Geek Monday EP294 : ทำไม Iridium เจ๊ง แต่ Starlink ปัง? เมื่อเทคโนโลยีที่ดีที่สุด แพ้การตลาดที่ผิดพลาด

พอดแคสต์ EP นี้จะมาชวนคุยเรื่องจริงของบริษัทที่ครั้งหนึ่งเคยถูกยกให้เป็นอนาคตแห่งการสื่อสารของมวลมนุษยชาติ โปรเจกต์ที่รวมเอาสุดยอดหัวกะทิทางวิศวกรรมและเงินทุนมหาศาลจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Motorola แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาความล้มเหลวทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

วันนี้ เราจะมาเจาะลึกเรื่องราวของ Iridium โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมที่ฝันจะเชื่อมต่อคนทั้งโลก แต่กลับเชื่อมต่อกับความเป็นจริงของตลาดไม่ได้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mrhr534w

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/5n8f4u5f

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3hz3yn75

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/-XjKXAD_HbM

TikTok U.S. ซื้อ หรือ ปล้น? เมื่อ Donald Trump ทุบราคาเหลือเพียงแค่ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์!

เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมแอปพลิเคชันอย่าง TikTok ถึงได้รู้จักตัวตนของเราดีขนาดนั้น?

แค่เราไถหน้าจอดูวิดีโอไม่กี่คลิป มันก็เริ่มเรียนรู้และป้อนเนื้อหาที่เราน่าจะชอบมาให้แบบไม่หยุดหย่อน จนบางครั้งเรารู้สึกว่ามันอ่านใจเราได้

พลังอันน่าทึ่งนี้คือหัวใจของความสำเร็จ ที่ทำให้ TikTok กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก มีผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวมากถึง 170 ล้านคน

เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือบริษัท ByteDance ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจากประเทศจีน ที่ถูกประเมินมูลค่าไว้สูงกว่าสามแสนล้านดอลลาร์ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งยุค

แต่ในโลกที่ข้อมูลคืออำนาจ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็มักจะมาพร้อมกับคำถามที่ใหญ่กว่าเสมอ

เรื่องราวทำนองนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หากเราย้อนกลับไปในยุค 1980 ตอนนั้นมหาอำนาจทางเทคโนโลยีที่สหรัฐฯ รู้สึกกังวล ไม่ใช่จีน แต่เป็นญี่ปุ่น

ในยุคนั้น สินค้า “Made in Japan” ทั้งรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า กำลังครองตลาดโลก บริษัทญี่ปุ่นอย่าง Sony สร้างความฮือฮาด้วยการเข้าซื้อสตูดิโอภาพยนตร์ Columbia Pictures ความกังวลในหมู่ชาวอเมริกันก็เกิดขึ้นในลักษณะคล้ายๆ กัน

คำถามในวันนั้นคือ อิทธิพลทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นของญี่ปุ่น จะกลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของอเมริกาหรือไม่

วันนี้ ประวัติศาสตร์กำลังหมุนกลับมาอีกครั้ง แต่สนามรบได้เปลี่ยนไปแล้ว จากโรงงานผลิตรถยนต์และแผ่นฟิล์ม มาสู่สมรภูมิรบที่มองไม่เห็น นั่นคือโลกของข้อมูลและอัลกอริทึม

ความกังวลของรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องวิดีโอเต้นรำ แต่เป็นเรื่องข้อมูลมหาศาลของผู้ใช้งานชาวอเมริกัน 170 ล้านคน ที่อยู่ในมือของบริษัทสัญชาติจีน

จะเกิดอะไรขึ้นหากข้อมูลเหล่านั้นถูกส่งต่อไปยังรัฐบาลจีน? นี่คือคำถามที่นำไปสู่จุดแตกหักครั้งสำคัญ

รัฐสภาสหรัฐฯ ได้ยื่นคำขาด ผ่านกฎหมายที่บังคับให้ ByteDance ต้อง “เลือก” ระหว่างการขายกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ หรือถูกแบนออกจากประเทศภายในวันที่ 20 มกราคม 2025

นี่ไม่ใช่แค่การต่อรองทางธุรกิจ แต่มันคือเส้นตายที่เดิมพันด้วยอนาคตของแอปพลิเคชันที่ร้อนแรงที่สุดในโลก

Donald Trump ประธานาธิบดีผู้มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับ TikTok เขาคือคนที่เคยพยายามจะแบนแอปนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้งานมันเป็นเครื่องมือหาเสียงอย่างทรงพลัง จนมีผู้ติดตามกว่า 15 ล้านคน

และเขาก็เป็นผู้ที่ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ประกาศว่าแผนการขาย TikTok มีความพร้อมแล้ว นี่คือสัญญาณว่ามหากาพย์ที่ยืดเยื้อมานานกำลังจะเดินทางมาถึงบทสรุป

แต่บทสรุปที่ว่านี้ กลับเต็มไปด้วยความน่าประหลาดใจที่ทำให้ทั้งโลกต้องหันมามอง

รองประธานาธิบดี JD Vance ได้ประกาศตัวเลขมูลค่าของบริษัท TikTok ที่จะตั้งขึ้นใหม่ในสหรัฐฯ ไว้ที่ 14,000 ล้านดอลลาร์

ตัวเลขนี้อาจฟังดูมหาศาล แต่เมื่อเรานำไปวางเทียบกับภาพใหญ่ มันกลับดูน้อยจนน่าใจหาย

ลองจินตนาการตามนะครับ ถ้า ByteDance คืออาณาจักรมูลค่ากว่า 330,000 ล้านดอลลาร์ การขายกิจการในตลาดที่สำคัญที่สุดอย่างสหรัฐฯ ในราคาเพียง 14,000 ล้านดอลลาร์

นักวิเคราะห์อย่าง Dan Ives จาก Wedbush Securities เคยประเมินมูลค่าของ TikTok ในสหรัฐฯ ไว้สูงถึง 3-4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งนั่นเป็นการประเมินแบบที่ยังไม่นับรวม “สมบัติล้ำค่า” ที่สุดของบริษัทเข้าไปด้วยซ้ำ

สมบัติที่ว่านั้นก็คือ Recommendation Algorithm หรือ “SECRET SAUCE” ที่ทำให้ TikTok เสพติดได้อย่างที่มันเป็น

มันคือมันสมองกลที่คอยขับเคลื่อนทุกอย่าง เป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีค่าที่สุด และเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งทั้งหมดในดีลครั้งนี้

คำถามสำคัญที่ทุกคนอยากรู้ก็คือ ในข้อตกลงมูลค่า 1.4 หมื่นล้านนี้ ใครกันแน่ที่จะได้ครอบครองมันสมองชิ้นนี้ไป?

ฝั่งทำเนียบขาวของสหรัฐฯ พยายามสร้างภาพที่ชัดเจนว่าชัยชนะเป็นของพวกเขา

คำสั่งของ Trump ระบุว่า อัลกอริทึมจะถูก “ฝึกฝนใหม่” และควบคุมโดยบริษัทอเมริกันทั้งหมด เพื่อรับประกันความปลอดภัยของข้อมูล และยังเปิดเผยรายชื่อกลุ่มทุนที่จะเข้ามาถือหุ้น นำโดยยักษ์ใหญ่ด้านซอฟต์แวร์อย่าง Oracle และนักลงทุนชื่อดังอย่าง Michael Dell และ Rupert Murdoch

ภาพที่ออกมาคือ TikTok เวอร์ชันใหม่ จะเป็นบริษัทอเมริกันแท้ๆ ที่ดำเนินงานโดยคนอเมริกัน เพื่อชาวอเมริกัน

ฟังดูเหมือนเป็นบทสรุปที่สวยงาม แต่ในอีกฟากหนึ่งของโลก เรื่องเล่ากลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

สื่อของจีนอย่าง LatePost และ Caixin ได้รายงานข้อมูลจากแหล่งข่าววงในว่า ByteDance ไม่ได้จะถอยออกไปทั้งหมด แต่จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานเบื้องหลัง ทั้งในส่วนของอีคอมเมิร์ซและการเชื่อมต่อกับธุรกิจระหว่างประเทศ

แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือรายงานข่าวเหล่านี้ถูกลบออกจากโลกออนไลน์ในเวลาต่อมาอย่างเป็นปริศนา ทิ้งไว้เพียงความสงสัยว่าความจริงคืออะไรกันแน่

ความซับซ้อนยังไม่จบเพียงเท่านั้น โครงสร้างการถือหุ้นก็เต็มไปด้วยรายละเอียดที่น่าขบคิด

กลุ่มทุนอเมริกันอย่าง Oracle จะถือหุ้นใหญ่ก็จริง แต่ก็จะมีกลุ่ม “ผู้ถือหุ้นเดิม” ของ ByteDance เข้ามาถือหุ้นอีกราว 30% ส่วนตัว ByteDance เองจะถือหุ้นโดยตรงน้อยกว่า 20% เพื่อให้ไม่ผิดกฎหมาย

ตรงนี้คือพื้นที่สีเทาที่น่าสนใจ การมีอยู่ของผู้ถือหุ้นเดิมเหล่านี้ หมายความว่าอิทธิพลของ ByteDance ได้หายไปอย่างสิ้นเชิงจริงหรือ? หรือเป็นเพียงการปรับโครงสร้างเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายเท่านั้น

มหากาพย์ครั้งนี้จึงเดินทางมาถึงจุดที่ดูเหมือนจะจบ แต่กลับยังไม่จบจริง

แม้คำสั่งฝ่ายบริหารจะถูกลงนาม บริษัทใหม่กำลังจะถูกก่อตั้ง และคณะกรรมการบริหารจะมีเสียงข้างมากเป็นชาวอเมริกัน แต่ความสงสัยก็ยังไม่จางหายไป

คำถามสำคัญที่สุดยังคงไร้คำตอบที่ชัดเจน “อัลกอริทึม” จะถูกจัดการอย่างไรกันแน่?

ศาสตราจารย์ด้านกฎหมาย Alan Rozenshtein ชี้ให้เห็นว่า ประธานาธิบดีได้รับรองดีลนี้ไปแล้ว โดยที่ยังไม่มีใครเห็นรายละเอียดที่ชัดเจนเลยว่า การ “ฝึกฝนใหม่” ที่ว่านั้นหมายถึงอะไร

มันคือการสร้างใหม่จากศูนย์ หรือเป็นเพียงการนำของเก่ามาปรับแก้ โดยที่ทรัพย์สินทางปัญญาดั้งเดิมยังเป็นของ ByteDance อยู่?

ฝั่งการเมืองเองก็ยังไม่สงบ สมาชิกรัฐสภาหลายคนยังคงแสดงความกังขาและต้องการเห็นหลักฐานที่ชัดเจนว่านี่คือการ “ตัดขาดจากจีนอย่างสิ้นเชิง” จริงๆ

เรื่องราวของ TikTok จึงเป็นมากกว่าแค่ข่าวธุรกิจ แต่มันคือภาพสะท้อนของปรากฏการณ์ระดับโลกที่เรียกว่า Splinternet

แนวคิดนี้เชื่อว่า อินเทอร์เน็ตที่เคยเป็นหนึ่งเดียวไร้พรมแดน กำลังถูกแบ่งแยกออกเป็นส่วนๆ ด้วย “กำแพงดิจิทัล” ที่มองไม่เห็น ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

ดีลของ TikTok อาจกลายเป็นพิมพ์เขียวสำหรับโลกอินเทอร์เน็ตในอนาคต ที่บริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติจะต้องปรับตัวให้เข้ากับกฎเกณฑ์ด้านความมั่นคงของแต่ละประเทศ

มันคือโลกที่การแข่งขันไม่ได้วัดกันที่นวัตกรรมเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ต้องดำเนินไปภายใต้กติกาทางการเมืองที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ

หากย้อนกลับไปมองการต่อสู้ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นในอดีต สนามรบในวันนั้นคือส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์และเซมิคอนดักเตอร์

แต่ในวันนี้ สนามรบได้เปลี่ยนมาเป็นข้อมูลส่วนบุคคลและอัลกอริทึมที่ควบคุมความคิดของผู้คน

บทสรุปของเรื่องนี้จึงอาจไม่ใช่ชัยชนะที่เด็ดขาดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ByteDance อาจสูญเสียการควบคุมโดยตรง แต่ก็ยังรักษาตลาดที่ใหญ่ที่สุดเอาไว้ได้ ขณะที่สหรัฐฯ อาจประกาศชัยชนะในการปกป้องข้อมูล แต่ก็ต้องแลกมากับการสร้างบรรทัดฐานที่อาจส่งผลต่อการค้าเสรีในระยะยาว

เรื่องราวของ TikTok ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สมรภูมิรบแห่งศตวรรษที่ 21 กำลังเคลื่อนตัวจากโลกกายภาพเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

ข้อตกลงอาจจะถูกลงนามไปแล้ว แต่สงครามเย็นทางดิจิทัลครั้งใหม่… เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง

References : [reuters, bloomberg, wsj, cnbc, techcrunch]

พลาดครั้งเดียว เปลี่ยนโลก! Gary Kildall เรื่องจริงของชายผู้มาก่อน Bill Gates

หากเราพูดถึงบุคคลที่ปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์และกลายเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก ชื่อของ Bill Gates คงจะเป็นชื่อแรกที่ทุกคนนึกถึง แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าผมบอกว่าประวัติศาสตร์หน้าแรกของยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้น ควรจะเป็นของชายอีกคนหนึ่ง

เรื่องราวทั้งหมด อาจจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพียงเพราะการตัดสินใจในห้องประชุมเล็ก ๆ ห้องหนึ่งในวันนั้น…

นี่คือเรื่องจริงของ Gary Kildall ชายผู้เป็นอัจฉริยะที่มาก่อนกาล แต่กลับถูกคลื่นแห่งประวัติศาสตร์ซัดหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงตำนานที่น่าเสียดายที่สุดเรื่องหนึ่งในซิลิคอนแวลลีย์

ย้อนกลับไปในช่วงปลายยุค 1970 โลกเพิ่งจะได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า “ไมโครคอมพิวเตอร์” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ PC ที่เราใช้กันทุกวันนี้

ในยุคนั้น ถ้าฮาร์ดแวร์คือร่างกายของคอมพิวเตอร์ สิ่งที่เปรียบเสมือนจิตวิญญาณก็คือ “ระบบปฏิบัติการ” หรือ OS และราชาผู้ครองบัลลังก์ OS ในตอนนั้น มีเพียงชื่อเดียวเท่านั้น นั่นคือ CPM

CPM หรือ Control Program for Microprocessors คือผลงานชิ้นเอกของ Gary Kildall เขาไม่ได้เป็นแค่นักธุรกิจ แต่เป็นนักวิชาการระดับศาสตราจารย์ผู้มองเห็นอนาคต

บริษัทของเขา Digital Research คือผู้นำตลาดอย่างไม่มีใครเทียบได้ พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าคุณซื้อคอมพิวเตอร์สักเครื่องในยุคนั้น ร้อยทั้งร้อยจะต้องทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ CPM

ในขณะที่ Kildall กำลังอยู่บนจุดสูงสุดของวงการ ที่อีกมุมหนึ่ง ยังมีบริษัทซอฟต์แวร์เล็กๆ ที่ชื่อว่า Microsoft ของสองหนุ่ม Bill Gates และ Paul Allen

ตอนนั้น Microsoft ยังไม่ใช่ผู้เล่นรายใหญ่ พวกเขาโด่งดังจากการสร้างภาษาคอมพิวเตอร์อย่าง BASIC แต่ยังไม่เคยสร้างระบบปฏิบัติการของตัวเองเลย

ฟากฝั่งของ IBM ซึ่งในตอนนั้นเป็นเจ้าแห่งโลกคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่สำหรับองค์กร แต่พวกเขาก็ตระหนักดีว่า คลื่นลูกใหม่ที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังจะเปลี่ยนโลก

ด้วยความรีบร้อน IBM จึงได้จัดตั้งโปรเจกต์ลับที่ชื่อว่า “Project Chess” เพื่อสร้าง IBM PC เครื่องแรกของโลกขึ้นมา แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าไม่มีเวลาพอที่จะสร้างทุกอย่างเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ระบบปฏิบัติการ” ที่เป็นหัวใจสำคัญ

แล้วทางเลือกที่ดีที่สุดและสมเหตุสมผลที่สุดคืออะไร? คำตอบก็คือการไปหาผู้นำตลาด ไปหาคนที่มีผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดอยู่แล้ว นั่นก็คือ Digital Research ของ Gary Kildall

ทุกอย่างดูเหมือนจะลงตัว การจับมือกันระหว่างยักษ์ใหญ่ด้านฮาร์ดแวร์และราชาแห่งซอฟต์แวร์กำลังจะเกิดขึ้น นี่คือดีลที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลก

ตำนานที่ผู้คนเล่าขานกันมากที่สุดก็คือ เมื่อทีมผู้บริหารของ IBM ในชุดสูทเต็มยศ เดินทางมาถึงออฟฟิศของ Digital Research พวกเขากลับไม่พบตัว Gary Kildall

เรื่องเล่าบอกว่า เขากำลังขับเครื่องบินส่วนตัวเล่นอย่างสบายใจ ปล่อยให้ภรรยาและหุ้นส่วนธุรกิจของเขา Dorothy McEwen เป็นคนเจรจาแทน

แต่ความจริงที่ซับซ้อนกว่านั้นก็คือ แม้ Kildall จะไม่อยู่ในช่วงเช้า แต่เขาก็กลับมาที่ออฟฟิศในบ่ายวันเดียวกัน ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การหายไปของเขา

แต่อยู่ที่เอกสารแผ่นเดียวที่ทีมทนายของ IBM ยื่นให้ก่อนเริ่มการสนทนา นั่นคือ ข้อตกลงไม่เปิดเผยความลับ หรือ NDA (Non-Disclosure Agreement)

NDA ฉบับนั้นมีเนื้อหาที่เอาเปรียบอย่างมาก มันบังคับให้ Digital Research ต้องเปิดเผยความลับทางเทคโนโลยีทั้งหมด แต่ IBM ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยอะไรเลย

Dorothy ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่เฉียบแหลม รู้สึกว่าข้อตกลงนี้ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง เธอจึงปฏิเสธที่จะเซ็นในทันที และต้องการรอปรึกษาทนายของบริษัทก่อน

การลังเลของเธอ ในสายตาของ IBM ที่คุ้นเคยกับการเป็นฝ่ายคุมเกมเสมอ มันคือการเสียเวลาและไม่เป็นมืออาชีพ พวกเขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิด

ยังไม่จบแค่นั้น ปัญหาระลอกสองก็ตามมา นั่นคือเรื่องโมเดลการทำธุรกิจ Kildall ต้องการขาย CPM ในรูปแบบของการให้สิทธิ์ใช้งาน (License) ต่อเครื่องในราคาประมาณ 200 ดอลลาร์

แต่ IBM ต้องการจ่ายเงินก้อนเดียวเพื่อซื้อขาดในราคาถูกๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Digital Research ไม่เคยทำ และมันขัดกับวิสัยทัศน์ของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง

เมื่อการเจรจาเต็มไปด้วยความขลุกขลักและความไม่ไว้วางใจ IBM ก็ตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด… พวกเขาเดินออกจากห้องประชุมไป

นี่คือจุดเปลี่ยนแห่งประวัติศาสตร์ เมื่อประตูบานหนึ่งปิดลง IBM ก็หันไปเคาะประตูอีกบานหนึ่ง ประตูของบริษัทเล็กๆ ที่ชื่อว่า Microsoft

เมื่อ IBM ไปถึงและถาม Bill Gates ว่าเขามีระบบปฏิบัติการขายหรือไม่ Gates ซึ่งไม่มีผลิตภัณฑ์อยู่ในมือเลย กลับมองเห็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต

ด้วยสัญชาตญาณของนักธุรกิจผู้หิวกระหาย เขาไม่ได้ตอบว่า “ไม่มี” แต่เขากลับตอบว่า “มีแน่นอน เราจัดการให้ได้”

หลังจากรับปากกับ IBM ไปแล้ว Gates และ Paul Allen ก็รีบวิ่งวุ่นเพื่อหาสิ่งที่พวกเขาสัญญาไว้ และโชคก็เข้าข้างพวกเขา

พวกเขาไปพบกับโปรแกรมเมอร์ชื่อ Tim Paterson จากบริษัท Seattle Computer Products ผู้ซึ่งได้สร้างระบบปฏิบัติการตัวหนึ่งขึ้นมา โดยได้รับแรงบันดาลใจอย่างสูงมาจาก CPM ของ Kildall

OS ตัวนั้นมีชื่อเล่นว่า QDOS หรือ Quick and Dirty Operating System ซึ่งแปลตรงๆ ก็คือ “ระบบปฏิบัติการที่ทำแบบลวกๆ”

Microsoft ไม่รอช้า พวกเขาเข้าไปซื้อ QDOS มาด้วยเงินเพียง 75,000 ดอลลาร์ จากนั้นก็นำมันมาปัดฝุ่น เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น MS-DOS แล้วนำกลับไปเสนอให้กับ IBM

และนี่คือความอัจฉริยะที่แท้จริงของ Bill Gates ที่ทำให้เขาแตกต่างจาก Kildall อย่างสิ้นเชิง

Gates ไม่ได้ “ขาย” MS-DOS ให้ IBM แต่เขา “ให้สิทธิ์ใช้งาน” ในราคาที่ถูกมาก และที่สำคัญที่สุด เขายังคงเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ตัวนี้ และมีสิทธิ์ที่จะนำมันไปขายให้ใครก็ได้

IBM ในตอนนั้นอาจจะคิดว่านี่เป็นดีลที่ยอดเยี่ยม เพราะพวกเขาได้ OS ที่ต้องการอย่างรวดเร็วและราคาถูก แต่พวกเขามองข้ามจุดเล็กๆ ที่จะทำให้ Microsoft กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในเวลาต่อมา

เมื่อ IBM PC ที่ทำงานด้วย MS-DOS วางจำหน่าย มันก็ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย แต่สิ่งที่เปลี่ยนเกมอย่างแท้จริงคือการเกิดขึ้นของ “เครื่องคอมพิวเตอร์ลอกเลียนแบบ” หรือ IBM Clones

บริษัทอื่นๆ เริ่มผลิตคอมพิวเตอร์ที่ทำงานได้เหมือน IBM PC ทุกอย่าง และเมื่อพวกเขาต้องการระบบปฏิบัติการ พวกเขาต้องไปซื้อจากใคร? คำตอบคือ Microsoft

ทุกครั้งที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ Clone ขายได้หนึ่งเครื่อง เงินก็จะไหลเข้ากระเป๋าของ Microsoft อย่างต่อเนื่อง มันคือเครื่องปั๊มเงินที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง

เมื่อ Gary Kildall เห็น MS-DOS เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือร่างโคลนที่ถอดแบบมาจาก CPM ของเขา Digital Research ขู่ว่าจะฟ้องร้อง IBM และ Microsoft

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย IBM จึงยอมประนีประนอมด้วยการเสนอขาย CPM เป็นอีกหนึ่งทางเลือกบนเครื่อง IBM PC

ฟังดูเหมือนเป็นทางออกที่ยุติธรรม แต่ IBM ก็ได้ลงดาบสังหาร Kildall เป็นครั้งที่สองอย่างเลือดเย็น

พวกเขากำหนดราคาขายของ CPM ไว้สูงถึง 240 ดอลลาร์ ในขณะที่ MS-DOS มีราคาเพียง 40 ดอลลาร์ เป็นคุณ คุณจะเลือกอะไร?

ผลลัพธ์ก็คือ CPM แทบจะไม่มีใครเลือกซื้อ และค่อยๆ ตายไปจากตลาดอย่างช้าๆ ส่วน MS-DOS ก็ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม

หลังจากความพ่ายแพ้ครั้งประวัติศาสตร์ ชื่อของ Gary Kildall และ Digital Research ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน

แม้ว่าตัวเขาจะยังคงเป็นนักประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อีกมากมาย แต่เขาก็ไม่สามารถกลับไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดได้อีกเลย

ในทางกลับกัน Microsoft ได้นำความสำเร็จของ MS-DOS มาต่อยอดเป็นระบบปฏิบัติการ Windows ที่ครองโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และส่งให้ Bill Gates กลายเป็นมหาเศรษฐีที่ทุกคนรู้จัก

ชีวิตของ Gary Kildall จบลงอย่างน่าเศร้าในปี 1994 ด้วยวัยเพียง 52 ปี จากอุบัติเหตุลึกลับในบาร์แห่งหนึ่ง เขาทิ้งไว้เพียงบันทึกความทรงจำที่ไม่ได้ตีพิมพ์ ซึ่งเต็มไปด้วยความขมขื่นและความรู้สึกว่าเขาถูกปล้นชัยชนะไป

เมื่อมองย้อนกลับไป เรื่องราวนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของโชคชะตา แต่มันคือกรณีศึกษาทางธุรกิจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งของโลก

มันคือเรื่องราวที่แสดงให้เห็นว่า การมีผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด อาจไม่สำคัญเท่ากับการมีกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ดีที่สุด

Gary Kildall คืออัจฉริยะผู้สร้างนวัตกรรม แต่ Bill Gates คือนักกลยุทธ์ผู้มองเห็นโอกาสและรู้วิธีที่จะคว้ามันมาครอง

คำถามสุดท้ายที่เรื่องราวนี้ทิ้งไว้ให้เราขบคิดก็คือ ในโลกแห่งความเป็นจริง อะไรคือสิ่งสำคัญกว่ากัน ระหว่าง “สุดยอดนวัตกรรม” กับ “สุดยอดกลยุทธ์”?

ตำนานของ Gary Kildall และ Bill Gates อาจจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดสำหรับคำถามนี้

References : [computerhistory, arstechnica, spectrum .ieee, wired, fastcompany]