หากเราพูดถึงบุคคลที่ปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์และกลายเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก ชื่อของ Bill Gates คงจะเป็นชื่อแรกที่ทุกคนนึกถึง แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าผมบอกว่าประวัติศาสตร์หน้าแรกของยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้น ควรจะเป็นของชายอีกคนหนึ่ง
เรื่องราวทั้งหมด อาจจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพียงเพราะการตัดสินใจในห้องประชุมเล็ก ๆ ห้องหนึ่งในวันนั้น…
นี่คือเรื่องจริงของ Gary Kildall ชายผู้เป็นอัจฉริยะที่มาก่อนกาล แต่กลับถูกคลื่นแห่งประวัติศาสตร์ซัดหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงตำนานที่น่าเสียดายที่สุดเรื่องหนึ่งในซิลิคอนแวลลีย์
ย้อนกลับไปในช่วงปลายยุค 1970 โลกเพิ่งจะได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า “ไมโครคอมพิวเตอร์” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ PC ที่เราใช้กันทุกวันนี้
ในยุคนั้น ถ้าฮาร์ดแวร์คือร่างกายของคอมพิวเตอร์ สิ่งที่เปรียบเสมือนจิตวิญญาณก็คือ “ระบบปฏิบัติการ” หรือ OS และราชาผู้ครองบัลลังก์ OS ในตอนนั้น มีเพียงชื่อเดียวเท่านั้น นั่นคือ CPM
CPM หรือ Control Program for Microprocessors คือผลงานชิ้นเอกของ Gary Kildall เขาไม่ได้เป็นแค่นักธุรกิจ แต่เป็นนักวิชาการระดับศาสตราจารย์ผู้มองเห็นอนาคต
บริษัทของเขา Digital Research คือผู้นำตลาดอย่างไม่มีใครเทียบได้ พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าคุณซื้อคอมพิวเตอร์สักเครื่องในยุคนั้น ร้อยทั้งร้อยจะต้องทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ CPM
ในขณะที่ Kildall กำลังอยู่บนจุดสูงสุดของวงการ ที่อีกมุมหนึ่ง ยังมีบริษัทซอฟต์แวร์เล็กๆ ที่ชื่อว่า Microsoft ของสองหนุ่ม Bill Gates และ Paul Allen
ตอนนั้น Microsoft ยังไม่ใช่ผู้เล่นรายใหญ่ พวกเขาโด่งดังจากการสร้างภาษาคอมพิวเตอร์อย่าง BASIC แต่ยังไม่เคยสร้างระบบปฏิบัติการของตัวเองเลย
ฟากฝั่งของ IBM ซึ่งในตอนนั้นเป็นเจ้าแห่งโลกคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่สำหรับองค์กร แต่พวกเขาก็ตระหนักดีว่า คลื่นลูกใหม่ที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังจะเปลี่ยนโลก
ด้วยความรีบร้อน IBM จึงได้จัดตั้งโปรเจกต์ลับที่ชื่อว่า “Project Chess” เพื่อสร้าง IBM PC เครื่องแรกของโลกขึ้นมา แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าไม่มีเวลาพอที่จะสร้างทุกอย่างเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ระบบปฏิบัติการ” ที่เป็นหัวใจสำคัญ
แล้วทางเลือกที่ดีที่สุดและสมเหตุสมผลที่สุดคืออะไร? คำตอบก็คือการไปหาผู้นำตลาด ไปหาคนที่มีผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดอยู่แล้ว นั่นก็คือ Digital Research ของ Gary Kildall
ทุกอย่างดูเหมือนจะลงตัว การจับมือกันระหว่างยักษ์ใหญ่ด้านฮาร์ดแวร์และราชาแห่งซอฟต์แวร์กำลังจะเกิดขึ้น นี่คือดีลที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลก
ตำนานที่ผู้คนเล่าขานกันมากที่สุดก็คือ เมื่อทีมผู้บริหารของ IBM ในชุดสูทเต็มยศ เดินทางมาถึงออฟฟิศของ Digital Research พวกเขากลับไม่พบตัว Gary Kildall
เรื่องเล่าบอกว่า เขากำลังขับเครื่องบินส่วนตัวเล่นอย่างสบายใจ ปล่อยให้ภรรยาและหุ้นส่วนธุรกิจของเขา Dorothy McEwen เป็นคนเจรจาแทน
แต่ความจริงที่ซับซ้อนกว่านั้นก็คือ แม้ Kildall จะไม่อยู่ในช่วงเช้า แต่เขาก็กลับมาที่ออฟฟิศในบ่ายวันเดียวกัน ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การหายไปของเขา
แต่อยู่ที่เอกสารแผ่นเดียวที่ทีมทนายของ IBM ยื่นให้ก่อนเริ่มการสนทนา นั่นคือ ข้อตกลงไม่เปิดเผยความลับ หรือ NDA (Non-Disclosure Agreement)
NDA ฉบับนั้นมีเนื้อหาที่เอาเปรียบอย่างมาก มันบังคับให้ Digital Research ต้องเปิดเผยความลับทางเทคโนโลยีทั้งหมด แต่ IBM ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยอะไรเลย
Dorothy ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่เฉียบแหลม รู้สึกว่าข้อตกลงนี้ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง เธอจึงปฏิเสธที่จะเซ็นในทันที และต้องการรอปรึกษาทนายของบริษัทก่อน
การลังเลของเธอ ในสายตาของ IBM ที่คุ้นเคยกับการเป็นฝ่ายคุมเกมเสมอ มันคือการเสียเวลาและไม่เป็นมืออาชีพ พวกเขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิด
ยังไม่จบแค่นั้น ปัญหาระลอกสองก็ตามมา นั่นคือเรื่องโมเดลการทำธุรกิจ Kildall ต้องการขาย CPM ในรูปแบบของการให้สิทธิ์ใช้งาน (License) ต่อเครื่องในราคาประมาณ 200 ดอลลาร์
แต่ IBM ต้องการจ่ายเงินก้อนเดียวเพื่อซื้อขาดในราคาถูกๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Digital Research ไม่เคยทำ และมันขัดกับวิสัยทัศน์ของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
เมื่อการเจรจาเต็มไปด้วยความขลุกขลักและความไม่ไว้วางใจ IBM ก็ตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด… พวกเขาเดินออกจากห้องประชุมไป
นี่คือจุดเปลี่ยนแห่งประวัติศาสตร์ เมื่อประตูบานหนึ่งปิดลง IBM ก็หันไปเคาะประตูอีกบานหนึ่ง ประตูของบริษัทเล็กๆ ที่ชื่อว่า Microsoft
เมื่อ IBM ไปถึงและถาม Bill Gates ว่าเขามีระบบปฏิบัติการขายหรือไม่ Gates ซึ่งไม่มีผลิตภัณฑ์อยู่ในมือเลย กลับมองเห็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต
ด้วยสัญชาตญาณของนักธุรกิจผู้หิวกระหาย เขาไม่ได้ตอบว่า “ไม่มี” แต่เขากลับตอบว่า “มีแน่นอน เราจัดการให้ได้”
หลังจากรับปากกับ IBM ไปแล้ว Gates และ Paul Allen ก็รีบวิ่งวุ่นเพื่อหาสิ่งที่พวกเขาสัญญาไว้ และโชคก็เข้าข้างพวกเขา
พวกเขาไปพบกับโปรแกรมเมอร์ชื่อ Tim Paterson จากบริษัท Seattle Computer Products ผู้ซึ่งได้สร้างระบบปฏิบัติการตัวหนึ่งขึ้นมา โดยได้รับแรงบันดาลใจอย่างสูงมาจาก CPM ของ Kildall
OS ตัวนั้นมีชื่อเล่นว่า QDOS หรือ Quick and Dirty Operating System ซึ่งแปลตรงๆ ก็คือ “ระบบปฏิบัติการที่ทำแบบลวกๆ”
Microsoft ไม่รอช้า พวกเขาเข้าไปซื้อ QDOS มาด้วยเงินเพียง 75,000 ดอลลาร์ จากนั้นก็นำมันมาปัดฝุ่น เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น MS-DOS แล้วนำกลับไปเสนอให้กับ IBM
และนี่คือความอัจฉริยะที่แท้จริงของ Bill Gates ที่ทำให้เขาแตกต่างจาก Kildall อย่างสิ้นเชิง
Gates ไม่ได้ “ขาย” MS-DOS ให้ IBM แต่เขา “ให้สิทธิ์ใช้งาน” ในราคาที่ถูกมาก และที่สำคัญที่สุด เขายังคงเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ตัวนี้ และมีสิทธิ์ที่จะนำมันไปขายให้ใครก็ได้
IBM ในตอนนั้นอาจจะคิดว่านี่เป็นดีลที่ยอดเยี่ยม เพราะพวกเขาได้ OS ที่ต้องการอย่างรวดเร็วและราคาถูก แต่พวกเขามองข้ามจุดเล็กๆ ที่จะทำให้ Microsoft กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในเวลาต่อมา
เมื่อ IBM PC ที่ทำงานด้วย MS-DOS วางจำหน่าย มันก็ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย แต่สิ่งที่เปลี่ยนเกมอย่างแท้จริงคือการเกิดขึ้นของ “เครื่องคอมพิวเตอร์ลอกเลียนแบบ” หรือ IBM Clones
บริษัทอื่นๆ เริ่มผลิตคอมพิวเตอร์ที่ทำงานได้เหมือน IBM PC ทุกอย่าง และเมื่อพวกเขาต้องการระบบปฏิบัติการ พวกเขาต้องไปซื้อจากใคร? คำตอบคือ Microsoft
ทุกครั้งที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ Clone ขายได้หนึ่งเครื่อง เงินก็จะไหลเข้ากระเป๋าของ Microsoft อย่างต่อเนื่อง มันคือเครื่องปั๊มเงินที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
เมื่อ Gary Kildall เห็น MS-DOS เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือร่างโคลนที่ถอดแบบมาจาก CPM ของเขา Digital Research ขู่ว่าจะฟ้องร้อง IBM และ Microsoft
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย IBM จึงยอมประนีประนอมด้วยการเสนอขาย CPM เป็นอีกหนึ่งทางเลือกบนเครื่อง IBM PC
ฟังดูเหมือนเป็นทางออกที่ยุติธรรม แต่ IBM ก็ได้ลงดาบสังหาร Kildall เป็นครั้งที่สองอย่างเลือดเย็น
พวกเขากำหนดราคาขายของ CPM ไว้สูงถึง 240 ดอลลาร์ ในขณะที่ MS-DOS มีราคาเพียง 40 ดอลลาร์ เป็นคุณ คุณจะเลือกอะไร?
ผลลัพธ์ก็คือ CPM แทบจะไม่มีใครเลือกซื้อ และค่อยๆ ตายไปจากตลาดอย่างช้าๆ ส่วน MS-DOS ก็ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม
หลังจากความพ่ายแพ้ครั้งประวัติศาสตร์ ชื่อของ Gary Kildall และ Digital Research ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน
แม้ว่าตัวเขาจะยังคงเป็นนักประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อีกมากมาย แต่เขาก็ไม่สามารถกลับไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดได้อีกเลย
ในทางกลับกัน Microsoft ได้นำความสำเร็จของ MS-DOS มาต่อยอดเป็นระบบปฏิบัติการ Windows ที่ครองโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และส่งให้ Bill Gates กลายเป็นมหาเศรษฐีที่ทุกคนรู้จัก
ชีวิตของ Gary Kildall จบลงอย่างน่าเศร้าในปี 1994 ด้วยวัยเพียง 52 ปี จากอุบัติเหตุลึกลับในบาร์แห่งหนึ่ง เขาทิ้งไว้เพียงบันทึกความทรงจำที่ไม่ได้ตีพิมพ์ ซึ่งเต็มไปด้วยความขมขื่นและความรู้สึกว่าเขาถูกปล้นชัยชนะไป
เมื่อมองย้อนกลับไป เรื่องราวนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของโชคชะตา แต่มันคือกรณีศึกษาทางธุรกิจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งของโลก
มันคือเรื่องราวที่แสดงให้เห็นว่า การมีผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด อาจไม่สำคัญเท่ากับการมีกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ดีที่สุด
Gary Kildall คืออัจฉริยะผู้สร้างนวัตกรรม แต่ Bill Gates คือนักกลยุทธ์ผู้มองเห็นโอกาสและรู้วิธีที่จะคว้ามันมาครอง
คำถามสุดท้ายที่เรื่องราวนี้ทิ้งไว้ให้เราขบคิดก็คือ ในโลกแห่งความเป็นจริง อะไรคือสิ่งสำคัญกว่ากัน ระหว่าง “สุดยอดนวัตกรรม” กับ “สุดยอดกลยุทธ์”?
ตำนานของ Gary Kildall และ Bill Gates อาจจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดสำหรับคำถามนี้
References : [computerhistory, arstechnica, spectrum .ieee, wired, fastcompany]