ถ้ามีการลงทุนครั้งหนึ่ง ที่เปลี่ยนเงินของคุณให้งอกเงยขึ้นมา 30 เท่า คุณจะทำอย่างไรกับมันครับ?
แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่คงตอบว่า “ก็ถือต่อไปสิ” เพราะหุ้นที่ให้ผลตอบแทนระดับนี้ ย่อมเป็นหุ้นในฝันที่หาได้ยากยิ่งในชีวิต
แต่ถ้าคนที่ตัดสินใจขายหุ้นตัวนี้ทิ้งทั้งหมด คือ Warren Buffett นักลงทุนที่ได้รับการยอมรับว่าเก่งที่สุดในโลกคนหนึ่ง เรื่องราวก็คงน่าสนใจขึ้นมาทันที
เมื่อไม่นานมานี้ วงการลงทุนทั่วโลกต่างจับจ้องไปที่ข่าวใหญ่ชิ้นหนึ่ง นั่นคือ Berkshire Hathaway บริษัทของปู่ Buffett ได้ขายหุ้น BYD บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน ที่ถือมายาวนานถึง 16 ปี…จนหมดเกลี้ยงพอร์ต
การตัดสินใจครั้งนี้สร้างความประหลาดใจให้หลายคน เพราะนี่คือหนึ่งในดีลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Berkshire เป็นการลงทุนที่เปลี่ยนเงิน 232 ล้านดอลลาร์ ให้กลายเป็นกำไรมหาศาลราว 7 พันล้านดอลลาร์
คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้น…ทำไม?
ทำไมปรมาจารย์ด้านการลงทุนเน้นคุณค่า ผู้มีปรัชญา “ซื้อแล้วถือยาว” เป็นเครื่องหมายการค้า ถึงเลือกที่จะบอกลาหุ้นสุดรัก ที่เปรียบเสมือนเครื่องจักรผลิตเงินสดของเขา
เรื่องราวทั้งหมดนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของการขายทำกำไร แต่มันคือมหากาพย์การลงทุน ที่เต็มไปด้วยวิสัยทัศน์ ความเชื่อมั่นในตัวบุคคล และบทเรียนที่ล้ำค่า
ย้อนกลับไปในปี 2008 โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่เรียกว่า Hamburger Crisis ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งเหว นักลงทุนต่างเทขายสินทรัพย์ทุกอย่างที่ขวางหน้า บรรยากาศเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
แต่ท่ามกลางความโกลาหลนั้น สองคู่หูนักลงทุนในตำนานอย่าง Warren Buffett และเพื่อนซี้ของเขา Charlie Munger กลับมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น…นั่นคือ “โอกาส”
และโอกาสนั้นก็ปรากฏขึ้นในรูปแบบของบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติจีน ที่คนส่วนใหญ่ในโลกตะวันตกแทบไม่เคยได้ยินชื่อ…บริษัทที่ชื่อว่า BYD
ถ้าใครติดตามสไตล์การลงทุนของ Buffett จะรู้ดีว่าเขาชื่นชอบบริษัทอเมริกันที่มั่นคง แบรนด์แข็งแกร่ง และอยู่ในธุรกิจที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน อย่างเช่น Coca-Cola หรือ American Express
แต่ BYD ในเวลานั้น คือภาพที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีจากจีน ที่กำลังพยายามบุกเบิกอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีการแข่งขันที่ดุเดือดและต้องใช้เงินทุนมหาศาล
การลงทุนครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการที่ Buffett กำลังฉีกตำราการลงทุนของตัวเองทิ้ง แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจเช่นนั้น?
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ตัว Buffett ครับ แต่อยู่ที่คู่หูของเขา Charlie Munger
Munger คือคนที่มองเห็นเพชรในตม เขาเคยกล่าวว่า การลงทุนใน BYD คือ “ผลงานชิ้นโบแดง” ที่สุดที่เขาเคยทำให้กับ Berkshire เลยทีเดียว
สิ่งที่ทำให้ Munger เชื่อมั่นได้ขนาดนั้น ไม่ใช่ตัวเลขในงบการเงินหรือกราฟเทคนิค แต่คือชายที่ชื่อว่า Wang Chuanfu (หวัง ชวนฟู) ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ BYD
Wang Chuanfu ไม่ใช่นักธุรกิจทั่วไป เขาคือวิศวกรเคมีอัจฉริยะ ที่เริ่มต้นจากการเป็นนักวิจัยในหน่วยงานรัฐ ก่อนจะตัดสินใจออกมาสร้างอาณาจักรของตัวเองในปี 1995
ภารกิจแรกของเขาคือการผลิตแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้ เพื่อท้าชิงส่วนแบ่งตลาดจากยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น และเขาก็ทำสำเร็จอย่างงดงาม
BYD กลายเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ที่ส่งของให้กับแบรนด์มือถือดังอย่าง Nokia และ Motorola ซึ่ง Munger ถึงกับเอ่ยปากชมว่าเป็น “เรื่องมหัศจรรย์”
แต่ Wang Chuanfu ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เขายังนำพาบริษัทเข้าสู่ธุรกิจชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ และประสบความสำเร็จอีกครั้ง จน Munger เรียกว่าเป็น “มหัศจรรย์เรื่องที่สอง”
และแล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุด เมื่อ Wang Chuanfu ตัดสินใจนำพา BYD กระโจนเข้าสู่อุตสาหกรรมรถยนต์
Munger ทึ่งในความสามารถและวิสัยทัศน์ของชายคนนี้มาก ถึงขนาดเคยให้คำนิยามอันโด่งดังไว้ว่า “ชายคนนี้คือส่วนผสมระหว่าง Thomas Edison และ Jack Welch”
หมายความว่า เขาเป็นทั้งสุดยอดนักประดิษฐ์ที่แก้ปัญหาทางเทคนิคได้อย่าง Edison และเป็นสุดยอดผู้บริหารที่สามารถผลักดันให้งานสำเร็จลุล่วงได้อย่าง Jack Welch
Munger พยายามอย่างหนักที่จะโน้มน้าวให้ Buffett เห็นด้วยกับการลงทุนนี้ ในช่วงแรก Buffett เองก็ยังลังเล เพราะมันอยู่นอกเหนือขอบข่ายความเชี่ยวชาญของเขา
แต่ด้วยความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าของ Munger ที่มองทะลุไปถึงศักยภาพของ Wang Chuanfu ในที่สุด Buffett ก็ยอมตกลง
และนั่นคือจุดเริ่มต้น…ในปี 2008 Berkshire Hathaway ได้ใช้เงิน 232 ล้านดอลลาร์ เข้าซื้อหุ้น BYD จำนวน 225 ล้านหุ้น
หลังจากที่ Berkshire เข้าลงทุน โลกก็ได้ประจักษ์ถึงการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ BYD พวกเขาใช้ความเชี่ยวชาญด้านแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า มาเป็นอาวุธหลักในการแข่งขัน
BYD สามารถพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ของตัวเองที่ชื่อว่า “Blade Battery” ซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมากในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ทำให้พวกเขาสามารถควบคุมต้นทุนและเทคโนโลยีได้เหนือกว่าคู่แข่ง
ราคาหุ้น BYD พุ่งทะยานราวกับติดจรวด จากราคาที่ Buffett ซื้อแค่เพียงหุ้นละประมาณ 1 ดอลลาร์กว่าๆ มีช่วงหนึ่งที่ราคาเคยพุ่งขึ้นไปมากกว่า 50 เท่า
มูลค่าการลงทุนของ Berkshire จากเงินต้น 232 ล้านดอลลาร์ ได้เติบโตจนเคยมีมูลค่าสูงสุดถึง 9 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน ปี 2022
ตลอดระยะเวลาเกือบ 14 ปีเต็ม Berkshire ไม่เคยขายหุ้น BYD ออกมาเลยแม้แต่หุ้นเดียว นี่คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนถึงปรัชญาการลงทุนแบบอดทนรอคอย ที่ Buffett ยึดมั่นมาตลอด
แต่แล้ว…จุดเปลี่ยนของเรื่องราวก็มาถึง
ในเดือนกรกฎาคม 2022 มีข่าวแพร่ออกมาว่า Berkshire ได้นำหุ้น BYD ทั้งหมดที่ถืออยู่ เข้าไปอยู่ในระบบของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว นี่คือการส่งสัญญาณบอกทุกคนว่า “ฉันพร้อมที่จะขายแล้ว”
และหลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เริ่มต้นการ “ทยอยขาย” หุ้นออกมาจริงๆ
คำถามเดิมกลับมาอีกครั้ง…ทำไมล่ะ? ในเมื่อบริษัทยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างประเทศจีน และผลประกอบการก็ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
Buffett ได้ให้คำตอบเรื่องนี้ไว้ในงานประชุมผู้ถือหุ้น เขาชี้ไปที่ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาล และบอกว่าเขาเห็นโอกาสในการนำเงินไปลงทุนในที่อื่นที่อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
นี่คือหัวใจสำคัญที่เราต้องทำความเข้าใจ ปรัชญาของ Buffett ไม่ใช่การ “ซื้อและถือตลอดไป” แบบไม่ลืมหูลืมตา แต่คือการ “ซื้อธุรกิจที่ยอดเยี่ยม ในราคาที่สมเหตุสมผล”
เมื่อราคาหุ้น BYD พุ่งขึ้นไปหลายสิบเท่า มันอาจจะเกินกว่ามูลค่าที่ Buffett ประเมินไว้ไปมากแล้วก็เป็นได้ การขายทำกำไรออกมาเพื่อไปหาโอกาสใหม่ๆ ที่ราคายังไม่แพง จึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่อาจมีผลต่อการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันในตลาดรถ EV ของจีนที่รุนแรงขึ้นทุกวัน มีผู้เล่นหน้าใหม่กระโดดเข้ามามากมาย
รวมไปถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่อาจสร้างความไม่แน่นอนให้กับการลงทุนในระยะยาว
การตัดสินใจขายจึงไม่ใช่การทำตามอารมณ์ แต่เป็นการประเมินอย่างรอบด้านและเป็นระบบ
Berkshire ค่อยๆ ลดสัดส่วนการถือครองลงมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในที่สุด รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปีนี้ก็ได้ยืนยันว่า พวกเขาได้ขายหุ้นส่วนที่เหลือออกไปจนหมดแล้ว
เป็นการปิดฉากการลงทุนที่ยาวนานถึง 16 ปีลงอย่างสมบูรณ์
บทสรุปของมหากาพย์ครั้งนี้คือ Berkshire Hathaway เปลี่ยนเงิน 232 ล้านดอลลาร์ ให้กลายเป็นเงินประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์ สร้างผลตอบแทนได้ถึง 30 เท่า
แต่สิ่งที่ล้ำค่ากว่าตัวเลขกำไร คือบทเรียนที่เราสามารถเรียนรู้จากเรื่องราวทั้งหมดนี้
บทเรียนแรกคือ การเดิมพันกับ “คน” สำคัญไม่แพ้การเดิมพันกับ “บริษัท” ดีลนี้อาจไม่เกิดขึ้นเลย หาก Munger ไม่ได้มองเห็นอัจฉริยภาพในตัว Wang Chuanfu
บทเรียนที่สองคือ พลังของ “ความอดทน” การถือหุ้นที่ดีเป็นเวลา 14 ปีโดยไม่หวั่นไหวต่อความผันผวนระหว่างทาง คือสิ่งที่แยกนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จออกจากคนทั่วไป
บทเรียนที่สามคือ ศิลปะของการ “ขาย” นักลงทุนส่วนใหญ่มักหมกมุ่นกับการหาจุดซื้อ แต่ Buffett แสดงให้เห็นว่าการรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะขายนั้นสำคัญไม่แพ้กัน เขาขายตอนที่ทุกอย่างยังดูดี เพราะราคาได้สะท้อนความคาดหวังไปมากแล้ว
และบทเรียนสุดท้ายคือ การไม่ยึดติดกับความสำเร็จในอดีต แม้ BYD จะเป็นหุ้นที่รักและสร้างความมั่งคั่งให้มหาศาล แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เขาก็พร้อมที่จะปล่อยมือและเดินหน้าต่อไปหาโอกาสใหม่ๆ
เรื่องราวของ Buffett กับ BYD จึงไม่ใช่แค่ตำนานการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนอย่างน่าทึ่ง แต่มันคือ Masterclass การลงทุนฉบับสมบูรณ์ ที่สอนเราตั้งแต่การมองหาโอกาส การเชื่อมั่นในผู้นำ ความอดทนรอคอย และที่สำคัญที่สุดคือ…วินัยในการตัดสินใจขาย เมื่อเรื่องราวอันสวยงามได้เดินทางมาถึงบทสุดท้ายของมันแล้วนั่นเองครับผม
References : [businessinsider, cnbc, reuters, bloomberg, finance .yahoo]