เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมไอเดียที่ดูเหมือนกันเป๊ะๆ ถึงให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว?
เรื่องหนึ่งที่เห็นภาพชัดที่สุด ก็คือเรื่องราวของการสื่อสารผ่านดาวเทียม ระหว่าง Iridium ที่เคยล้มละลายอย่างยิ่งใหญ่ในอดีต กับ Starlink ของ Elon Musk ที่กำลังจะเปลี่ยนโลกอยู่ในปัจจุบัน
นี่คือมหากาพย์ของสองบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่มีความฝันเดียวกัน คือการเชื่อมต่อโลกทั้งใบด้วยสัญญาณจากฟากฟ้า แต่ทำไมบริษัทหนึ่งถึงกลายเป็นตำนานแห่งความล้มเหลว ในขณะที่อีกบริษัทกลับถูกยกให้เป็นอนาคตของมวลมนุษยชาติ
เรื่องราวทั้งหมดนี้ ต้องย้อนกลับไปในยุค 90 ครับ
ลองนึกภาพโลกในตอนนั้น โทรศัพท์มือถือยังเป็นของหายาก หน้าตาเหมือนกระดูกหมา ราคาแพง แถมสัญญาณก็ติดๆ ดับๆ แค่ออกจากเมืองหน่อยเดียวก็โทรหาใครไม่ได้แล้ว
ตอนนั้นเอง บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Motorola มองเห็นโอกาส พวกเขาฝันถึงโลกที่ไม่มีคำว่า “ไม่มีสัญญาณ” ไม่ว่าคุณจะปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ หรือล่องเรืออยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก คุณต้องสามารถโทรศัพท์ได้
ไอเดียสุดล้ำนี้จึงถือกำเนิดขึ้นในชื่อ “Iridium”
Iridium คือโครงการที่ทะเยอทะยานที่สุดในยุคนั้น พวกเขาวางแผนจะส่งดาวเทียม 66 ดวงขึ้นไปโคจรรอบโลก เพื่อสร้างเครือข่ายที่ครอบคลุมทุกตารางนิ้วของโลกอย่างแท้จริง
โปรเจกต์นี้ยิ่งใหญ่เสียจนดึงดูดเงินลงทุนได้มหาศาลถึง 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือถ้าคิดเป็นเงินไทยในปัจจุบันก็หลายแสนล้านบาท ทุกคนต่างเชื่อว่านี่คืออนาคตที่รอคอย และ Motorola ก็คือผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
ทุกอย่างดูสวยงามและเต็มไปด้วยความหวัง แต่โลกธุรกิจก็มักจะมีบททดสอบที่คาดไม่ถึงรออยู่เสมอ
ปัญหาแรกที่ Iridium ต้องเจอ คือ “เวลา”
การสร้างและส่งดาวเทียมที่ซับซ้อนขนาดนั้นขึ้นสู่อวกาศ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำเสร็จได้ในวันสองวัน โครงการนี้ใช้เวลาพัฒนานานเกือบสิบปีเต็ม
และในช่วงสิบปีที่ Iridium กำลังง่วนอยู่กับการสร้างฝันบนท้องฟ้า โลกบนพื้นดินกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
เทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือภาคพื้นดิน หรือ Cellular พัฒนาไปเร็วมาก จากโทรศัพท์เครื่องใหญ่ๆ ก็กลายเป็นโทรศัพท์ฝาพับขนาดเล็กที่พกพาง่ายอย่าง Nokia
ที่สำคัญที่สุด คือการเกิดขึ้นของมาตรฐาน GSM ที่ทำให้การโทรข้ามประเทศหรือ Roaming กลายเป็นเรื่องง่ายและราคาถูกลง เสาสัญญาณมือถือผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด
ปัญหาที่ Iridium ตั้งใจจะแก้ มันกำลังจะถูกแก้ไขด้วยเทคโนโลยีบนดินที่ถูกกว่ามหาศาล
พอถึงวันที่ Iridium เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี 1998 พวกเขาก็ต้องพบกับความจริงอันโหดร้าย โลกที่พวกเขาวาดฝันไว้เมื่อสิบปีก่อน มันไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว
กลุ่มลูกค้าหลักที่พวกเขาคาดหวัง อย่างนักธุรกิจที่เดินทางบ่อยๆ กลับพบว่าโทรศัพท์ GSM ธรรมดาๆ ก็ตอบโจทย์พวกเขาได้ดีพอแล้ว แถมยังราคาถูกกว่ากันลิบลับ
จุดนี้เองที่นำไปสู่ปัญหาข้อต่อมา นั่นคือตัวผลิตภัณฑ์และราคาของ Iridium เอง
โทรศัพท์ของ Iridium ที่วางขาย มันดูเหมือนของที่หลุดมาจากอดีต ทั้งใหญ่ หนัก และมีเสาอากาศขนาดยักษ์ ในขณะที่โลกกำลังเห่อโทรศัพท์เครื่องเล็กๆ ที่ไม่มีเสา
แต่จุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุด คือมันใช้งานในอาคารไม่ได้ คุณต้องออกไปยืนกลางแจ้งที่เห็นท้องฟ้าโล่งๆ เท่านั้นถึงจะใช้ได้ ลองนึกภาพผู้บริหารใส่สูทราคาแพงต้องวิ่งออกมาคุยโทรศัพท์นอกตึกดูสิครับ
ส่วนราคาก็ไม่ต้องพูดถึง ตัวเครื่องราคากว่า 3,000 ดอลลาร์ แถมค่าโทรยังคิดเป็นนาทีละหลายร้อยบาท ในยุคที่ค่าโทรศัพท์ทั่วไปกำลังถูกลงเรื่อยๆ
ผลลัพธ์คือหายนะดีๆ นี่เองครับ
จากที่ตั้งเป้าว่าจะมีลูกค้าหลายแสนคนในปีแรก แต่ผ่านไปเกือบปี พวกเขามีลูกค้าอยู่แค่ไม่กี่หมื่นราย รายได้ที่เข้ามาเทียบไม่ได้เลยกับหนี้สินและค่าใช้จ่ายในการดูแลดาวเทียม
สุดท้าย เพียง 9 เดือนหลังเปิดตัว Iridium ก็ต้องยื่นขอล้มละลาย ปิดฉากความฝันมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ลงอย่างน่าเศร้า และกลายเป็นบทเรียนราคาแพงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ธุรกิจ
เรื่องราวน่าจะจบลงตรงนี้ใช่ไหมครับ? แต่ในโลกแห่งเทคโนโลยี เรื่องราวมักจะมีภาคต่อเสมอ
หลังการล้มละลาย เครือข่ายดาวเทียมมูลค่ามหาศาลของ Iridium เกือบจะถูกทิ้งให้เผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ แต่ก็มีกลุ่มนักลงทุนเข้ามาซื้อมันไปในราคาถูกแสนถูก เพียงแค่ 25 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
จาก 5 พันล้าน เหลือเพียง 25 ล้าน
Iridium ได้เกิดใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้พวกเขาเรียนรู้จากความผิดพลาด พวกเขาเลิกฝันที่จะเป็นโทรศัพท์สำหรับทุกคน แล้วหันไปเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ที่จำเป็นต้องใช้มันจริงๆ เช่น กองทัพ, บริษัทเดินเรือ, นักสำรวจ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จในตลาดของตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้
แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับ Starlink ของ Elon Musk อย่างไร?
คำตอบคือ Starlink เรียนรู้ทุกอย่างจากความผิดพลาดของ Iridium และทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามทั้งหมด
Elon Musk รอจนกระทั่ง “จังหวะเวลา” ของตลาดเหมาะสม โลกในปัจจุบันไม่ได้ต้องการแค่การโทรด้วยเสียงอีกต่อไป แต่ต้องการ “อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง”
ยังมีพื้นที่อีกมากมายบนโลกที่อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงยังเข้าไม่ถึง Starlink จึงเข้ามาเพื่อแก้ปัญหานี้ ซึ่งเป็นความต้องการที่มีอยู่จริงและยังไม่มีใครทำได้ดีพอ
Starlink ไม่ได้แข่งกับเน็ตไฟเบอร์ในเมือง แต่กำลังสร้างตลาดใหม่สำหรับคนที่ไม่มีทางเลือกอื่น
ในด้านเทคโนโลยี Starlink ก็ก้าวไปอีกขั้น พวกเขาส่งดาวเทียมขึ้นไปหลายพันดวงในวงโคจรที่ต่ำกว่าเดิมมาก ทำให้ได้อินเทอร์เน็ตที่เร็วและมีค่าความหน่วง (Latency) ต่ำ เหมือนใช้อินเทอร์เน็ตบ้าน
โมเดลธุรกิจก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง Starlink ไม่ได้ขายของหรูราคาแพง แต่ขายบริการที่จำเป็นในราคาที่คนในพื้นที่ห่างไกลยอมจ่ายได้ เพราะมันดีกว่าทางเลือกอื่นที่มี หรือในบางที่คือไม่มีทางเลือกเลย
แต่ไพ่ตายที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ Starlink ทำในสิ่งที่ Iridium ทำไม่ได้ คือการมี “SpaceX”
SpaceX คือบริษัทขนส่งอวกาศของ Elon Musk เอง ที่มีเทคโนโลยีจรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ทำให้ต้นทุนในการส่งดาวเทียมแต่ละครั้ง ถูกกว่าในยุคของ Iridium อย่างเทียบกันไม่ติด
ความได้เปรียบนี้ทำให้ Starlink สามารถขยายเครือข่ายดาวเทียมได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยที่ยังควบคุมต้นทุนมหาศาลนี้ไว้ได้
ถ้าจะสรุปให้เห็นภาพง่ายๆ
Iridium คือการสร้างเทคโนโลยีที่ดีที่สุด ล้ำสมัยที่สุด แต่กลับออกมาผิดเวลา แก้ปัญหาที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เดือดร้อนแล้ว และตั้งราคาแพงเกินกว่าที่ตลาดจะรับไหว
ส่วน Starlink คือการรอให้ตลาดพร้อม ใช้เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของยุคสมัย วางโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน และมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนที่คู่แข่งไล่ตามไม่ทัน
เรื่องราวของ Iridium และ Starlink สอนให้เรารู้ว่า ในโลกธุรกิจ การมีเทคโนโลยีที่ดีที่สุดเพียงอย่างเดียว ไม่เคยรับประกันความสำเร็จ
แต่ความสำเร็จที่แท้จริง เกิดจากการเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง การเลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสม และการสร้างโมเดลธุรกิจที่สามารถส่งมอบคุณค่านั้นให้กับลูกค้าได้ในราคาที่สมเหตุสมผล
นี่คือบทเรียนราคาหลายแสนล้านบาท ที่ถูกจารึกไว้ด้วยเศษซากของความฝันบนฟากฟ้า และกำลังถูกเขียนประวัติศาสตร์บทใหม่โดยชายที่ชื่อ Elon Musk
References : [spectrum .ieee, forbes, en .wikipedia, hbr, arstechnica]