เคยลองจินตนาการไหมครับว่า อุปกรณ์ชิ้นต่อไปที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกต่อจากสมาร์ทโฟน จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
หลายคนอาจนึกถึงโทรศัพท์ที่พับได้ หรือหน้าจอโฮโลแกรมล้ำยุคเหมือนในภาพยนตร์ Sci-Fi แต่ถ้าหากคำตอบนั้น ไม่ได้อยู่ในมือของเราอีกต่อไป แต่อยู่บนใบหน้าของเราแทนล่ะครับ
นี่คือเรื่องราวของ “แว่นตาอัจฉริยะ” ความฝันที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างพยายามไขว่คว้ามาตลอดทศวรรษ แต่ก็ยังไม่มีใครทำได้สำเร็จ
จนถึงวันนี้…
เรื่องราวของแว่นตาอัจฉริยะนั้น เต็มไปด้วยความล้มเหลวที่น่าจดจำ ชื่อของ Google Glass ที่เปิดตัวในปี 2013 คือบทเรียนครั้งสำคัญที่วงการเทคโนโลยีไม่มีวันลืม
ในตอนนั้น Google Glass คือภาพของอนาคตที่น่าตื่นตาตื่นใจ มันสามารถแสดงข้อมูล ถ่ายภาพ และนำทางได้ตรงหน้าของผู้สวมใส่ แต่ความฝันนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน
ปัญหาใหญ่ของ Google Glass คือมันทำให้คนรอบข้างรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่มีความเป็นส่วนตัว จนเกิดคำเรียกเชิงลบว่า “Glasshole” สำหรับผู้ที่สวมใส่มัน
นอกจากปัญหาด้านสังคมแล้ว ดีไซน์ของมันก็ดูแปลกประหลาดเกินไป และฟังก์ชันการใช้งานก็ยังมีจำกัด สุดท้าย Google Glass จึงกลายเป็นเพียงตำนาน และถูกเก็บเข้าสุสานแห่งเทคโนโลยีไปอย่างเงียบๆ
ความล้มเหลวครั้งนั้นได้สอนบทเรียนราคาแพงว่า แว่นตาอัจฉริยะจะประสบความสำเร็จได้ ต้องผ่านด่านสำคัญสองข้อ คือมันต้องดู “ปกติ” และมันต้อง “มีประโยชน์” จริงๆ
และนั่นคือจุดที่เรื่องราวของ Meta ได้เริ่มต้นขึ้น
Mark Zuckerberg เดิมพันอนาคตทั้งหมดของบริษัทไว้กับสิ่งที่เรียกว่า Metaverse ซึ่งเป็นโลกเสมือนจริงที่เขาเชื่อว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ตในยุคต่อไป
แต่การจะสร้างโลกนั้นได้ Meta จำเป็นต้องมี “ประตู” ที่จะพาผู้คนเข้าไป และประตูที่ว่านั้นก็คืออุปกรณ์ Hardware ของตัวเอง
Mark รู้ดีว่าการสร้างธุรกิจอยู่บนแพลตฟอร์มของคนอื่นอย่าง Apple หรือ Google นั้นมีความเสี่ยงเพียงใด มันไม่ต่างอะไรกับการสร้างบ้านอยู่บนที่ดินเช่า ที่วันหนึ่งเจ้าของที่อาจจะเปลี่ยนกฎหรือไล่เราออกไปเมื่อไหร่ก็ได้
ดังนั้น Meta จึงต้องสร้างประตูของตัวเองขึ้นมา และ “แว่นตา” ก็คือคำตอบ
ก้าวแรกของพวกเขาคือการจับมือกับแบรนด์แฟชั่นระดับตำนานอย่าง Ray-Ban ในปี 2021 เพื่อเปิดตัว “Ray-Ban Stories”
แว่นตารุ่นนั้นแก้ปัญหาข้อแรกได้สำเร็จ มันมีดีไซน์ที่ดูปกติเหมือนแว่นตาทั่วไป แต่ก็ยังขาดปัญหาข้อที่สอง นั่นคือมันยังไม่มีประโยชน์มากพอ เป็นเพียงกล้องและลำโพงบนแว่นที่ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนได้
และนั่นก็นำเรามาสู่ปัจจุบัน กับการเปิดตัวอาวุธชิ้นล่าสุด “Meta Ray-Ban Display Smart Glasses”
นี่คือการกลับมาล้างตาของ Meta และครั้งนี้ พวกเขาได้ใส่ชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุดที่เคยขาดหายไป นั่นก็คือ “หน้าจอ”
คำถามคือ… การเพิ่มหน้าจอเข้ามา จะเพียงพอที่จะทำให้ Meta ทลายกำแพงที่แม้แต่ Google ก็ยังข้ามไม่พ้นได้หรือไม่
จากงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ล่าสุด สิ่งแรกที่ต้องยอมรับคือ Meta ทำการบ้านเรื่องดีไซน์มาอย่างดีเยี่ยม มันยังคงดูเหมือนแว่น Ray-Ban สุดคลาสสิก ที่ไม่ทำให้ผู้สวมใส่ดูแปลกแยก
น้ำหนักของมันอยู่ที่ 69 กรัม ซึ่งหนักกว่าแว่นตาทั่วไปเพียงเล็กน้อย ทำให้สามารถสวมใส่ได้ต่อเนื่องเป็นชั่วโมงโดยไม่รู้สึกรำคาญ นี่คือชัยชนะด่านแรกที่สำคัญมากของ Meta
แต่หัวใจสำคัญของแว่นรุ่นนี้คือ “หน้าจอ” ที่ถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า นี่ไม่ใช่เทคโนโลยี Augmented Reality หรือ AR ที่ซ้อนภาพกราฟิก 3 มิติเข้ากับโลกจริงแบบที่เราเห็นในภาพยนตร์
แต่มันเป็นเหมือนหน้าจอส่วนตัวขนาดเล็ก ที่ฉายภาพการแจ้งเตือนหรือข้อมูลต่างๆ ให้เราเห็นที่มุมสายตาขวา มีเพียงเราคนเดียวเท่านั้นที่มองเห็น
ความน่าทึ่งของมันคือ ต่อให้เราเปิดความสว่างสูงสุด คนที่อยู่ตรงข้ามก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เรากำลังดูอยู่ได้เลย เป็นการแก้ปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัวที่เคยเป็นจุดตายของ Google Glass ได้อย่างชาญฉลาด
แล้วเราจะควบคุมมันได้อย่างไร?
Meta ได้สร้างอุปกรณ์เสริมที่เรียกว่า “Neural Band” มันคือสายรัดข้อมือที่สามารถตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อของเรา ทำให้เราควบคุมแว่นได้ด้วยการขยับมือเพียงเล็กน้อย
การใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้แตะกันเพื่อ “คลิก” หรือการกำมือแล้วหมุนเพื่อปรับระดับเสียง มันให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติและแม่นยำอย่างน่าประหลาดใจ
เมื่อมาดูที่ฟังก์ชันการใช้งาน ก็ต้องยอมรับว่ามีหลายอย่างที่น่าทึ่งและทำให้เราเริ่มเห็นภาพของอนาคตได้ชัดเจนขึ้น
อย่างแรกคือการใช้งานแอปพลิเคชันสื่อสารอย่าง WhatsApp ซึ่งแตกต่างจากการใช้งานบนนาฬิกาอย่างสิ้นเชิง เราสามารถอ่านข้อความได้เต็มๆ และตอบกลับได้อย่างง่ายดายด้วยเสียง
ด้วยไมโครโฟนถึง 5 ตัวที่ติดตั้งอยู่บนแว่น ทำให้มันจับเสียงพูดของเราได้คมชัดมาก แม้แต่เสียงกระซิบก็ยังสามารถแปลงเป็นข้อความได้อย่างถูกต้อง
ฟีเจอร์ที่น่าทึ่งอีกอย่างคือ “คำบรรยายสด” หรือ Live Captions ที่สามารถแปลงเสียงพูดของคู่สนทนาตรงหน้า ให้กลายเป็นข้อความขึ้นมาบนจอแบบเรียลไทม์
ลองนึกดูว่ามันจะมีประโยชน์เพียงใดสำหรับผู้ที่มีปัญหาทางการได้ยิน หรือแม้แต่ในสถานการณ์ที่เราอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดัง
และเมื่อมีคำบรรยายสดได้ ก็ย่อมมีการ “แปลภาษา” แบบเรียลไทม์ได้เช่นกัน แม้จะยังมีความหน่วงอยู่บ้าง แต่คุณภาพการแปลนั้นสูงมากพอที่จะทลายกำแพงทางภาษาในการสนทนาได้จริง
ฟังดูเหมือนจะดีไปทั้งหมด แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ แว่นตาตัวนี้ก็มีข้อจำกัดที่สำคัญอยู่หลายประการเช่นกัน
ข้อแรกคือ เราจะถูกจำกัดให้อยู่ใน “ระบบนิเวศของ Meta” เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นแผนที่, AI, หรือบริการอื่นๆ ซึ่งเป็นข้อเสียใหญ่สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับบริการของ Google หรือค่ายอื่นๆ
ข้อต่อมาคือ “กล้อง” ที่แม้จะมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แต่คุณภาพก็ยังเทียบไม่ได้กับสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน เหมาะสำหรับการถ่ายภาพเล่นๆ มากกว่าการใช้งานจริงจัง
และที่สำคัญคือ มันยังไม่สามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง ยังคงต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนอยู่ตลอดเวลา ทำให้สถานะของมันยังเป็นเพียง “อุปกรณ์เสริม” เท่านั้น
สุดท้ายคือ “ราคา” ที่เปิดตัวเกือบสามหมื่นบาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงมากสำหรับอุปกรณ์ที่ยังมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร
สถานการณ์ของ Meta ในตอนนี้ จึงไม่ต่างอะไรกับการเดินบนเส้นด้ายที่บางเฉียบ พวกเขาสร้างผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจขึ้นมาได้ แต่ที่ปลายทางนั้น ก็มีเงาของยักษ์ใหญ่อย่าง Apple ทาบทับอยู่
แม้ว่า Apple Vision Pro จะเป็นอุปกรณ์คนละประเภทและมีราคาแพงกว่ามาก แต่มันก็ได้แสดงให้โลกเห็นถึงศักยภาพสูงสุดของเทคโนโลยีนี้ และทุกคนต่างรู้ดีว่า Apple กำลังซุ่มพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะในรูปแบบที่เข้าถึงง่ายกว่าอยู่อย่างแน่นอน
สงครามบนใบหน้าครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การแข่งขันว่าใครจะสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด แต่เป็นสงครามแห่งยุทธศาสตร์และเวลา
แต่ถ้าเรามองให้ลึกลงไป เราจะเห็นว่านี่ไม่ใช่แค่การขายสินค้า แต่มันคือ “เกมยาว” ของ Mark Zuckerberg ที่วางหมากเอาไว้อย่างแยบยล
เป้าหมายที่แท้จริงของแว่นตารุ่นนี้ ไม่ใช่การทำยอดขายถล่มทลายในปัจจุบัน แต่เป็นการทำภารกิจสามอย่างที่สำคัญต่ออนาคตของบริษัท
ภารกิจแรกคือ “การสร้างความคุ้นเคย” (Normalization) Meta กำลังใช้แบรนด์ Ray-Ban เพื่อลบภาพจำที่น่ากลัวของ “Glasshole” และทำให้การใส่คอมพิวเตอร์บนใบหน้ากลายเป็นเรื่องปกติในสังคม
ภารกิจที่สองคือ “การเก็บข้อมูลและเรียนรู้” ทุกครั้งที่มีคนใช้งานแว่นตา Meta จะได้ข้อมูลมหาศาลเพื่อนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์รุ่นต่อไปให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
และภารกิจสุดท้ายคือ “การสร้างปราการป้องกัน Apple” Meta กำลังพยายามสร้างฐานผู้ใช้งานและระบบนิเวศของตัวเองขึ้นมาก่อน เพื่อที่จะมีที่ยืนและสามารถต่อกรได้ เมื่อ Apple ตัดสินใจลงมาเล่นในตลาดนี้อย่างเต็มตัว
ดังนั้น แม้ว่า Meta Ray-Ban Display Smart Glasses อาจจะยังไม่ใช่อุปกรณ์ที่จะมาแทนที่สมาร์ทโฟนของเราในวันพรุ่งนี้
แต่มันคือบทพิสูจน์แนวคิดที่สำคัญ และเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
ยุคที่เราจะไม่ต้องก้มลงมองจอในมืออีกต่อไป
สงครามเพื่อแย่งชิงหน้าจอในกระเป๋าของเราอาจจะจบลงไปแล้ว แต่สงครามเพื่อแย่งชิงหน้าจอที่อยู่ตรงหน้าดวงตาของเรา… เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
References : [theverge, cnet, wired, meta, ray-ban]