟ้ากับเหว?

ลองดูนี่สิครับ… นี่คือหน้าตาของตัวอักษร เวลาที่เราพิมพ์งานบนเครื่อง Mac… แล้วลองดูนี่… คือตัวอักษรเดียวกัน บนเครื่อง Windows คำเดียวกัน ขนาดเท่ากันเป๊ะๆ แต่… มันมีบางอย่างที่ต่างออกไป บน Mac ตัวอักษรจะดูนุ่มนวล คมชัดแต่สบายตา ในขณะที่บน Windows มันจะดูแข็งกว่า คมกว่า ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นชิ้นส่วนจักรกลมากกว่า

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3362ndvt

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/5n7txm9d

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/36hepe6c

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/ZbkLSV2XHro

เจาะลึกความผิดพลาด Atari จากราชาสู่ยาจก ทำไมบริษัทเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดถึงไปไม่รอด

เคยสงสัยไหมครับว่า บริษัทที่เคยเติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา จะลงเอยด้วยการนำสินค้าของตัวเองหลายล้านชิ้นไปฝังกลบในทะเลทรายได้อย่างไร

เรื่องราวนี้คือตำนานการเดินทางอันน่าทึ่งของ Atari บริษัทที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของยุค 80 และเป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมวิดีโอเกมที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้

จุดเริ่มต้นของทุกอย่างมาจากชายคนหนึ่งชื่อ Nolan Bushnell ในช่วงปลายยุค 60 เขาเป็นนักศึกษาวิศวกรรมไฟฟ้าที่ทำงานพิเศษในสวนสนุก ทำให้เขาเห็นกับตาว่าธุรกิจเกมอาร์เคดนั้นมีศักยภาพมหาศาล

วันหนึ่งในมหาวิทยาลัย Bushnell ได้พบกับเกมคอมพิวเตอร์ชื่อ Spacewar! ที่เล่นบนคอมพิวเตอร์เมนเฟรมขนาดใหญ่ วินาทีนั้นเองที่เขาก็มองเห็นโอกาสครั้งสำคัญในชีวิต

เขาเห็นภาพอนาคตว่า หากสามารถย่อส่วนเกมที่ซับซ้อนแบบนี้ลงมาอยู่ในตู้เกมหยอดเหรียญได้ มันจะต้องกลายเป็นเครื่องจักรผลิตเงินสดได้อย่างแน่นอน

แต่ปัญหาก็คือ คอมพิวเตอร์ในยุคนั้นยังมีราคาแพงลิ่ว การจะนำมาทำเป็นธุรกิจหยอดเหรียญดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ Bushnell เชื่อว่าอีกไม่นาน เทคโนโลยีจะมีราคาถูกลง และไอเดียของเขาก็จะเป็นจริงขึ้นมา

ในปี 1972 ความเชื่อนั้นก็กลายเป็นความจริง เขาและเพื่อนร่วมก่อตั้งบริษัทขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า Atari ซึ่งเป็นศัพท์จากเกมกระดาน ‘โกะ’ มีความหมายคล้ายกับคำว่า ‘รุกฆาต’

พวกเขาได้จ้างวิศวกรหนุ่มชื่อ Al Alcorn มาพัฒนาเกมแรก โดยมีโจทย์ง่ายๆ ว่า “สร้างเกมปิงปองที่ใครๆ ก็เล่นเป็นได้ใน 30 วินาที” ผลลัพธ์ที่ได้คือเกมในตำนานอย่าง Pong

เมื่อนำตู้เกม Pong ต้นแบบไปวางไว้ที่บาร์แห่งหนึ่ง เพียงไม่กี่วันต่อมา เจ้าของร้านก็โทรมาแจ้งว่าเครื่องเสีย แต่เมื่อไปตรวจสอบก็พบกับปัญหาที่น่าดีใจที่สุด นั่นคือกล่องเก็บเหรียญเต็มจนล้น เพราะมีคนเล่นเยอะเกินไป

นั่นคือจุดเริ่มต้นของยุคทอง Atari ที่พุ่งทะยาน Pong ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย วัฒนธรรมองค์กรในยุคนั้นก็ขึ้นชื่อเรื่องความสนุกสนานและอิสระทางความคิด

แต่ Bushnell มีเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น เขาต้องการนำวิดีโอเกมเข้าไปอยู่ในห้องนั่งเล่นของทุกบ้าน แนวคิดนี้จึงได้ถือกำเนิดเป็นเครื่องเกมคอนโซลระดับตำนาน Atari 2600

ทว่าการจะผลิตสินค้าเพื่อผู้บริโภคจำนวนมหาศาลนั้นต้องใช้เงินทุนที่สูงลิ่ว Bushnell จึงตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของบริษัทไปตลอดกาล

ในปี 1976 เขาขาย Atari ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านความบันเทิง Warner Communications ด้วยมูลค่า 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้ Atari มีเงินทุนที่ต้องการ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของการสูญเสียจิตวิญญาณดั้งเดิมไป

ภายใต้การบริหารของ Warner บริษัทได้ CEO คนใหม่ชื่อ Ray Kassar ซึ่งมาจากสายการตลาด วัฒนธรรมองค์กรจึงเปลี่ยนจากที่เคยขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของวิศวกร ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยการตลาดและการขายอย่างเต็มรูปแบบ

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง มีพนักงานหนุ่มคนหนึ่งที่ต่อมาจะกลายเป็นตำนานของโลกเทคโนโลยี เขาคือ Steve Jobs แห่ง Apple นั่นเอง

Jobs เข้ามาทำงานที่ Atari ในตำแหน่งช่างเทคนิค เขาเป็นคนหนุ่มที่มีความคิดไม่เหมือนใคร จนต้องถูกจัดให้ทำงานกะกลางคืนคนเดียวเพื่อเลี่ยงปัญหาขัดแย้งกับคนอื่น

แต่ Bushnell มองเห็นศักยภาพในตัว Jobs เขาจึงมอบหมายโปรเจกต์สำคัญให้ไปทำ นั่นคือการออกแบบเกม Breakout พร้อมข้อเสนอว่า ทุกๆ ชิปที่ลดออกจากแผงวงจรได้ จะให้โบนัส 100 ดอลลาร์

Jobs รู้ดีว่าเพื่อนของเขา Steve Wozniak คืออัจฉริยะด้านการออกแบบวงจร เขาจึงไปชวน Wozniak มาช่วยทำโปรเจกต์นี้จนสำเร็จ และประสบการณ์ครั้งนั้น ก็เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ Wozniak สร้างคอมพิวเตอร์ Apple II ขึ้นมา

กลับมาที่ Atari ภายใต้การบริหารใหม่ ช่วงแรกทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้สวย ยอดขายของ Atari 2600 พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม Atari ทำรายได้มหาศาลจนคิดเป็น 70% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทแม่เลยทีเดียว

แต่เมื่อบริษัทให้ความสำคัญกับนักการตลาดมากกว่าโปรแกรมเมอร์ รอยร้าวก็เริ่มปรากฏขึ้น โปรแกรมเมอร์ในยุคนั้นถูกปฏิบัติเหมือนเป็นแค่ฟันเฟืองในเครื่องจักร พวกเขาไม่เคยได้รับเครดิตชื่อบนกล่องเกม ทั้งที่เกมที่พวกเขาสร้างทำเงินได้หลายร้อยล้าน

ในปี 1979 โปรแกรมเมอร์มือดี 4 คนของ Atari ทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาจึงลาออกไปตั้งบริษัทพัฒนาเกมของตัวเองในชื่อ Activision นี่คือการกำเนิดของบริษัทเกมโดยบุคคลที่สาม (Third-Party Developer) ครั้งแรกในประวัติศาสตร์

เหตุการณ์นี้ได้ทุบโมเดลธุรกิจของ Atari จนพังพินาศ เพราะจากที่เคยผูกขาดการทำเกมขายบนเครื่องของตัวเอง ตอนนี้กลับมีคนอื่นมาทำเกมแข่งและกวาดรายได้ไป

Atari พยายามฟ้องร้องแต่ก็แพ้คดี คำตัดสินของศาลครั้งนั้นเปรียบเหมือนการเปิดประตูเขื่อน ทำให้สารพัดบริษัทต่างกระโดดเข้ามาในตลาดวิดีโอเกมเพื่อหวังทำกำไรอย่างรวดเร็ว

ตลาดเต็มไปด้วยเกมคุณภาพต่ำจากบริษัทที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความบันเทิงมาก่อน แม้กระทั่งบริษัทอาหารเช้าและอาหารสุนัขก็ยังหันมาทำเกมกับเขาด้วย

แต่หายนะที่แท้จริงของ Atari กำลังจะตามมาในปี 1982 เมื่อผู้บริหารตัดสินใจทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อลิขสิทธิ์เกมอาร์เคดสุดฮิตอย่าง Pac-Man มาลงเครื่อง Atari 2600

ด้วยความโลภที่อยากจะเร่งวางขายให้ทันช่วงคริสต์มาส พวกเขาจึงให้เวลาโปรแกรมเมอร์ในการสร้างเกมนี้เพียงไม่กี่เดือน ผลลัพธ์ที่ได้คือเกม Pac-Man เวอร์ชันที่น่าผิดหวังอย่างรุนแรง และแตกต่างจากเวอร์ชันอาร์เคดที่ทุกคนรักอย่างสิ้นเชิง

ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ Atari ผลิตตลับเกมออกมามากถึง 12 ล้านตลับ เพราะมั่นใจว่าจะขายได้หมด แต่สุดท้ายกลับขายไปได้เพียง 7 ล้านตลับ ทำให้มีตลับเกมอีก 5 ล้านตลับกองอยู่ในโกดัง

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังไม่เรียนรู้จากความผิดพลาด ในปีเดียวกันนั้นเอง ภาพยนตร์เรื่อง E.T. ของ Steven Spielberg ก็โด่งดังเป็นพลุแตก Atari จึงทุ่มเงินอีกมหาศาลเพื่อซื้อลิขสิทธิ์มาทำเป็นเกม

และอีกครั้ง พวกเขาต้องการวางขายให้ทันคริสต์มาส คราวนี้โปรแกรมเมอร์ได้รับโจทย์สุดโหด คือต้องสร้างเกมที่ยิ่งใหญ่นี้ให้เสร็จภายในเวลาเพียง 5 สัปดาห์ครึ่งเท่านั้น

ผลลัพธ์ก็คือเกม E.T. ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในวิดีโอเกมที่แย่ที่สุดตลอดกาล ตัวเกมเล่นแล้วงง สับสน และไม่มีความสนุกเลยแม้แต่น้อย จากตลับเกมที่ผลิตออกมา 4 ล้านตลับ มีถึง 3.5 ล้านตลับถูกส่งคืนกลับมา

สถานการณ์ตอนนั้นคือ ตลาดเต็มไปด้วยเกมคุณภาพต่ำ ผู้บริโภคเริ่มเอือมระอา และเมื่อ Atari ซึ่งเป็นผู้นำตลาด กลับปล่อยเกมที่น่าผิดหวังออกมาซ้ำเติม มันก็เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้าย

ในเดือนธันวาคม 1982 Atari ประกาศผลประกอบการที่น่าผิดหวังอย่างรุนแรง ข่าวนี้ได้จุดชนวนให้เกิดเหตุการณ์ “The Great Video Game Crash of 1983” หรือการล่มสลายครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมวิดีโอเกม

Atari ที่เคยรุ่งโรจน์ กลับต้องขาดทุนย่อยยับกว่า 500 ล้านดอลลาร์ และเพื่อจัดการกับสินค้าที่ขายไม่ออกจำนวนมหาศาล บริษัทได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่กลายเป็นตำนานเล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้

พวกเขาแอบขนตลับเกม E.T. และ Pac-Man หลายล้านตลับไปฝังกลบในทะเลทรายที่ New Mexico แล้วเทคอนกรีตทับ เรื่องนี้เคยเป็นแค่ข่าวลือมานานหลายสิบปี จนกระทั่งปี 2014 ได้มีทีมงานไปขุดค้นและพบตลับเกมเหล่านั้นจริงๆ

อาณาจักร Atari ได้ล่มสลายลงอย่างเป็นทางการ Warner ต้องขายกิจการของ Atari ออกเป็นส่วนๆ แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น ส่วนของธุรกิจคอมพิวเตอร์ถูกขายให้กับ Jack Tramiel ผู้ก่อตั้งบริษัท Commodore

Jack ได้พยายามชุบชีวิต Atari ขึ้นมาใหม่ด้วยการเปิดตัวคอมพิวเตอร์ Atari ST ในปี 1985 ซึ่งก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในยุโรปและในวงการดนตรี เนื่องจากมีความสามารถด้าน MIDI ที่ล้ำสมัย

ความพยายามครั้งสุดท้ายในการกลับสู่บัลลังก์คือเครื่อง Atari Jaguar ในปี 1993 แต่ด้วยการออกแบบที่ซับซ้อนและขาดแคลนเกมดีๆ ทำให้ Jaguar ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง และนั่นก็คือการปิดฉากตำนานผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ของ Atari อย่างถาวร

เรื่องราวของ Atari คือบทเรียนทางธุรกิจที่สำคัญ มันสอนให้รู้ว่าการเติบโตที่รวดเร็วเกินไปนั้นอันตรายเพียงใด การให้ความสำคัญกับการตลาดจนละเลยคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และการไม่เห็นคุณค่าของบุคลากรผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม ล้วนเป็นหนทางที่นำไปสู่ความพินาศ

Atari อาจจะล้มเหลวในการรักษาบัลลังก์ของตัวเองไว้ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาคือผู้จุดประกายการปฏิวัติวงการวิดีโอเกม และการล่มสลายของพวกเขาก็ได้เปิดทางให้ผู้เล่นรายใหม่จากญี่ปุ่นอย่าง Nintendo สามารถก้าวขึ้นมาสร้างมาตรฐานใหม่และฟื้นคืนชีพให้กับอุตสาหกรรมนี้ได้อีกครั้ง

References : [theverge, forbes, wired, arstechnica, polygon]

Geek Talk EP151 : เบื้องหลังรถไฟความเร็วสูงอินโดฯ จากความภูมิใจสู่ ‘ระเบิดเวลา’ ที่รอวันล้มละลาย

เคยจินตนาการไหมครับ ว่าการเดินทางที่ปกติใช้เวลา 3 ชั่วโมงเต็มๆ บนถนนที่รถติดหนึบ จะถูกย่อลงมาเหลือแค่ประมาณ 40 นาที… เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างอินโดนีเซีย

ผมกำลังพูดถึง “Whoosh” รถไฟความเร็วสูงสายแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดถึง 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เชื่อมระหว่างเมืองหลวงอย่างจาการ์ตากับเมืองบันดุง (Bandung) เมืองท่องเที่ยวยอดนิยม

ภาพของรถไฟหัวกระสุนสีเงินแดงที่วิ่งฉิวผ่านทิวทัศน์อันสวยงามของเกาะชวา กลายเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้า ความทันสมัย และเป็นความภาคภูมิใจของชาติอินโดนีเซีย โครงการนี้คือเมกะโปรเจกต์มูลค่ามหาศาล ที่ใครๆ ก็มองว่าเป็นประตูสู่อนาคต…

แต่แล้ว… จะเป็นอย่างไรถ้าผมบอกว่า เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่สวยหรูนี้ มีผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งเพิ่งออกมาบอกว่า โครงการแห่งความภาคภูมิใจนี้ จริงๆ แล้วอาจเปรียบเสมือน “ระเบิดเวลาทางการเงิน” ที่กำลังนับถอยหลังรอวันหายนะอยู่

เรื่องราวนี้มันเป็นมายังไง จากโครงการเรือธงแห่งอนาคต กลายมาเป็นระเบิดเวลาที่รอวันปะทุได้อย่างไร วันนี้เราจะมาเจาะลึกเบื้องหลังของรถไฟความเร็วสูง Whoosh กันครับ

ลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/bdfafjmb

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3659r8e9

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4sd4ddjz

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/l5x6Gmoxxes

ธานินทร์ vs Hatari กับตัวอย่าง DNA ที่ไทยขาดหายไปในการสร้างชาติ

หากเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก คำถามหนึ่งที่น่าสนใจเสมอคือ อะไรคือปัจจัยที่ทำให้บางประเทศสามารถพลิกฟื้นจากความยากจนหรือซากปรักหักพังของสงคราม จนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้ในชั่วอายุคน

เราได้เห็นภาพความสำเร็จของญี่ปุ่น ที่ฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่สองได้อย่างน่าทึ่ง หรือเกาหลีใต้ ที่เปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือ สู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก

แม้แต่จีน ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเพียงโรงงานรับจ้างผลิตของราคาถูก ก็สามารถสร้างแบรนด์เทคโนโลยีของตัวเองขึ้นมาท้าทายยักษ์ใหญ่จากชาติตะวันตกได้อย่างสมศักดิ์ศรี

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อวิเคราะห์ถึงเบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้ เรามักจะนึกถึงผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล นโยบายที่เปิดกว้างและส่งเสริมการลงทุน หรือการเมืองที่มีเสถียรภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้คือส่วนประกอบที่สำคัญอย่างปฏิเสธไม่ได้

แต่ดูเหมือนว่ายังมีจิ๊กซอว์อีกชิ้นหนึ่งที่ทรงพลังไม่แพ้กัน มันคือพลังที่มองไม่เห็นซึ่งฝังลึกอยู่ในจิตสำนึกของคนในชาติ พลังที่อาจเรียกได้ว่าเป็น DNA ของ “ความเป็นชาตินิยม”

ชาตินิยมในบริบทนี้ ไม่ได้หมายถึงการคลั่งชาติหรือการกีดกันชาติอื่น แต่คือความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติ ที่พร้อมจะสนับสนุนสินค้าและบริการของตนเอง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งจากรากฐานภายใน

เรื่องราวนี้อาจต้องย้อนกลับไปในยุคที่แบรนด์อย่าง Samsung หรือ LG ของเกาหลีใต้ ยังเป็นเพียงผู้ผลิตรายเล็ก ๆ ที่คุณภาพสินค้ายังไม่อาจเทียบเคียงกับแบรนด์ชั้นนำจากญี่ปุ่นหรืออเมริกาได้

แต่แทนที่จะเลือกซื้อของนอกที่คุณภาพดีกว่า คนเกาหลีใต้จำนวนมากกลับเลือกที่จะ “กัดฟัน” อุดหนุนสินค้าของตัวเอง พวกเขายอมใช้ทีวีหรือตู้เย็นที่อาจไม่ได้ดีที่สุดในตลาดในตอนนั้น

เพราะพวกเขามีความเชื่อมั่นร่วมกันว่า เงินทุกวอนที่จ่ายไป จะกลายเป็นเงินทุนให้บริษัทของพวกเขานำไปใช้ในการวิจัยและพัฒนา เพื่อยกระดับสินค้าให้ดีขึ้นในอนาคต

เช่นเดียวกับในอุตสาหกรรมยานยนต์ แบรนด์อย่าง Hyundai ในยุคแรกก็เคยถูกเปรียบเปรยว่าเป็นรถยนต์คุณภาพต่ำ แต่ด้วยแรงสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากคนในชาติ ก็ทำให้ Hyundai สามารถยืนหยัดและพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์แถวหน้าของโลกได้ในที่สุด

พลังแห่งการสนับสนุนซึ่งกันและกันนี่เอง ที่เปรียบเสมือนปุ๋ยชั้นดี หล่อเลี้ยงให้บริษัทเล็ก ๆ ในวันนั้น เติบโตขึ้นมาเป็นกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เรียกว่า “Chaebol” ซึ่งเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมาจนถึงทุกวันนี้

แล้วคำถามสำคัญก็ย้อนกลับมาที่บ้านเรา ประเทศไทยอยู่ตรงไหนในสมการนี้?

หากพูดถึงศักยภาพแล้ว ต้องยอมรับว่าคนไทยมีความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลก เรามีทั้งนักคิด นักพัฒนา และผู้ประกอบการที่เก่งกาจมากมาย แต่กำแพงที่มองไม่เห็นซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำคัญ อาจอยู่ที่ “ทัศนคติ” ของเราเองที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของคนไทยด้วยกัน

เรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงแบรนด์ในตำนานอย่าง “ธานินทร์” (Tanin) สำหรับคนรุ่นใหม่อาจไม่คุ้นชื่อนี้ แต่สำหรับคนในรุ่นคุณพ่อคุณแม่ ธานินทร์คือสัญลักษณ์ของคุณภาพ คือแบรนด์วิทยุและโทรทัศน์สัญชาติไทยที่เคยยิ่งใหญ่และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง

เมื่อพิจารณาจากช่วงเวลา ธานินทร์ถือกำเนิดขึ้นในยุคไล่เลี่ยกับการตั้งไข่ของแบรนด์เกาหลีใต้หลายแบรนด์ นั่นหมายความว่าเรามีจุดเริ่มต้นที่ไม่ต่างกันเลย

แต่สิ่งที่แตกต่างกันอาจเป็นแรงสนับสนุนในระยะยาว ในวันที่ธานินทร์ต้องการเงินทุนและกำลังใจเพื่อต่อสู้กับแบรนด์ต่างชาติที่บุกเข้ามาในตลาด พลังการสนับสนุนจากคนในชาติอาจไม่แข็งแกร่งเพียงพอ

สุดท้ายแล้ว แบรนด์ที่เคยเป็นความภาคภูมิใจและมีความหวังที่จะก้าวไปสู่ระดับโลก ก็ค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา เหลือไว้เพียงเรื่องเล่าและความทรงจำ

อีกหนึ่งกรณีศึกษาที่สะท้อนภาพทัศนคติของผู้บริโภคชาวไทยได้ชัดเจนที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่องราวของ “Hatari”

หลายคนอาจเพิ่งทราบว่า Hatari เป็นแบรนด์ของคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะด้วยชื่อที่ฟังดูคล้ายภาษาญี่ปุ่น ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นแบรนด์จากประเทศญี่ปุ่นมาโดยตลอด

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นกลยุทธ์ที่เกิดจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในพฤติกรรมของผู้บริโภค ผู้ก่อตั้งทราบดีว่าการใช้ชื่อไทยแท้อาจทำให้การยอมรับในสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นไปได้ยาก

เขาจึงเลือกใช้ชื่อที่สร้างความรู้สึกเชื่อมั่นในคุณภาพแบบญี่ปุ่น ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ Hatari ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย และกลายเป็นข้อพิสูจน์ว่าสินค้าไทยมีคุณภาพไม่แพ้ใคร แต่กลับต้องอาศัยชื่อที่ไม่ใช่ไทยในการเบิกทางสู่ความสำเร็จ

ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโลกของเครื่องใช้ไฟฟ้า ในแวดวงเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ เราก็มักจะพบเจอกับสถานการณ์คล้าย ๆ กัน

บริษัทซอฟต์แวร์สัญชาติไทยหลายแห่งสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันการใช้งานและประสิทธิภาพทัดเทียมกับของต่างชาติ แต่เมื่อถึงเวลาตัดสินใจซื้อ ลูกค้ากลับเลือกที่จะจ่ายให้กับแบรนด์ต่างชาติมากกว่า

ด้วยเหตุนี้ บริษัทเทคโนโลยีของไทยหลายแห่งจึงต้องปรับกลยุทธ์ โดยการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูเป็นสากลมากที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงอคติที่อาจเกิดขึ้นเมื่อลูกค้ารู้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาโดยคนไทย

มันจึงเป็นเรื่องที่น่าคิดว่า เหตุใด “ความเป็นไทย” ซึ่งควรจะเป็นจุดแข็ง กลับกลายเป็นสิ่งที่ต้องถูกซ่อนไว้

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ DNA ความเป็นชาตินิยมในเชิงสนับสนุนกันเองของเรา ไม่เข้มข้นเท่ากับในหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จ?

คำตอบของเรื่องนี้อาจซ่อนอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ ประเทศอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม หรือจีน ล้วนเคยเผชิญกับบาดแผลครั้งใหญ่ที่เกือบทำให้ชาติล่มสลาย

ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้ในสงครามโลก เกาหลีต้องผ่านทั้งการถูกยึดครองและสงครามกลางเมืองที่โหดร้าย เวียดนามต้องต่อสู้ในสงครามที่ยาวนาน ส่วนจีนก็ต้องผ่านยุคสมัยแห่งความอัปยศที่ถูกต่างชาติรุกราน

วิกฤตการณ์ระดับชาติเหล่านี้ได้หล่อหลอมให้เกิด “สำนึกร่วม” ของการเป็นชาติที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ พวกเขารู้ดีว่าหนทางเดียวที่จะทำให้ชาติกลับมายืนหยัดได้อย่างสง่างาม คือการร่วมมือกันสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน

ในขณะที่ประเทศไทย ด้วยพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ในอดีต ทำให้เราโชคดีที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกอย่างสมบูรณ์ และไม่เคยเผชิญกับสงครามที่ทำลายล้างประเทศจนหมดสิ้น

ความขัดแย้งส่วนใหญ่ของเราจึงมักเป็นเรื่องภายใน ซึ่งไม่ได้สร้างสำนึกร่วมในลักษณะ “เราปะทะเขา” ที่ต้องต่อสู้กับศัตรูจากภายนอกเหมือนกับที่ชาติอื่น ๆ เคยเผชิญ

แน่นอนว่าเราไม่สามารถย้อนเวลาไปแก้ไขประวัติศาสตร์ได้ และเราคงไม่อยากให้ประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์เลวร้ายเพื่อสร้างสำนึกร่วมนั้นขึ้นมา

แต่เราสามารถสร้าง “DNA ชาตินิยมเชิง” นี้ขึ้นมาได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมของเราเองในปัจจุบัน

การสนับสนุนแบรนด์ไทย จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้สึก แต่เป็นเรื่องของ “การลงทุน” ในอนาคตของประเทศเราเอง

ลองนึกภาพวงจรแห่งการเติบโต เมื่อเราตัดสินใจซื้อสินค้าที่ผลิตโดยคนไทย เงินก็จะหมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจของประเทศ บริษัทไทยก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น

เมื่อมีรายได้ พวกเขาก็จะสามารถจ้างงานคนไทยได้มากขึ้น มีเงินทุนไปใช้ในการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและปรับปรุงคุณภาพสินค้าให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

เมื่อสินค้ามีคุณภาพดี ก็จะสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และเมื่อแบรนด์ไทยสามารถส่งออกไปขายต่างประเทศได้สำเร็จ เงินตราต่างประเทศก็จะไหลเข้าสู่ประเทศของเรา

ท้ายที่สุดแล้ว ผลประโยชน์ทั้งหมดก็จะย้อนกลับมาสู่พวกเราทุกคน ในรูปแบบของเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นี่คือวงจรเชิงบวกที่เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “การตัดสินใจ” ของผู้บริโภคแต่ละคน

แน่นอนว่าการแข่งขันอย่างเสรียังคงเป็นสิ่งสำคัญที่จะกระตุ้นให้ผู้ผลิตต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ แต่สิ่งที่เราทุกคนสามารถเริ่มต้นทำได้ทันทีคือ “การเปิดใจ” และ “การให้โอกาส”

ครั้งต่อไปที่จะเลือกซื้อสินค้า ลองพิจารณาแบรนด์ไทยเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก เปรียบเทียบคุณภาพ ฟังก์ชัน และราคาอย่างปราศจากอคติ

เพราะทุกครั้งที่เราให้โอกาสแบรนด์ไทย นั่นหมายถึงเรากำลังมอบลมหายใจและเงินทุนให้พวกเขาได้เติบโต เหมือนกับที่คนเกาหลีใต้เคยทำกับแบรนด์ของพวกเขาในวันแรก ๆ

การสร้างชาติให้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ไม่ได้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลหรือนักการเมืองเพียงฝ่ายเดียว แต่พลังที่แท้จริงอยู่ในมือของพวกเราทุกคน

และจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่เรียกว่า “การสนับสนุนกันเอง” นี่เอง ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนให้ประเทศไทยสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่ง และเปลี่ยนสถานะจากประเทศผู้ใช้เทคโนโลยี ไปสู่การเป็นประเทศผู้สร้างเทคโนโลยีได้ในสักวันหนึ่ง

References : [tanin-industries, altronthailand, marketer, brandbuffet, forbesthailand]