Intel หัวเราะเยาะ iPhone… 15 ปีต่อมา Apple ทำให้ Intel ถึงกับร้องไห้

หากใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Apple คงจะจำความรู้สึกในช่วงก่อนปี 2020 ได้ดี

ยุคนั้น Mac, โดยเฉพาะ MacBook, กำลังเผชิญกับวิกฤตศรัทธา ทั้งปัญหาเครื่องร้อน พัดลมเสียงดังสนั่น และประสิทธิภาพที่ไม่สมกับราคา จนหลายคนเริ่มตั้งคำถาม

แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป… พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ

Apple ได้เปิดตัวชิป M1 ในปี 2020 ซึ่งไม่ใช่แค่การอัปเกรดธรรมดา แต่มันคือการปฏิวัติที่เปลี่ยนโฉมหน้าวงการคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล

เรื่องราวนี้มีความน่าสนใจอย่างไร แล้ว Apple ทำได้อย่างไร?

ย้อนกลับไปในปี 2005 ตอนนั้น Apple กำลังตกที่นั่งลำบาก ชิป PowerPC ที่ใช้ในเครื่อง Mac เริ่มตามหลังคู่แข่งอย่าง Intel ทั้งในด้านความเร็วและการประหยัดพลังงาน

สถานการณ์บีบคั้นให้ Steve Jobs ต้องตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์

นั่นคือการประกาศจับมือกับ Intel ซึ่งเคยเป็นคู่แข่งตัวฉกาจ เพื่อนำชิปของ Intel มาใช้ในเครื่อง Mac ทั้งหมด

การตัดสินใจครั้งนั้นถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม Mac กลับมามีประสิทธิภาพสูง สามารถรัน Windows ได้ แถมยังให้กำเนิด MacBook Air แล็ปท็อปที่บางเบาจนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการ

ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่ใครจะรู้ว่าพันธมิตรที่เคยช่วยชีวิต กำลังจะกลายเป็นโซ่ตรวนที่ฉุดรั้ง Apple ในอีก 15 ปีต่อมา

ขณะที่ชิป A-Series ใน iPhone ที่ Apple ออกแบบเองนั้น มีประสิทธิภาพก้าวกระโดดขึ้นทุกปี แต่ชิปของ Intel กลับเริ่มพัฒนาช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

ปัญหาเดิมๆ เริ่มกลับมาหลอกหลอนผู้ใช้ Mac อีกครั้ง เครื่องร้อนง่ายขึ้น พัดลมทำงานหนักขึ้น จนน่ารำคาญ

สถานการณ์กลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง ภายในปี 2019 บริษัทที่สร้างสมาร์ทโฟนที่แรงที่สุดในโลก กลับไม่สามารถสร้างแล็ปท็อปที่ทำงานหนักๆ โดยไม่เกิดปัญหาความร้อนได้

มันกลายเป็นเรื่องน่าอับอาย ที่ iPad Pro แท็บเล็ตราคาไม่กี่หมื่นบาท กลับทำงานบางอย่างได้ลื่นไหลกว่า MacBook Pro รุ่นท็อปราคาหลายแสนบาท

จุดนี้เองที่ Apple รู้ตัวว่าพวกเขาไม่สามารถฝากอนาคตไว้กับบริษัทอื่นได้อีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่จะต้องสร้างการปฏิวัติอีกครั้งด้วยตัวเอง

แต่จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการปฏิวัติครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในปี 2019 หากแต่ต้องย้อนกลับไปไกลถึงปี 2007

ในปีนั้น Steve Jobs กำลังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์เปลี่ยนโลกอย่าง iPhone เขาได้ยื่นข้อเสนอให้ Intel ซึ่งเป็นราชาแห่งวงการชิปในตอนนั้น ผลิตชิปสำหรับโทรศัพท์รุ่นแรกให้

แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นการปฏิเสธ

Intel มองว่าตลาดมือถือเป็นตลาดเล็ก มีกำไรต่ำ และไม่มีอนาคต พวกเขาจึงไม่สนใจที่จะผลิตชิปให้ Apple

นี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการเทคโนโลยี

เพราะการปฏิเสธในวันนั้น ได้ผลักให้ Apple ต้องเดินในเส้นทางที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นั่นคือการ “ออกแบบชิป” ของตัวเอง

Apple ได้เข้าซื้อบริษัทเล็กๆ ที่ชื่อว่า P.A. Semi ในราคา 278 ล้านดอลลาร์ ซึ่งในตอนนั้นแทบไม่มีใครให้ความสนใจ แต่การซื้อกิจการครั้งนี้ คือเมล็ดพันธุ์แรกของจักรวรรดิ Apple Silicon

ตลอดทศวรรษต่อมา ทีมวิศวกรของ Apple ได้ซุ่มพัฒนาชิป A-Series อย่างเงียบๆ และต่อเนื่อง

จากชิปมือถือธรรมดา มันค่อยๆ ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับชิปในคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป

Apple ได้ใช้ iPhone และ iPad เป็นสนามทดลองและพัฒนาเทคโนโลยีชิปของตัวเองมาเป็นสิบปี โดยที่คู่แข่งไม่ทันได้ระวังตัว

จนกระทั่งวันหนึ่ง โลกก็ได้เห็นภาพที่น่าทึ่ง เมื่อมีการทดสอบนำไฟล์ Photoshop ขนาดใหญ่มาเปิดบน Intel Mac ราคาเฉียดสองแสนบาท เทียบกับ iPad Pro ราคาไม่ถึงสามหมื่นบาท

ผลปรากฏว่า Mac เครื่องเทพกลับทำงานช้าและส่งเสียงพัดลมดังลั่น ในขณะที่ iPad Pro กลับทำงานได้อย่างราบรื่นและเงียบสนิท

วินาทีนั้นเองที่ทุกคนประจักษ์ว่า อนาคตของการประมวลผลไม่ได้มาจาก Intel อีกต่อไป

ภายใน Apple Park โปรเจกต์ลับภายใต้รหัส “Kalamata” ได้ถือกำเนิดขึ้น เป้าหมายของมันคือการนำสถาปัตยกรรม ARM ที่ทั้งเร็วและประหยัดพลังงานของชิปมือถือ มาปรับใช้กับคอมพิวเตอร์ Mac

มันคือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่เสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะหมายถึงการต้องรื้อสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันมานานหลายสิบปี และต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่เกือบทั้งหมด

และแล้วในเดือนพฤศจิกายน 2020 ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด Tim Cook ก็ได้ขึ้นเวที และประกาศเปิดตัวชิป M1 ให้โลกได้รู้จัก

สิ่งที่ Apple นำเสนอ ไม่ใช่แค่ชิปที่เร็วขึ้น แต่มันคือปรัชญาการออกแบบคอมพิวเตอร์แบบใหม่ทั้งหมด

คอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิม จะมีส่วนประกอบแยกกัน ทั้ง CPU, GPU, หน่วยความจำ ซึ่งเปรียบเหมือนทีมวิ่งผลัด ที่ต้องคอยส่งไม้ต่อให้กัน ทำให้เกิดความล่าช้าและคอขวด

แต่ Apple ได้ทลายกำแพงนั้น ด้วยการนำทุกอย่างมารวมกันไว้ในชิปแผ่นเดียวที่เรียกว่า System on a Chip (SoC) พร้อมสถาปัตยกรรมหน่วยความจำแบบรวมศูนย์ (Unified Memory Architecture)

มันเปรียบเสมือนการเปลี่ยนจากทีมวิ่งผลัด มาเป็นนักวิ่งยอดมนุษย์เพียงคนเดียว ที่ไม่ต้องเสียเวลาส่งไม้ ทุกอย่างเกิดขึ้นทันทีและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ตอนที่ Apple ประกาศตัวเลขประสิทธิภาพของ M1 ออกมา ไม่ว่าจะเป็น CPU เร็วขึ้น 3.5 เท่า, GPU เร็วขึ้น 6 เท่า และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นาน 18 ชั่วโมง แทบไม่มีใครในวงการเชื่อ

ทุกคนคิดว่ามันเป็นตัวเลขทางการตลาดที่เกินจริง เพราะมันดูดีเกินกว่าจะเป็นไปได้

แต่เมื่อผลิตภัณฑ์วางจำหน่ายและผลทดสอบจากสำนักรีวิวทั่วโลกออกมา ความจริงก็ปรากฏ

Apple ไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย… ในทางกลับกัน พวกเขาอาจจะถ่อมตัวไปด้วยซ้ำ ชิป M1 ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับชิปที่ดีที่สุดของ Intel แต่มันเหนือกว่าในทุกมิติ

ที่น่าทึ่งที่สุดคือ มันทำงานได้โดยแทบไม่มีความร้อนเกิดขึ้นเลย จนทำให้ MacBook Air รุ่น M1 สามารถตัดพัดลมระบายความร้อนออกไปได้ทั้งหมด

ปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็ได้เกิดขึ้น

นักตัดต่อวิดีโอสามารถเรนเดอร์ไฟล์ 4K ได้โดยที่เครื่องยังคงเงียบสนิท นักพัฒนาสามารถคอมไพล์โค้ดได้เสร็จในเวลาที่สั้นลงกว่าครึ่ง

และที่ช็อกวงการที่สุด คือ MacBook Air รุ่นเริ่มต้น กลับมีประสิทธิภาพการทำงานบางอย่างสูงกว่า MacBook Pro รุ่นท็อปที่ใช้ชิป Intel ซึ่งมีราคาสูงกว่าหลายเท่าตัว

Apple ไม่ได้แค่สร้างชิปที่ดีกว่า แต่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

ผลกระทบที่ตามมานั้นรุนแรงและเป็นวงกว้าง มูลค่าบริษัทของ Intel ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ขณะที่คู่แข่งอย่าง Microsoft และ Qualcomm ก็ต้องเร่งปรับตัวเพื่อหาทางไล่ตามให้ทัน

เรื่องราวของ Apple Silicon คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่มันเกิดจากวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล การวางแผนที่รอบคอบ และความกล้าที่จะเดิมพันในสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน

มันคือผลลัพธ์ของแผนการที่ใช้เวลากว่า 15 ปี ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากการถูกปฏิเสธในวันนั้น

การปฏิวัติครั้งนี้ได้เปลี่ยนความคาดหวังของผู้คนไปอย่างสิ้นเชิง คอมพิวเตอร์ไม่จำเป็นต้องร้อนและเสียงดังอีกต่อไป แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน และประสิทธิภาพที่สูงก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว

นี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่เส้นแบ่งระหว่างคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์พกพาจะค่อยๆ เลือนหายไป ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ เพราะชิปเล็กๆ ที่มีชื่อว่า M1 นั่นเองครับผม

References : [arstechnica, theverge, anandtech, bloomberg, macrumors]

Geek Daily EP337 : มหากาพย์ปล้น Bitcoin ใหญ่ที่สุดในโลก บทสรุปคดีประวัติศาสตร์! หญิงจีนผู้หลอกคน 128,000 คน

ลองจินตนาการดูว่า ถ้ามีเงิน 5 พันล้านปอนด์ หรือราวๆ 2 แสน 4 หมื่นล้านบาท อยู่ในมือ คุณจะเอาไปทำอะไรครับ

เงินจำนวนนี้มันมหาศาลขนาดที่ว่า สามารถซื้อสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้สบายๆ แถมยังมีเงินเหลือไปสร้างตึกสูงระฟ้าได้อีกหลัง แต่เรื่องราวในวันนี้ เกี่ยวกับเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ ที่ไม่ได้มาจากการทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่มาจากขบวนการต้มตุ๋นที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ และถูกเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบของสินทรัพย์ดิจิทัลที่โด่งดังที่สุดในโลก นั่นคือ Bitcoin

นี่คือเรื่องราวของ Zhimin Qian หญิงชาวจีนที่ถูกขนานนามว่า “เทพีแห่งความมั่งคั่ง” กับปฏิบัติการฟอกเงินข้ามชาติ ที่นำไปสู่การยึด Bitcoin ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักร และอาจจะใหญ่ที่สุดในโลกด้วยซ้ำ เรื่องราวนี้มันซับซ้อนและน่าติดตามยิ่งกว่าในหนังเสียอีก

เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นขึ้นที่ไหน และจบลงอย่างไร พอดแคสต์ EP นี้จะมาชวยเจาะลึกเบื้องหลังมหากาพย์นี้กัน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/unh5n3de

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/275p3h6y

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/943d73ra

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Y-SCBKU7XYI

จุดจบยุคผูกขาด? แผนลับ AMD ทลายป้อมปราการ NVIDIA

ถ้าถามว่าบริษัทเทคโนโลยีที่ร้อนแรงที่สุดในโลกตอนนี้คือใคร หลายคนคงตอบว่า Nvidia แต่เคยสงสัยไหมครับว่า พวกเขาทรงพลังมากขนาดไหน?

ลองจินตนาการถึงรายได้ของบริษัทหนึ่ง จากแค่แผนกเดียว ในเวลาเพียง 3 เดือน ที่มีมูลค่าสูงถึง 41,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ตัวเลขนี้คือรายได้จากธุรกิจศูนย์ข้อมูลของ Nvidia ในช่วงกลางปี 2025 ที่ผ่านมา ซึ่งมันใหญ่กว่าขนาดเศรษฐกิจทั้งปีของประเทศอย่างลาวหรือไอซ์แลนด์เสียอีก

นี่คือภาพสะท้อนว่า Nvidia ไม่ได้เป็นแค่บริษัทผลิตชิปอีกต่อไป แต่ได้กลายร่างเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ที่กำลังกุมโครงสร้างพื้นฐานของการปฏิวัติทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญที่สุดในยุคเรา นั่นคือ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI

คำถามสำคัญจึงเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่ว่า AI จะเปลี่ยนโลกได้อย่างไร แต่อยู่ที่ว่า ใครจะเป็นผู้ควบคุมเครื่องมือที่ใช้สร้างมันขึ้นมา และเกือบตลอดทศวรรษที่ผ่านมา คำตอบก็มีเพียงหนึ่งเดียว

นั่นคือ Nvidia

ในอุตสาหกรรมที่ขึ้นชื่อเรื่องการแข่งขันอันดุเดือด Nvidia สามารถสร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่งจนดูเหมือนจะผูกขาดตลาดไปแล้ว ด้วยส่วนแบ่งในตลาดชิปประมวลผลสำหรับ AI ที่สูงถึง 80% – 95%

อำนาจเบ็ดเสร็จนี้ ทำให้พวกเขาสามารถกำหนดราคาได้ตามต้องการ อย่างชิปรุ่นเรือธง H100 GPU ก็มีราคาสูงถึง 25,000 – 40,000 ดอลลาร์ต่อชิ้น ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Google และ Meta ก็จำต้องยอมจ่าย

เพราะในวันนี้ พวกเขาแทบไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีพอ

สิ่งนี้ได้สร้างวงจรที่น่าทึ่งขึ้นมา ยิ่งโลกทุ่มเงินลงทุนใน AI มากเท่าไหร่ เงินเหล่านั้นก็ยิ่งไหลไปที่ Nvidia และทำให้พวกเขาทรงพลังมากขึ้นไปอีก

แต่รากฐานที่แท้จริงของอำนาจนี้ ไม่ได้มาจากแค่แผ่นซิลิคอนที่ทรงพลังเท่านั้น แต่อยู่ในสิ่งที่มองไม่เห็น นั่นคือ “ซอฟต์แวร์”

เป็นเวลาเกือบ 20 ปี ที่ Nvidia ได้สร้างสิ่งที่คนในวงการเรียกว่า “คูเมือง CUDA” ขึ้นมา CUDA คือแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่พวกเขาพัฒนาขึ้น เพื่อให้นักพัฒนาสามารถดึงพลังสูงสุดของ GPU ออกมาใช้กับงานที่ซับซ้อนได้

ถ้าจะให้เปรียบเทียบง่ายๆ CUDA ก็ไม่ต่างอะไรจาก iOS ของ Apple ที่สร้างระบบนิเวศจนนักพัฒนาทั่วโลกต้องสร้างแอปฯ เพื่อ iPhone โดยเฉพาะ

Nvidia ก็ทำเช่นเดียวกัน พวกเขาสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งจนเฟรมเวิร์ก AI สำคัญๆ ทุกตัว ตั้งแต่ TensorFlow ของ Google ไปจนถึง PyTorch ของ Meta ล้วนถูกปรับแต่งให้ทำงานได้ดีที่สุดบน CUDA

สภาวะเช่นนี้เรียกว่า Vendor Lock-in หรือการถูกผูกมัดกับผู้ขายรายเดียว การที่บริษัทอย่าง OpenAI จะเปลี่ยนไปใช้ฮาร์ดแวร์ของคู่แข่ง จึงไม่ใช่แค่การสลับการ์ดจอ แต่มันคือการต้องรื้อระบบซอฟต์แวร์ที่สร้างมานานหลายปี ซึ่งเป็นเรื่องที่เสี่ยงและมีค่าใช้จ่ายมหาศาล

คูเมืองซอฟต์แวร์ที่ลึกและกว้างใหญ่นี้เอง คือป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดของ Nvidia ทำให้ดูเหมือนว่าอาณาจักรแห่งนี้จะไร้เทียมทาน แต่ในทุกเรื่องราวของยักษ์ใหญ่ผู้ไร้พ่าย มันมักจะมีผู้กล้าที่ลุกขึ้นมาท้าทายเสมอ

และในเรื่องนี้ ผู้ท้าชิงคนนั้นก็คือคู่แข่งตลอดกาลอย่าง AMD

ถ้าพูดถึง AMD หลายคนอาจจะนึกถึงภาพของมวยรอง ที่ต้องต่อสู้กับยักษ์ใหญ่อยู่เสมอ ซึ่งเรื่องราวในอดีตก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดี

ย้อนกลับไปในยุคที่ Intel คือเจ้าแห่งตลาด CPU แบบเบ็ดเสร็จ AMD เคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ถึงขั้นเกือบล้มละลาย แต่พวกเขาก็ไม่เคยยอมแพ้

ภายใต้การนำของ CEO หญิงแกร่งอย่าง Dr. Lisa Su บริษัทได้เดิมพันครั้งใหญ่กับสถาปัตยกรรมที่ชื่อว่า Zen ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการ

การมาถึงของ CPU ตระกูล Ryzen และ EPYC ได้ทำลายการผูกขาดของ Intel ลงอย่างสิ้นเชิง ด้วยประสิทธิภาพที่เหนือกว่าในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า

เรื่องราวของดาวิดที่ล้มยักษ์โกไลแอธครั้งนั้น คือบทพิสูจน์ที่ทำให้ลูกค้ารายใหญ่อย่างเหล่า Hyperscalers เชื่อมั่นว่า AMD คือผู้ท้าชิงตัวจริง

และวันนี้ AMD ก็กำลังบอกกับโลกอีกครั้งว่า พวกเขาจะทำมันอีกครั้ง แต่ในสมรภูมิที่ใหญ่และสำคัญกว่าเดิมหลายเท่าตัว

อาวุธที่ AMD จะใช้ในสงครามครั้งนี้คือชิป AI รุ่นใหม่ที่ชื่อว่า Instinct MI400 แต่กลยุทธ์ของพวกเขาไม่ใช่การสร้างชิปที่แรงกว่าในทุกมิติ แต่เป็นการโจมตีไปที่จุดอ่อน หรือคอขวดที่สำคัญที่สุดของการประมวลผล AI

จุดอ่อนที่ว่านั้นก็คือ “หน่วยความจำ” หรือ Memory

ลองนึกภาพตามนะครับว่า โมเดล AI ขนาดใหญ่ก็เหมือนสารานุกรมชุดมหึมา พลังของ GPU คือคนอ่านที่ต้องประมวลผลข้อมูลให้เร็วที่สุด ส่วนหน่วยความจำ (HBM) ก็เปรียบเสมือนขนาดของโต๊ะที่เราใช้วางสารานุกรม

ถ้าโต๊ะมีขนาดเล็กเกินไป คนอ่านก็จะต้องเสียเวลาลุกไปหยิบสารานุกรมเล่มอื่นมาสลับไปมาอยู่ตลอดเวลา ทำให้การทำงานช้าลงอย่างมาก

นี่คือจุดที่ AMD กำลังเดิมพัน ชิป Blackwell B200 ของ Nvidia ในปัจจุบัน เปรียบเสมือนมีโต๊ะขนาด 192 GB แต่มีการคาดการณ์ว่า MI400 ของ AMD จะมีโต๊ะที่ใหญ่ถึง 432 GB ซึ่งใหญ่กว่ากันเกินเท่าตัว

ความแตกต่างนี้มีความหมายอย่างยิ่งยวด เพราะโมเดล AI ในอนาคตจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ การมีหน่วยความจำที่ใหญ่กว่า จะช่วยขจัดปัญหาคอขวดและเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมหาศาล

แน่นอนว่าฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลังอย่างเดียวยังไม่พอ เพราะคำถามสำคัญคือ แล้วจะข้ามคูเมือง CUDA ไปได้อย่างไร?

คำตอบของ AMD คือซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า ROCm และหมัดเด็ดที่สำคัญที่สุดของมันก็คือการเป็น “โอเพนซอร์ส”

การเป็นโอเพนซอร์สหมายความว่า ลูกค้าอย่าง Microsoft หรือ Google สามารถเข้าไปดูโค้ด ปรับแต่ง และร่วมพัฒนาให้เข้ากับความต้องการของตัวเองได้ มันเปลี่ยนสถานะจาก “ลูกค้า” ให้กลายเป็น “พันธมิตร”

แน่นอนว่า ROCm ในวันนี้ยังไม่สมบูรณ์เท่า CUDA แต่ AMD ก็รู้ดีว่าพวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง

ตอนนี้ได้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “แนวร่วมต่อต้าน Nvidia” ขึ้นมาแล้วอย่างเงียบๆ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Oracle และ Meta ต่างก็เริ่มนำชิปของ AMD ไปใช้งานในศูนย์ข้อมูลของตนเองเป็นจำนวนมาก

ที่น่าสนใจที่สุดคือ แม้แต่ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ก็ยังให้ข้อมูลเพื่อช่วย AMD ในการออกแบบชิปรุ่นต่อไปด้วยซ้ำ

นี่จึงไม่ใช่แค่สงครามระหว่าง AMD กับ Nvidia อีกต่อไป แต่มันคือการต่อสู้ของ “คนอื่นๆ ทั้งหมด ปะทะ Nvidia” เพราะทุกคนต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันในการทำลายการผูกขาด และสร้างตลาดที่มีการแข่งขันขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม การจะโค่นแชมป์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องไม่ลืมว่า AMD เคยพยายามต่อสู้กับ Nvidia ในตลาดการ์ดจอสำหรับเล่นเกมมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถชิงส่วนแบ่งตลาดมาได้อย่างยั่งยืน

แต่ครั้งนี้อาจจะแตกต่างออกไป เพราะลูกค้าในตลาดศูนย์ข้อมูลนั้นต่างจากเกมเมอร์ทั่วไป การตัดสินใจของพวกเขาไม่ได้มาจากความภักดีต่อแบรนด์ แต่อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลล้วนๆ นั่นคือการบริหารความเสี่ยง, ต้นทุนรวม และอำนาจต่อรอง

เมื่อมองไปที่ตัวเลขรายได้ เราจะเห็นช่องว่างที่ห่างกันราวฟ้ากับเหว รายได้จากศูนย์ข้อมูลของ Nvidia อยู่ที่ 41,100 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ของ AMD อยู่ที่ 3,200 ล้านดอลลาร์

เป้าหมายของ AMD ในวันนี้จึงอาจไม่ใช่การโค่นล้มเพื่อเป็นเบอร์หนึ่งในทันที แต่คือการชิงส่วนแบ่งตลาดมาให้ได้สัก 15-20% ภายในปี 2026

ซึ่งหากทำได้สำเร็จ มันก็จะถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ และเป็นการประกาศว่ายุคแห่งการผูกขาดได้จบลงแล้ว

แต่ความท้าทายสุดท้ายที่น่ากลัวที่สุดสำหรับ AMD อาจไม่ใช่คู่แข่งหรือเทคโนโลยี แต่มันคือ “เวลา”

ตอนนี้คือช่วงเวลาสำคัญที่บริษัททั่วโลกกำลังทุ่มเงินมหาศาลเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI การตัดสินใจที่เกิดขึ้นในวันนี้ จะเป็นการวางรากฐานไปอีกนับสิบปีข้างหน้า

ทุกไตรมาสที่ซอฟต์แวร์ของ AMD ยังไม่พร้อมเต็มร้อย ก็คือช่วงเวลาที่ Nvidia สามารถขยายคูเมือง CUDA ของตัวเองให้ลึกและกว้างออกไปอีก ทำให้การทลายกำแพงในอนาคตเป็นเรื่องที่ยากขึ้นเป็นทวีคูณ

นี่คือการแข่งขันกับเวลาที่เดิมพันสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ AMD

เรื่องราวทั้งหมดนี้จึงไม่ใช่แค่การต่อสู้ระหว่างบริษัทสองแห่ง แต่มันคือการต่อสู้ระหว่างสองปรัชญาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ฝ่ายหนึ่งคืออาณาจักรแบบปิดที่ควบคุมทุกอย่างด้วยระบบนิเวศของตัวเอง นำโดย Nvidia และอีกฝ่ายคือแนวร่วมพันธมิตรแบบเปิดที่เชื่อในพลังของทางเลือกและการแข่งขัน นำโดย AMD

ผลลัพธ์ของสงครามครั้งนี้ จะเป็นตัวกำหนดทิศทางและสถาปัตยกรรมของโลก AI ในอีกหลายสิบปีข้างหน้า และไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ การมีอยู่ของผู้ท้าชิงที่สมน้ำสมเนื้อ อาจเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับพวกเราทุกคนนั่นเองครับผม

References : [semianalysis, anandtech, techcrunch, bloomberg, wccftech]

Geek Daily EP336 : จุดจบ EA? ดีล 1.8 ล้านล้านบาท ที่อาจทำลายบริษัทเกมในตำนาน

ถ้าพูดถึงบริษัทเกมที่เราทั้งรักและเกลียดในเวลาเดียวกัน ผมเชื่อว่าชื่อของ Electronic Arts หรือ EA ต้องโผล่ขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ ในใจของใครหลายคน

บริษัทนี้คือยักษ์ใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังเกมระดับตำนานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกมฟุตบอลที่คนทั้งโลกต้องเล่นอย่าง FIFA ที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น EA Sports FC, เกมอเมริกันฟุตบอล Madden NFL, เกมจำลองชีวิตอย่าง The Sims หรือเกมสงครามสุดมันส์อย่าง Battlefield

EA คือเครื่องจักรผลิตเงินสดที่ทำรายได้มหาศาลในแต่ละปี แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นบริษัทที่ถูกเกมเมอร์ทั่วโลกวิจารณ์อย่างหนักหน่วงในเรื่องการตลาด, ระบบ Microtransactions หรือการซื้อของในเกม และการเข้าซื้อสตูดิโออื่นแล้วปิดตัวลงในภายหลัง

แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าบริษัทที่ทั้งยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยรอยแผลนี้ กำลังจะถูกซื้อกิจการไปด้วยเงินก้อนมหึมาถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท ให้กับกลุ่มทุนที่มีชื่อของ “ซาอุดีอาระเบีย” เข้ามาเกี่ยวข้อง

วันนี้ เราจะมาเจาะลึกเรื่องราวเบื้องหลังข่าวลือสะเทือนวงการนี้กัน ว่าทำไมยักษ์ใหญ่อย่าง EA ถึงมาถึงจุดที่อาจจะถูกขาย และดีลครั้งประวัติศาสตร์นี้ อาจจะเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมเกมไปตลอดกาลได้อย่างไร

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/54x7rtx8

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2x7kma36

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2rwf26rw

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/huSOxHnUryQ

จบยุค Magnificent 7? หุ้น 7 นางฟ้าที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ใครรอด ใครร่วง ในสงคราม AI

ถ้าเราย้อนกลับไปในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คงไม่มีกลุ่มหุ้นไหนที่จะโดดเด่นและทรงอิทธิพลไปกว่า “Magnificent Seven” อีกแล้ว

ชื่อของ Nvidia, Microsoft, Apple, Alphabet, Amazon, Meta และ Tesla กลายเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความสำเร็จ บริษัทเหล่านี้ไม่ต่างจากทีมรวมดาราที่พานักลงทุนทั่วโลกทะยานไปสู่ผลตอบแทนที่น่าทึ่ง

หุ้น 7 นางฟ้ากลุ่มนี้ คือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร้อนแรง พวกเขาคือผู้ชนะจากเกมเทคโนโลยีในทุกยุคสมัย ตั้งแต่สมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ต ไปจนถึงอีคอมเมิร์ซ

และเมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI อย่างเต็มตัวหลังการมาถึงของ ChatGPT กลุ่ม Magnificent Seven ก็ดูเหมือนจะเป็นผู้ที่คว้าโอกาสนี้ไว้ได้ก่อนใคร

ภาพลักษณ์ของพวกเขาแข็งแกร่งเสียจนกลายเป็นสูตรสำเร็จการลงทุนที่ว่า หากอยากเติบโตไปกับเทรนด์ AI แห่งอนาคต การมีหุ้นกลุ่มนี้ไว้ในพอร์ตคือคำตอบที่ง่ายที่สุด

แต่มันง่ายแบบนั้นจริงหรือ?

เรื่องราวแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์การลงทุน หากเรามองย้อนกลับไปในยุค 1970 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคยมีกลุ่มหุ้นที่ถูกเรียกว่า “Nifty Fifty”

หุ้น 50 ตัวนี้ถูกมองว่าเป็นบริษัทชั้นยอดที่ไม่มีวันล้มเหลว เป็นหุ้นที่ “ซื้อแล้วถือลืม” ได้เลย แต่แล้ววิกฤตเศรษฐกิจก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่มีอะไรที่แน่นอนตลอดไป

วันนี้ ประวัติศาสตร์อาจจะกำลังส่งสัญญาณเตือนเราอีกครั้ง ผ่านรอยร้าวที่เริ่มปรากฏให้เห็นในกลุ่ม Magnificent Seven

เพราะเมื่อเรามองลึกลงไปในผลงานของแต่ละบริษัท เราจะพบความจริงที่น่าประหลาดใจว่า… พวกเขาไม่ได้เดินไปในทิศทางเดียวกันอีกต่อไป

เรื่องของเรื่องคือ ทีมรวมดาราที่เคยเล่นกันอย่างเข้าขา กำลังเริ่มแยกกันเดินอย่างชัดเจน เหมือนมีผู้เล่นบางคนยังคงวิ่งไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลัง ในขณะที่บางคนเริ่มหมดแรงหรือเปลี่ยนเส้นทางไป

คำถามที่น่าสนใจจึงเกิดขึ้นว่า เกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มหุ้นที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก? และนี่คือจุดสิ้นสุดของยุค Magnificent Seven แล้วใช่หรือไม่?

หากเราแบ่งทีม Magnificent Seven ออกเป็นสองกลุ่ม เราจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นอย่างมาก

กลุ่มแรกคือสี่จตุรเทพที่ยังคงควบทะยานไปในโลกของ AI อย่างไม่หยุดยั้ง นั่นคือ Nvidia, Microsoft, Alphabet และ Meta

Nvidia คือราชาที่ไม่มีใครเทียบได้ในสมรภูมินี้ พวกเขาเปรียบเสมือน “คนขายพลั่วในยุคตื่นทอง” ไม่ว่าใครอยากจะขุดหาทองคำ (สร้าง AI) ก็ต้องมาซื้อพลั่ว (ชิป GPU) จากพวกเขา

ความแข็งแกร่งของ Nvidia ไม่ได้อยู่แค่ฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลัง แต่ยังรวมถึงระบบนิเวศซอฟต์แวร์อย่าง CUDA ที่มัดใจนักพัฒนาทั่วโลกไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

ถัดมาคือ Microsoft ยักษ์ใหญ่ผู้สุขุมที่เดินเกมได้อย่างชาญฉลาด การตัดสินใจเข้าไปลงทุนใน OpenAI ตั้งแต่ช่วงแรกๆ คือการเดิมพันครั้งประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าบริษัทไปตลอดกาล

พวกเขาไม่เพียงแค่นำเทคโนโลยี AI มาต่อยอด แต่ยังผนวกรวมมันเข้ากับผลิตภัณฑ์เกือบทุกอย่างภายใต้ชื่อ Copilot และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นรายได้มหาศาลจากลูกค้าองค์กรได้ทันที

ส่วน Alphabet หรือ Google ที่เรารู้จัก เปรียบเหมือนยักษ์ใหญ่ที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล หลายคนอาจไม่รู้ว่าเทคโนโลยีพื้นฐานของ AI ส่วนใหญ่ ก็มาจากทีมวิจัยของ Google เอง

วันนี้ พวกเขาตื่นเต็มตัวแล้ว พร้อมด้วยโมเดล AI อย่าง Gemini และขุมทรัพย์ข้อมูลมหาศาลที่ไม่มีใครเทียบได้ นี่คือมวยรุ่นยักษ์ที่หากตั้งหลักติดเมื่อไหร่ ก็น่ากลัวที่สุดในสนามรบนี้

และสุดท้ายคือ Meta ที่หลายคนอาจมองข้ามไปเพราะเรื่อง Metaverse แต่แท้จริงแล้วพวกเขาคือผู้เล่นตัวจริงในวงการ AI การเปิดตัวโมเดลภาษาแบบ Open-source อย่าง Llama ถือเป็นการท้าชนเจ้าตลาดโดยตรง และธุรกิจโฆษณาทั้งหมดของพวกเขาก็ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ซับซ้อน

ในอีกฟากหนึ่ง เรามีอีกสามบริษัทที่เหลืออย่าง Apple, Amazon และ Tesla ที่ถึงแม้จะยังคงเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ แต่เส้นทางในโลก AI ของพวกเขากลับดูท้าทายกว่าอย่างเห็นได้ชัด

Apple คือบริษัทที่เคลื่อนตัวอย่างระมัดระวังและรอบคอบเสมอ พวกเขาไม่ได้กระโจนเข้าสู่สงคราม Generative AI อย่างเต็มตัวในทันที แต่เลือกที่จะใช้เวลาสร้างสรรค์ AI ในแบบฉบับของตัวเอง

Apple Intelligence ที่เพิ่งเปิดตัว คือคำตอบของพวกเขา มันอาจไม่ใช่ AI ที่หวือหวาที่สุด แต่มันคือ AI ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและผสานเข้ากับชีวิตประจำวันของผู้คนได้อย่างแนบเนียนที่สุด แต่ตลาดก็ยังคงตั้งคำถามว่า กลยุทธ์นี้จะทันการณ์หรือไม่

ส่วน Amazon ราชาแห่งโลกคลาวด์ แม้ธุรกิจ AWS ของพวกเขาจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญให้กับบริษัท AI ทั่วโลก แต่ในภาพรวมทั้งบริษัท เสน่ห์ในฐานะ “หุ้น AI” กลับดูจืดจางลงไปเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

และ Tesla คือนักฝันผู้ยิ่งใหญ่ที่เดิมพันกับอนาคตที่ไกลกว่า ทั้งโครงการรถยนต์ไร้คนขับเต็มรูปแบบ และหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ Optimus ล้วนเป็นโปรเจกต์ AI ขนาดยักษ์

แต่ทั้งหมดนี้คือการเดิมพันระยะยาวที่ต้องใช้เวลาพิสูจน์ ในขณะที่นักลงทุนในวันนี้ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้มากกว่า

การแยกทางกันเดินของหุ้นทั้ง 7 ตัวนี้ คือสัญญาณที่ชัดเจนว่า ตลาดได้เปลี่ยนไปแล้ว

การลงทุนใน AI ไม่ใช่แค่การซื้อหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ตัวไหนก็ได้อีกต่อไป แต่มันคือเกมที่ซับซ้อนและมีผู้เล่นหน้าใหม่ก้าวเข้ามาท้าชิงตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา

นี่คือจุดที่ทำให้แนวคิดอย่าง “Great Eight” หรือ “Golden Dozen” เริ่มเข้ามามีความสำคัญ

ชื่อเหล่านี้คือความพยายามที่จะนิยามกลุ่มผู้นำในยุค AI ใหม่ โดยรวมเอาบริษัทอื่นๆ ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบนิเวศเข้ามาด้วย

บริษัทอย่าง Broadcom คือตัวอย่างที่ยอดเยี่ยม พวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบชิปสั่งทำพิเศษ (ASICs) ที่เป็นหัวใจสำคัญให้กับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ต้องการสร้างชิป AI ของตัวเอง

หรือ Oracle บริษัทเทคโนโลยีดั้งเดิมที่กำลังกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์สำหรับ AI ที่เติบโตเร็วที่สุดรายหนึ่งของโลก

และ Palantir Technologies บริษัทซอฟต์แวร์ลึกลับที่ทำงานร่วมกับภาครัฐและองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนด้วย AI ซึ่งเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีมูลค่ามหาศาล

ภาพที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่การต่อสู้ของยักษ์ใหญ่เพียง 7 ตัวอีกต่อไป แต่คือการก่อร่างสร้างตัวของ “เศรษฐกิจ AI” ทั้งระบบ ที่มีผู้เล่นมากมายในหลากหลายบทบาท

เมื่อเราเข้าใจภาพนี้ เราจะพบว่าวิธีคิดเกี่ยวกับการลงทุนใน AI จะต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

เราอาจจะลองมองระบบนิเวศของ AI นี้เป็นเหมือนพีระมิดขนาดใหญ่ ที่แบ่งออกเป็นชั้นต่างๆ

ชั้นล่างสุด คือกลุ่ม “คนขายพลั่ว” หรือผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ที่เป็นรากฐานของทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็น Nvidia, Broadcom หรือ AMD หากไม่มีชิปของพวกเขา ก็ไม่มี AI เกิดขึ้น

ชั้นถัดขึ้นมา คือกลุ่ม “สมองบนคลาวด์” ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานอย่าง Microsoft Azure, Google Cloud และ Amazon AWS ที่ลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างบ้านให้กับ AI

ชั้นที่สาม คือกลุ่ม “ผู้สร้างโมเดล” บริษัทอย่าง OpenAI, Google และ Meta คือผู้ที่สร้างสติปัญญาหรือ “สมอง” ของ AI ขึ้นมา

และชั้นบนสุด คือกลุ่ม “ผู้เชี่ยวชาญด้านแอปพลิเคชัน” ที่นำสมอง AI จากชั้นล่างมาสร้างเป็นบริการที่ใช้งานได้จริง เช่น Palantir หรือ Adobe

กรอบความคิดแบบพีระมิดนี้ ช่วยให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนว่า ชัยชนะในเกม AI ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้เล่นในชั้นใดชั้นหนึ่ง แต่ทุกชั้นล้วนต้องพึ่งพากันและกัน

ดังนั้น การสิ้นสุดของยุค Magnificent Seven จึงไม่ใช่ข่าวร้าย แต่มันคือสัญญาณของการเติบโตและวิวัฒนาการไปสู่ขั้นต่อไป

คำถามสำหรับนักลงทุนในวันนี้ จึงไม่ใช่แค่ “ควรซื้อหุ้น Magnificent Seven ตัวไหนดี?”

แต่เป็นคำถามที่ลึกซึ้งกว่านั้นว่า “เราเชื่อมั่นในผู้เล่นที่อยู่ชั้นไหนของพีระมิด AI นี้มากที่สุด?”

บางคนอาจจะเชื่อในธุรกิจต้นน้ำอย่าง “คนขายพลั่ว” ที่ยังไงก็ขายของได้ ในขณะที่บางคนอาจจะมองว่าผู้ที่คุม “แพลตฟอร์มคลาวด์” คือผู้ชนะในระยะยาว

โลกของการลงทุนในทศวรรษหน้า จะไม่ใช่โลกของปลาใหญ่เพียงไม่กี่ตัวที่กินรวบทุกอย่างอีกต่อไป

แต่มันคือโลกของเครือข่ายบริษัทที่เชื่อมโยงถึงกัน เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์

นี่คือภูมิทัศน์ใหม่ที่ซับซ้อนขึ้น ท้าทายขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็เต็มไปด้วยโอกาสที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม สำหรับผู้ที่พร้อมจะศึกษาและทำความเข้าใจมันอย่างแท้จริงนั่นเองครับผม

References : [bloomberg, reuters, wsj, forbes, techcrunch]