เบื้องหลังดีลสะเทือนโลก ทำไม Nvidia ต้องทุ่มเงินให้ OpenAI เยอะขนาดนี้

ต้องบอกว่า Nvidia จากบริษัทที่สร้างอุปกรณ์เพื่อความบันเทิง วันนี้พวกเขากลายเป็นผู้กุมอำนาจเบื้องหลังเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดแห่งยุคสมัย นั่นคือ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI

คำถามที่น่าสนใจก็คือ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อราชาแห่งโลก AI ตัดสินใจทุ่มเงินเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ให้กับบริษัทสตาร์ทอัพที่ร้อนแรงที่สุดในโลกอย่าง OpenAI?

นี่คือเรื่องราวของดีลมูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของตัวเลข แต่คือการเดิมพันอนาคตของมวลมนุษยชาติ

ย้อนกลับไปไม่กี่สิบปีก่อน Nvidia เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิตชิปประมวลผลกราฟิก หรือ GPU ที่ทำให้ภาพในเกมคอมพิวเตอร์มีความสมจริงและสวยงามตระการตา

พวกเขาคือฮีโร่ของเหล่าเกมเมอร์ แต่ในมุมของนักลงทุน Wall Street ตอนนั้น Nvidia ก็เป็นเพียงบริษัทฮาร์ดแวร์เฉพาะกลุ่มเท่านั้น

แต่ชายที่ชื่อ Jensen Huang CEO และผู้ร่วมก่อตั้งในแจ็กเกตหนังสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ มองเห็นอะไรที่ไกลกว่านั้น

เขาเห็นว่าพลังการประมวลผลแบบขนาน (Parallel Processing) ของชิป GPU ที่สามารถคำนวณหลายๆ อย่างได้พร้อมกัน ไม่ได้มีประโยชน์แค่การสร้างภาพสวยๆ

แต่มันสามารถนำมาใช้กับการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน และที่สำคัญที่สุด มันคือโครงสร้างที่สมบูรณ์แบบสำหรับ “สมอง” ของปัญญาประดิษฐ์

Nvidia จึงไม่ได้ขายแค่ “เหล็ก” หรือตัวชิป แต่พวกเขาสร้าง “ระบบนิเวศ” ที่ชื่อว่า CUDA ขึ้นมา เป็นเหมือนภาษากลางที่ทำให้นักพัฒนาสามารถดึงศักยภาพของ GPU ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่

การตัดสินใจครั้งนั้น ได้เปลี่ยน Nvidia จากบริษัทการ์ดจอ ให้กลายเป็นผู้ผูกขาด “พลั่วและเสียม” ในยุคตื่นทอง AI ไปโดยปริยาย

ในอีกฟากหนึ่งของสมการ คือเรื่องราวของ OpenAI บริษัทที่เริ่มต้นจากอุดมการณ์อันสูงส่ง

Sam Altman และกลุ่มผู้ก่อตั้ง ต้องการสร้างปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence หรือ AGI) ที่มีความสามารถทัดเทียมหรือเหนือกว่ามนุษย์

เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่เพื่อผลกำไรสูงสุด แต่เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง

แต่การจะสร้าง AI ที่ฉลาดล้ำขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเสมือนการเลี้ยงดูอัจฉริยะที่กินจุมาก และอาหารที่ว่านั้นก็คือ “พลังการประมวลผล” หรือ Compute

ยิ่งโมเดล AI ฉลาดขึ้นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งหิวโหยพลังการประมวลผลมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนี่คือต้นทุนที่มหาศาลที่สุดของ OpenAI

และใครกัน คือผู้ผลิต “อาหาร” ที่ดีที่สุดและทรงพลังที่สุดในโลกใบนี้? คำตอบก็มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ Nvidia

เมื่อผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ที่สุด จับมือกับผู้บริโภคที่หิวโหยที่สุดในโลก ข่าวใหญ่จึงบังเกิดขึ้น

Nvidia ประกาศแผนการลงทุนใน OpenAI ด้วยมูลค่าสูงสุดถึง 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แลกกับการเข้าถือหุ้นในสัดส่วนที่สำคัญ

และ OpenAI ก็จะนำเงินก้อนนั้น มาสั่งซื้อโปรเซสเซอร์ AI ของ Nvidia จำนวนหลายล้านชิ้น

คำถามที่ดังก้องไปทั่วทั้งวงการเทคโนโลยีและตลาดทุนก็คือ… ทำไม?

ทำไม Nvidia ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดอยู่แล้ว ต้องทุ่มเงินมหาศาลขนาดนี้ให้กับบริษัทที่ยังคงขาดทุนอยู่?

มองเผินๆ ดีลนี้อาจดูเหมือนการล้วงเงินจากกระเป๋าซ้ายไปใส่กระเป๋าขวา แต่เมื่อมองให้ลึกลงไป เราจะเห็นเกมการวางหมากที่ซับซ้อนและแยบยลอย่างยิ่ง

ในมุมของ OpenAI สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้ ไม่ใช่เงิน แต่คือ “หลักประกัน”

ลองจินตนาการว่าคุณกำลังจะสร้างสุดยอดรถแข่ง แต่มีโรงงานผลิตเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดในโลกอยู่เพียงแห่งเดียว และทุกคนก็กำลังต่อคิวแย่งกันซื้อเครื่องยนต์นั้น

ดีลนี้ก็เปรียบเสมือนการที่ OpenAI ได้รับสิทธิ์ “ลัดคิว” และการันตีว่าจะได้เครื่องยนต์รุ่นที่ดีที่สุดไปใช้อีกนานหลายปี ไม่ว่าตลาดจะขาดแคลนแค่ไหนก็ตาม

มันคือการซื้อความมั่นคง เพื่อให้พวกเขาสามารถมุ่งหน้าสู่เป้าหมายการสร้าง AGI ได้อย่างเต็มกำลัง โดยไม่ต้องพะวงว่าเชื้อเพลิงจะหมดกลางทาง

ทีนี้ มาดูในมุมของ Nvidia ซึ่งเป็นส่วนที่น่าสนใจที่สุดของเรื่องราวนี้

การลงทุนครั้งนี้ไม่ใช่แค่การซื้อหุ้นธรรมดา แต่มันคือสุดยอดกลยุทธ์ 4 ชั้น ที่ Jensen Huang วางเอาไว้

ชั้นแรก คือการ “ล็อกลูกค้า” รายใหญ่ที่สุดเอาไว้กับตัว การันตียอดขายในอนาคตสำหรับชิปรุ่นใหม่อย่าง Blackwell หรือ Vera Rubin ที่จะทยอยออกมา

ชั้นที่สอง คือการ “สร้างกำแพง” ป้องกันคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็น AMD, Intel หรือแม้แต่ลูกค้าของพวกเขาเองอย่าง Google และ Microsoft ที่พยายามสร้างชิปของตัวเอง

การผูก OpenAI ไว้กับระบบนิเวศของ Nvidia อย่างเหนียวแน่น ทำให้การเปลี่ยนไปใช้ชิปค่ายอื่นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้

ชั้นที่สาม คือการซื้อ “ตั๋วสู่อนาคต” หาก OpenAI สามารถสร้าง AGI ได้สำเร็จจริงๆ หุ้นที่ Nvidia ถืออยู่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมหาศาลจนประเมินค่าไม่ได้

มันคือการเดิมพันข้างผู้ชนะ ในเกมการแข่งขันที่รางวัลคือการเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ

และชั้นสุดท้าย คือการ “ส่งสัญญาณ” ถึงตลาด การที่บริษัท AI ผู้นำเทรนด์อย่าง OpenAI เลือกใช้เทคโนโลยีของพวกเขาอย่างหมดใจ คือการตอกย้ำสถานะความเป็นเจ้าตลาดที่ไม่มีใครเทียบได้

ดังนั้น เงินแสนล้านนี้จึงเป็นทั้ง ค่าประกันยอดขาย ค่าสร้างกำแพงธุรกิจ ค่าตั๋วสู่อนาคต และค่าการตลาดชั้นยอด รวมอยู่ในก้อนเดียวกัน

มันคือการเดิมพันที่คำนวณมาอย่างดีแล้วว่า ไม่ว่าจะมองมุมไหน Nvidia ก็แทบจะไม่มีทางแพ้ในเกมนี้เลย

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องราวของบริษัทเพียงสองแห่งเท่านั้น แต่มันสะท้อนภาพใหญ่ของสงคราม AI ที่กำลังดุเดือด

ดีลนี้ได้ยกระดับการแข่งขันขึ้นไปอีกขั้น บีบให้ผู้เล่นรายอื่นต้องเร่งเครื่องตามให้ทัน

เรากำลังจะได้เห็นการทุ่มงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาที่สูงขึ้น การควบรวมกิจการที่มากขึ้น และการแข่งขันเพื่อแย่งชิงบุคลากรด้าน AI ที่เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม

ผลกระทบจากดีลนี้จะส่งตรงมาถึงพวกเราทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในแง่หนึ่ง มันคือข่าวดี การเร่งพัฒนาเทคโนโลยีจะทำให้เราได้เห็น AI ที่มีความสามารถสูงขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งอาจนำไปสู่การค้นพบทางการแพทย์ใหม่ๆ หรือการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ

แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันก็สร้างคำถามที่น่ากังวลถึงการ “รวมศูนย์ของอำนาจ”

เมื่อเทคโนโลยีที่อาจจะทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ ถูกควบคุมและพัฒนาโดยบริษัทเอกชนเพียงไม่กี่แห่ง อะไรคือหลักประกันว่ามันจะถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม?

การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 10 กิกะวัตต์ ที่ต้องใช้พลังงานเทียบเท่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 10 โรง ก็เป็นอีกประเด็นที่ชวนให้ขบคิดถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรของโลก

เรื่องราวของ Nvidia และ OpenAI จึงไม่ใช่แค่ตำราธุรกิจ แต่เป็นบทบันทึกหน้าสำคัญของประวัติศาสตร์

มันคือจุดเปลี่ยนที่แสดงให้เห็นว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและพลังการประมวลผลอย่างเต็มรูปแบบ

ดีลมูลค่าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐในวันนี้ อาจเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง

อนาคตที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในนิยายวิทยาศาสตร์ กำลังถูกสร้างขึ้นจริงในวันนี้ ด้วยชิปสี่เหลี่ยมเล็กๆ และความทะเยอทะยานอันไร้ขีดจำกัดของมนุษย์

และนี่คือเกมการเดิมพันที่สูงที่สุด ที่เราทุกคนต่างก็เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม…

References : [ft, reuters, bloomberg, techcrunch, wired]

Geek Daily EP333 : เบื้องหลังดีลสะเทือนโลก ทำไม Nvidia ต้องทุ่มเงินให้ OpenAI ขนาดนี้

เคยจินตนาการไหมครับว่า เงินหนึ่งแสนล้านดอลลาร์สหรัฐมันมากมายมหาศาลขนาดไหน?

เงินจำนวนนี้ มากกว่ามูลค่าของบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งในตลาดหลักทรัพย์บ้านเราเสียอีก มันสามารถซื้อทีมฟุตบอลระดับโลกได้หลายสิบทีม หรือสร้างตึกที่สูงที่สุดในโลกได้เกือบร้อยตึก… แต่ถ้าผมบอกคุณว่า มีบริษัทหนึ่ง กำลังจะทุ่มเงินจำนวนมหาศาลนี้ ไม่ใช่เพื่อซื้อกิจการ แต่เพื่อ “ลงทุน” ในสตาร์ทอัพเพียงบริษัทเดียว คุณจะคิดว่ายังไง?

วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องนั้นกันครับ เรื่องราวของดีลที่อาจจะสั่นสะเทือนวงการเทคโนโลยีไปตลอดกาล ระหว่างสองยักษ์ใหญ่ที่กำลังกำหนดอนาคตของโลกใบนี้… Nvidia ราชาแห่งชิป AI และ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ที่พวกเราหลายคนน่าจะเคยลองเล่นกันมาแล้ว

นี่ไม่ใช่แค่ข่าวการลงทุนธรรมดาๆ แต่มันคือการวางเดิมพันครั้งประวัติศาสตร์ ที่เบื้องลึกเบื้องหลังซับซ้อนและน่าติดตามยิ่งกว่าหนังไซไฟเรื่องไหนๆ… และคำถามสำคัญก็คือ เกมนี้ใครกันแน่ที่เป็นผู้ชนะ?

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4bbauv4w

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/bpavxf45

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/ck4sme47

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/EygO-WtZRLM

เจาะลึก Fiverr หายนะแสนล้าน เกิดอะไรขึ้นกับราชาแห่งวงการฟรีแลนซ์?

เคยมีคำกล่าวว่า “ยิ่งขึ้นสูง ก็ยิ่งตกเจ็บ” ประโยคนี้อาจจะอธิบายเรื่องราวของบริษัทที่เราจะคุยกันในวันนี้ได้ดีที่สุดครับ

บริษัทนี้เคยเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง เป็นความหวังของเหล่าฟรีแลนซ์ทั่วโลก ครั้งหนึ่งมูลค่าของมันเคยพุ่งทะยานไปถึง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือกว่า 4 แสนล้านบาท

แต่แล้วทุกอย่างก็พังทลายลงมา มูลค่าหายไปกว่า 90% ในเวลาไม่นาน

นี่คือเรื่องราวของ Fiverr แพลตฟอร์มที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด และเกือบจะทำลายตัวเองลงด้วยมือของพวกเขาเอง…

เรื่องราวนี้เริ่มต้นขึ้นในเดือนมิถุนายน ปี 2019 Fiverr บริษัทที่เปรียบเสมือนตลาดนัดออนไลน์สำหรับฟรีแลนซ์ ได้ตัดสินใจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange ราคาหุ้นเปิดตัวที่ 21 ดอลลาร์ ซึ่งก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไรมากนัก

ตลอดครึ่งปีต่อมา ราคาหุ้นก็ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ไม่มีใครคาดคิดว่า พายุลูกใหญ่ที่กำลังจะเปลี่ยนโลก กำลังจะกลายเป็นลมใต้ปีกที่ส่งให้ Fiverr ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ต้นปี 2020 โลกได้รู้จักกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ COVID-19 การระบาดครั้งใหญ่บีบให้รัฐบาลทั่วโลกต้องประกาศมาตรการล็อกดาวน์

บริษัทต่างๆ ต้องเปลี่ยนมาทำงานแบบรีโมทแทบจะในชั่วข้ามคืน ธุรกิจจำนวนมากต้องปิดตัวลง รายได้หดหาย เกิดวิกฤตเศรษฐกิจไปทั่วโลก

แต่ท่ามกลางความโกลาหลนั้นเอง ที่ Fiverr กลับเติบโตแบบติดจรวด เงินลงทุนจากทั่วสารทิศไหลมาเทมา พนักงานแทบรับมือกับการสมัครใหม่ไม่ทัน ทั้งจากฝั่งบริษัทที่ต้องการหาคนทำงาน และจากฝั่งคนที่ตกงานที่ผันตัวมาเป็นฟรีแลนซ์

คำถามคือ… ทำไมวิกฤตของโลก ถึงกลายเป็นโอกาสทองของ Fiverr?

คำตอบมีอยู่ 3 ข้อหลักๆ ครับ

อย่างแรกคือ ธุรกิจต่างๆ ถูกบังคับให้ต้อง “Go Digital” ในทันที ร้านค้าที่เคยมีแต่หน้าร้าน ต้องรีบสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ บริษัทที่ไม่เคยทำการตลาดออนไลน์ ก็ต้องรีบหาคนมาช่วยยิงแอด ทำคอนเทนต์ ความต้องการบริการดิจิทัลเหล่านี้พุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

อย่างที่สอง มาจากฝั่งของคนทำงานเอง เมื่อบริษัทลดขนาดองค์กร พนักงานหลายล้านคนทั่วโลกถูกเลิกจ้าง พวกเขาต้องดิ้นรนหารายได้เสริม และการเป็นฟรีแลนซ์บน Fiverr ก็คือทางออกที่สมบูรณ์แบบ

และเหตุผลสุดท้าย คือแนวคิดที่เรียกว่า “ทดลองก่อนจ้างจริง” ในภาวะที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน การจ้างพนักงานประจำคือความเสี่ยงและภาระค่าใช้จ่ายที่สูง ผู้จัดการหลายคนจึงเลือกที่จะจ้างฟรีแลนซ์สำหรับโปรเจกต์สั้นๆ แทน มันเหมือนเป็นการทดลองงานไปในตัว ถ้าผลงานดี ค่อยพิจารณาจ้างยาวๆ

ปัจจัยทั้งสามนี้ได้สร้างคลื่นสึนามิแห่งความต้องการที่ซัดเข้าหา Fiverr อย่างจัง

ตัวเลขการเติบโตของพวกเขานั้นน่าทึ่งมากครับ ปี 2020 รายได้พุ่งขึ้น 77% ไปอยู่ที่ 189 ล้านดอลลาร์ ปี 2021 ก็ยังโตต่อเนื่องอีก 57% ไปแตะเกือบ 300 ล้านดอลลาร์

ราคาหุ้นที่เคยนิ่งๆ ก็พุ่งทะยานจาก 25 ดอลลาร์ในเดือนมีนาคม 2020 ไปสู่จุดสูงสุดที่กว่า 200 ดอลลาร์ในเวลาเพียงหนึ่งปี มูลค่าบริษัทจากหลักร้อยล้าน กลายเป็น 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์

Micha Kaufman ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Fiverr กล่าวอย่างมั่นใจในตอนนั้นว่า “เราตื่นเต้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเราในปี 2021”

ณ จุดนั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะสวยงามไปหมด Fiverr มีทั้งเงินสดและหุ้นมูลค่าสูงในมือ

แต่ใครจะรู้ว่า จุดสูงสุดนี้เอง คือจุดเริ่มต้นของหายนะ

เบื้องหลังการเติบโตที่สวยหรูนั้น มีความจริงอันน่าตกใจซ่อนอยู่ ความจริงที่ว่า… ตลอดเวลาที่ผ่านมา Fiverr ไม่เคยทำ “กำไร” ได้เลย

ใช่แล้วครับ แม้รายได้จะเติบโตมหาศาล แต่บริษัทกลับยังขาดทุนต่อเนื่อง

ปี 2019 ขาดทุน 33 ล้านดอลลาร์ พอเข้าสู่ช่วงโควิดบูม ปี 2020 ก็ยังขาดทุนอยู่ 14 ล้านดอลลาร์ และที่เลวร้ายที่สุดคือ ปี 2021 ที่รายได้พุ่งสูงสุด พวกเขากลับขาดทุนหนักขึ้นเป็น 64 ล้านดอลลาร์

เกิดอะไรขึ้น? ทำไมยิ่งรายได้เยอะ ถึงยิ่งขาดทุนหนัก?

คำตอบอยู่ในปรัชญาการทำธุรกิจของพวกเขา ที่เรียกว่า “Growth at all Costs” หรือ การเน้นการเติบโตของธุรกิจเหนือสิ่งอื่นใด

Fiverr ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อเร่งการเติบโตให้เร็วที่สุด โดยไม่สนใจว่าจะต้อง “เผาเงิน” ไปมากแค่ไหน

พวกเขาใช้เงินไปกับอะไรบ้าง?

อย่างแรกคือการตลาดแบบบ้าระห่ำ มีการออกแคมเปญโฆษณาใหญ่โตทั่วโลก กระทั่งยอมจ่ายเงินมหาศาลเพื่อซื้อโฆษณาในช่วงพักครึ่งของ Super Bowl ซึ่งถือเป็นเวทีโฆษณาที่แพงที่สุดในโลก

อย่างที่สองคือการทุ่มเงินไปกับการวิจัยและพัฒนา และสุดท้ายคือการออกไล่ซื้อกิจการอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ในปี 2021 ปีเดียว พวกเขาเข้าซื้อถึง 3 บริษัท คือ Working Not Working, Creative Live และ Stoke Talent

กลยุทธ์เบื้องหลังการใช้จ่ายทั้งหมดนี้ คือความพยายามที่จะขยับตัวเอง จากแพลตฟอร์มสำหรับงานเล็กๆ ราคาถูก ไปสู่ตลาดบน (Upmarket) เพื่อดึงดูดลูกค้าระดับองค์กรขนาดใหญ่ ที่ยอมจ่ายเงินสำหรับโปรเจกต์ยักษ์

Fiverr กำลังเดิมพันทุกอย่างกับอนาคตที่พวกเขาคิดว่า โลกหลังโควิดจะยังคงทำงานแบบรีโมท และพึ่งพาฟรีแลนซ์ต่อไป

แต่… พวกเขาคิดผิด

เมื่อวัคซีนเริ่มกระจายไปทั่วโลก สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย โลกกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง บริษัทต่างๆ เรียกพนักงานกลับเข้าออฟฟิศ ความต้องการจ้างงานฟรีแลนซ์ที่เคยพุ่งสูงก็เริ่มชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว

เครื่องยนต์แห่งการเติบโตที่ Fiverr ทุ่มเงินสร้างขึ้นมาได้หยุดชะงักลง ราคาหุ้นที่เคยอยู่บนยอดเขาก็ดิ่งลงเหว กลับมาสู่จุดเริ่มต้น

Fiverr กำลังเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้าย พวกเขาได้สร้างธุรกิจสำหรับโลกที่ไม่มีอยู่จริงอีกต่อไปแล้ว เมื่อเจอกับวิกฤต บริษัทก็ต้องปรับตัว Micha Kaufman ประกาศแผน “ปรับทิศทาง” ครั้งใหญ่ Fiverr จะเลิกบ้าคลั่งกับการเติบโต และหันมาให้ความสำคัญกับ “กำไร” แทน

พวกเขาเริ่มตัดลดค่าใช้จ่าย เลิกจ้างพนักงาน และหยุดแผนการตลาดใหญ่ๆ แต่ดูเหมือนว่าทุกย่างก้าวที่พวกเขาทำหลังจากนั้น กลับยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง

พวกเขาตัดสินใจปรับปรุงอัลกอริทึมการค้นหาบนแพลตฟอร์มใหม่ โดยหวังจะโปรโมทฟรีแลนซ์หน้าใหม่ๆ ให้มีโอกาสเกิดบ้าง

แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นหายนะ ฟรีแลนซ์ระดับท็อปที่เคยเป็นดาวเด่นของแพลตฟอร์ม กลับถูกลดระดับคะแนนความสำเร็จลงในชั่วข้ามคืน รายได้ของพวกเขาหดหาย หลายคนรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง มันคือการซ้ำเติมบาดแผลของกลุ่มคนที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของบริษัท

เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น Fiverr ยังถูกฟ้องร้องข้อหาแอบบวกค่าธรรมเนียมแฝง ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับทั้งผู้จ้างและฟรีแลนซ์

อันที่จริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Fiverr ทำการตลาดที่ผิดพลาดจนน่าตกใจ ย้อนกลับไปในปี 2017 พวกเขาเคยออกแคมเปญโฆษณาที่ใช้ข้อความว่า “การอดนอนคือยาเสพติดที่คุณเลือกเอง คุณอาจจะเป็นนักลงมือทำ (doer)”

โฆษณานี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่ากำลังเชิดชูวัฒนธรรมการทำงานหนักจนหมดไฟ (Burnout) ซึ่งสวนทางกับกระแสโลกที่กำลังให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance

ดูเหมือนว่าผู้บริหารของ Fiverr จะไม่ได้เรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดในอดีตเลย เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว Fiverr ก็พยายามจะเกาะกระแสนี้

พวกเขาเปิดตัวหมวดหมู่บริการเกี่ยวกับ AI และโปรโมทอย่างหนัก แต่วิธีการของพวกเขากลับสร้างความกังวลให้กับฟรีแลนซ์ที่เป็นมนุษย์

ความกังวลนั้นรุนแรงขึ้น เมื่ออีเมลภายในของซีอีโอ Micha Kaufman หลุดออกมา เนื้อหาในอีเมลเขียนไว้ว่า “นี่คือความจริงอันไม่น่าพอใจ AI กำลังจะมาแย่งงานพวกคุณ”

มันยิ่งเป็นการตอกย้ำความกลัวของเหล่าฟรีแลนซ์ว่า แพลตฟอร์มที่เคยเป็นบ้านของพวกเขากำลังจะผลักไสพวกเขาออกไป

และฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้หลายคนหมดความอดทน คือแคมเปญโฆษณาล่าสุดที่ใช้สโลแกนว่า “เราสร้างโฆษณานี้ด้วย AI และไม่มีใครแคร์” ท่ามกลางกระแสถกเถียงเรื่องจริยธรรมของ AI และการที่ศิลปินจำนวนมากกำลังตกงาน

โฆษณานี้ถูกมองว่าไร้รสนิยม และไม่ให้เกียรติกลุ่มคนสร้างสรรค์ซึ่งเป็นหัวใจของแพลตฟอร์ม มันคือการซ้ำรอยหายนะทางการตลาดของปี 2017 อีกครั้ง

เรื่องราวของ Fiverr คือบทเรียนคลาสสิกของยุค “Boom and Bust” หรือยุคเฟื่องฟูและล่มสลาย พวกเขาไม่ใช่บริษัทเดียวที่ตกอยู่ในกับดักช่วงโรคระบาด

Vroom แพลตฟอร์มขายรถออนไลน์ ก็เคยเติบโตระเบิด มีโฆษณา Super Bowl เหมือนกัน แล้วก็ล้มละลายไป

Zoom ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ก็มีชะตากรรมคล้ายกัน หุ้นเคยตกไปถึง 85%

แต่ท่ามกลางซากปรักหักพังนี้เอง กลับมีแสงสว่างเล็กๆ ปรากฏขึ้น หลังจากตัดลดค่าใช้จ่ายอย่างหนัก ในที่สุดปี 2023 Fiverr ก็สามารถพลิกกลับมามี “กำไร” จากการดำเนินงานได้เป็นครั้งแรก มันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้เรียนรู้บทเรียนราคาแพงเรื่องการควบคุมวินัยทางการเงินแล้ว

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นของพวกเขาก็ยังคงนิ่งสนิท อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดถึง 90%

Fiverr ในวันนี้อาจจะไม่ได้หายไปไหน แต่เส้นทางที่จะกลับไปสู่จุดสูงสุดที่เคยยืนอยู่นั้น ยังคงอีกยาวไกล และเต็มไปด้วยขวากหนาม

เรื่องราวของ Fiverr สอนให้เรารู้ว่า การเติบโตที่รวดเร็วเกินไปโดยขาดรากฐานที่มั่นคงนั้นอันตรายเพียงใด การเดิมพันทุกอย่างกับเทรนด์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว อาจนำมาซึ่งหายนะ

และที่สำคัญที่สุด การหันหลังให้กับชุมชนผู้ใช้ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ คือความผิดพลาดที่อาจไม่มีโอกาสได้แก้ไขอีกเลย…

References : [fool, finty, feedough, forcreators, benzinga]

Geek Talk EP146 : จบยุค! Warren Buffett ไม่เอา BYD แล้ว นี่คือสัญญาณอะไร?

ข่าวใหญ่ล่าสุดที่สะเทือนวงการลงทุนทั่วโลก นั่นก็คือ Berkshire Hathaway บริษัทโฮลดิ้งยักษ์ใหญ่ของปู่ Buffett ได้เทขายหุ้นของ BYD บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน ที่เขาถือมานานถึง 16 ปี…จนหมดเกลี้ยงพอร์ต ไม่เหลือเลยแม้แต่หุ้นเดียว

เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้กับหลายคน เพราะใครที่ติดตามเรื่องราวนี้จะรู้ดีว่า BYD คือหนึ่งในการลงทุนที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Berkshire Hathaway เป็นดีลที่เปลี่ยนเงินลงทุน 232 ล้านดอลลาร์ ให้กลายเป็นเงินกว่า 7 พันล้านดอลลาร์ หรือทำกำไรไปมากถึง 30 เท่า!

คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นก็คือ…ทำไม? ทำไมอภิมหาเศรษฐีนักลงทุนเน้นคุณค่า ผู้มีปรัชญา “ซื้อแล้วถือยาวๆ” ถึงตัดสินใจบอกลาหุ้นสุดรักที่สร้างผลตอบแทนมหาศาลขนาดนี้?

วันนี้ เราจะมาเจาะลึกมหากาพย์การลงทุนครั้งนี้กัน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา ไปจนถึงบทสรุปที่น่าขบคิด เรื่องราวนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของตัวเลขกำไรขาดทุน แต่มันคือ Masterclass การลงทุน ที่สอนบทเรียนสำคัญให้กับเราทุกคนครับ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/ufrm5ca6

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mvwa2enr

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/6u9zt8tu

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/cVS5NJumjHw