หายนะการบิน 2025 แค่บริษัทเดียวล่ม…ทำไมสนามบินทั่วยุโรปถึงเป็นอัมพาต?

เคยสังเกตไหมครับว่า ทุกวันนี้การเดินทางด้วยเครื่องบินมันง่ายดายอย่างน่าเหลือเชื่อ เราแค่เดินไปที่เคาน์เตอร์ ยื่นพาสปอร์ต หรือสแกน QR Code ในมือถือ ไม่กี่วินาทีต่อมา ตั๋วโดยสารก็พร้อมอยู่ในมือ

ทุกอย่างดูราบรื่น สะดวกสบาย จนเราอาจลืมไปว่าเบื้องหลังความเรียบง่ายนี้ มีเครือข่ายเทคโนโลยีที่ซับซ้อนมหาศาลทำงานอยู่ มันคือระบบประสาทที่เชื่อมโยงสนามบิน สายการบิน และข้อมูลผู้โดยสารนับล้านคนทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน

แล้วจะเกิดอะไรขึ้น…ถ้าจู่ๆ ระบบประสาทที่ว่านี้ เกิดหยุดทำงานขึ้นมาดื้อๆ

เรื่องราวนี้คือฝันร้ายที่เกิดขึ้นจริงในเช้าวันที่ 20 กันยายน ปี 2025 วันที่โลกได้ประจักษ์ว่า ความสะดวกสบายในยุคดิจิทัลนั้นเปราะบางกว่าที่เราเคยจินตนาการไว้มากแค่ไหน

ณ ท่าอากาศยานฮีทโธรว์ กรุงลอนดอน สัญญาณแห่งความโกลาหลเริ่มปรากฏขึ้นในช่วงเที่ยงวัน หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เคาน์เตอร์เช็กอินเริ่มค้าง ก่อนที่ระบบทั้งหมดจะดับวูบลงพร้อมกัน

พนักงานภาคพื้นดินที่เคยชินกับการคลิกเมาส์ไม่กี่ครั้ง ต้องหันมาสื่อสารกันด้วยเสียงตะโกน บอร์ดดิ้งพาสดิจิทัลในมือถือของผู้โดยสารกลายเป็นเพียงภาพที่ไร้ความหมาย

ความวุ่นวายไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่ลอนดอน แต่มันลุกลามอย่างรวดเร็วเหมือนไฟป่า สนามบินในบรัสเซลส์และเบอร์ลินก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน กลายเป็นภาพสะท้อนของความโกลาหลที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วยุโรป

เที่ยวบินล่าช้าอย่างไม่มีกำหนด หลายร้อยเที่ยวบินถูกยกเลิก ผู้คนนับแสนติดค้างอยู่ตามสนามบิน ภาพของเจ้าหน้าที่ที่ต้องกลับไปใช้กระดาษและปากกาเขียนตั๋วโดยสารด้วยมือ เป็นภาพที่ไม่น่าจะได้เห็นในศตวรรษที่ 21

ในช่วงแรก หลายคนคิดว่านี่อาจเป็นเพียงอุบัติเหตุทางเทคนิค แต่เมื่อสถานการณ์ขยายวงกว้างจนควบคุมไม่ได้ ทุกสายตาของผู้เชี่ยวชาญก็เริ่มมองไปในทิศทางเดียวกัน นี่ไม่ใช่ระบบล่มธรรมดา แต่มันคือ “การโจมตี”

เป้าหมายของการโจมตีครั้งนี้ ไม่ใช่ตัวสนามบินหรือสายการบินโดยตรง แต่เป็นบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่งที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง ชื่อของพวกเขาคือ Collins Aerospace

สำหรับคนทั่วไป ชื่อนี้อาจไม่คุ้นหู แต่สำหรับคนในอุตสาหกรรมการบิน Collins Aerospace คือผู้กุมหัวใจของระบบการบินสมัยใหม่ พวกเขาคือบริษัทยักษ์ใหญ่ในเครือของ RTX Corp. ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีการป้องกันประเทศระดับโลก

พวกเขาคือผู้สร้างซอฟต์แวร์และแพลตฟอร์มคลาวด์ที่สายการบินชั้นนำและสนามบินทั่วโลกใช้ในการบริหารจัดการผู้โดยสาร ตั้งแต่การจองตั๋ว เช็กอิน ไปจนถึงการลำเลียงกระเป๋า

พูดง่ายๆ ก็คือ สายการบินและสนามบินหลายสิบแห่ง ต่างใช้ “สมองกล” ก้อนเดียวกันที่สร้างโดย Collins Aerospace

และในวันนั้น สมองกลที่ควบคุมการเดินทางของผู้คนนับล้าน ก็ถูกโจมตีจนเป็นอัมพาต คำถามสำคัญที่ดังก้องไปทั่วอุตสาหกรรมคือ ใครกันที่อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการที่อุกอาจเช่นนี้ และพวกเขาทำได้อย่างไร

เมื่อทีมสืบสวนด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์เริ่มลงพื้นที่ พวกเขาก็พบกับร่องรอยที่บ่งชี้ว่านี่คือการโจมตีที่วางแผนมาเป็นอย่างดีและมีความซับซ้อนสูง

สมมติฐานหลักพุ่งไปที่การโจมตี 2 รูปแบบ หนึ่งคือ “Ransomware” หรือมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ลองนึกภาพว่ามันคือโจรไซเบอร์ที่บุกเข้ามาในระบบ แล้วเข้ารหัสไฟล์ข้อมูลสำคัญทั้งหมดจนเปิดไม่ได้ จากนั้นก็ทิ้งข้อความเรียกค่าไถ่เพื่อแลกกับกุญแจถอดรหัส

อีกรูปแบบหนึ่งคือ “Denial-of-Service” หรือ DDoS ซึ่งเป้าหมายไม่ใช่การขโมยข้อมูล แต่เป็นการทำให้ระบบล่ม เปรียบเสมือนการส่งคนนับล้านไปยืนอออยู่หน้าประตูร้านค้าเล็กๆ จนลูกค้าตัวจริงไม่สามารถเข้าไปใช้บริการได้

ไม่ว่าคนร้ายจะใช้วิธีไหน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็ได้เผยให้เห็นถึง “จุดอ่อนที่อันตรายที่สุด” ของโครงสร้างพื้นฐานในยุคดิจิทัล นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “Single Point of Failure”

แนวคิดนี้หมายถึงการพึ่งพิงระบบใดระบบหนึ่ง หรือผู้ให้บริการเพียงรายเดียวมากจนเกินไป มันเหมือนกับเมืองทั้งเมืองที่ต้องอาศัยสะพานเพียงแห่งเดียวในการข้ามฟาก หากวันใดสะพานนั้นพังลง การสัญจรทั้งหมดก็ต้องหยุดชะงัก

Collins Aerospace คือสะพานแห่งนั้นของอุตสาหกรรมการบินยุโรป การที่สายการบินและสนามบินจำนวนมากต่างฝากชีวิตไว้กับผู้ให้บริการรายเดียว ได้สร้างความเสี่ยงมหาศาลโดยไม่รู้ตัว

เมื่อสะพานพัง ผลกระทบที่ตามมาจึงรุนแรงและเป็นวงกว้างกว่าที่ใครจะคาดคิด มันไม่ใช่แค่ความวุ่นวายของผู้โดยสารอีกต่อไป แต่คือความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ประเมินค่าไม่ได้

สายการบินอย่าง British Airways และ Lufthansa ต้องสูญเสียรายได้หลายล้านดอลลาร์ในเวลาเพียงข้ามคืน ทั้งจากเที่ยวบินที่ต้องยกเลิกและค่าชดเชยที่ต้องจ่ายให้ผู้โดยสาร

ยิ่งไปกว่านั้น การขนส่งสินค้าทางอากาศ หรือ Air Cargo ก็หยุดชะงักไปด้วย ห่วงโซ่อุปทานทั่วทั้งทวีปปั่นป่วน สินค้าสำคัญมากมายไม่สามารถจัดส่งได้ตามกำหนด

เหตุการณ์นี้ได้ตอกย้ำความจริงที่ว่า ในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกัน การโจมตีที่จุดเล็กๆ เพียงจุดเดียว สามารถสร้างแรงกระเพื่อมที่สั่นสะเทือนไปทั้งระบบเศรษฐกิจได้

แล้วใครคือผู้ลงมือ? แม้จะยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างความรับผิดชอบ แต่ผู้เชี่ยวชาญต่างมองไปที่ผู้ต้องสงสัยไม่กี่กลุ่ม อาจเป็นองค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ที่หวังเรียกค่าไถ่มหาศาล

หรืออาจเป็นฝีมือของแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เพื่อสร้างความปั่นป่วนและแสดงแสนยานุภาพในสงครามไซเบอร์ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าบริษัทแม่ของ Collins Aerospace คือผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมการทหาร

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในวิกฤตทางไซเบอร์คือ ข้อมูลที่แท้จริงปะปนอยู่กับข่าวลือ ทำให้การรับมือเป็นไปได้ยาก แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ โลกการบินกำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ความจริงที่น่าเจ็บปวดคือ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่สัญญาณเตือนครั้งแรก มันเป็นเพียงเสียงระฆังที่ดังที่สุดเท่านั้น หากมองย้อนกลับไปในอดีต อุตสาหกรรมการบินเคยเผชิญกับเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้วหลายครั้ง

ในปี 2024 เคยเกิดเหตุการณ์ระบบล่มครั้งใหญ่ทั่วโลก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ผิดพลาด หรือในปี 2023 ก็มีกลุ่มแฮกเกอร์ที่สนับสนุนรัสเซียออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อการโจมตีเว็บไซต์สนามบินหลายแห่ง

เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเหมือนบทเรียนราคาถูกที่อุตสาหกรรมควรตระหนักและหาทางป้องกัน แต่ดูเหมือนว่ามันยังไม่รุนแรงพอที่จะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง

จนกระทั่งการโจมตี Collins Aerospace ได้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย มันคือบทเรียนราคาแพงที่บังคับให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องหันหน้ามาทบทวนทุกสิ่งใหม่อีกครั้ง

บทเรียนข้อแรกและสำคัญที่สุดคือ ต้องทำลาย “Single Point of Failure” ให้หมดไป หน่วยงานกำกับดูแลอย่างสำนักงานความปลอดภัยการบินแห่งสหภาพยุโรป เริ่มเรียกร้องให้มีการวางสถาปัตยกรรมไอทีที่หลากหลาย ไม่ฝากอนาคตไว้กับผู้ให้บริการเพียงรายเดียวอีกต่อไป

บทเรียนข้อต่อมาคือ “ความร่วมมือ” ในโลกไซเบอร์ ไม่มีใครสามารถต่อสู้เพียงลำพังได้ การแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคาม หรือ Threat Intelligence Sharing เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

หากสนามบินแห่งหนึ่งถูกโจมตี พวกเขาต้องรีบแจ้งเตือนและแบ่งปันข้อมูลให้กับสนามบินอื่นๆ ทันที เพื่อให้ทุกคนสามารถเตรียมการป้องกันได้ทันท่วงที มันคือการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในโลกดิจิทัล

และสุดท้ายคือการมองไปข้างหน้า เพื่อนำเทคโนโลยีแห่งอนาคตเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับปราการด่านนี้

เทคโนโลยีอย่างระบบกระจายศูนย์ หรือ Decentralized Systems ที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain เป็นแกนหลัก ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นทางออก มันคือแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับการมีศูนย์กลางเพียงแห่งเดียว แต่เป็นการกระจายข้อมูลและการตรวจสอบไปทั่วทั้งเครือข่าย ทำให้การโจมตีหรือปลอมแปลงทำได้ยากขึ้นอย่างมหาศาล

นอกจากนี้ ยังมีการนำปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาใช้ในการเฝ้าระวังความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง AI สามารถวิเคราะห์รูปแบบการใช้งานที่ผิดปกติและตรวจจับภัยคุกคามที่อาจเล็ดลอดสายตาของมนุษย์ไปได้

การโจมตี Collins Aerospace คือสัญญาณเตือนที่เจ็บปวดแต่น่าจะทรงพลังที่สุด ที่ส่งไปถึงทุกอุตสาหกรรมที่พึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นหัวใจสำคัญ

มันคือเครื่องยืนยันว่าการลงทุนด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ไม่ใช่ “ต้นทุน” ที่สามารถตัดทิ้งได้อีกต่อไป แต่มันคือ “การลงทุนเพื่อความอยู่รอด” ขององค์กร

เพราะในยุคดิจิทัล ความปลอดภัยของน่านฟ้า ก็ขึ้นอยู่กับความปลอดภัยของโค้ดคอมพิวเตอร์ที่เป็นรากฐานของระบบนั่นเอง

โลกหลังเหตุการณ์นี้จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป การเดินทางทางอากาศอาจจะยังคงสะดวกสบาย แต่เบื้องหลังรอยยิ้มของพนักงานและหน้าจอที่สวยงามนั้น จะเต็มไปด้วยระบบป้องกันที่แข็งแกร่งและซับซ้อนกว่าเดิมหลายเท่าตัว

เพราะนี่คือบทเรียนที่ทั้งโลกได้เรียนรู้ร่วมกันว่า ในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมต่อถึงกันหมด ความปลอดภัยคือสิ่งที่ประมาทไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว

References : [reuters, bloomberg, wired, techcrunch, theverge]

Geek Story EP476 : กำเนิด, รุ่งเรือง, ถูกท้าทาย และพลิกกลับมา มหากาพย์ Kaidee.com

เคยสงสัยไหมว่า ในยุคที่แอปช้อปปิ้งยักษ์ใหญ่ยังไม่ครองเมืองเหมือนทุกวันนี้… เวลาเราอยากได้ของมือสองดีๆ สักชิ้น หรืออยากจะโละของที่ไม่ได้ใช้แล้วในบ้าน เราไปที่ไหนกัน?

สำหรับคนไทยจำนวนมาก คำตอบในใจก็คือ “Kaidee.com”

วันนี้เราจะมาถอดรหัสการเดินทางของแพลตฟอร์มซื้อ-ขายของออนไลน์สัญชาติไทยแพลตฟอร์มนี้ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในฐานะผู้บุกเบิก การก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ราชาตลาดมือสอง การเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดอย่าง Facebook ไปจนถึงบทสรุปที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/msxasua

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/42828yej

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3b7fs3fa

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/-fTVVEP-hak

วิสัยทัศน์ใหม่ Mark Zuckerberg โลกที่ทุกคนมี “AI ส่วนตัว” บนใบหน้า

ในหนึ่งวัน เราหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูกี่ครั้ง?

คำตอบอาจจะน่าตกใจ เพราะมีงานวิจัยชี้ว่า โดยเฉลี่ยแล้ว เราปลดล็อกหน้าจอ แตะ หรือปัดนิ้วบนโทรศัพท์มากกว่า 2,600 ครั้งต่อวันเลยทีเดียว

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสมาร์ทโฟนได้กลายเป็นศูนย์กลางของจักรวาลส่วนตัวเราไปแล้ว มันเป็นทั้งออฟฟิศเคลื่อนที่ ศูนย์รวมความบันเทิง และประตูที่เชื่อมเราเข้ากับโลกทั้งใบ

หลายคนอาจรู้สึกว่านี่คือจุดสูงสุดของเทคโนโลยีส่วนบุคคล แต่ในโลกของนวัตกรรม ไม่มีอะไรที่คงอยู่ตลอดไป..

เหมือนกับที่ยุคสมัยของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) เคยถูกท้าทายและแทนที่ด้วยยุคของโทรศัพท์มือถือ วันนี้ บัลลังก์ของสมาร์ทโฟนเอง ก็กำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรง

และคนที่กำลังจะล้มยักษ์ในครั้งนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นชายที่ชื่อ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook และ CEO ของบริษัท Meta ที่มีบทสัมภาษณ์ล่าสุดที่น่าสนใจมาก ๆ ในช่อง youtube ชื่อดังอย่าง Rowan Cheung

Zuckerberg กำลังเดิมพันครั้งใหญ่ ด้วยเงินทุนมหาศาล และวิสัยทัศน์ที่จะเปลี่ยนโลกอีกครั้ง เขาเชื่อว่าแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์แห่งอนาคต จะไม่ได้อยู่ในมือของเราอีกต่อไป

แต่มันจะอยู่บน “ใบหน้า” ของเราแทน

เรื่องราวทั้งหมดนี้ อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่อาจจะทำให้สมาร์ทโฟนที่เราคุ้นเคย กลายเป็นเพียงของล้าสมัยในพิพิธภัณฑ์ เหมือนกับที่เรามองโทรศัพท์บ้านในวันนี้

ย้อนกลับไปหลายปีก่อน Mark Zuckerberg หมกมุ่นกับการค้นหา “The Next Big Thing” เขาเชื่อว่ามนุษย์ต้องการวิธีโต้ตอบกับโลกดิจิทัลที่เป็นธรรมชาติมากกว่าการก้มหน้ามองจอเล็กๆ

ความหมกมุ่นนั้น นำไปสู่การทุ่มเงินหลายแสนล้านบาทไปกับเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง หรือ VR และพยายามผลักดันแนวคิด “Metaverse” ให้เกิดขึ้นจริง

แต่ Metaverse ก็ดูเหมือนจะยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวคนส่วนใหญ่เกินไป มันยังไม่สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันได้อย่างที่เขาหวังไว้

แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังจับจ้องไปที่โลกเสมือน Meta ก็กำลังซุ่มพัฒนาอาวุธอีกชิ้นหนึ่งอย่างเงียบๆ นั่นคือ “แว่นตาอัจฉริยะ”

การร่วมมือกับแบรนด์ระดับตำนานอย่าง Ray-Ban ในปี 2021 เพื่อสร้าง Ray-Ban Stories ถือเป็นเหมือนการโยนหินถามทาง แม้จะน่าสนใจ แต่ก็ยังขาดหมัดเด็ดที่จะเปลี่ยนโลกได้

จนกระทั่งล่าสุดในงาน Connect 2025 ที่ Meta ได้เปิดไพ่ใบสำคัญที่ซ่อนไว้ และประกาศอย่างเป็นทางการว่า แว่นตาอัจฉริยะไม่ใช่แค่ของเล่นอีกต่อไป

แต่มันคืออนาคตที่แท้จริงของการประมวลผลคอมพิวเตอร์

การกลับมาครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การปรับปรุงเล็กน้อย แต่คือการยกเครื่องยุทธศาสตร์ใหม่ทั้งหมด Meta เปิดตัวกองทัพแว่นตาถึง 3 รุ่น ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการเจาะทุกไลฟ์สไตล์

รุ่นแรกคือ Ray-Ban Meta เจเนอเรชันใหม่ เปรียบเสมือนกองทหารราบสำหรับตลาด mass ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยดีไซน์คลาสสิกที่ทุกคนคุ้นเคย

แต่ภายในนั้นอัดแน่นด้วยการอัปเกรดที่สำคัญ ทั้งแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้นสองเท่า กล้องวิดีโอความละเอียด 3K และฟีเจอร์ AI ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างแท้จริง

ลองนึกภาพฟีเจอร์อย่าง Conversation Focus ที่สามารถตัดเสียงรบกวนในร้านกาแฟ แล้วเร่งเสียงของเพื่อนที่คุยกับเราให้ชัดขึ้น นี่คือสิ่งที่ AI เริ่มทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้จริงๆ

รุ่นต่อมาคือ Oakley Meta Vanguard นี่คือกองกำลังพิเศษ ที่ออกแบบมาเพื่อภารกิจเฉพาะทาง นั่นคือกลุ่มนักกีฬาและผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง

มันถูกสร้างให้ทนทานกว่าเดิม กันน้ำได้ดีขึ้น กล้องถูกย้ายมาอยู่ตรงกลางเพื่อให้ได้มุมมองที่สมจริงที่สุด และที่สำคัญคือมันเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อย่างนาฬิกา Garmin ได้

คุณสามารถวิ่งมาราธอน แล้วให้แว่นตาบันทึกและตัดต่อวิดีโอไฮไลต์พร้อมสถิติให้โดยอัตโนมัติ นี่คือการตอบโจทย์เฉพาะกลุ่มที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

แต่หัวใจสำคัญและอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในกองทัพนี้คือ Meta Ray-Ban Display glasses

นี่คือแว่นตารุ่นแรกของ Meta ที่มี “จอแสดงผลความละเอียดสูง” ติดตั้งอยู่ภายใน มันไม่ใช่แค่ไฟแจ้งเตือนอีกต่อไป แต่คือหน้าจอจริงๆ ที่สามารถแสดงข้อมูลซ้อนทับบนโลกแห่งความจริงได้

การมีจอภาพในแว่นตา คือการเปลี่ยนสถานะจาก “อุปกรณ์บันทึกภาพ” ให้กลายเป็น “แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์” อย่างสมบูรณ์

แต่ลำพังแค่ฮาร์ดแวร์ที่ล้ำสมัยคงไม่พอ คำถามสำคัญคือ แล้วเราจะควบคุมมันได้อย่างไร? การสั่งงานด้วยเสียงก็ขาดความเป็นส่วนตัว การกดปุ่มก็ทำอะไรได้จำกัด

และนี่คือจุดที่ Meta เปิดตัวเทคโนโลยีที่เหมือนหลุดมาจากหนังไซไฟ ที่ชื่อว่า Meta Neural Band

เจ้า Neural Band คือสายรัดข้อมือที่ไม่ธรรมดา มันคือ “Neural Interface” หรืออุปกรณ์เชื่อมต่อกับระบบประสาท ที่จะมาปฏิวัติวิธีการที่เราสั่งงานคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล

หลักการทำงานของมันก็คือ ทุกครั้งที่เราคิดจะขยับมือ สมองจะส่งสัญญาณไฟฟ้าขนาดเล็กมากๆ ไปยังกล้ามเนื้อ Neural Band สามารถ “ดักจับ” สัญญาณนั้นได้ ก่อนที่นิ้วของเราจะขยับเสียอีก!

นั่นหมายความว่า เราสามารถควบคุมแว่นตาได้โดยแทบไม่ต้องขยับร่างกายเลย Zuckerberg สาธิตการพิมพ์ข้อความตอบกลับเพื่อน โดยแค่ขยับนิ้วเพียงเล็กน้อย เหมือนกำลังเขียนหนังสือในอากาศ

ลองนึกภาพตามว่า เรากำลังนั่งประชุมอยู่ แล้วมีข้อความด่วนเข้ามา เราสามารถพิมพ์ตอบกลับไปได้ทันที โดยไม่มีใครในห้องรู้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องเสียสมาธิ ไม่ต้องเสียมารยาท

นี่คือการควบคุมที่แนบเนียน เป็นส่วนตัว และเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่เคยมีมา มันคือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย ที่จะทำให้แว่นตาอัจฉริยะกลายเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน

ทั้งหมดนี้ เชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ที่ใหญ่กว่านั้นที่ Zuckerberg เรียกว่า “Personal Superintelligence” หรือ “อัจฉริยภาพขั้นสูงส่วนบุคคล”

เขาเชื่อว่าแว่นตาคือ “ร่างกาย” ที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับ AI ในอนาคต เพราะมันเห็นในสิ่งที่เราเห็น ได้ยินในสิ่งที่เราได้ยิน AI จะไม่ได้เป็นแค่โปรแกรมในมือถืออีกต่อไป

แต่มันจะกลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่อยู่กับเราตลอดเวลา คอยให้ข้อมูล แปลภาษา และนำทาง ส่วน Neural Band ก็คือ “สะพานเชื่อม” ระหว่างความคิดของเรากับ AI นั่นเอง

เบื้องหลังผลิตภัณฑ์เหล่านี้ คือปรัชญาการออกแบบที่น่าสนใจ 3 ข้อที่ทีมงาน Meta ยึดถือ หนึ่งคือมันต้องเป็น “แว่นตาที่ยอดเยี่ยม” ก่อน ไม่ใช่แกดเจ็ตที่เทอะทะ สองคือ “เทคโนโลยีต้องไม่มารบกวน” ทุกอย่างต้องเรียบง่ายและแนบเนียน

และสามคือ “ต้องให้ความสำคัญกับ Superintelligence อย่างจริงจัง” ซึ่งหมายถึงการออกแบบฮาร์ดแวร์เพื่อรองรับการอัปเกรดซอฟต์แวร์ AI ในอนาคตอยู่เสมอ

เมื่อนำภาพทั้งหมดมาต่อกัน เราจะเห็นยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนของ Meta ที่จะโค่นล้มบัลลังก์ของสมาร์ทโฟน

แล้วคำถามคือ มันจะทำได้จริงหรือ?

Zuckerberg เองก็มองว่ามันจะไม่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เหมือนกับที่สมาร์ทโฟนค่อยๆ เข้ามาแทนที่คอมพิวเตอร์ PC

พฤติกรรมของเราจะเริ่มเปลี่ยน โทรศัพท์จะถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าน้อยลง เราไม่ต้องหยิบมันมาเพื่อดูเวลา ดูข้อความ หรือดูแผนที่อีกต่อไป เพราะทุกอย่างจะปรากฏขึ้นในสายตาของเราแทน

ฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ จะถูก “ดึง” ออกมาจากสมาร์ทโฟนทีละอย่างสองอย่าง จนวันหนึ่งเราอาจจะพบว่า เราแทบไม่ได้แตะต้องมันเลยตลอดทั้งวัน

แต่ฮาร์ดแวร์ที่ยอดเยี่ยม จะไร้ความหมายหากขาดซอฟต์แวร์ที่ชาญฉลาด และนี่คืออีกหนึ่งสมรภูมิที่ Meta ทุ่มสุดตัว

มีรายงานว่า Zuckerberg ได้ลงมาคุมทัพ “Superintelligence Lab” ด้วยตัวเองใน “Founder Mode” เขาเดินสายติดต่อนักวิจัย AI ที่เก่งที่สุดในโลกด้วยตนเอง เพื่อสร้างทีมที่แข็งแกร่งที่สุด

เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่แค่การสร้าง AI ที่ดี แต่คือการสร้าง AI ที่เป็นผู้นำของโลก

เพื่อไปให้ถึงจุดนั้น Meta กำลังลงทุนมหาศาลในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์สำหรับเทรน AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลกอย่าง “Prometheus cluster” ซึ่งใช้พลังงานในระดับกิกะวัตต์

นี่ไม่ใช่การลงทุนเล่นๆ แต่คือการเดิมพันด้วยอนาคตของทั้งบริษัท ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์

เมื่อมองไปข้างหน้า โลกที่ Mark Zuckerberg วาดภาพไว้ คือโลกที่กำแพงทางภาษาจะทลายลง เพราะเราสามารถเห็นคำแปลลอยขึ้นมาแบบเรียลไทม์เมื่อคุยกับชาวต่างชาติ

เป็นโลกที่เราสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ โดยมีคำแนะนำปรากฏขึ้นมาให้เห็นทีละขั้นตอน เป็นโลกที่เส้นแบ่งระหว่างโลกจริงกับโลกดิจิทัลจะเลือนรางลงอย่างสมบูรณ์

แน่นอนว่ามันมาพร้อมกับคำถามใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย ที่สังคมยังต้องหาคำตอบร่วมกันต่อไป

แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว และมันอาจจะทรงพลังกว่าที่หลายคนคาดคิด

เรื่องราวของ Meta และแว่นตาอัจฉริยะ คือบทพิสูจน์ว่าโลกของเทคโนโลยีไม่เคยหยุดนิ่ง ยุคสมัยของสมาร์ทโฟนที่ยิ่งใหญ่ ก็อาจมีวันสิ้นสุดลงได้เช่นกัน

การต่อสู้เพื่อชิงความเป็นเจ้าแห่งแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ครั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และผู้ชนะ จะไม่ได้เป็นแค่ผู้กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรม

แต่จะเป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตของพวกเราทุกคนในทศวรรษหน้า

เรากำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้งของประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนผ่านจากคอมพิวเตอร์ในมือ ไปสู่คอมพิวเตอร์ที่ผสานรวมเข้ากับร่างกายและประสาทสัมผัสของเรา

และทั้งหมดนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากอุปกรณ์ที่ดูแสนธรรมดา ที่เรียกว่า “แว่นตา” นั่นเองครับผม

References: [.youtube/rowanchtechcrunch, theverge, meta, uploadvr]

ทำไม Bill Gates ยอมเอาเงินให้ศัตรู? กลยุทธ์สุดแยบยลที่ Steve Jobs ยังต้องยอม

เคยสงสัยไหมครับว่า ในโลกธุรกิจที่เชือดเฉือนกันอย่างดุเดือด จะมีวันที่คู่แข่งตลอดกาลยอมยื่นมือเข้ามาช่วยศัตรูที่กำลังจะล้มละลายหรือไม่?

ต้องบอกว่านี่คือหนึ่งในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ช็อกวงการเทคโนโลยีมากที่สุด เป็นตำนานที่แสดงให้เห็นว่าในเกมธุรกิจที่ซับซ้อน บางครั้งเส้นแบ่งระหว่างมิตรและศัตรูก็บางเหลือเกิน

นี่คือเรื่องราวของวันที่ Microsoft ยักษ์ใหญ่ผู้ครองโลกคอมพิวเตอร์ ได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือการยื่น “เส้นเลือดใหญ่” ให้กับ Apple คู่ปรับที่กำลังจะหายไปจากแผนที่โลก

มันเป็นดีลที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์อันแยบยล การเมืองที่เข้มข้น และวิสัยทัศน์ของสองบุรุษแห่งวงการเทคอย่าง Steve Jobs และ Bill Gates ที่ได้เปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมนี้ไปตลอดกาล

เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญของดีลนี้ เราต้องวาดภาพโลกในยุคกลางทศวรรษที่ 1990 เสียก่อน ตอนนั้นคือยุคทองของ Microsoft อย่างแท้จริง

อาณาจักรของ Bill Gates ยิ่งใหญ่แทบจะไร้เทียมทาน ระบบปฏิบัติการ Windows 95 คือการปฏิวัติที่ทำให้คอมพิวเตอร์ใช้งานง่ายสำหรับคนทั่วไป มันประสบความสำเร็จถล่มทลายและถูกติดตั้งอยู่บนคอมพิวเตอร์ PC เกือบทุกเครื่องบนโลก

Microsoft ไม่ได้เป็นแค่บริษัทซอฟต์แวร์ แต่เป็นผู้กำหนดทิศทางของเทคโนโลยี เป็นศูนย์กลางของจักรวาลคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

ในทางกลับกัน Apple ที่เคยเป็นผู้จุดประกายการปฏิวัติคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลด้วยเครื่อง Macintosh กลับกำลังเดินทางสู่สุสานอย่างช้าๆ

หลังจากที่บริษัทได้ตัดสินใจบีบให้ผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง Steve Jobs ออกไปในปี 1985 Apple ก็เหมือนเรือที่ไร้กัปตัน พวกเขาหลงทาง พยายามออกผลิตภัณฑ์มากมายแต่กลับไม่มีอะไรที่โดดเด่นพอจะสู้กับกระแสของ Windows PC ได้เลย

ลองนึกภาพตามนะครับ ในยุคนั้น Apple มีคอมพิวเตอร์ Macintosh วางขายพร้อมกันหลายสิบรุ่น แต่ละรุ่นแทบไม่ต่างกันเลย สร้างความสับสนให้กับลูกค้าและทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เจือจางลงอย่างน่าใจหาย

ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่หวังจะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างเครื่อง PDA ที่ชื่อว่า Newton แม้จะมีแนวคิดที่ล้ำยุค แต่ก็ทำงานได้ไม่ดีพอและล้มเหลวไม่เป็นท่า มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความผิดพลาดที่ผลาญเงินทุนของบริษัทไปอย่างมหาศาล

สถานการณ์ทางการเงินของ Apple ในช่วงปี 1996 ถึง 1997 เข้าขั้นหายนะ บริษัทขาดทุนสะสมไปมากกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์ ราคาหุ้นดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 12 ปี และข่าวร้ายที่สุดที่สะพัดไปทั่ว Silicon Valley ก็คือ Apple เหลือเงินสดสำหรับดำเนินกิจการต่อไปได้อีกแค่ประมาณ 90 วันเท่านั้น

มันคือสถานการณ์ที่สิ้นหวังถึงขีดสุด นักวิเคราะห์และสื่อต่างฟันธงว่าจุดจบของ Apple ได้มาถึงแล้วจริงๆ นิตยสารเทคโนโลยีชื่อดังอย่าง Wired ถึงกับขึ้นปกเป็นโลโก้ Apple พร้อมคำว่า “Pray” หรือ “ภาวนา” เพราะดูเหมือนว่ามีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยพวกเขาได้

และแล้วปาฏิหาริย์นั้นก็ปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ ในร่างของชายคนเดิมที่เคยถูกขับไล่ออกจากบ้านของตัวเอง… Steve Jobs

ในปี 1997 Apple ที่กำลังจนตรอก ตัดสินใจซื้อกิจการบริษัทคอมพิวเตอร์ชื่อ NeXT ซึ่งเป็นบริษัทที่ Jobs ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ การซื้อกิจการครั้งนี้ทำให้ Jobs ได้กลับคืนสู่บริษัทที่เขาสร้างมากับมืออีกครั้ง

ในตอนแรกเขากลับมาในฐานะที่ปรึกษา แต่ด้วยภาวะผู้นำและวิสัยทัศน์ที่เด็ดขาด ไม่นานนักเขาก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง CEO ชั่วคราว หรือที่เขาเรียกมันว่า “iCEO”

การกลับมาของ Jobs เปรียบเสมือนแสงแห่งความหวังสุดท้าย แต่เขาก็รู้ดีว่าสถานการณ์มันเลวร้ายเกินกว่าที่คนคนเดียวจะแก้ไขได้ Apple ไม่ได้ต้องการแค่ผู้นำคนใหม่ แต่ต้องการออกซิเจนทางการเงิน และที่สำคัญกว่านั้น คือต้องการ “ความเชื่อมั่น” จากโลกกลับคืนมา

และ Jobs ก็มองเห็นทางรอดนั้น ในสถานที่ที่ไม่มีสาวก Apple คนไหนอยากจะจินตนาการถึง… นั่นคืออาณาจักรของ Microsoft

การที่ Steve Jobs จะหันไปพึ่งพา Bill Gates ถือเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในความคิดของคนส่วนใหญ่ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เปรียบเสมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกัน

Jobs มองว่า Gates ได้ขโมยจิตวิญญาณของ Macintosh ซึ่งก็คือระบบ Graphical User Interface หรือการใช้เมาส์และไอคอน ไปสร้างเป็น Windows การแข่งขันของพวกเขาจึงไม่ใช่แค่เรื่องส่วนแบ่งการตลาด แต่เป็นสงครามเชิงปรัชญาและศักดิ์ศรี

แต่บนกระดานหมากรุกที่บริษัทกำลังจะล้มละลาย Jobs จำเป็นต้องทิ้งอัตตาของตัวเองลง เขาเริ่มต้นเจรจาลับๆ กับ Microsoft เพื่อหาทางออกที่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย

และแล้ววินาทีประวัติศาสตร์ก็ได้เปิดฉากขึ้น ในวันที่ 6 สิงหาคม 1997 ที่งานแสดงสินค้า Macworld Expo ในเมือง Boston

Steve Jobs ก้าวขึ้นเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือของเหล่าแฟนคลับที่ตั้งตารอคอยฟังวิสัยทัศน์จากผู้นำคนใหม่ หลังจากที่เขาได้กล่าวถึงทิศทางในอนาคตของบริษัท เขาก็พูดประโยคที่กลายเป็นตำนานมาจนถึงทุกวันนี้

“เราต้องทิ้งความคิดที่ว่า การที่ Apple จะชนะ Microsoft จะต้องแพ้ไป”

สิ้นเสียงประโยคนั้น บรรยากาศในฮอลล์ก็เปลี่ยนไป ก่อนที่ภาพบนจอยักษ์ด้านหลังเวทีจะปรากฏขึ้น เป็นภาพการถ่ายทอดสดของ Bill Gates!

เสียงโห่ร้องแสดงความไม่พอใจดังขึ้นมาจากผู้ชมบางส่วนในทันที สำหรับพวกเขาแล้ว Microsoft คือตัวแทนของด้านมืด คือจักรวรรดิปีศาจที่ทำลายจิตวิญญาณของคอมพิวเตอร์ การเห็นหน้าของ Gates บนเวทีของ Apple จึงเป็นภาพที่บาดใจอย่างรุนแรง

แต่ Jobs ยังคงยืนนิ่ง และปล่อยให้ Gates ประกาศข่าวที่ทำให้ทั้งโลกต้องตะลึง… Microsoft ตกลงที่จะลงทุนใน Apple เป็นมูลค่า 150 ล้านดอลลาร์

ดีลในวันนั้น ไม่ได้มีแค่เรื่องเงิน แต่มันคือข้อตกลงเชิงกลยุทธ์ที่ซับซ้อนและผูกมัดอนาคตของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน

เงินลงทุน 150 ล้านดอลลาร์ ไม่ใช่การให้เปล่า แต่เป็นการที่ Microsoft เข้ามาซื้อหุ้นบุริมสิทธิ ซึ่งไม่มีสิทธิ์ออกเสียงในการบริหารใดๆ มันคือสัญลักษณ์ที่สำคัญกว่าตัวเงิน มันคือการที่บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น กำลังส่งสัญญาณไปยังตลาดว่า Apple ยังไม่ตาย

ข้อตกลงที่สำคัญไม่แพ้กันคือ Microsoft ให้คำมั่นสัญญาว่าจะยังคงพัฒนาและวางจำหน่ายชุดโปรแกรม Microsoft Office สำหรับเครื่อง Mac ต่อไปอีกอย่างน้อย 5 ปี นี่คือเส้นเลือดใหญ่ที่แท้จริง เพราะหากไม่มีโปรแกรมอย่าง Word หรือ Excel เครื่อง Mac ก็แทบจะหมดประโยชน์ในโลกการทำงานและการศึกษาไปทันที

แน่นอนว่ามีของแลกเปลี่ยน Apple ตกลงที่จะให้ Internet Explorer เป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้นบนระบบปฏิบัติการของตน นี่คือชัยชนะครั้งสำคัญของ Microsoft ในยุค “สงครามเบราว์เซอร์” ที่พวกเขากำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับคู่แข่งอย่าง Netscape

ท้ายที่สุด ทั้งสองบริษัทตกลงที่จะยุติสงครามสิทธิบัตรที่ฟ้องร้องกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งช่วยให้ทั้งคู่ประหยัดเงินและทรัพยากรไปได้อย่างมหาศาล

คำถามที่ทุกคนสงสัยในวันนั้นก็คือ… ทำไม Bill Gates ถึงยอมทำเช่นนี้? ทำไมต้องช่วยคู่แข่งที่พยายามโค่นล้มบัลลังก์ของเขามาโดยตลอด?

คำตอบคือ Bill Gates ไม่ได้ทำไปเพราะความใจบุญ แต่มันคือหนึ่งในกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ฉลาดที่สุดในประวัติศาสตร์

เหตุผลที่แท้จริงคือ Microsoft กำลังถูกรัฐบาลสหรัฐฯ จับตามองอย่างใกล้ชิดในคดีต่อต้านการผูกขาด (Antitrust Lawsuit) รัฐบาลมองว่า Microsoft มีอำนาจเหนือตลาดมากเกินไปจนทำลายการแข่งขัน

หาก Apple ซึ่งเป็นคู่แข่งที่มีนัยสำคัญเพียงรายเดียวล้มละลายไปอะไรจะเกิดขึ้น? มันจะยิ่งเป็นหลักฐานชั้นดีที่มัดตัว Microsoft ว่าพวกเขาคือผู้ผูกขาดตลาดอย่างสมบูรณ์ และอาจนำไปสู่การถูกสั่งให้แยกบริษัทได้

การช่วยให้ Apple รอดตายต่อไป จึงเป็นการ “เลี้ยงคู่แข่ง” เอาไว้เพื่อเป็นข้ออ้างว่าในตลาดยังคงมีการแข่งขันอยู่ มันคือการเดินหมากที่แยบยลเพื่อปกป้องอาณาจักรของตัวเองจากภัยคุกคามที่ใหญ่กว่านั่นเอง

ผลกระทบจากข้อตกลงในตำนานครั้งนี้เกิดขึ้นแทบจะในทันที หุ้นของ Apple พุ่งทะยานขึ้นกว่า 30% ในวันเดียว ตลาดทุนกลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้ง เงิน 150 ล้านดอลลาร์ได้มอบออกซิเจนที่จำเป็นให้ Apple มีเวลาได้หายใจและวางแผนสำหรับอนาคต

เมื่อสถานการณ์ทางการเงินมีเสถียรภาพ Steve Jobs ก็ไม่รอช้าที่จะลงมือผ่าตัดองค์กรครั้งใหญ่ เขายกเลิกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำกำไรทิ้งไปเกือบทั้งหมด และปรับลดไลน์สินค้าคอมพิวเตอร์ลงเหลือเพียง 4 รุ่นหลักในตาราง 2×2 ที่เรียบง่าย เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจได้ทันที

นี่คือจุดเริ่มต้นของการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของ Apple

ในปี 1998 เพียงหนึ่งปีให้หลัง Jobs ได้เปิดตัว iMac คอมพิวเตอร์ดีไซน์ปฏิวัติวงการที่มาพร้อมสีสันสดใส มันประสบความสำเร็จอย่างงดงามและประกาศให้โลกรู้ว่า Apple ได้กลับมาแล้ว

จากนั้นก็ตามมาด้วยคลื่นแห่งนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนไปตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็น iPod ในปี 2001, iTunes Store ในปี 2003, iPhone ในปี 2007 และ iPad ในปี 2010

ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้เปลี่ยน Apple จากบริษัทคอมพิวเตอร์ที่ใกล้จะล้มละลาย ให้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก และรากฐานของความสำเร็จทั้งหมดนี้ ก็มีจุดเริ่มต้นมาจากดีลในวันที่สิ้นหวังที่สุดในปี 1997

แล้ว Microsoft ได้อะไรจากเรื่องนี้? พวกเขาได้ประโยชน์มหาศาลเช่นกัน พวกเขารอดพ้นจากคดีผูกขาดที่รุนแรง และในปี 2003 ก็ได้ขายหุ้น Apple ที่เคยซื้อไว้ในราคา 150 ล้านดอลลาร์ ออกไปในราคา 550 ล้านดอลลาร์ ทำกำไรไปอย่างงดงาม

เรื่องราวนี้ได้ทิ้งบทเรียนอันล้ำค่าไว้ว่า ในโลกธุรกิจที่ซับซ้อน การมองข้ามความขัดแย้งและอัตตาเพื่อเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ใหญ่กว่า คือคุณสมบัติของผู้นำที่แท้จริง

มันคือตำนานที่พิสูจน์ว่า บางครั้งการตัดสินใจที่กล้าหาญเพียงครั้งเดียว ก็สามารถพลิกชะตากรรมของบริษัท และเปลี่ยนทิศทางของประวัติศาสตร์ไปได้ตลอดกาล

References : [news .microsoft, cnbc, wired, nytimes, computerhistory]

Geek Monday EP293 : เจาะลึก Fiverr หายนะแสนล้าน เกิดอะไรขึ้นกับราชาฟรีแลนซ์?

Fiverr เคยเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมฟรีแลนซ์มากความสามารถจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าคุณจะต้องการคนออกแบบโลโก้, เขียนบทความ, ทำเว็บไซต์, พากย์เสียง หรือแม้แต่งานแปลกๆ อย่างการแต่งเพลงวันเกิดให้สัตว์เลี้ยง ที่นี่ก็มีครบจบในที่เดียว ครั้งหนึ่ง Fiverr เคยมีมูลค่าสูงถึง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4 แสนล้านบาทเลยทีเดียวครับ แต่แล้ววันหนึ่ง ทุกอย่างก็พังทลายลงมา ราคาหุ้นของ Fiverr ดิ่งลงเหวมากกว่า 90% มูลค่าบริษัทหายไปกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ 3.7 แสนล้านบาท

เกิดอะไรขึ้นกับ Fiverr? ทำไมแพลตฟอร์มที่เคยรุ่งโรจน์ถึงต้องพบกับจุดจบที่น่าเศร้าขนาดนี้? วันนี้เราจะมาเจาะลึกเบื้องหลังความวุ่นวายที่เกิดจากการประโคมข่าวเกินจริง การใช้จ่ายเกินตัว และเรื่องอื้อฉาวต่างๆ ที่ Fiverr ทำตัวเองทั้งสิ้น นี่คือเรื่องราวการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและการล่มสลายของ Fiverr ครับ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3f6zxez4

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/564vbczf

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/yckybvts

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/fL2czFnwX8k