ลองจินตนาการถึงเงินจำนวน 5 พันล้านปอนด์ หรือประมาณ 2 แสน 4 หมื่นล้านบาทกันดูครับ
เงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ สามารถซื้อทีมฟุตบอลระดับโลกอย่าง Manchester United ได้ทั้งสโมสร แถมยังมีเงินเหลือพอที่จะสร้างตึก Burj Khalifa ได้อีกครึ่งตึก
แต่เรื่องราวที่จะพูดถึงในวันนี้ เงินจำนวนนี้ไม่ได้มาจากความสำเร็จทางธุรกิจ แต่มาจากปฏิบัติการต้มตุ๋นครั้งประวัติศาสตร์ ที่ถูกแปรสภาพไปอยู่ในสินทรัพย์ดิจิทัลที่โด่งดังที่สุดในโลกอย่าง Bitcoin
เรื่องราวของ Zhimin Qian (จื้อหมิน เชียน) หญิงชาวจีนผู้หนึ่ง ที่นำไปสู่การยึด Bitcoin ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักร และอาจจะยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกด้วยซ้ำ
ย้อนกลับไปในช่วงปี 2014 ที่ประเทศจีน Zhimin Qian ได้สร้างตัวตนขึ้นมาเป็น “เทพีแห่งความมั่งคั่ง” เธอก่อตั้งโครงการลงทุนที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะมอบผลตอบแทนที่สูงเกินจริงให้กับนักลงทุน
กลุ่มเป้าหมายของเธอคือผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีเงินเก็บออมมาทั้งชีวิต แต่ก็อาจจะไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการลงทุนสมัยใหม่มากนัก
Qian ใช้วิธีสร้างเครือข่ายความไว้ใจแบบปากต่อปาก ให้เพื่อนชวนเพื่อน ให้ญาติพี่น้องมาชวนกันลงทุน จนมีผู้คนหลงเชื่อนำเงินมาให้เธอมากถึง 128,000 คน
มันคือแชร์ลูกโซ่ในเวอร์ชันที่ซับซ้อนและมีขนาดมหึมา เงินสดมหาศาลจากทั่วประเทศจีนไหลเข้าสู่มือของเธออย่างไม่ขาดสาย
แต่เมื่อทำธุรกิจที่ผิดกฎหมาย คำถามสำคัญที่สุดก็คือ จะทำอย่างไรกับเงินที่ได้มา? การเก็บไว้ในธนาคารก็เสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบและอายัดได้ง่าย
คำตอบของ Qian อยู่ที่เทคโนโลยีที่กำลังเป็นกระแสในตอนนั้นพอดี นั่นก็คือ Bitcoin
Bitcoin มีคุณสมบัติที่เหล่าอาชญากรชื่นชอบ มันสามารถโอนข้ามพรมแดนได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่างธนาคาร ทำให้การโยกย้ายเงินจำนวนมากทำได้รวดเร็วและตรวจสอบได้ยาก
Qian จึงเริ่มทยอยเปลี่ยนเงินที่ได้จากการหลอกลวง มาเก็บไว้ในรูปแบบของ Bitcoin ในกระเป๋าเงินดิจิทัลจำนวนมาก
และเมื่อวงแชร์ของเธอใกล้ถึงวันล่มสลาย เธอก็ทำในสิ่งที่อาชญากรส่วนใหญ่ทำ นั่นคือการหอบเงินทั้งหมดแล้วหลบหนี
เธอใช้เอกสารปลอม หายตัวออกจากประเทศจีน ทิ้งเหยื่อกว่าแสนคนให้เผชิญกับความสูญเสีย พร้อมกับขุมทรัพย์ Bitcoin มหาศาล ที่รอวันที่จะถูก “ฟอก” ให้สะอาด
จุดหมายปลายทางของเธอคือกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร
เมื่อมาถึงลอนดอนในปี 2017 พร้อมกับ Bitcoin ที่มีมูลค่ามหาศาล ปัญหาของ Qian ได้เปลี่ยนไป จาก “ทำอย่างไรให้ได้เงิน” มาเป็น “ทำอย่างไรจะใช้เงินได้”
เธอรู้ดีว่าการจะเปลี่ยน Bitcoin จำนวนมากให้กลายเป็นเงินสดหรือสินทรัพย์ที่จับต้องได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เธอจึงต้องการผู้ช่วยที่ไว้ใจได้
และเธอก็ได้พบกับ Jian Wen (เจี้ยน เหวิน) หญิงชาวจีนอีกคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในร้านอาหารจีนกลับบ้าน ชีวิตของ Wen ในตอนนั้นค่อนข้างลำบากและมีรายได้เพียงน้อยนิด
Qian ติดต่อ Wen ผ่านแอปพลิเคชัน WeChat โดยอ้างว่าตนเองเป็นนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จ และต้องการผู้ช่วยส่วนตัวมาดูแลจัดการเรื่องต่างๆ
ในตอนแรก Wen อาจไม่รู้ถึงเบื้องหลังที่แท้จริงของนายจ้างคนใหม่ แต่ไม่นาน เธอก็ถูกดึงเข้าสู่วังวนของความหรูหราที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
ชีวิตของ Wen พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอและ Qian ย้ายจากห้องเช่าเล็กๆ ไปอยู่บ้านหรูในลอนดอนที่มีค่าเช่าสูงถึงเดือนละกว่า 8 แสนบาท
Wen เริ่มใช้ชีวิตอย่างเศรษฐินี เดินทางไปทั่วยุโรป ซื้อของแบรนด์เนมราคาแพง และส่งลูกชายไปเรียนในโรงเรียนเอกชนชั้นนำ
ภารกิจสำคัญที่ Wen ได้รับมอบหมายคือ การเปลี่ยน Bitcoin ให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่ถูกกฎหมาย โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นวิธีการฟอกเงินที่คลาสสิกที่สุดวิธีหนึ่ง
ทั้งคู่พยายามที่จะซื้อคฤหาสน์หรูในลอนดอนหลายต่อหลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือบ้านมูลค่า 23.5 ล้านปอนด์ ที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
แต่แผนการของพวกเธอก็ต้องมาสะดุดลง เมื่อเจอกับกำแพงด่านสำคัญที่เรียกว่า กฎหมายป้องกันการฟอกเงิน (Anti-Money Laundering)
เมื่อต้องทำธุรกรรมผ่านสำนักงานกฎหมาย พวกเธอจำเป็นต้องแสดงที่มาของเงินทุนให้ได้อย่างโปร่งใส Wen อ้างว่า Bitcoin เหล่านี้ได้มาจากการ “ขุด”
แต่เมื่อถูกซักถามถึงรายละเอียดทางเทคนิคและหลักฐานยืนยัน เธอกลับไม่สามารถให้คำตอบที่น่าเชื่อถือได้เลย ทำให้การซื้อขายต้องล้มเลิกไปทุกครั้ง
ความพยายามที่จะใช้เงินอย่างโจ่งแจ้งและผิดสังเกตนี้เอง ที่ไปเข้าตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล
ในปี 2018 ตำรวจได้รับเบาะแสและเริ่มต้นการสืบสวนครั้งใหญ่ในชื่อ “Operation Captura” ซึ่งเป็นการไล่ล่าที่กินเวลายาวนานและซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง
การติดตามเส้นทางการเงินในโลกดิจิทัลนั้นไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร ตำรวจต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์และประสานงานกับหน่วยงานในหลายประเทศเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราว
จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 2018 ตำรวจได้บุกเข้าตรวจค้นบ้านพักของพวกเธอ และยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปตรวจสอบ
ในที่สุด พวกเขาก็พบสิ่งที่ตามหา นั่นคือรหัสส่วนตัว หรือ Private Keys ที่สามารถเข้าถึงกระเป๋าเงินดิจิทัลซึ่งเก็บ Bitcoin จำนวนมหาศาลไว้
ตอนแรกตำรวจพบ Bitcoin จำนวน 15,000 เหรียญ แต่เมื่อสืบสวนขยายผลต่อไป พวกเขาก็พบกระเป๋าเงินใบอื่นๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนยอดรวมทั้งหมดสูงถึง 61,000 Bitcoin
ณ เวลาที่ยึด มูลค่าของมันก็สูงมากอยู่แล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ราคาของ Bitcoin กลับพุ่งทะยานขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ทำให้มูลค่าของกลางในคดีนี้พุ่งสูงเกินกว่า 5 พันล้านปอนด์ หรือ 2 แสน 4 หมื่นล้านบาท กลายเป็นการยึดคริปโทเคอร์เรนซีครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
Jian Wen ถูกจับกุมและดำเนินคดีในข้อหาฟอกเงินทันที แต่ตัวการใหญ่อย่าง Zhimin Qian กลับยังคงหลบหนีต่อไปได้อีกหลายปี
การสืบสวนยังสาวไปถึงผู้สมรู้ร่วมคิดอีกคนคือ Seng Hok Ling (เส็ง ฮก หลิง) ชายชาวมาเลเซีย ที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าคอยแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีให้ เครือข่ายอาชญากรรมนี้ใหญ่กว่าที่ใครๆ คาดคิด
หลังจากหลบหนีกระบวนการยุติธรรมมาอย่างยาวนาน ในที่สุด Zhimin Qian ก็ถูกจับกุมตัว
Jian Wen ผู้ช่วยคนสนิท ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฟอกเงิน และต้องรับโทษจำคุกเป็นเวลา 6 ปี 8 เดือน ปิดฉากชีวิตหรูหราที่สร้างขึ้นบนความทุกข์ของผู้อื่น
ไม่นานหลังจากนั้น Zhimin Qian ตัวการใหญ่ของเรื่องราวทั้งหมด ก็ได้ให้การยอมรับสารภาพในทุกข้อกล่าวหา เช่นเดียวกับ Seng Hok Ling ที่ยอมรับถึงบทบาทของตนในขบวนการ
เมื่ออาชญากรทุกคนถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว คำถามสุดท้ายที่ทุกคนอยากรู้ก็คือ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับ Bitcoin มูลค่ามหาศาลที่ถูกยึดไป?
ตามกฎหมายของสหราชอาณาจักร ทรัพย์สินใดๆ ที่ได้มาจากการก่ออาชญากรรม จะต้องถูกริบเข้าหลวง มีความเป็นไปได้สูงว่าเงินก้อนนี้จะตกเป็นของรัฐบาลอังกฤษ
แต่เรื่องราวกลับซับซ้อนขึ้นไปอีก เมื่อทนายความของ Qian ออกมาแถลงว่า ลูกความของเขาหวังว่าเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปชดใช้คืนให้กับเหยื่อชาวจีนทั้ง 128,000 คน
เนื่องจากมูลค่าของ Bitcoin ที่เพิ่มขึ้นมหาศาล มันจึงมีเงินมากเกินพอที่จะเยียวยาความเสียหายให้กับทุกคนได้
เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นที่น่าคิด ใครกันแน่คือผู้ที่ควรได้รับเงินก้อนนี้? รัฐบาลที่ทำหน้าที่จับกุมคนร้าย หรือเหยื่อผู้สูญเสียที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกซีกโลกหนึ่ง
บทสรุปของเรื่องนี้จึงยังไม่จบลงอย่างสมบูรณ์ และยังต้องจับตาดูกันต่อไป
เรื่องราวของ Zhimin Qian ได้ทิ้งบทเรียนสำคัญหลายอย่าง
อย่างแรกคือ มันแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติของเทคโนโลยีที่เป็นเหมือนดาบสองคม คริปโทเคอร์เรนซีคือนวัตกรรมที่น่าทึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือชั้นดีให้กับอาชญากรได้เช่นกัน
อย่างที่สอง คือบทเรียนอมตะที่ว่า อะไรที่ดีเกินจริง มักจะไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่างเหลือเชื่อ มักเป็นสัญญาณของกลลวงที่รอวันเปิดเผยตัวตน
และบทเรียนสุดท้ายคือ ไม่ว่าอาชญากรจะใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนเพียงใดในการหลบหนี แต่ท้ายที่สุด กฎหมายก็ยังคงตามทันเสมอ
คดีประวัติศาสตร์ครั้งนี้ได้กลายเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญ และจะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของโลกการเงินและอาชญากรรมดิจิทัลไปอีกนานแสนนาน
References : [bbc, theguardian, reuters]