Geek Story EP502 : “อากู๋ vs เฮียฮ้อ” สองกลยุทธ์ สองเส้นทาง ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ธุรกิจไทย

ถ้าพูดถึงการแข่งขันทางธุรกิจที่ “คลาสสิก” ที่สุดในประเทศไทย หลายคนอาจจะนึกถึง โค้ก กับ เป๊ปซี่… หรือในวงการค้าปลีก ก็อาจจะเป็น เซ็นทรัล กับ เดอะมอลล์ แต่ถ้าเราย้อนกลับไปในยุคที่วัยรุ่นยังฟังเพลงจาก “เทปคาสเซ็ท” มันมีการต่อสู้หนึ่ง ที่ไม่ได้เป็นแค่การแข่งกันทางธุรกิจ แต่มันคือการ “นิยาม” วัฒนธรรม Pop ของประเทศนี้มาตลอด 40 ปี การต่อสู้ที่แบ่งวัยรุ่นยุค 90 ออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน คุณคือ “เด็กแกรมมี่” หรือ “เด็กอาร์เอส”

นี่คือเรื่องราวของ GMM Grammy และ RS Promotionสองยักษ์ใหญ่ที่เริ่มต้นจาก “ตึกแถว” ในยุคไล่เลี่ยกัน แข่งขันกันอย่างดุเดือดบนสมรภูมิ “ล้านตลับ” จนกระทั่งวันหนึ่ง… โลกเปลี่ยนไป เทคโนโลยีที่ชื่อว่า “MP3” เข้ามาทำลายล้างธุรกิจเดิมจนเกือบหมด และบังคับให้ทั้งคู่ต้องเลือก “ทางรอด”

ที่น่าสนใจคือ… ทั้งคู่เลือกเดินคนละเส้นทางอย่างสิ้นเชิง จาก “คู่แข่ง” ที่ทำธุรกิจแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง วันนี้ พวกเขากลายเป็นคนละบริษัท ที่แทบไม่ได้แข่งขันกันเองอีกต่อไป

แต่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมคู่แข่งตลอดกาล ถึงเลิกแข่งกัน และอะไรคือบทเรียนทางธุรกิจที่ซ่อนอยู่ในการเดินทาง 4 ทศวรรษนี้ วันนี้ เราจะมา “เล่า” เรื่องนี้ให้ฟังครับ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yh3s7kdt

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/bdhrvapf

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/5sw9htp4

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/4Ut50cB86oU

Microsoft คือผู้ชนะตัวจริง? ถอดรหัสการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ สู่การถือหุ้น 27% ใน OpenAI

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่สั่นสะเทือนวงการเทคโนโลยี และอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่กำหนดอนาคตของ AI ไปอีกหลายสิบปีเลยทีเดียว

เมื่อบริษัทที่ร้อนแรงที่สุดในโลกตอนนี้อย่าง OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ที่พวกเราหลายคนใช้กันอยู่ทุกวัน

ล่าสุด OpenAI ได้ประกาศ “จัดบ้านใหม่” ครั้งใหญ่ หรือที่เรียกว่าการปรับโครงสร้างองค์กร และดีลที่ทำให้ทุกคนต้องหันมามองก็คือ การที่พวกเขาตกลงมอบหุ้นสัดส่วนถึง 27% ให้กับ Microsoft คิดเป็นมูลค่าราว 135 พันล้านดอลลาร์

เรื่องนี้มันเป็นยังไงมายังไง ทำไมบริษัทที่เริ่มต้นจากอุดมการณ์เพื่อมนุษยชาติ ถึงเดินมาถึงจุดนี้ได้

ถ้าเราจะเข้าใจเรื่องนี้ เราต้องย้อนเวลากลับไปที่จุดกำเนิดของ OpenAI ก่อน

OpenAI ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นบริษัทหาเงินนะครับ ในปี 2015 พวกเขาก่อตั้งขึ้นมาในฐานะ “องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร” หรือ nonprofit

ภารกิจของพวกเขาในวันนั้น ยิ่งใหญ่มากครับ นำทีมโดยคนอย่าง Sam Altman และ Elon Musk เป้าหมายของพวกเขาคือการสร้าง AGI หรือ Artificial General Intelligence

AGI พูดง่ายๆ ก็คือ AI ที่ฉลาดเทียบเท่า หรือ “เหนือกว่า” มนุษย์ในทุกด้าน พวกเขาตั้งใจจะสร้าง AGI ที่ปลอดภัย และมอบประโยชน์ให้กับมวลมนุษยชาติ โดยไม่ถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์ทางธุรกิจ

นี่คืออุดมการณ์ตั้งต้นที่สวยงามมาก แต่พวกเขาก็เจอกับความจริงที่โหดร้าย ความจริงที่ว่า… การสร้าง AI มัน “แพง” มหาศาล

การจะฝึกฝนโมเดล AI เก่งๆ มันต้องใช้พลังการประมวลผลที่เรียกว่า Compute มหาศาล ต้องใช้เงินทุนวิจัยที่สูงลิบลิ่ว ซึ่งเงินบริจาคในแบบ nonprofit มันไม่พอ

นั่นทำให้ OpenAI ต้องปรับตัวครั้งแรกในปี 2019

พวกเขาจึงสร้างบริษัทลูกที่เป็น “บริษัทแสวงหาผลกำไร” หรือ for-profit ขึ้นมา แต่เป็นการแสวงหาผลกำไรแบบมีเพดาน หรือที่เรียกว่า Capped-Profit

ไอเดียคือ ให้นักลงทุนเข้ามาใส่เงินได้ แต่ผลตอบแทนที่จะได้กลับไปจะถูกจำกัดไว้ เมื่อครบเพดานแล้ว กำไรที่เหลือจะไหลกลับไปที่องค์กรแม่ที่เป็น nonprofit

และนักลงทุนรายใหญ่ที่สุด ที่มองเห็นอนาคตนี้ และกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วยเม็ดเงินมหาศาล ก็คือ Microsoft นั่นเอง

Microsoft ทุ่มเงินสนับสนุน OpenAI ไปแล้วรวมๆ ราว 13.75 พันล้านดอลลาร์ แลกกับการได้สิทธิ์ในการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ของ OpenAI ก่อนใคร เอาไปต่อยอดในบริการคลาวด์อย่าง Azure และสร้างผลิตภัณฑ์อย่าง Copilot ที่เราเห็นกัน

โครงสร้างในตอนนั้น มันเลยค่อนข้างประหลาด คือมีองค์กรแม่ที่เป็น nonprofit คุมอุดมการณ์ และมีบริษัทลูกที่หาเงิน แบบจำกัดกำไร โดยมี Microsoft เป็นพี่เลี้ยงกระเป๋าหนัก

ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดี… จนกระทั่ง ChatGPT เปิดตัว และมันก็ “บูม” ครับ

OpenAI กลายเป็นบริษัทที่เนื้อหอมที่สุดในโลก และโครงสร้างที่ประหลาดนี้เอง ก็ได้สร้าง “ความไม่แน่นอน” ที่สำคัญขึ้นมา

ความไม่แน่นอนที่ว่านี้ ปะทุขึ้นจนกลายเป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2023

หลายคนคงจำเหตุการณ์ “ดราม่า” ช็อกโลกครั้งนั้นได้

จู่ๆ คณะกรรมการ หรือ Board ของ OpenAI ซึ่งเป็นฝั่ง nonprofit ก็ประกาศ “ไล่” Sam Altman CEO ของตัวเอง ออกจากตำแหน่ง

โลกงงเป็นไก่ตาแตกครับ ไล่คนที่กำลังพอบริษัทไปสู่จุดสูงสุดเนี่ยนะ

เหตุผลลึกๆ ที่วิเคราะห์กัน คือความขัดแย้งระหว่าง “ฝ่ายอุดมการณ์” ในบอร์ด ที่กลัวว่า AI จะอันตราย กับ “ฝ่ายธุรกิจ” ที่นำโดย Sam Altman ซึ่งกำลังเร่งพัฒนาและขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว

เรื่องมันพีคตรงที่ Microsoft ไม่รอช้าครับ

Satya Nadella CEO ของ Microsoft ประกาศทันทีว่า ยินดีต้อนรับ Sam Altman และทีมงาน มาเริ่มงานใหม่ที่ Microsoft

นี่คือการเดินเกมที่เหนือชั้นมากครับ

สถานการณ์ใน OpenAI ตอนนั้นเละเทะ พนักงานเกือบทั้งบริษัทขู่ว่าจะลาออกตาม Sam Altman

สุดท้าย บอร์ด nonprofit ต้องยอมแพ้ และ Sam Altman ก็กลับมาเป็น CEO ภายใน 5 วัน

เหตุการณ์ครั้งนั้น มันคือ “จุดแตกหัก” มันพิสูจน์ให้เห็นว่า โครงสร้างแบบเดิมที่ให้บอร์ด nonprofit มาคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ มันใช้การไม่ได้จริง มันไร้เสถียรภาพอย่างรุนแรง

และคนที่ “หนาว” ที่สุด ก็คือ Microsoft ครับ

ในฐานะผู้ที่เดิมพันอนาคต AI ของตัวเองไว้กับ OpenAI พวกเขาคงตระหนักได้ว่า พวกเขาไม่สามารถฝากอนาคตไว้กับองค์กรที่ “เปราะบาง” และเต็มไปด้วยความขัดแย้งภายในแบบนี้ได้อีกต่อไป

มันจึงนำมาสู่การเจรจาที่ตึงเครียด และใช้เวลาเกือบ 1 ปีเต็ม เพื่อ “รื้อ” และ “สร้าง” โครงสร้างใหม่ทั้งหมด

การเจรจาครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การคุยกันระหว่าง OpenAI กับ Microsoft แต่มันเป็นการต่อสู้ที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก

ลองนึกภาพว่า OpenAI ต้องเจอกับอะไรบ้าง

อย่างแรก คือการเจรจากับ Microsoft เอง ซึ่ง Bloomberg รายงานว่า เป็นผู้คัดค้านรายใหญ่ที่สุด

นั่นเพราะพวกเขามีส่วนได้ส่วนเสียมากที่สุด ด้วยเงินลงทุนมหาศาล พวกเขาต้องมั่นใจว่าโครงสร้างใหม่นี้ “คุ้มค่า” และ “มีเสถียรภาพ”

อย่างที่สอง คือการต่อสู้ทางกฎหมาย

การจะเปลี่ยนสถานะจากกึ่ง nonprofit ไปเป็น for-profit เต็มตัว มันทำกันง่ายๆ ไม่ได้ เพราะสินทรัพย์ของ nonprofit โดยหลักการแล้วถือเป็น “ของสาธารณะ”

เรื่องนี้ร้อนถึงอัยการสูงสุด หรือ State Attorneys General ของรัฐ Delaware และ California ต้องเข้ามาตรวจสอบอย่างเข้มข้น

Kathy Jennings อัยการสูงสุดของ Delaware บอกว่านี่เป็นการเจรจาที่ยาวนานและเข้มข้น พวกเขา ทั้ง Delaware และ California ได้กดดันให้ OpenAI ต้องให้คำมั่นสัญญาว่าโครงสร้างใหม่นี้ จะต้องให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัย

และ Rob Bonta อัยการสูงสุดของ California ก็ย้ำว่า พวกเขาได้ “ข้อผ่อนปรน” ที่รับประกันว่าสินทรัพย์เพื่อการกุศล จะถูกใช้ตามวัตถสงค์เดิม

พูดง่ายๆ คือ รัฐบาลจับตามองอยู่ครับ ว่าอุดมการณ์เดิมจะต้องไม่ถูกลบล้างไปจนหมด

อย่างที่สาม คือแรงกดดันจากภายนอก

ยังมีคดีความที่ค้างคาอยู่ จาก Elon Musk หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ที่ฟ้องร้องว่า OpenAI “ทรยศ” ต่อภารกิจดั้งเดิม

ทั้งหมดนี้คือแรงบีบมหาศาล ที่ทำให้ OpenAI ต้องหาทางออกที่ลงตัวที่สุดสำหรับทุกฝ่าย

และในที่สุด… บทสรุปก็ออกมาครับ

การปรับโครงสร้างครั้งประวัติศาสตร์นี้ ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว

Bret Taylor ประธานกรรมการ ของ OpenAI กล่าวว่า การปรับโครงสร้างทางการเงิน หรือ recapitalization นี้ ทำให้โครงสร้างองค์กรเรียบง่ายขึ้น

แล้วโครงสร้างใหม่หน้าตาเป็นยังไง?

OpenAI จะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักครับ

ส่วนแรก คือ “OpenAI Foundation” นี่คือองค์กร “ไม่แสวงหาผลกำไร” ตัวแม่ ที่จะยังคง “ควบคุม” องค์กรลูก

ส่วนที่สอง คือ “OpenAI Group PBC” นี่คือหน่วยงาน “แสวงหาผลกำไร” ตัวใหม่ ที่จะดำเนินธุรกิจทั้งหมด

สังเกตคำว่า PBC นะครับ มันย่อมาจาก Public Benefit Corporation

นี่คือรูปแบบบริษัทที่น่าสนใจมากในอเมริกา

มันคือบริษัทที่หากำไรได้เหมือนบริษัททั่วไป แต่ในทางกฎหมาย พวกเขามีพันธะที่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ต่อสาธารณะด้วย ไม่ใช่แค่แสวงหากำไรสูงสุดให้ผู้ถือหุ้น

นี่คือ “การประนีประนอม” ครั้งใหญ่ครับ

คือการบอกว่า ฉันจะเป็น for-profit แล้ว แต่ฉันยังมีคำว่า “ประโยชน์สาธารณะ” ค้ำคออยู่

ทีนี้… มาถึงคำถามสำคัญครับ แล้ว Microsoft ได้อะไรจากดีลนี้? นี่คือส่วนที่ต้องจับตาครับ

หนึ่ง Microsoft ได้รับหุ้น 27% ใน OpenAI Group PBC ถ้าอิงจากมูลค่าประเมินล่าสุดของ OpenAI ที่ราว 500 พันล้านดอลลาร์ หุ้น 27% นี้ จะมีมูลค่าสูงถึง 135 พันล้านดอลลาร์

นี่คือการเปลี่ยนสถานะจาก “ผู้สนับสนุน” มาเป็น “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” อย่างเป็นทางการ

สอง Microsoft ได้สิทธิ์ในการเข้าถึงเทคโนโลยีของ OpenAI ไปจนถึงปี 2032 นี่อาจจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้

Anurag Rana นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence ชี้ว่า นี่คือหัวใจของดีลเพราะมันหมายความว่า Microsoft จะได้สิทธิ์ใช้โมเดลและทรัพย์สินทางปัญญาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น GPT รุ่นใหม่ๆ หรือแม้กระทั่ง… AGI ถ้ามันเกิดขึ้นจริงภายในปี 2032

นี่คือการล็อกความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Google หรือ Amazon ไปอีกเกือบทศวรรษ

สาม Microsoft ยังคงได้ส่วนแบ่งรายได้ 20% จาก OpenAI แต่มันมี “ดอกจันตัวโตๆ” ที่น่าสนใจมาก

ข้อตกลงนี้ระบุว่า Microsoft จะได้ส่วนแบ่งรายได้ 20% นี้… จนกว่าจะมี “คณะผู้เชี่ยวชาญอิสระ” หรือ independent expert panel มาตรวจสอบและรับรองว่า OpenAI ได้บรรลุการสร้าง AGI แล้ว

เมื่อถึงจุดที่ AGI เกิดขึ้นจริง… สิทธิ์ในการรับส่วนแบ่งรายได้ 20% ของ Microsoft จะสิ้นสุดลง

นี่คือเงื่อนไขที่ซับซ้อนและน่าทึ่งมากครับ

มันเหมือนเป็นการบอกว่า Microsoft สามารถทำเงินได้มหาศาลในช่วงระหว่างทางของการพัฒนา

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เป้าหมายสูงสุด คือ AGI ถือกำเนิดขึ้น เทคโนโลยีที่ทรงพลังที่สุดนั้น จะไม่ถูกผูกขาดด้วยผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ของ Microsoft อีกต่อไป

นี่อาจจะเป็นการพยายามรักษาสมดุลระหว่าง “ทุนนิยม” กับ “อุดมการณ์” ดั้งเดิมของ OpenAI

แล้วฝั่งองค์กรแม่ คือ OpenAI Foundation ได้อะไร?

Foundation ที่เป็น nonprofit จะได้รับหุ้น 26% ในบริษัทลูก ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลราว 130 พันล้านดอลลาร์

คำถามคือ จะเอาเงินนี้ไปทำอะไร?

Sam Altman CEO ของ OpenAI ประกาศชัดเจนครับ เขาหวังว่านี่จะเป็น “องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา”

เงินก้อนนี้จะถูกนำไปใช้ใน 2 ภารกิจแรก คือ

หนึ่ง สนับสนุนงานวิจัยเพื่อ “เร่งการค้นพบครั้งสำคัญด้านสุขภาพ” สอง ทำงานร่วมกับองค์กรอื่นเพื่อจัดการ “ความเสี่ยงรุนแรงจาก AI” เช่น การสร้างอาวุธชีวภาพ หรือปัญหาการว่างงานจากการถูกแทนที่ด้วย AI

ส่วน Sam Altman เองล่ะ?

OpenAI ยืนยันครับว่า Sam Altman “ไม่ได้รับหุ้นใดๆ” ในบริษัทที่ปรับโครงสร้างใหม่นี้เลย นี่อาจจะเป็นการแสดงจุดยืนที่สำคัญ เพื่อตอกย้ำว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่ความร่ำรวยส่วนตัว แต่คือภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น

ข่าวนี้ส่งผลยังไงต่อตลาด?

ทันทีที่ข่าวออก หุ้น Microsoft พุ่งขึ้นถึง 4.2% นักลงทุนใน Wall Street ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับ OpenAI ถือเป็นความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สำคัญที่สุดของ Microsoft มาตลอด

การปรับโครงสร้างครั้งนี้ มันคือการขจัดความไม่แน่นอนนั้นออกไปจนหมด

สำหรับ OpenAI นี่คือการปูทางไปสู่การ IPO หรือการเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต แม้ Sam Altman จะบอกว่ายังไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็ตาม

เรื่องราวทั้งหมดนี้ คือบทสรุปของการเดินทางครั้งสำคัญ มันคือการสิ้นสุดยุคของ OpenAI ในฐานะ “ห้องแล็บวิจัยในอุดมคติ” และเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ ในฐานะ “ยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจ” ที่ชื่อ OpenAI Group PBC

บริษัทที่ต้องทำกำไร แต่ก็ยังมี “จิตสำนึก” ของ nonprofit คอยกำกับอยู่ห่างๆ โดยมี Microsoft เป็นทั้ง “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” และ “พันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุด”

นี่คือการสิ้นสุดของบทที่หนึ่ง และการเริ่มต้นของบทที่สอง ของมหากาพย์ AI ที่ชื่อ OpenAI… บทที่โลกแห่งทุนนิยม และอุดมการณ์ ต้องหาทางอยู่ร่วมกันให้ได้นั่นเองครับผม

References : [bloomberg,openai,microsoft,techcrunch,reuters]

โรงเรียนอินเตอร์จะถูก Disrupted? เมื่อ Alpha School ใช้ AI สอน จบหลักสูตรใน 2 ชั่วโมง

เคยสังเกตไหมครับว่า โลกในศตวรรษที่ 21 เปลี่ยนแปลงไปไกลแค่ไหน เรามี AI ขับรถยนต์อัตโนมัติ เราคุยกันข้ามโลกแบบเห็นหน้า แต่อย่างหนึ่ง ที่มันแทบไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คือ “โรงเรียน”

ลองหลับตานึกถึงห้องเรียนเมื่อ 100 ปีก่อน มีครูยืนอยู่หน้าห้อง มีกระดานดำ มีนักเรียนนั่งเป็นแถว ทุกคนเรียนวิชาเดียวกัน ด้วยความเร็วเท่ากัน เมื่อระฆังดัง ก็ลุกขึ้นย้ายไปเรียนวิชาถัดไป

ทีนี้ ลืมตาขึ้นมาดูห้องเรียนในปัจจุบัน มันก็ยังคงเป็นภาพเดิม อาจจะเปลี่ยนจากกระดานดำ เป็น Whiteboard หรือ Smart TV แต่สิ่งที่เปรียบเสมือน “ระบบปฏิบัติการ” หรือ Operating System ของการเรียนมันก็ยังคงเป็นแบบเดิม

นี่คือโมเดลที่เรียกว่า “Factory Model” หรือ โมเดลโรงงานอุตสาหกรรม มันถูกออกแบบมาในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เป้าหมายของมันชัดเจนมาก นั่นคือการผลิต “ผลผลิต” หรือแรงงาน ที่มีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อป้อนเข้าสู่ระบบโรงงาน

โมเดลนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อ “ค่าเฉลี่ย” มันไม่สนใจว่าคุณเก่งหรืออ่อน เด็กที่เก่งมาก ก็ต้องนั่งรอเพื่อนที่เรียนช้ากว่า แล้วก็เริ่มเบื่อ ส่วนเด็กที่เรียนช้าหน่อย ก็ตามไม่ทัน แล้วก็เริ่มท้อ สุดท้าย ก็จะเหลือแค่เด็ก “กลางๆ” ที่ไปต่อได้

นี่คือปัญหาที่เรารู้กันมานาน แต่กลับไม่มีใครแก้ได้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในตลาดโรงเรียนระดับบน อย่าง โรงเรียนนานาชาติ ผู้ปกครองยอมจ่ายเงินปีละหลายแสน หรืออาจจะแตะหลักล้าน เพื่อแลกกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีกว่า ครูต่างชาติ และคอนเนคชัน แต่ถ้าเรามองลึกเข้าไปที่ “แก่น” ของการเรียน มันก็ยังคงเป็นโมเดลโรงงานแบบเดิม

เรื่องราวทั้งหมดนี้ อาจจะยังเหมือนเดิมไปอีก 100 ปี ถ้าหากไม่มีผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชื่อ MacKenzie Price เธอคือบัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Stanford และที่สำคัญที่สุด… เธอเป็น “แม่”

MacKenzie Price พบปัญหาที่เจ็บปวดมาก นั่นคือ “ลูกๆ ของเธอเกลียดโรงเรียน” ลูกๆ บอกว่าโรงเรียนมันน่าเบื่อ เธอพยายามหาโรงเรียนที่ดีที่สุดให้ลูก แต่ไม่ว่าจะไปเยี่ยมชมกี่แห่ง มันก็คือ “โมเดลเดิม” ที่อยู่ในเปลือกที่ต่างกัน

ในฐานะแม่ เธอทนไม่ได้ เธอรู้สึกว่ามันต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้ นี่คือโลกยุคที่ AI ทำอะไรได้สารพัด ทำไมการศึกษาของเรายังติดอยู่ในอดีต จุดเริ่มต้นเล็กๆ ของแม่คนหนึ่ง ที่อยากแก้ปัญหาให้ลูก กำลังจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “การปฏิวัติ” ที่จะเข้ามาท้าทายอุตสาหกรรมการศึกษาทั่วโลก นี่คือเรื่องราวของ Alpha School

ในปี 2014, MacKenzie Price ตัดสินใจว่า “ถ้าหาโรงเรียนที่ใช่ไม่ได้ ก็สร้างมันขึ้นมาเอง” เธอเริ่มต้นด้วยการไปร่วมมือกับเครือข่ายโรงเรียนทางเลือกเล็กๆ ที่ชื่อว่า Acton Academy

แนวคิดของ Acton Academy ก็น่าสนใจอยู่แล้ว เน้นการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริง เน้นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง หรือ Self-paced learning มันดีกว่าโมเดลโรงงานแบบเดิมๆ… แต่มันก็ยังไม่ “สุด”

มันเหมือนกับคุณพยายามจะสร้างรถยนต์ไฟฟ้า แต่คุณยังไม่มีแบตเตอรี่ Lithium-ion ที่ดีพอ สิ่งที่คุณได้ ก็อาจจะเป็นแค่รถกอล์ฟ ไม่ใช่ Tesla

สิ่งที่ MacKenzie Price ขาดไป กำลังจะมาในรูปแบบของ “มหาเศรษฐี” ด้านเทคโนโลยี ชายคนนี้ชื่อ Joe Liemandt เขาคือผู้ก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์ Trilogy Software และ ESW Capital เขาเป็นอัจฉริยะด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เป็นคนที่มองทุกอย่างเป็น “ระบบ”

เมื่อ Joe Liemandt มองไปที่ “ระบบการศึกษา” สิ่งที่เขาเห็น ไม่ใช่ความสวยงามของการเรียนรู้ แต่เขาเห็น “ความไร้ประสิทธิภาพ” ครั้งมโหฬาร เขาเห็น “คอขวด” ที่ใหญ่ที่สุด

คอขวดนั้น คือ “ครูหนึ่งคน” ที่ต้องพยายามถ่ายทอดความรู้ให้ “นักเรียน 30 คน” มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่ครูจะรู้ว่าเด็กแต่ละคน เข้าใจตรงไหน หรือ ไม่เข้าใจตรงไหน ในเวลาเดียวกัน

Joe Liemandt มองว่าปัญหานี้ มันแก้ได้ด้วยเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่การเอา iPad มาแจกเด็ก แต่คือการสร้าง “AI” ที่มาทำหน้าที่เป็น “ครูสอนพิเศษส่วนตัว” หรือ Personal Tutor ให้เด็กทุกคน

และเมื่อ MacKenzie Price ที่มี “ปัญหา” มาเจอกับ Joe Liemandt ที่มี “วิธีแก้ปัญหา” Alpha School ในเวอร์ชันที่เรารู้จักกันในวันนี้ จึงได้ถือกำเนิดขึ้น

เป้าหมายของพวกเขา ไม่ใช่การสร้างโรงเรียนนานาชาติที่ดีกว่าเดิม แต่คือการ “ทำลาย” โมเดลโรงเรียนแบบเดิมทิ้งไป

พวกเขาตั้งเป้าหมายที่ฟังดูบ้ามาก “ทำยังไง ให้เด็กเรียนจบหลักสูตรทั้งหมด ที่โรงเรียนทั่วไปใช้เวลา 8 ชั่วโมง ให้เสร็จภายใน 2 ชั่วโมง”

เมื่อตั้งโจทย์แบบนี้… ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด โครงสร้างของ Alpha School ไม่เหมือนโรงเรียนใดๆ ที่เราเคยเห็น มันถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยยึดหลักการที่เรียกว่า “2 Hour Learning”

ลองนึกภาพการไปโรงเรียน Alpha นักเรียนมาถึงตอนเช้า… แต่ไม่มีการเข้าห้องเรียนไปเจอครูประจำชั้น เด็กๆ จะเดินไปที่โต๊ะของตัวเอง หยิบ Laptop ขึ้นมา แล้วเริ่ม “เรียน”

ในช่วง 2 ชั่วโมงแรกของวัน คือช่วงเวลา “Crush Academics” หรือ “การอัดวิชาการ” เด็กทุกคน จะเรียนวิชาหลัก ไม่ว่าจะเป็น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การอ่าน การเขียน ทั้งหมดนี้ เรียนผ่านแอปพลิเคชัน

มันไม่ใช่แค่การนั่งดูวิดีโอการสอนทั่วไป แต่มันคือโปรแกรม AI ที่ปรับตัวตามความสามารถของเด็กแต่ละคน ที่เรียกว่า Adaptive Learning Software

หลักการสำคัญของมันเรียกว่า “Mastery-Based Learning” หรือ “การเรียนรู้จนกว่าจะเชี่ยวชาญ” ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ มันเป็นแบบนี้

ในโรงเรียนปกติ ถ้าวันนี้ครูสอนเรื่อง “การบวกเศษส่วน” ครูจะสอน 50 นาที ให้การบ้าน แล้วพรุ่งนี้ก็ไปเรื่อง “การลบเศษส่วน” นี่คือการเรียนที่ “เวลา” เป็นตัวกำหนด เด็กที่ยังบวกไม่เป็น ก็ต้องพยายามตามให้ทัน เด็กที่บวกเป็นตั้งแต่ 5 นาทีแรก ก็นั่งเบื่อไป 45 นาที

แต่ที่ Alpha School AI จะยื่นแบบฝึกหัดเรื่อง “การบวกเศษส่วน” ให้กับเด็ก ถ้าเด็กทำผิด… AI จะไม่อนุญาตให้ไปต่อ มันจะอธิบายใหม่ เปลี่ยนวิธีสอน ให้โจทย์ที่ง่ายลง จนกว่าเด็กจะ “เข้าใจ” มันจริงๆ สมมติว่าต้องทำถูก 90% ขึ้นไป

พอเด็กเก่งแล้ว… AI ถึงจะพาไปเรื่อง “การลบเศษส่วน” นี่คือการเรียนที่ “ความเข้าใจ” เป็นตัวกำหนด เด็กที่เก่ง อาจจะจบเรื่องนี้ใน 20 นาที เด็กที่ต้องใช้เวลาหน่อย อาจจะใช้เวลา 2 วัน แต่นั่นไม่สำคัญ… เพราะทุกคนจะ “เก่ง” เรื่องนี้จริงๆ ก่อนไปต่อ

Alpha School อ้างว่า ด้วยวิธีนี้ เด็กสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าเด็กในระบบปกติถึง 2.6 เท่า และเด็กของเขา มีผลการสอบวัดมาตรฐานระดับชาติ อยู่ในกลุ่ม Top 1-2% ของประเทศ

ฟังดูเหมือนเป็นดินแดนในฝันของการศึกษา แต่นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อมีนวัตกรรมใหม่ ก็ย่อมมีแรงต้าน และ “การเผชิญหน้า” ที่แท้จริงของ Alpha School ก็คือ “คำวิจารณ์” จากสังคม

พอเรื่องนี้โด่งดังขึ้นมา… โลกก็แตกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอกว่า “นี่แหละอนาคต” อีกฝ่ายบอกว่า “นี่มันบ้าไปแล้ว”

คำถามแรกที่คนโจมตีเลย “แล้วทักษะทางสังคมอยู่ตรงไหน” นี่คุณกำลังสร้างเด็กที่เก่งวิชาการ แต่คุยกับคนไม่เป็นหรือเปล่า เอาเด็กมานั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์ 2 ชั่วโมง เด็กๆ จะไม่กลายเป็นซอมบี้ที่ติดหน้าจอเหรอ

คำถามที่สอง ตามมาติดๆ “นี่มันโรงเรียนสำหรับคนรวยชัดๆ” ค่าเทอมของ Alpha School ไม่ได้ถูก มันอยู่ในระดับเดียวกับโรงเรียนนานาชาติชั้นนำ ตัวเลขกลมๆ คือประมาณ 40,000 ถึง 75,000 ดออลาร์สหรัฐฯต่อปี หรือราว 1.5 ถึง 2.8 ล้านบาท

แล้วมันจะมา “ปฏิวัติ” การศึกษาได้ยังไง ถ้าคนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึง นี่มันก็แค่ของเล่นใหม่ของมหาเศรษฐีใน Silicon Valley เท่านั้น

คำถามที่สาม ซึ่งอาจจะเจ็บที่สุด “ผลลัพธ์มันจริงแค่ไหน” ไอ้ที่อ้างว่าเด็กเก่ง Top 1% ของประเทศ ข้อมูลนี้… มาจาก Alpha School เอง มันยัง “ไม่เคย” ได้รับการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ จากหน่วยงานภายนอกที่เป็นกลาง

นักการศึกษาหลายคนเลยตั้งข้อสังเกตว่า เด็กที่มาเรียนที่นี่ ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกของพ่อแม่ในแวดวงเทคโนโลยี ที่มีฐานะดี มีการศึกษาดี และมีทรัพยากรพร้อมอยู่แล้ว เด็กกลุ่มนี้… ต่อให้ไปเรียนที่ไหน เขาก็เก่งอยู่แล้วหรือเปล่า มันเป็นเพราะ “โมเดล” ของ Alpha หรือเป็นเพราะ “วัตถุดิบ” ที่คัดมา

และคำถามสุดท้าย ที่สั่นสะเทือนวงการครู “ถ้า AI สอนได้… แล้ว ‘ครู’ จะมีไว้ทำไม”

ถ้าโมเดลของ Alpha School ถูกต้อง มันหมายความว่า “อาชีพครู” อย่างที่เราเข้าใจมาตลอด กำลังจะหมดความหมาย

ดูเหมือนว่า Alpha School จะเป็นแค่โปรเจกต์ทดลองที่ดูดี แต่ไม่สามารถขยายผลได้จริง และอาจจะสร้างปัญหาใหม่ๆ ทางสังคมตามมาด้วย

แต่ MacKenzie Price และ Joe Liemandt พวกเขามี “คำตอบ” และคำตอบนั้น… มันไม่ได้อยู่ใน 2 ชั่วโมงแรกของวัน แต่มันอยู่ใน “เวลาที่เหลือ” ต่างหาก

นี่คือจุดไคลแมกซ์ของเรื่องเพราะ Alpha School พลิกเกม ด้วยการตอบคำถามว่า “ครูจะมีไว้ทำไม”

ที่ Alpha School… ไม่มีคำว่า “ครู” หรือ Teacher พวกเขาเรียกบุคลากรเหล่านี้ว่า “Guides” หรือ “ผู้นำทาง”

หน้าที่ของ Guide ไม่ใช่การ “สอน” เพราะการสอนวิชาการ การบรรยาย การอธิบายสูตรคณิตศาสตร์ AI ทำหน้าที่นั้นไปแล้ว และ AI ก็ทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะมันไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยอารมณ์เสีย และมันปรับให้เข้ากับเด็กได้ทีละคน

หน้าที่ของ Guide คือการทำในสิ่งที่ AI ทำไม่ได้ นั่นคือ “การสร้างแรงบันดาลใจ” “การตั้งคำถามที่ทรงพลัง” “การให้คำปรึกษาด้านอารมณ์” “การกระตุ้นให้เด็กอยากเอาชนะตัวเอง”

ในช่วง 2 ชั่วโมงที่เด็กเรียนกับ AI Guide จะไม่เข้าไปยุ่งกับเนื้อหา แต่เขาจะเดินดู คอยสังเกตว่า “วันนี้เธอดูไม่ค่อยมีสมาธิเลยนะ มีอะไรรึเปล่า” หรือ “นายติดตรงนี้นานแล้ว… ลองพักก่อนไหม แล้วค่อยกลับมาสู้ใหม่” Guide คือ “โค้ช” ไม่ใช่ “ผู้บรรยาย”

นี่คือการตอบคำถามข้อแรก “ครู” ไม่ได้หายไป แต่ “ครู” ถูกยกระดับ หรือ Upgrade จาก “คนป้อนข้อมูล” ไปเป็น “คนสร้างคน”

และพอ 10 โมงเช้า… ช่วงเวลา “การอัดวิชาการ” จบลง AI จะถูกปิด และนี่คือเวลาที่ “มนุษย์” จะได้เฉิดฉาย เวลาที่เหลืออีกหลายชั่วโมงของวัน Alpha School ไม่ได้ปล่อยเด็กกลับบ้าน แต่มันคือช่วงเวลาของ “Life Skills Workshops”

นี่คือการตอบคำถามเรื่อง “ทักษะทางสังคม” เด็กๆ จะถูกจับกลุ่มทำโปรเจกต์ที่ยากๆ พวกเขาไม่ได้เรียนทฤษฎี… เขา “ทำ” เลย

อยากเรียนรู้เรื่องการเงิน หรือ Financial Literacy ใช่ไหม งั้นก็ลองสร้างธุรกิจจำลองขึ้นมา แล้วบริหารบัญชีจริงๆ อยากเรียนเรื่องการพูดในที่สาธารณะ หรือ Public Speaking ใช่ไหม งั้นก็ไปเตรียมพรีเซนต์โปรเจกต์ของคุณในสัปดาห์หน้า อยากเรียนเรื่องวิศวกรรม ใช่ไหม งั้นก็ไปสร้างรถมินิ Cybertruck ด้วยกัน นี่คือโปรเจกต์ที่พวกเขาได้ลงมือทำจริงๆ

เด็กๆ ที่ Alpha School ได้เรียนรู้การเขียนโค้ด การเป็นผู้ประกอบการ การคิดเชิงวิพากษ์ การทำงานร่วมกับคนอื่น ในขณะที่เด็กในโรงเรียนปกติ กำลังนั่งเรียนวิชาสุขศึกษาจากตำรา

เห็นภาพไหมครับ Alpha School ไม่ได้ตัด “สังคม” ทิ้ง แต่พวกเขาสกัดเอา “วิชาการ” ที่น่าเบื่อ ออกไปให้ AI ทำ เพื่อ “ปลดล็อก” เวลาอันมีค่าของเด็ก ให้มาใช้กับ “ทักษะ” ที่จำเป็นต่อโลกอนาคตจริงๆ ทักษะที่ AI ยังทำแทนไม่ได้

ส่วนคำถามที่ว่า “มันแพง” และ “มันจริงแค่ไหน” ในปัจจุบัน… ใช่ มันแพงมาก แต่นี่คือธรรมชาติของเทคโนโลยีใหม่ทุกชนิด iPhone เครื่องแรกก็แพงมาก… วันนี้ใครๆ ก็มีสมาร์ทโฟน

สิ่งที่ Joe Liemandt และ MacKenzie Price กำลังทำ คือการพิสูจน์ “โมเดล” หรือ Proof of Concept พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะขายโรงเรียนหรู พวกเขาตั้งใจจะขาย “ระบบปฏิบัติการ 2 Hour Learning” ต่างหาก

ถ้าโมเดลนี้พิสูจน์ได้ว่ามัน “เวิร์ค” จริงๆ ในอนาคต… โรงเรียนทั่วโลก อาจจะมา “ซื้อไลเซนส์” ซอฟต์แวร์นี้ไปใช้ และนั่นจะทำให้ต้นทุนถูกลงมหาศาล

มหาเศรษฐีอย่าง Bill Ackman ก็ออกมาประกาศสนับสนุน Alpha School อย่างเปิดเผย เขาเรียกมันว่า “นวัตกรรมที่พลิกโฉมการศึกษาอย่างแท้จริง” นั่นยิ่งทำให้โมเดลนี้ถูกจับตามอง ตอนนี้ Alpha School กำลังขยายสาขาไปทั่วอเมริกา

เรื่องนี้… กำลังบอกอะไรเรา

สิ่งที่ Alpha School กำลังทำ… มันไม่ใช่แค่การสร้างโรงเรียน แต่มันคือการ “Unbundle” หรือ “การแยกส่วน” การศึกษา

ลองคิดถึง โรงเรียนแบบดั้งเดิม มันคือ “แพ็กเกจ” มันมัดรวมทุกอย่างไว้ด้วยกัน

  1. การสอนวิชาการ
  2. การดูแลเด็ก
  3. การเข้าสังคม
  4. กิจกรรมและกีฬา
  5. ใบรับรอง

ผู้ปกครองจ่ายเงินก้อนเดียว เพื่อซื้อทั้ง 5 อย่างนี้ แม้ว่าลูกคุณอาจจะไม่อยากได้บางอย่าง… แต่คุณก็ต้องซื้อ

สิ่งที่ Alpha School ทำ คือการ “แยก” มันออกมา พวกเขาบอกว่า “การสอนวิชาการ” AI ทำได้ดีกว่า เร็วกว่า ดังนั้น พวกเขาจึง “ถอด” มันออกมา แล้วใช้เทคโนโลยีแทน

พอถอดข้อแรกออกไป… มันทำให้โรงเรียนมีทรัพยากร นั่นคือ “เวลา” และ “บุคลากรที่เป็น Guide” เหลือเฟือ ที่จะไปทุ่มเทให้กับ “การเข้าสังคม” และ “กิจกรรม” ในรูปแบบของ Life Skills Workshops ที่เข้มข้นกว่าเดิมมาก

นี่คือการ Disruption ที่น่ากลัวที่สุด สำหรับโรงเรียนนานาชาติ ที่เคยขาย “ความหรูหรา” และ “ครูต่างชาติ” Alpha School กำลังตั้งคำถามว่า

“คุณจะจ่ายเงินปีละล้าน… เพื่อให้ลูกไปนั่งฟังครูต่างชาติบรรยาย… ทั้งๆ ที่ AI ของเรา ก็สอนเรื่องเดียวกันได้ โดยใช้เวลาแค่ 1 ใน 4 แถมยังการันตีว่าเข้าใจจริง… แล้วเอาเวลาที่เหลือ ไปเรียนวิธีสร้างธุรกิจ ไม่ดีกว่าเหรอ”

นี่คือคำถามที่ตอบยากมาก

มันกำลังบอกเราว่า “มูลค่า” ของการศึกษาในอนาคต มันไม่ได้อยู่ที่ “การเข้าถึงความรู้” อีกต่อไป เพราะ AI และอินเทอร์เน็ต ทำให้ความรู้มันฟรี และเข้าถึงได้ง่าย

มูลค่าใหม่ มันกำลังย้ายไปอยู่ที่

  1. การคัดกรองความรู้
  2. การสร้างแรงจูงใจ
  3. และการนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้

AI เก่งเรื่องการป้อนความรู้ แต่ “Guide” หรือ “ครู” ในยุคใหม่ จะเก่งเรื่องการสร้างแรงจูงใจ และการประยุกต์ใช้

นี่ไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันไม่ใช่แค่เรื่องของโรงเรียน Alpha ในอเมริกา แต่มันคือสัญญาณเตือน… ว่าในวันที่ AI ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ “ระบบ” ที่เราคุ้นเคยมาทั้งชีวิต… กำลังจะถูกท้าทาย และ “มนุษย์” อย่างเรา… ก็ต้องหานิยามใหม่ให้ตัวเองเช่นกัน ว่าเราจะย้ายตัวเอง จาก “ผู้บรรยาย” ไปเป็น “ผู้นำทาง” ได้อย่างไร ก่อนที่ทุกอย่าง… จะสายเกินไป

References : [wikipedia ,alpha school,theguardian,entrepreneur,cbsnews]

Geek Story EP501 : ทำไม Apple ถึงเกลียด Nvidia? หายนะชิปมรณะ ที่เปลี่ยนศัตรูให้เป็นคู่แค้นตลอดกาล

ลองจินตนาการเล่นๆ กันดูสักครู่ครับ จินตนาการถึงโลกอีกใบหนึ่ง… โลกที่ความสวยงามหรูหรา การออกแบบที่เรียบง่าย (minimalist) ของ Apple MacBook ถูกขับเคลื่อนด้วยขุมพลังกราฟิกและ AI ที่เป็นราชาผู้ไร้เทียมทานอย่าง NVIDIA มันจะเป็นยังไง ถ้า iPhone ในมือของคุณ มีชิป GPUที่ออกแบบโดย NVIDIA อยู่ข้างใน ทำให้มันกลายเป็นเครื่องเล่นเกมที่ทรงพลังที่สุดในโลก

โลกใบนี้… เกือบจะเกิดขึ้นจริงครับ

Apple และ NVIDIA สองยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี… ความจริงแล้ว ทั้งคู่ควรจะเป็นพันธมิตรโดยธรรมชาติ เลยด้วยซ้ำ เจ้าพ่อแห่งวงการอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค กับ เจ้าพ่อแห่งวงการซิลิคอนมันควรจะเป็นการจับมือกันเพื่อครองอุตสาหกรรมนี้ แต่เปล่าเลยครับ… ทุกวันนี้พวกเขากลายเป็นคู่ปรับที่ขมขื่นติดอยู่ในสงครามเย็นกันมานานเป็นสิบปี

มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมความสัมพันธ์ที่ครั้งหนึ่งเคยดูสดใส มีอนาคตไกล กลับต้องพังทลายลง จนกลายเป็นหนึ่งในการ “หย่าร้าง” ที่ฉาวโฉ่และร้าวลึกที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Silicon Valley

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/sfur62xn

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/42p28cmy

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/326n37s3

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/NokrR9DGoDk

ทำไม Sun Microsystems ถึงล่มสลาย? จากดาวรุ่งสู่ดาวดับ เมื่อการปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงมีราคาที่ต้องจ่าย

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่ง Silicon Valley ที่เคยรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด เป็นบริษัทที่นิยามคำว่า “เวิร์กสเตชัน” และเป็นพลังขับเคลื่อนยุคแรกของอินเทอร์เน็ต

แต่แล้ววันหนึ่ง บริษัทนี้ก็หายไปจากแผนที่ เหลือไว้เพียงตำนานและบทเรียนราคาแพง นี่คือเรื่องราวของ Sun Microsystems

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในปี 1978 ที่ห้องแล็บในตำนานอย่าง Xerox PARC สถานที่แห่งนี้คือบ่อเกิดของนวัตกรรมเปลี่ยนโลกมากมาย ทั้งเมาส์ และหน้าจอแบบกราฟิก

ที่นั่นนักศึกษาชาวเยอรมันจาก Stanford คนหนึ่งชื่อ Andreas “Andy” Bechtelsheim ได้เห็นของวิเศษ มันคือคอมพิวเตอร์ Alto ที่เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย

Andy ไม่ได้แค่ทึ่ง แต่เขามองเห็นช่องว่างมหาศาลในตลาด เขารู้ว่าบรรดานักออกแบบชิป วิศวกร หรือนักวิทยาศาสตร์ ต่างโหยหาคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง พวกเขาต้องการเครื่องมือที่ทรงพลังเพื่องานของตัวเอง แต่ในยุคนั้น แทบไม่มีตัวเลือกที่ดีพอเลย

ที่สำคัญ Andy เห็นว่า Xerox เจ้าของเทคโนโลยี Alto กลับไม่สนใจที่จะพัฒนามันต่อเพื่อการค้า เขาจึงตัดสินใจว่า “ถ้าพวกเขาไม่ทำ ผมทำเองก็ได้” Andy กลับไปที่ Stanford และเริ่มสร้างคอมพิวเตอร์ในแบบของเขา

ปี 1981 เขาเข้าร่วมโครงการพัฒนาเวิร์กสเตชันราคาประหยัด เป้าหมายคือสร้างเครื่องสำหรับงาน Computer-Aided Design หรือ CAD คอมพิวเตอร์ของเขาใช้ชิป Motorola 68000 นี่คือไมโครโพรเซสเซอร์แบบ 32 บิต ตัวแรกที่มีการวางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ซึ่งต้องบอกว่ามันทรงพลังมากในยุคนั้น

โครงการนี้ถูกตั้งชื่อเล่นว่า SUN ซึ่งย่อมาจาก Stanford University Network เวิร์กสเตชันรุ่นแรกที่เขาออกแบบ มีจอภาพแบบ bitmap ที่แสดงผลกราฟิกได้ และที่สำคัญ มันมีการเชื่อมต่อ Ethernet สำหรับใช้งานในเครือข่าย

Andy มีของดีอยู่ในมือ แต่เขาก็รู้ตัวว่าเขาเป็นวิศวกร การจะทำให้มันกลายเป็น “ธุรกิจ” ที่ยิ่งใหญ่ เขาต้องการทีมงานที่แข็งแกร่ง โชคดีที่เลขานุการของเขา แนะนำให้รู้จักกับ Vinod Khosla Khosla เป็นศิษย์เก่า Stanford ที่จบ MBA และมีประสบการณ์ด้านธุรกิจโชกโชน

Khosla มองเห็นโอกาสทางธุรกิจในสิ่งที่ Andy สร้าง เขาเห็นภาพชัดเจนว่านี่คือสิ่งที่ตลาดต้องการ ทั้งคู่จึงร่วมกันเขียนแผนธุรกิจสั้นๆ เพียง 6 หน้า วางแผนที่จะขายเวิร์กสเตชัน SUN ในราคาเครื่องละ 25,000 ถึง 100,000 ดอลลาร์

แต่วิศวกรหนึ่งคนกับนักธุรกิจหนึ่งคน ยังไม่พอที่จะสร้างบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก พวกเขาต้องการทีมที่สมบูรณ์แบบ ทีมผู้ก่อตั้งเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เมื่อได้ Scott McNealy จาก Harvard McNealy เก่งกาจเรื่องการผลิตและการดำเนินงาน เขาคือจิ๊กซอว์ที่จะทำให้บริษัทผลิตของได้จริง

และแล้ว จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่สุดในด้านซอฟต์แวร์ก็ปรากฏตัว เขาคือ Bill Joy นักศึกษาปริญญาโทจาก UC Berkeley Joy ไม่ใช่นักศึกษาธรรมดา เขาคืออัจฉริยะผู้พัฒนา Berkeley Unix ระบบปฏิบัติการที่เป็นที่นิยมอย่างสูงในหมู่นักวิชาการและนักวิจัย

Sun Microsystems เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ 1982 การแบ่งหน้าที่ชัดเจน Khosla รับตำแหน่ง CEO McNealy เป็นรองประธานฝ่ายผลิต Bechtelsheim ดูแลฮาร์ดแวร์ที่เขาถนัด และ Bill Joy ดูแลซอฟต์แวร์ทั้งหมด

หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมเวิร์กสเตชันของ Sun ถึงฮิตระเบิดทันที? ต้องเข้าใจบริบทในยุคนั้นก่อน หากคุณเป็นวิศวกรที่ต้องการใช้คอมพิวเตอร์แรงๆ คุณต้อง “จองเวลา” ใช้มินิคอมพิวเตอร์ของส่วนกลาง เครื่องพวกนี้มีราคาแพงลิบลิ่ว และต้องแบ่งกันใช้

Sun เข้ามาเปลี่ยนเกมนี้ไปตลอดกาล พวกเขานำเสนอเวิร์กสเตชันส่วนบุคคล มันคือคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของคุณเอง ที่สำคัญ ราคามันย่อมเยากว่ากันเยอะ ราคาเริ่มต้นเพียง 8,000 ถึง 10,000 ดอลลาร์เท่านั้น

และด้วยราคานี้ Sun ยังทำกำไรขั้นต้นได้สูงถึง 50% เลยทีเดียว นี่คือโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งมาก Sun เนื้อหอมถึงขนาดที่มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าเข้ามา ก่อนที่บริษัทจะเริ่มสายพานการผลิตด้วยซ้ำ ลูกค้ากลุ่มแรกคือมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย ที่รู้จักชื่อเสียงของ SUN ที่ Stanford อยู่แล้ว

จุดแข็งของ Sun คือความฉลาดในการ “เลือกใช้” ไม่ใช่ “สร้างใหม่” ทั้งหมด พวกเขาใช้ชิ้นส่วนมาตรฐานที่มีอยู่แล้วในตลาด ทั้งแหล่งจ่ายไฟ, ไมโพรเซสเซอร์จาก Motorola, ดิสก์ไดรฟ์จาก Fujitsu และแน่นอน ระบบปฏิบัติการ Berkeley Unix ของ Bill Joy

กลยุทธ์นี้ทำให้พวกเขาพัฒนาสินค้าได้เร็วและคุมต้นทุนได้ดี ยอดขายพุ่งทะยานเหมือนจรวด Sun ทำกำไรได้ทันทีตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 1982 เพียงไม่กี่เดือนหลังก่อตั้ง ปีแรก ทำรายได้ 8.5 ล้านดอลลาร์ ปีที่สอง พุ่งไปที่ 39 ล้านดอลลาร์ และปีที่สาม ทะยานสู่ 115 ล้านดอลลาร์

แต่การเติบโตที่รวดเร็วเกินไป มักมาพร้อมกับปัญหาเสมอ รอยร้าวเริ่มเกิดขึ้นในการบริหาร คณะกรรมการบริษัทเริ่มกังวลกับการที่มีผู้บริหารอายุน้อยเพียง 27 ปีอย่าง Khosla พวกเขาพยายามดึงคนที่มีประสบการณ์มากกว่าเข้ามา แต่กลับกลายเป็นการขัดแย้งกันภายใน

สุดท้าย Scott McNealy ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็น CEO ถาวร ส่วน Vinod Khosla ก็ออกจาก Sun ในปี 1985 เขาหันไปร่วมงานกับบริษัทลงทุนอย่าง Kleiner Perkins และกลายเป็นนักลงทุนในตำนานที่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล

ภายใต้การนำของ McNealy Sun ยังคงเติบโตอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างปี 1982 ถึง 1987 ทุกๆ 6 เดือน ยอดจัดส่งเวิร์กสเตชันของ Sun จะเพิ่มเป็นสองเท่า ปี 1985 พวกเขาเปิดตัว Sun 3 ที่ใช้โพรเซสเซอร์ Motorola MC68020 รุ่นใหม่

Sun ยังแนะนำมาตรฐาน Network File System หรือ NFS มันคือเทคโนโลยีที่ทำให้คอมพิวเตอร์หลายเครื่องแชร์ไฟล์กันบนเครือข่ายได้อย่างราบรื่น NFS ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรม มันตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ Sun ที่ว่า “The Network is the Computer”

ภายในปี 1987 Sun ก็สามารถแซงหน้า Apollo Computer คู่แข่งรายใหญ่ที่สุดในตลาดเวิร์กสเตชันได้สำเร็จ Sun กลายเป็นเบอร์หนึ่งอย่างเต็มภาคภูมิ และในเดือนมีนาคม 1986 Sun ก็เข้าตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ด้วยรายได้ 210 ล้านดอลลาร์ ระดมทุนไปได้ 45 ล้านดอลลาร์ ถือเป็น IPO ด้านเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในรอบสามปีเลยทีเดียว

Sun กำลังอยู่บนจุดสูงสุด แต่ความท้าทายแรกที่อันตรายถึงชีวิตก็เริ่มปรากฏตัว Motorola ผู้ผลิตไมโครโพรเซสเซอร์หลักให้กับ Sun เริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ไม่ทันความต้องการของตลาด ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวกระโดด การที่แค่แก้บั๊กยังต้องใช้เวลาเป็นปี ถือว่าช้าเกินไป

Sun ตระหนักว่า ถ้ายังฝากชีวิตไว้กับคนอื่น พวกเขาอาจตายได้ บริษัทจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่กล้าหาญมาก ๆ นั่นคือการพัฒนาโพรเซสเซอร์ของตัวเอง โดยใช้สถาปัตยกรรมที่เรียกว่า RISC ซึ่งเป็นแนวคิดจาก IBM

ในปี 1987 ทีมที่นำโดย Anant Agrawal ก็พัฒนา CPU SPARC ได้สำเร็จ นี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่ทำให้ Sun คุมชะตาตัวเองได้ในด้านฮาร์ดแวร์

แต่แล้ว ความท้าทายที่ใหญ่กว่าก็ถาโถมเข้ามา และครั้งนี้ มันคือสงครามที่ Sun เป็นคนเริ่มจุดชนวนเอง Sun ตัดสินใจร่วมมือกับ AT&T เพื่อพัฒนาระบบปฏิบัติการ Unix พวกเขาต้องการสร้างมาตรฐานกลางของ Unix ขึ้นมา

การจับมือกันของสองยักษ์ใหญ่ ทำให้คู่แข่งสั่นสะเทือน IBM และ HP กังวลอย่างมากว่า Sun และ AT&T จะ “ผูกขาด” ตลาด Unix พวกเขาจึงตัดสินใจตั้งกลุ่มพันธมิตรของตัวเองขึ้นมา ในชื่อ Open Software Foundation หรือ OSF เพื่อเป็นคู่แข่ง อุตสาหกรรม Unix แตกออกเป็นสองเสี่ยง เกิดเป็น “สงคราม Unix” ที่สู้รบกันอย่างดุเดือด

และอย่างที่ประวัติศาสตร์มักซ้ำรอย เมื่อยักษ์ใหญ่กำลังต่อสู้กันอย่างเมามัน พวกเขาก็มักจะมองไม่เห็นภัยคุกคามใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามา สงคราม Unix ที่วุ่นวายนี้ เปิดช่องว่างให้กับผู้เล่นรายเล็กๆ ในตอนนั้น บริษัทนั้นชื่อ Microsoft

ในปี 1993 Microsoft เปิดตัว Windows NT 3.1 มันคือระบบปฏิบัติการที่รวมเอาคุณสมบัติดีๆ จากหลายระบบเข้าด้วยกัน และมันถูกออกแบบมาเพื่องานระดับองค์กรโดยเฉพาะ ในขณะที่ค่าย Unix กำลังตีกันเอง Windows NT ก็ค่อยๆ เติบโตอย่างเงียบๆ

บรรดาคู่แข่งของ Sun เช่น HP และ IBM เริ่มนำ Windows NT มาใช้กับเวิร์กสเตชันของตัวเอง พวกเขาให้ทางเลือกกับลูกค้า แต่ Sun ยังคงยืนกราน หัวแข็ง พวกเขาเชื่อมั่นว่า Unix ของตัวเอง (ที่ชื่อว่า Solaris) นั้นดีกว่า Sun ปฏิเสธที่จะสนับสนุน Windows NT

การตัดสินใจครั้งนี้ ทำให้ Sun สูญเสียส่วนแบ่งตลาดเวิร์กสเตชันไปอย่างน่าใจหาย ลูกค้าเริ่มหันไปหาทางเลือกที่ยืดหยุ่นกว่า Sun จึงต้องปรับตัวครั้งใหญ่ พวกเขาเบนเข็มจากตลาดเวิร์กสเตชันที่กำลังถูก Windows NT กัดกิน ไปสู่ตลาด “เซิร์ฟเวอร์องค์กร” ที่ใหญ่กว่า

Sun เข้าซื้อกิจการ Cray Business Systems ในปี 1996 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง ระบบของ Sun เหมาะอย่างยิ่งกับตลาดเซิร์ฟเวอร์ ที่ต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพขั้นสูง

และจังหวะก็เข้าข้างพวกเขาอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วงปลายทศวรรษ 1990 คือยุคที่อินเทอร์เน็ตเริ่มบูม โลกเข้าสู่ยุค “ฟองสบู่ดอทคอม” บริษัทเกิดใหม่มากมายต้องการสร้างเว็บไซต์ และเว็บไซต์เหล่านั้นต้องรันบนเซิร์ฟเวอร์ที่ทรงพลัง

บริษัทชั้นนำในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็น E*Trade หรือ eBay ต่างก็ใช้เซิร์ฟเวอร์ของ Sun คำขวัญ “The Network is the Computer” ของ Sun กลายเป็นความจริง Sun คือกระดูกสันหลังของยุคอินเทอร์เน็ตบูม รายได้ของบริษัทเติบโต 50-60% ต่อปี Sun กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และยิ่งใหญ่กว่าเดิม

แต่แล้ว งานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกรา ในปี 2000 ฟองสบู่ดอทคอมแตกสลาย บริษัทดอทคอมที่เคยเป็นลูกค้าหลักของ Sun ล้มละลายเป็นใบไม้ร่วง ธุรกิจของ Sun ก็ดิ่งลงเหวแบบฉุดไม่อยู่ Sun ที่เคยทำกำไรมหาศาลในปี 2000 และ 2001 กลับขาดทุนหนักมหาศาลในปี 2002 และ 2003

และในขณะที่ Sun กำลังเมาหมัด ความท้าทายสุดท้ายที่หนักหน่วงที่สุดก็ปรากฏตัว มันคือศัตรูที่ Sun คาดไม่ถึง นั่นคือ Linux ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการแบบ Open Source ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Unix ที่สำคัญคือ มัน “ฟรี”

ในอดีต Linux ถูกมองว่าเป็นของเล่นสำหรับโปรแกรมเมอร์ แต่ในช่วงต้นยุค 2000 มันพัฒนาจนแข็งแกร่งพอที่จะใช้งานระดับองค์กรได้ องค์กรต่างๆ เริ่มตาสว่าง พวกเขาไม่จำเป็นต้องซื้อเซิร์ฟเวอร์ราคาแพงลิบลิ่วจาก Sun อีกต่อไป พวกเขาสามารถประหยัดต้นทุนได้มหาศาล ด้วยการใช้คลัสเตอร์ของเซิร์ฟเวอร์ Linux ที่รันบนฮาร์ดแวร์พีซีธรรมดาๆ ที่หาซื้อได้ทั่วไป

Sun ที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความ “เปิด” ด้วย Unix และ NFS กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความ “ปิด” และ “แพง” เมื่อเทียบกับคลื่นลูกใหม่ Sun พยายามปรับตัวครั้งสุดท้าย พวกเขาเปิดเผยซอร์สโค้ดของ Solaris ระบบปฏิบัติการของตน เข้าซื้อกิจการบริษัทฐานข้อมูล Open Source อย่าง MySQL เข้าซื้อบริษัทสตอเรจอย่าง StorageTek แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว

รายได้หดหาย หุ้นดิ่งเหว Sun กำลังจะหมดลมหายใจ ในที่สุด Oracle ยักษ์ใหญ่ด้านฐานข้อมูล ก็เข้าซื้อกิจการ Sun ในราคา 7.4 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2009 เป็นการปิดฉากตำนานของบริษัทที่เคยยิ่งใหญ่แห่ง Silicon Valley

นับจากปี 2000 ที่รุ่งเรืองสุดขีด Sun สูญเสียรายได้ไปกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ และมูลค่าหุ้นลดลงกว่า 90%

การล่มสลายของ Sun Microsystems กลายเป็นบทเรียนสำคัญเรื่อง “การปรับตัว” Sun เคยเป็นผู้นำนวัตกรรม มีผลิตภัณฑ์ที่เจ๋งที่สุดในตลาด แต่ความดื้อรั้น การยึดติดกับแนวทางเดิม และการปฏิเสธที่จะยอมรับคลื่นลูกใหม่ ทำให้พวกเขาพลาดโอกาสและถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

Sun เคยเป็นลูกพี่ใหญ่แห่งยุค 80 และ 90 ที่เติบโตปีละ 30-50% อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อแนวโน้มเทคโนโลยีเปลี่ยน จากเวิร์กสเตชันไปสู่พีซี จาก Unix ราคาแพงไปสู่ Windows NT และ Linux Sun กลับปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลง และกลายเป็นผู้โดดเดี่ยวในที่สุด

เรื่องที่น่าสนใจมาก คือการเปรียบเทียบกับ Microsoft โดยเฉพาะภายใต้การนำของ Satya Nadella ซึ่งตัวของ Satya Nadella เคยทำงานที่ Sun Microsystems ก่อนที่เขาจะย้ายไป Microsoft ในปี 1992

หลายคนวิเคราะห์ว่า ประสบการณ์ที่ Satya ได้เห็นจาก Sun ทั้งจุดแข็งด้านนวัตกรรมเครือข่าย และจุดอ่อนที่ร้ายแรงเรื่องความดื้อรั้นและไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ได้หล่อหลอมวิสัยทัศน์ของเขา

เมื่อ Satya ก้าวขึ้นเป็น CEO ของ Microsoft เขาได้ปฏิวัติบริษัทที่กำลังเริ่มล้าหลัง ด้วยการเปิดรับ Open Source, กอด Linux, และมุ่งสู่ Cloud ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ Sun ทำในยุคสุดท้าย เรียกได้ว่าเขาเรียนรู้จากความผิดพลาดของ Sun และนำมันมาช่วยชีวิต Microsoft ได้สำเร็จ

เรื่องราวของ Sun Microsystems จึงเป็นทั้งแรงบันดาลใจและคำเตือนใจ มันแสดงให้เห็นว่า แม้แต่บริษัทที่ยิ่งใหญ่และ “เทพ” ที่สุด ถ้าหากหยุดปรับตัว ยึดติดกับความสำเร็จเดิม ก็อาจพบจุดจบที่น่าเศร้าได้เช่นกัน

References : [wikipedia, computerhistory, oracle, cnet, forbes]