หากใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Apple คงจะจำความรู้สึกในช่วงก่อนปี 2020 ได้ดี
ยุคนั้น Mac, โดยเฉพาะ MacBook, กำลังเผชิญกับวิกฤตศรัทธา ทั้งปัญหาเครื่องร้อน พัดลมเสียงดังสนั่น และประสิทธิภาพที่ไม่สมกับราคา จนหลายคนเริ่มตั้งคำถาม
แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป… พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ
Apple ได้เปิดตัวชิป M1 ในปี 2020 ซึ่งไม่ใช่แค่การอัปเกรดธรรมดา แต่มันคือการปฏิวัติที่เปลี่ยนโฉมหน้าวงการคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล
เรื่องราวนี้มีความน่าสนใจอย่างไร แล้ว Apple ทำได้อย่างไร?
ย้อนกลับไปในปี 2005 ตอนนั้น Apple กำลังตกที่นั่งลำบาก ชิป PowerPC ที่ใช้ในเครื่อง Mac เริ่มตามหลังคู่แข่งอย่าง Intel ทั้งในด้านความเร็วและการประหยัดพลังงาน
สถานการณ์บีบคั้นให้ Steve Jobs ต้องตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์
นั่นคือการประกาศจับมือกับ Intel ซึ่งเคยเป็นคู่แข่งตัวฉกาจ เพื่อนำชิปของ Intel มาใช้ในเครื่อง Mac ทั้งหมด
การตัดสินใจครั้งนั้นถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม Mac กลับมามีประสิทธิภาพสูง สามารถรัน Windows ได้ แถมยังให้กำเนิด MacBook Air แล็ปท็อปที่บางเบาจนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการ
ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่ใครจะรู้ว่าพันธมิตรที่เคยช่วยชีวิต กำลังจะกลายเป็นโซ่ตรวนที่ฉุดรั้ง Apple ในอีก 15 ปีต่อมา
ขณะที่ชิป A-Series ใน iPhone ที่ Apple ออกแบบเองนั้น มีประสิทธิภาพก้าวกระโดดขึ้นทุกปี แต่ชิปของ Intel กลับเริ่มพัฒนาช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
ปัญหาเดิมๆ เริ่มกลับมาหลอกหลอนผู้ใช้ Mac อีกครั้ง เครื่องร้อนง่ายขึ้น พัดลมทำงานหนักขึ้น จนน่ารำคาญ
สถานการณ์กลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง ภายในปี 2019 บริษัทที่สร้างสมาร์ทโฟนที่แรงที่สุดในโลก กลับไม่สามารถสร้างแล็ปท็อปที่ทำงานหนักๆ โดยไม่เกิดปัญหาความร้อนได้
มันกลายเป็นเรื่องน่าอับอาย ที่ iPad Pro แท็บเล็ตราคาไม่กี่หมื่นบาท กลับทำงานบางอย่างได้ลื่นไหลกว่า MacBook Pro รุ่นท็อปราคาหลายแสนบาท
จุดนี้เองที่ Apple รู้ตัวว่าพวกเขาไม่สามารถฝากอนาคตไว้กับบริษัทอื่นได้อีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่จะต้องสร้างการปฏิวัติอีกครั้งด้วยตัวเอง
แต่จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการปฏิวัติครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในปี 2019 หากแต่ต้องย้อนกลับไปไกลถึงปี 2007
ในปีนั้น Steve Jobs กำลังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์เปลี่ยนโลกอย่าง iPhone เขาได้ยื่นข้อเสนอให้ Intel ซึ่งเป็นราชาแห่งวงการชิปในตอนนั้น ผลิตชิปสำหรับโทรศัพท์รุ่นแรกให้
แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นการปฏิเสธ
Intel มองว่าตลาดมือถือเป็นตลาดเล็ก มีกำไรต่ำ และไม่มีอนาคต พวกเขาจึงไม่สนใจที่จะผลิตชิปให้ Apple
นี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการเทคโนโลยี
เพราะการปฏิเสธในวันนั้น ได้ผลักให้ Apple ต้องเดินในเส้นทางที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นั่นคือการ “ออกแบบชิป” ของตัวเอง
Apple ได้เข้าซื้อบริษัทเล็กๆ ที่ชื่อว่า P.A. Semi ในราคา 278 ล้านดอลลาร์ ซึ่งในตอนนั้นแทบไม่มีใครให้ความสนใจ แต่การซื้อกิจการครั้งนี้ คือเมล็ดพันธุ์แรกของจักรวรรดิ Apple Silicon
ตลอดทศวรรษต่อมา ทีมวิศวกรของ Apple ได้ซุ่มพัฒนาชิป A-Series อย่างเงียบๆ และต่อเนื่อง
จากชิปมือถือธรรมดา มันค่อยๆ ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับชิปในคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป
Apple ได้ใช้ iPhone และ iPad เป็นสนามทดลองและพัฒนาเทคโนโลยีชิปของตัวเองมาเป็นสิบปี โดยที่คู่แข่งไม่ทันได้ระวังตัว
จนกระทั่งวันหนึ่ง โลกก็ได้เห็นภาพที่น่าทึ่ง เมื่อมีการทดสอบนำไฟล์ Photoshop ขนาดใหญ่มาเปิดบน Intel Mac ราคาเฉียดสองแสนบาท เทียบกับ iPad Pro ราคาไม่ถึงสามหมื่นบาท
ผลปรากฏว่า Mac เครื่องเทพกลับทำงานช้าและส่งเสียงพัดลมดังลั่น ในขณะที่ iPad Pro กลับทำงานได้อย่างราบรื่นและเงียบสนิท
วินาทีนั้นเองที่ทุกคนประจักษ์ว่า อนาคตของการประมวลผลไม่ได้มาจาก Intel อีกต่อไป
ภายใน Apple Park โปรเจกต์ลับภายใต้รหัส “Kalamata” ได้ถือกำเนิดขึ้น เป้าหมายของมันคือการนำสถาปัตยกรรม ARM ที่ทั้งเร็วและประหยัดพลังงานของชิปมือถือ มาปรับใช้กับคอมพิวเตอร์ Mac
มันคือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่เสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะหมายถึงการต้องรื้อสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันมานานหลายสิบปี และต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่เกือบทั้งหมด
และแล้วในเดือนพฤศจิกายน 2020 ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด Tim Cook ก็ได้ขึ้นเวที และประกาศเปิดตัวชิป M1 ให้โลกได้รู้จัก
สิ่งที่ Apple นำเสนอ ไม่ใช่แค่ชิปที่เร็วขึ้น แต่มันคือปรัชญาการออกแบบคอมพิวเตอร์แบบใหม่ทั้งหมด
คอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิม จะมีส่วนประกอบแยกกัน ทั้ง CPU, GPU, หน่วยความจำ ซึ่งเปรียบเหมือนทีมวิ่งผลัด ที่ต้องคอยส่งไม้ต่อให้กัน ทำให้เกิดความล่าช้าและคอขวด
แต่ Apple ได้ทลายกำแพงนั้น ด้วยการนำทุกอย่างมารวมกันไว้ในชิปแผ่นเดียวที่เรียกว่า System on a Chip (SoC) พร้อมสถาปัตยกรรมหน่วยความจำแบบรวมศูนย์ (Unified Memory Architecture)
มันเปรียบเสมือนการเปลี่ยนจากทีมวิ่งผลัด มาเป็นนักวิ่งยอดมนุษย์เพียงคนเดียว ที่ไม่ต้องเสียเวลาส่งไม้ ทุกอย่างเกิดขึ้นทันทีและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ตอนที่ Apple ประกาศตัวเลขประสิทธิภาพของ M1 ออกมา ไม่ว่าจะเป็น CPU เร็วขึ้น 3.5 เท่า, GPU เร็วขึ้น 6 เท่า และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นาน 18 ชั่วโมง แทบไม่มีใครในวงการเชื่อ
ทุกคนคิดว่ามันเป็นตัวเลขทางการตลาดที่เกินจริง เพราะมันดูดีเกินกว่าจะเป็นไปได้
แต่เมื่อผลิตภัณฑ์วางจำหน่ายและผลทดสอบจากสำนักรีวิวทั่วโลกออกมา ความจริงก็ปรากฏ
Apple ไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย… ในทางกลับกัน พวกเขาอาจจะถ่อมตัวไปด้วยซ้ำ ชิป M1 ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับชิปที่ดีที่สุดของ Intel แต่มันเหนือกว่าในทุกมิติ
ที่น่าทึ่งที่สุดคือ มันทำงานได้โดยแทบไม่มีความร้อนเกิดขึ้นเลย จนทำให้ MacBook Air รุ่น M1 สามารถตัดพัดลมระบายความร้อนออกไปได้ทั้งหมด
ปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็ได้เกิดขึ้น
นักตัดต่อวิดีโอสามารถเรนเดอร์ไฟล์ 4K ได้โดยที่เครื่องยังคงเงียบสนิท นักพัฒนาสามารถคอมไพล์โค้ดได้เสร็จในเวลาที่สั้นลงกว่าครึ่ง
และที่ช็อกวงการที่สุด คือ MacBook Air รุ่นเริ่มต้น กลับมีประสิทธิภาพการทำงานบางอย่างสูงกว่า MacBook Pro รุ่นท็อปที่ใช้ชิป Intel ซึ่งมีราคาสูงกว่าหลายเท่าตัว
Apple ไม่ได้แค่สร้างชิปที่ดีกว่า แต่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
ผลกระทบที่ตามมานั้นรุนแรงและเป็นวงกว้าง มูลค่าบริษัทของ Intel ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ขณะที่คู่แข่งอย่าง Microsoft และ Qualcomm ก็ต้องเร่งปรับตัวเพื่อหาทางไล่ตามให้ทัน
เรื่องราวของ Apple Silicon คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่มันเกิดจากวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล การวางแผนที่รอบคอบ และความกล้าที่จะเดิมพันในสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน
มันคือผลลัพธ์ของแผนการที่ใช้เวลากว่า 15 ปี ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากการถูกปฏิเสธในวันนั้น
การปฏิวัติครั้งนี้ได้เปลี่ยนความคาดหวังของผู้คนไปอย่างสิ้นเชิง คอมพิวเตอร์ไม่จำเป็นต้องร้อนและเสียงดังอีกต่อไป แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน และประสิทธิภาพที่สูงก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว
นี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่เส้นแบ่งระหว่างคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์พกพาจะค่อยๆ เลือนหายไป ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ เพราะชิปเล็กๆ ที่มีชื่อว่า M1 นั่นเองครับผม
References : [arstechnica, theverge, anandtech, bloomberg, macrumors]





