ต้องบอกว่า Nvidia จากบริษัทที่สร้างอุปกรณ์เพื่อความบันเทิง วันนี้พวกเขากลายเป็นผู้กุมอำนาจเบื้องหลังเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดแห่งยุคสมัย นั่นคือ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
คำถามที่น่าสนใจก็คือ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อราชาแห่งโลก AI ตัดสินใจทุ่มเงินเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ให้กับบริษัทสตาร์ทอัพที่ร้อนแรงที่สุดในโลกอย่าง OpenAI?
นี่คือเรื่องราวของดีลมูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของตัวเลข แต่คือการเดิมพันอนาคตของมวลมนุษยชาติ
ย้อนกลับไปไม่กี่สิบปีก่อน Nvidia เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิตชิปประมวลผลกราฟิก หรือ GPU ที่ทำให้ภาพในเกมคอมพิวเตอร์มีความสมจริงและสวยงามตระการตา
พวกเขาคือฮีโร่ของเหล่าเกมเมอร์ แต่ในมุมของนักลงทุน Wall Street ตอนนั้น Nvidia ก็เป็นเพียงบริษัทฮาร์ดแวร์เฉพาะกลุ่มเท่านั้น
แต่ชายที่ชื่อ Jensen Huang CEO และผู้ร่วมก่อตั้งในแจ็กเกตหนังสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ มองเห็นอะไรที่ไกลกว่านั้น
เขาเห็นว่าพลังการประมวลผลแบบขนาน (Parallel Processing) ของชิป GPU ที่สามารถคำนวณหลายๆ อย่างได้พร้อมกัน ไม่ได้มีประโยชน์แค่การสร้างภาพสวยๆ
แต่มันสามารถนำมาใช้กับการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน และที่สำคัญที่สุด มันคือโครงสร้างที่สมบูรณ์แบบสำหรับ “สมอง” ของปัญญาประดิษฐ์
Nvidia จึงไม่ได้ขายแค่ “เหล็ก” หรือตัวชิป แต่พวกเขาสร้าง “ระบบนิเวศ” ที่ชื่อว่า CUDA ขึ้นมา เป็นเหมือนภาษากลางที่ทำให้นักพัฒนาสามารถดึงศักยภาพของ GPU ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่
การตัดสินใจครั้งนั้น ได้เปลี่ยน Nvidia จากบริษัทการ์ดจอ ให้กลายเป็นผู้ผูกขาด “พลั่วและเสียม” ในยุคตื่นทอง AI ไปโดยปริยาย
ในอีกฟากหนึ่งของสมการ คือเรื่องราวของ OpenAI บริษัทที่เริ่มต้นจากอุดมการณ์อันสูงส่ง
Sam Altman และกลุ่มผู้ก่อตั้ง ต้องการสร้างปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence หรือ AGI) ที่มีความสามารถทัดเทียมหรือเหนือกว่ามนุษย์
เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่เพื่อผลกำไรสูงสุด แต่เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง
แต่การจะสร้าง AI ที่ฉลาดล้ำขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเสมือนการเลี้ยงดูอัจฉริยะที่กินจุมาก และอาหารที่ว่านั้นก็คือ “พลังการประมวลผล” หรือ Compute
ยิ่งโมเดล AI ฉลาดขึ้นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งหิวโหยพลังการประมวลผลมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนี่คือต้นทุนที่มหาศาลที่สุดของ OpenAI
และใครกัน คือผู้ผลิต “อาหาร” ที่ดีที่สุดและทรงพลังที่สุดในโลกใบนี้? คำตอบก็มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ Nvidia
เมื่อผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ที่สุด จับมือกับผู้บริโภคที่หิวโหยที่สุดในโลก ข่าวใหญ่จึงบังเกิดขึ้น
Nvidia ประกาศแผนการลงทุนใน OpenAI ด้วยมูลค่าสูงสุดถึง 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แลกกับการเข้าถือหุ้นในสัดส่วนที่สำคัญ
และ OpenAI ก็จะนำเงินก้อนนั้น มาสั่งซื้อโปรเซสเซอร์ AI ของ Nvidia จำนวนหลายล้านชิ้น
คำถามที่ดังก้องไปทั่วทั้งวงการเทคโนโลยีและตลาดทุนก็คือ… ทำไม?
ทำไม Nvidia ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดอยู่แล้ว ต้องทุ่มเงินมหาศาลขนาดนี้ให้กับบริษัทที่ยังคงขาดทุนอยู่?
มองเผินๆ ดีลนี้อาจดูเหมือนการล้วงเงินจากกระเป๋าซ้ายไปใส่กระเป๋าขวา แต่เมื่อมองให้ลึกลงไป เราจะเห็นเกมการวางหมากที่ซับซ้อนและแยบยลอย่างยิ่ง
ในมุมของ OpenAI สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้ ไม่ใช่เงิน แต่คือ “หลักประกัน”
ลองจินตนาการว่าคุณกำลังจะสร้างสุดยอดรถแข่ง แต่มีโรงงานผลิตเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดในโลกอยู่เพียงแห่งเดียว และทุกคนก็กำลังต่อคิวแย่งกันซื้อเครื่องยนต์นั้น
ดีลนี้ก็เปรียบเสมือนการที่ OpenAI ได้รับสิทธิ์ “ลัดคิว” และการันตีว่าจะได้เครื่องยนต์รุ่นที่ดีที่สุดไปใช้อีกนานหลายปี ไม่ว่าตลาดจะขาดแคลนแค่ไหนก็ตาม
มันคือการซื้อความมั่นคง เพื่อให้พวกเขาสามารถมุ่งหน้าสู่เป้าหมายการสร้าง AGI ได้อย่างเต็มกำลัง โดยไม่ต้องพะวงว่าเชื้อเพลิงจะหมดกลางทาง
ทีนี้ มาดูในมุมของ Nvidia ซึ่งเป็นส่วนที่น่าสนใจที่สุดของเรื่องราวนี้
การลงทุนครั้งนี้ไม่ใช่แค่การซื้อหุ้นธรรมดา แต่มันคือสุดยอดกลยุทธ์ 4 ชั้น ที่ Jensen Huang วางเอาไว้
ชั้นแรก คือการ “ล็อกลูกค้า” รายใหญ่ที่สุดเอาไว้กับตัว การันตียอดขายในอนาคตสำหรับชิปรุ่นใหม่อย่าง Blackwell หรือ Vera Rubin ที่จะทยอยออกมา
ชั้นที่สอง คือการ “สร้างกำแพง” ป้องกันคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็น AMD, Intel หรือแม้แต่ลูกค้าของพวกเขาเองอย่าง Google และ Microsoft ที่พยายามสร้างชิปของตัวเอง
การผูก OpenAI ไว้กับระบบนิเวศของ Nvidia อย่างเหนียวแน่น ทำให้การเปลี่ยนไปใช้ชิปค่ายอื่นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
ชั้นที่สาม คือการซื้อ “ตั๋วสู่อนาคต” หาก OpenAI สามารถสร้าง AGI ได้สำเร็จจริงๆ หุ้นที่ Nvidia ถืออยู่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมหาศาลจนประเมินค่าไม่ได้
มันคือการเดิมพันข้างผู้ชนะ ในเกมการแข่งขันที่รางวัลคือการเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ
และชั้นสุดท้าย คือการ “ส่งสัญญาณ” ถึงตลาด การที่บริษัท AI ผู้นำเทรนด์อย่าง OpenAI เลือกใช้เทคโนโลยีของพวกเขาอย่างหมดใจ คือการตอกย้ำสถานะความเป็นเจ้าตลาดที่ไม่มีใครเทียบได้
ดังนั้น เงินแสนล้านนี้จึงเป็นทั้ง ค่าประกันยอดขาย ค่าสร้างกำแพงธุรกิจ ค่าตั๋วสู่อนาคต และค่าการตลาดชั้นยอด รวมอยู่ในก้อนเดียวกัน
มันคือการเดิมพันที่คำนวณมาอย่างดีแล้วว่า ไม่ว่าจะมองมุมไหน Nvidia ก็แทบจะไม่มีทางแพ้ในเกมนี้เลย
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องราวของบริษัทเพียงสองแห่งเท่านั้น แต่มันสะท้อนภาพใหญ่ของสงคราม AI ที่กำลังดุเดือด
ดีลนี้ได้ยกระดับการแข่งขันขึ้นไปอีกขั้น บีบให้ผู้เล่นรายอื่นต้องเร่งเครื่องตามให้ทัน
เรากำลังจะได้เห็นการทุ่มงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาที่สูงขึ้น การควบรวมกิจการที่มากขึ้น และการแข่งขันเพื่อแย่งชิงบุคลากรด้าน AI ที่เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม
ผลกระทบจากดีลนี้จะส่งตรงมาถึงพวกเราทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในแง่หนึ่ง มันคือข่าวดี การเร่งพัฒนาเทคโนโลยีจะทำให้เราได้เห็น AI ที่มีความสามารถสูงขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งอาจนำไปสู่การค้นพบทางการแพทย์ใหม่ๆ หรือการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ
แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันก็สร้างคำถามที่น่ากังวลถึงการ “รวมศูนย์ของอำนาจ”
เมื่อเทคโนโลยีที่อาจจะทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ ถูกควบคุมและพัฒนาโดยบริษัทเอกชนเพียงไม่กี่แห่ง อะไรคือหลักประกันว่ามันจะถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม?
การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 10 กิกะวัตต์ ที่ต้องใช้พลังงานเทียบเท่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 10 โรง ก็เป็นอีกประเด็นที่ชวนให้ขบคิดถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรของโลก
เรื่องราวของ Nvidia และ OpenAI จึงไม่ใช่แค่ตำราธุรกิจ แต่เป็นบทบันทึกหน้าสำคัญของประวัติศาสตร์
มันคือจุดเปลี่ยนที่แสดงให้เห็นว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและพลังการประมวลผลอย่างเต็มรูปแบบ
ดีลมูลค่าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐในวันนี้ อาจเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง
อนาคตที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในนิยายวิทยาศาสตร์ กำลังถูกสร้างขึ้นจริงในวันนี้ ด้วยชิปสี่เหลี่ยมเล็กๆ และความทะเยอทะยานอันไร้ขีดจำกัดของมนุษย์
และนี่คือเกมการเดิมพันที่สูงที่สุด ที่เราทุกคนต่างก็เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม…
References : [ft, reuters, bloomberg, techcrunch, wired]




