Geek Daily EP329 : Meta Ray-Ban อุปกรณ์เปลี่ยนโลก หรือแค่กล้องติดแว่นราคาแพง?

เรื่องราวของคอมพิวเตอร์ที่สวมใส่ได้บนใบหน้า หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “แว่นตาอัจฉริยะ” เป็นเหมือนความฝันที่เหล่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่พยายามจะทำให้เป็นจริงมาตลอดทศวรรษที่ผ่านมา แต่ส่วนใหญ่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า และกลายเป็นเพียงเรื่องตลกในหน้าประวัติศาสตร์เทคโนโลยี

แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้อาจจะไม่เหมือนเดิม… เพราะ Meta บริษัทแม่ของ Facebook ภายใต้การนำของ Mark Zuckerberg กำลังเดิมพันครั้งใหญ่กับอนาคตที่ว่านี้ และอาวุธชิ้นล่าสุดของพวกเขาก็คือ แว่นตา Ray-Ban รุ่นใหม่ ที่ไม่ได้มีแค่กล้องกับลำโพง แต่มันมี “หน้าจอ” อยู่ในตัว

วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันครับว่า แว่นตาอัจฉริยะราคาเกือบสามหมื่นบาทตัวนี้ มันทำอะไรได้บ้าง และที่สำคัญกว่านั้นคือ มันกำลังจะมาเปลี่ยนโลกของเราจริงๆ หรือเป็นแค่ของเล่นราคาแพงอีกชิ้น ที่สุดท้ายก็จะถูกลืมไป… และนี่คือเกมยาวของ Meta ที่คุณอาจจะยังไม่เคยรู้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2neubyaj

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3vwk3xns

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/kr9sav4x

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/9vOISBwoMNo

กลยุทธ์ “กล้วย” ของ Google ท่าไม้ตายสุดเรียบง่ายที่โค่นบัลลังก์ ChatGPT

ถ้าเราลองย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ เราจะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ มักจะเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ที่ไม่มีใครคาดคิดเสมอ

และในสมรภูมิที่ดุเดือดที่สุดแห่งยุคสมัยอย่างสงครามปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เรื่องราวทำนองเดียวกันนี้ก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง

เรื่องราวของ “กล้วย” ลูกเล็กๆ ที่สามารถสั่นสะเทือนบัลลังก์ของราชันย์ AI ได้ทั้งโลก

เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ หากใครจำได้ ในช่วงเวลาหนึ่ง โลกทั้งใบต่างตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดของ AI ที่ชื่อว่า ChatGPT จากบริษัท OpenAI

ChatGPT ไม่ใช่แค่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่มันคือปรากฏการณ์ มันคือสิ่งที่ทำให้คนธรรมดาทั่วไปได้สัมผัสกับพลังของ AI อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก

มันเหมือนกับตอนที่ Steve Jobs เปิดตัว iPhone เครื่องแรก ที่เปลี่ยนความเข้าใจของเราเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือไปตลอดกาล ChatGPT ก็ทำแบบนั้นกับโลกของ AI

ด้วยความสามารถในการตอบคำถามที่ซับซ้อน เขียนบทความ แต่งโค้ดโปรแกรม ไปจนถึงการสร้างสรรค์งานศิลปะ ทำให้ ChatGPT กลายเป็นแอปพลิเคชันที่ร้อนแรงที่สุดในโลก

ตำแหน่งแอปยอดนิยมอันดับหนึ่งบน App Store แทบจะถูกจองไว้สำหรับ ChatGPT อย่างถาวร ยากที่จะจินตนาการว่าจะมีใครมาโค่นล้มบัลลังก์นี้ลงได้

ในขณะเดียวกัน ยักษ์ใหญ่แห่งโลกเทคโนโลยีอย่าง Google ที่หลายคนมองว่าเป็นผู้นำด้านการวิจัย AI มาโดยตลอด กลับดูเหมือนจะตามหลังอยู่หนึ่งก้าวในสนามแข่งขันนี้

แน่นอนว่าเบื้องหลังของ Google นั้นเต็มไปด้วยเทคโนโลยี AI ที่ล้ำสมัย พวกเขาคือผู้สร้างสถาปัตยกรรม Transformer ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ ChatGPT เกิดขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ

แต่ในเกมที่ต้องช่วงชิงความสนใจจากผู้บริโภค Google ยังขาดหมัดเด็ดที่จะดึงดูดใจคนในวงกว้างได้

แม้พวกเขาจะส่งแชทบอทของตัวเองอย่าง Gemini ลงสู่สนาม แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้รุนแรงเท่ากับที่คู่แข่งทำไว้

จนกระทั่งวันหนึ่ง Google ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด

พวกเขาไม่ได้เปิดตัวโมเดล AI ที่ซับซ้อนกว่าเดิม แต่กลับปล่อยอาวุธลับชิ้นเล็กๆ ที่ดูแสนจะธรรมดาออกมา มันคือฟีเจอร์หนึ่งที่ซ่อนอยู่ในแอป Gemini

ฟีเจอร์ที่มีชื่อดูไม่น่าเกรงขามเอาเสียเลยว่า “Nano Banana”

แล้วเจ้า Nano Banana นี้คืออะไร? มันไม่ใช่ AI ที่ตอบปัญหาปรัชญา แต่มันคือเครื่องมือสร้างและแก้ไขรูปภาพที่ทำงานได้อย่างง่ายดาย

คุณพิมพ์คำสั่งง่ายๆ ลงไปว่าอยากได้รูปภาพแบบไหน หรืออยากจะเปลี่ยนรูปถ่ายเดิมๆ ให้กลายเป็นอะไร AI ก็จะเนรมิตภาพนั้นขึ้นมาให้ในทันที

จุดเปลี่ยนที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีเบื้องหลัง แต่อยู่ที่ “กลยุทธ์” ที่ Google วางไว้ต่างหาก

ข้อแรกคือ มัน “ง่าย” มาก ใครๆ ก็สามารถเล่นได้ ไม่ต้องมีความรู้ทางเทคนิค ไม่ต้องคิดคำสั่งซับซ้อน แค่มีความคิดสร้างสรรค์ก็เพียงพอ

ข้อสองคือ มัน “ฟรี” Google ใจกว้างพอที่จะให้ทุกคนสร้างสรรค์ผลงานได้ถึงวันละ 100 รูป โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

เมื่อความง่ายมาเจอกับของฟรี ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ “ความเป็นไวรัล”

ปรากฏการณ์นี้เริ่มต้นเหมือนไฟลามทุ่ง จากเทรนด์การสร้างภาพฟิกเกอร์สามมิติของตัวเอง ก็ลุกลามไปสู่การสร้างภาพเซลฟี่ในชุดส่าหรีย้อนยุคที่งดงาม

จากนั้นก็ต่อไปยังการสร้างภาพถ่ายคู่กับดาราคนโปรด หรือแม้กระทั่งการทำภาพพรีเวดดิ้งในฝันโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท

ฟีดโซเชียลมีเดียทั่วโลกเต็มไปด้วยรูปภาพที่ถูกสร้างสรรค์จาก Nano Banana มันกลายเป็นกระแสที่ทุกคนต้องเล่น ทุกคนต้องมี

แล้วมันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ? คำตอบอยู่ในตัวเลขครับ

ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน มีการใช้เครื่องมือ Nano Banana สร้างและแก้ไขรูปภาพไปแล้วมากกว่า 500 ล้านครั้ง

และที่น่าทึ่งยิ่งกว่า คือในช่วงเวลาแค่สองสัปดาห์ มีผู้ใช้ใหม่ดาวน์โหลดแอป Gemini เพิ่มขึ้นถึง 23 ล้านคน

นี่คือกลยุทธ์ “ม้าไม้เมืองทรอย” ในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

Nano Banana คือม้าไม้ที่ดูไม่มีพิษมีภัย เป็นของเล่นสนุกๆ ที่ทำให้คนนับล้านยอมเปิดประตูเมือง ดาวน์โหลดแอป Gemini เข้ามาไว้ในสมาร์ทโฟนของตัวเอง

แต่เมื่อแอปเข้ามาอยู่ในมือของผู้ใช้แล้ว พวกเขาก็จะได้พบกับกองทัพทหารที่ซ่อนอยู่ข้างใน นั่นคือความสามารถอันมหาศาลของ Gemini ที่ทำได้มากกว่าแค่การแต่งรูป

เรื่องราวนี้ทำให้เรานึกถึงประวัติศาสตร์ของสงครามเครื่องเกมคอนโซล

ในยุคที่ Sony PlayStation และ Microsoft Xbox แข่งขันกันด้วยกราฟิกที่สมจริงและพลังการประมวลผลที่เหนือกว่า

Nintendo ได้เลือกเดินในเส้นทางที่แตกต่าง พวกเขาเปิดตัวเครื่องเกม Wii ที่มีสเปกต่ำกว่าคู่แข่ง แต่มาพร้อมกับนวัตกรรมที่เรียกว่า “Wiimote”

จอยเกมที่ตรวจจับการเคลื่อนไหวได้นี้ ได้เปลี่ยนวิธีการเล่นเกมไปอย่างสิ้นเชิง มันทำให้คนที่ไม่เคยเล่นเกมมาก่อน ทั้งเด็ก ผู้หญิง หรือแม้แต่คนสูงอายุ สามารถสนุกไปกับการเล่นเกมได้

Nintendo ไม่ได้ชนะด้วยเทคโนโลยีที่ทรงพลังที่สุด แต่ชนะด้วย “ประสบการณ์” ที่เข้าถึงง่ายและสนุกสนานสำหรับทุกคน

สิ่งที่ Google ทำกับ Nano Banana ก็ไม่ต่างกัน

ในขณะที่การแข่งขัน AI มุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการประมวลผลภาษาที่ซับซ้อน Google กลับเลือกที่จะใช้ “ความสนุก” และ “การแสดงออกถึงตัวตน” เป็นอาวุธ

เพราะพวกเขารู้ดีว่า มนุษย์เราชอบที่จะแบ่งปันเรื่องราวของตัวเอง และรูปภาพคือเครื่องมือในการเล่าเรื่องที่ทรงพลังที่สุด

ผลลัพธ์จาก ChatGPT ที่เป็นข้อความ อาจจะน่าทึ่ง แต่ก็ยากที่จะนำไปอวดเพื่อนบน Instagram

แต่รูปภาพสวยๆ ที่สร้างจาก Nano Banana คือสิ่งที่ผู้คนอยากจะแชร์ อยากจะตั้งเป็นรูปโปรไฟล์ มันคือคอนเทนต์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อยุคโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะ

และแล้วช่วงเวลาที่ไม่มีใครคาดคิดก็มาถึง

ข้อมูลบน App Store และ Google Play Store ในตลาดสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกาและอินเดีย แสดงให้เห็นภาพเดียวกัน

แอปพลิเคชัน Google Gemini ได้ทะยานขึ้นสู่อันดับหนึ่ง แซงหน้า ChatGPT ได้สำเร็จ

บัลลังก์ของราชันย์ AI ได้ถูกโค่นลงด้วยอาวุธที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น

แล้วชัยชนะครั้งนี้บอกอะไรเราบ้าง?

มันบอกเราว่าในโลกเทคโนโลยี การมีผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดอาจไม่เพียงพอ แต่การมีผลิตภัณฑ์ที่ “เข้าถึงใจ” ผู้คนได้มากที่สุดต่างหาก คือกุญแจสู่ความสำเร็จ

มันสอนบทเรียนราคาแพงให้กับ OpenAI ว่า การพึ่งพาความเหนือกว่าทางเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว อาจไม่ใช่กลยุทธ์ที่ยั่งยืนอีกต่อไป

และมันยังบอกใบ้ถึงทิศทางของสงคราม AI ในอนาคต ที่จะไม่ได้วัดกันแค่ที่ “ความฉลาด” ของ AI เพียงอย่างเดียว

แต่จะวัดกันที่ “ประสบการณ์ของผู้ใช้งาน” และความสามารถในการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับวัฒนธรรมและชีวิตประจำวันของผู้คน

สำหรับ Google นี่คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาได้ผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล และที่สำคัญกว่านั้นคือ พวกเขาได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเองจากผู้ตาม กลายเป็นผู้กำหนดเทรนด์ได้สำเร็จ

แน่นอนว่าสงครามครั้งนี้ยังไม่จบ มันเป็นเพียงแค่การรบในสมรภูมิหนึ่งเท่านั้น

OpenAI และ ChatGPT ยังคงเป็นพลังที่น่าเกรงขาม และพวกเขาคงไม่ยอมอยู่นิ่งเฉยอย่างแน่นอน บางทีในอีกไม่ช้า เราอาจจะได้เห็นการตอบโต้ครั้งสำคัญจากฝั่ง OpenAI ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้

แต่อย่างน้อยในวันนี้ เรื่องราวของ Google Gemini และ Nano Banana ก็ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า บางครั้งการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็ไม่จำเป็นต้องมาจากเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเสมอไป

แต่อาจจะมาจากไอเดียที่เรียบง่าย ที่เข้าใจในธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งนั่นเองครับผม

References : [techcrunch, theverge, reuters, forbes, businessinsider]

ระเบิดเวลาการศึกษาจีน รัฐสั่งแบนกวดวิชา แต่ทำไมคนรวยยิ่งได้เปรียบ?

เคยสงสัยกันมั๊ยครับว่า อะไรคือตัวชี้วัดที่แท้จริงว่าประเทศหนึ่งได้กลายเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” ? หนึ่งในคำตอบที่สำคัญที่สุด อาจไม่ใช่ตึกระฟ้าหรือเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่เป็นเรื่อง “ความเท่าเทียมทางการศึกษา”

หนังสือ Hidden Potential ของ Adam Grant เล่าถึงความสำเร็จของฟินแลนด์ ที่ยกระดับประเทศผ่านการกระจายการศึกษาให้มีมาตรฐานเดียวกันทั่วถึง หรืออย่าง Estonia ที่กลายเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยีได้ ก็เพราะเริ่มต้นจากการให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม

แต่เรื่องราวของจีนกลับต่างออกไป แม้ภาพลักษณ์ภายนอกจะดูเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่หากมองลึกลงไปในระบบการศึกษา เราอาจเห็นระเบิดเวลาที่ซ่อนอยู่ และมันอาจเป็นภาพสะท้อนของปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยของเราเอง

ลองจินตนาการถึงเด็กอายุ 12 ปีในเมืองใหญ่ของจีน เวลาก่อนฟ้าสางคือสัญญาณเริ่มต้นวันใหม่ พวกเขาต้องรีบตื่นนอน คว้าอาหารเช้า และใช้เวลากว่าชั่วโมงเพื่อเดินทางไปโรงเรียนที่มีชื่อเสียง

เมื่อถึงโรงเรียน กิจวัตรแรกคือการเข้าแถวและออกกำลังกายราวกับทหาร ก่อนจะเริ่มต้นการเรียนที่อัดแน่นไปจนถึงช่วงเย็น ทุกวินาทีถูกตีค่าเป็นการเรียนรู้ ไม่มีเวลาให้พูดคุยหรือเล่นสนุกเหมือนเด็กทั่วไป

ห้องเรียนของจีนเน้นการท่องจำและทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด เพราะทุกอย่างถูกออกแบบมาเพื่อเป้าหมายเดียว นั่นคือการพิชิตข้อสอบที่โหดที่สุดในประเทศที่ชื่อว่า Gaokao (เกาเข่า)

เมื่อโรงเรียนเลิกในตอนเย็น วันของพวกเขาก็ยังไม่จบ เด็ก ๆ ต้องเดินทางไปเรียนพิเศษต่อจนถึง 3-4 ทุ่ม ชีวิตวนเวียนอยู่กับการเดินทางและการอ่านหนังสือ จนแทบไม่มีเวลาได้คุยกับพ่อแม่ นี่คือภาพจริงของการแข่งขันที่เริ่มต้นตั้งแต่วัยเยาว์

ภาวะเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายคนต้องเผชิญกับความวิตกกังวล นอนไม่หลับ ไปจนถึงภาวะซึมเศร้า แต่ดูเหมือนว่าทั้งสังคมจะยอมรับมัน เพราะเชื่อว่านี่คือหนทางเดียวสู่ความสำเร็จ

ทำไมพวกเขาถึงต้องทุ่มเทชีวิตให้กับการเรียนขนาดนี้? คำตอบอยู่ในรากฐานความเชื่อของสังคมจีน ที่มองว่าการศึกษาคือบันไดเพียงอันเดียวที่จะพาครอบครัวให้หลุดพ้นจากความยากจนได้

ความเชื่อนี้หยั่งรากลึกมาตั้งแต่สมัยโบราณ ผ่านระบบการสอบขุนนางที่เปิดโอกาสให้ลูกชาวนากลายเป็นขุนนางใหญ่ได้หากมีความสามารถ ความเชื่อนั้นถูกส่งต่อมาสู่ยุคปัจจุบัน ผ่านการสอบ Gaokao ที่เปรียบเสมือนเครื่องตัดสินชะตาชีวิต

หากทำคะแนนได้ไม่ดี ก็จะไม่ได้เข้าโรงเรียนมัธยมชั้นนำ และนั่นหมายถึงโอกาสที่จะเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ก็แทบจะเป็นศูนย์ วงจรนี้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้ผู้ปกครองต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่ออนาคตของลูก

หลายครอบครัวยอมเป็นหนี้ ขายสินทรัพย์ หรือย้ายบ้าน เพื่อให้ลูกได้อยู่ในโรงเรียนที่ดีที่สุด บางคนถึงกับลาออกจากงานเพื่อมาดูแลการเรียนของลูกเต็มเวลา ความคาดหวังของทั้งตระกูลจึงตกมาอยู่บนบ่าของเด็กตัวเล็ก ๆ

แน่นอนว่า เมื่อมีความต้องการมหาศาล ก็ย่อมมีธุรกิจที่เข้ามาตอบสนอง “ธุรกิจกวดวิชา” ในจีนจึงเติบโตอย่างก้าวกระโดด กลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดมหึมาที่มีมูลค่าสูงถึง 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สถาบันกวดวิชาผุดขึ้นราวดอกเห็ด จนมีจำนวนเกือบเท่าโรงเรียนรัฐทั่วประเทศ พวกเขาไม่ได้เป็นแค่ที่เรียนเสริมอีกต่อไป แต่กลายเป็นผู้กำหนดเกมการแข่งขันนี้เสียเอง

กลยุทธ์ทางการตลาดถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความกลัวและความกังวลให้ผู้ปกครอง มีการนำเสนอสถิติที่น่าตกใจ เช่น เด็กที่ไม่ได้เรียนพิเศษมีโอกาสสอบติดมหาวิทยาลัยชั้นนำเพียง 1% หรือรายได้ของผู้ที่จบจากมหาวิทยาลัยชั้นรองจะต่ำกว่าถึง 5 เท่า

บางแห่งถึงขั้นติดกล้องวงจรปิดในห้องเรียน ให้พ่อแม่สอดส่องลูกผ่านแอปพลิเคชันได้ตลอดเวลา ทุกอย่างถูกทำให้ดูเหมือนว่า หากไม่ส่งลูกมาเรียนที่นี่ อนาคตของพวกเขาก็จะจบสิ้น

ธุรกิจกวดวิชากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขาย “ทางลัด” สู่ความสำเร็จ พวกเขาสร้างหลักสูตรที่อ้างว่าจะช่วยแฮกระบบการสอบ Gaokao ได้ ด้วยเทคนิคการจำ การเดาข้อสอบ และกลยุทธ์ที่เน้นทำคะแนนมากกว่าความเข้าใจที่แท้จริง

สถาบันเหล่านี้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเพิ่มคะแนนได้อย่างน้อย 50 คะแนนใน 3 เดือน หรือรับประกันคืนเงิน บางแห่งกล้าถึงขั้นให้จ่ายเงินค่าเรียนหลังจากลูกสอบติดมหาวิทยาลัยแล้วเท่านั้น มันได้เปลี่ยนการศึกษาให้กลายเป็นเกมที่ใช้เงินเพื่อซื้อความได้เปรียบ

จนกระทั่งคืนวันเสาร์หนึ่งในปี 2021 รัฐบาลจีนก็ตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด ด้วยการลงนามในเอกสารฉบับเดียว อุตสาหกรรมกวดวิชามูลค่าแสนล้านดอลลาร์ก็ถูกทำลายลงในชั่วข้ามคืน

ศูนย์กวดวิชากว่า 120,000 แห่งทั่วประเทศถูกสั่งปิดถาวร พนักงานหลายแสนคนตกงานทันที ติวเตอร์ชื่อดังต้องเปลี่ยนอาชีพไปขับแท็กซี่หรือเปิดร้านอาหาร ตลาดที่เคยคึกคักกลับเงียบสงัดราวกับเมืองร้าง

มันเหมือนกับว่าร้าน McDonald’s, Subway และ Starbucks หายไปจากประเทศพร้อมกันในคืนเดียว นี่คือการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่ แต่ผลลัพธ์ที่ตามมากลับไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง

แทนที่การแข่งขันจะลดลง มันกลับย้ายจากบนดินลงไปสู่ “ตลาดมืด” ผู้ปกครองเริ่มหาทางหลบเลี่ยงกฎระเบียบ ติวเตอร์เริ่มแอบสอนตามโรงแรม ห้องสมุด หรือแม้แต่ในบ้านส่วนตัว

พวกเขาเปลี่ยนชื่อหลักสูตรเป็นการพูดในที่สาธารณะ หรือโฆษณาตัวเองว่าเป็นพี่เลี้ยงที่มีความรู้ทางวิชาการสูง การจ่ายเงินต้องเป็นเงินสดเท่านั้นเพื่อไม่ให้มีร่องรอยทางดิจิทัล

เมื่อการสอนต้องทำแบบตัวต่อตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ค่าเล่าเรียนก็พุ่งสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง จากชั่วโมงละไม่กี่ร้อยหยวน กลายเป็นหลักพันหรือสองพันหยวน

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ การกวดวิชากลายเป็นบริการสุดหรูสำหรับครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดเท่านั้น ส่วนครอบครัวชนชั้นกลางและผู้มีรายได้น้อยก็ถูกตัดออกจากวงจรการแข่งขันนี้ไปโดยปริยาย

นโยบายที่ตั้งใจจะสร้างความเท่าเทียม กลับยิ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำให้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ปัญหานี้สะท้อนให้เห็นความท้าทายที่ใหญ่กว่านั้น นั่นคือโครงสร้างสังคมของจีนเอง

จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูงที่สุดในโลก ระหว่างปี 1978 ถึง 2015 สัดส่วนรายได้ของคนรวยที่สุด 10% เพิ่มจาก 27% เป็น 41% ขณะที่คนจนที่สุด 50% กลับมีสัดส่วนรายได้ลดลงจาก 27% เหลือเพียง 15%

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนภาพชีวิตที่แตกต่างกันสุดขั้ว ประชากรราว 600 ล้านคนยังมีรายได้เฉลี่ยเพียง 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี พวกเขาส่วนใหญ่อาศัยในชนบท มีวิถีชีวิตที่ไม่ต่างจากผู้คนในประเทศยากจน

ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งใช้ชีวิตหรูหราเทียบเท่าหรือมากกว่าชาวอเมริกัน มีบ้านราคาหลายล้านดอลลาร์ และเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก นี่คือสองโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในประเทศเดียวกัน

ความแตกต่างนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นในด้านการศึกษา เด็กจากครอบครัวร่ำรวยได้เรียนโรงเรียนนานาชาติค่าเทอมปีละหลายล้านบาท มีครูต่างชาติและอุปกรณ์ทันสมัย ในขณะที่เด็กยากจนยังต้องเรียนในโรงเรียนรัฐที่มีทรัพยากรจำกัด

รัฐบาลจีนพยายามใช้ระบบ Gaokao เป็นเครื่องมือสร้างภาพของ “ความยุติธรรม” ว่าทุกคนมีโอกาสเท่ากันหากมีความสามารถ แต่ความจริงแล้ว ระบบนี้ก็ยังเต็มไปด้วยความไม่เท่าเทียมที่ซ่อนอยู่

ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัย Tsinghua ที่เปรียบได้กับ MIT ของจีน มีโควต้ารับนักเรียนจากปักกิ่งมากกว่านักเรียนจากสองจังหวัดที่ประชากรเยอะที่สุดรวมกันเสียอีก นั่นหมายความว่าเด็กปักกิ่งมีโอกาสสอบติดมากกว่าเด็กต่างจังหวัดถึง 10 เท่า แม้จะได้คะแนนเท่ากันก็ตาม

พรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามอย่างยิ่งที่จะปกปิดข้อมูลเหล่านี้ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของความยุติธรรมเอาไว้ แต่ธุรกิจกวดวิชากลับเป็นตัวเปิดโปงความจริงนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ

การปราบปรามธุรกิจกวดวิชาจึงเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ตราบใดที่อนาคตทั้งชีวิตยังถูกตัดสินด้วยการสอบเพียงครั้งเดียว ตราบใดที่ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนยังถ่างกว้างออกไปเรื่อย ๆ ผู้ปกครองก็จะยังคงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกของตนได้เปรียบ

บทเรียนสำคัญจากเรื่องนี้คือ แม้แต่รัฐบาลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จที่สุดในโลก ก็ยังไม่สามารถเอาชนะแรงกดดันทางเศรษฐกิจและสังคมที่ผลักดันให้ผู้คนต้องดิ้นรนแข่งขันได้

การแก้ปัญหาที่แท้จริงต้องเริ่มจากการสร้างสังคมที่เท่าเทียมมากขึ้น กระจายโอกาสทางเศรษฐกิจให้ทั่วถึง และเปลี่ยนค่านิยมที่ยึดติดกับคะแนนสอบมากเกินไป

เรื่องราวทั้งหมดนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่หากเราลองเปลี่ยนคำว่า “ประเทศจีน” เป็น “ประเทศไทย” เราอาจจะพบว่าภาพที่เห็นนั้นแทบไม่แตกต่างกันเลย

ต่างกันเพียงอย่างเดียวคือ เราไม่มีอำนาจเด็ดขาดพอที่จะสั่งปิดสถาบันกวดวิชาได้ในชั่วข้ามคืน แต่ปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งความเหลื่อมล้ำและระบบการศึกษาที่เน้นการแข่งขัน ก็ยังคงเป็นระเบิดเวลาที่รอวันปะทุอยู่ไม่ต่างกัน

References : [economist,ft,nature,scmp]

iPhone 17 ขายดี แต่ทำไมหุ้นร่วง? เกิดอะไรขึ้นหลัง Wall Street เชื่อมั่นต่ำสุดในรอบ 5 ปี

ถ้าพูดถึงบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ชื่อของ Apple คงจะเป็นชื่อแรกที่หลายคนนึกถึง

บริษัทนี้ไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ แต่เป็นผู้สร้างวัฒนธรรม เป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรม และเป็นต้นแบบของความสำเร็จทางธุรกิจที่นักการตลาดทั่วโลกต้องศึกษา

แต่เคยสังเกตไหมครับว่า ในช่วงหลังมานี้ บรรยากาศรอบตัว Apple เริ่มเปลี่ยนไป ความตื่นเต้นในวันเปิดตัวสินค้าใหม่ดูเหมือนจะลดน้อยลง เสียงวิจารณ์เริ่มดังขึ้น และที่สำคัญ ตลาดหุ้นก็ดูจะไม่เป็นใจเหมือนเคย

ล่าสุดหลังการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนใน Wall Street ก็ดิ่งลงไปแตะจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี เกิดอะไรขึ้นกับบริษัทที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นบริษัทที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก?

เรื่องราวนี้อาจต้องย้อนกลับไปที่คำคำหนึ่งที่ถูกพูดถึงมาหลายปี นั่นคือคำว่า “Supercycle”

Supercycle หรือ “วัฏจักรการอัปเกรดครั้งใหญ่” คือปรากฏการณ์ที่คนจำนวนมหาศาลพร้อมใจกันทิ้ง iPhone เครื่องเก่า เพื่อไปซื้อรุ่นใหม่ที่มาพร้อมนวัตกรรมเปลี่ยนโลก จนทำให้ยอดขายพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์

ภาพจำครั้งสุดท้ายที่เราเห็นปรากฏการณ์ใกล้เคียงนี้ อาจเป็นตอนเปิดตัว iPhone 6 ที่มีหน้าจอใหญ่ขึ้นอย่างก้าวกระโดด หรือตอน iPhone X ที่ฉีกทุกกฎเกณฑ์ด้วยดีไซน์เต็มจอและเทคโนโลยี Face ID

แต่หลังจากนั้น… Supercycle ที่ทุกคนเฝ้ารอก็ไม่เคยมาถึงอีกเลย

คำถามสำคัญคือ “ทำไม?”

คำตอบอาจจะเรียบง่ายกว่าที่เราคิด นั่นก็เพราะว่า iPhone ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มัน “ดีเกินไป” อยู่แล้ว

ลองนึกภาพตามนะครับ โทรศัพท์ในมือของคนส่วนใหญ่ แม้จะตกรุ่นไป 2-3 ปี ก็ยังคงใช้งานได้ดีเยี่ยม มันยังเร็วพอ เล่นโซเชียลได้ลื่นไหล ถ่ายรูปสวยงาม จนแทบไม่มีเหตุผลสำคัญให้ต้องรีบเปลี่ยน

เมื่อนวัตกรรมใหม่เป็นเพียงการปรับปรุงทีละเล็กละน้อย ชิปที่เร็วขึ้น กล้องที่คมชัดขึ้น มันจึงไม่ใช่แม่เหล็กที่ดึงดูดให้คนยอมจ่ายเงินก้อนโตเพื่ออัปเกรดอีกต่อไป

เรื่องนี้ทำให้นักวิเคราะห์อย่าง Mark Gurman จาก Bloomberg มองว่า สิ่งที่ขายได้จริงๆ ไม่ใช่สเปกบนกระดาษ แต่คือ “ดีไซน์ใหม่” และ “ฟีเจอร์ที่จับต้องได้” ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายไป

การเปิดตัวครั้งล่าสุด Apple พยายามแก้เกมด้วยดีไซน์ใหม่ สีสันใหม่ และการปรับปรุงกล้องครั้งใหญ่ แต่คำถามก็คือ มันจะเพียงพอหรือไม่ที่จะปลุกความตื่นเต้นให้กลับมาอีกครั้ง

สถานการณ์ของ Apple ในวันนี้ กำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อสูตรสำเร็จเดิมๆ ที่เคยใช้ได้ผล เริ่มจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป

แล้ว Apple จะเผชิญหน้ากับความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าอย่างไร?

ความท้าทายแรกที่ Apple ต้องเผชิญ คือ “ภาวะหมดมุกทางนวัตกรรม” ของตลาดสมาร์ทโฟน

ในอดีต Apple เคยสร้างความตื่นเต้นด้วยการทลายข้อจำกัดด้านการออกแบบอยู่เสมอ ใครที่ทันยุค iPhone 6 Plus คงจำเหตุการณ์ “Bendgate” ได้ ที่ตัวเครื่องบางเฉียบจนสามารถงอได้

แม้ตอนนั้นจะเป็นข่าวในแง่ลบ แต่มันก็สะท้อนให้เห็นถึงความกล้าของ Apple ที่จะผลักดันดีไซน์ให้ไปถึงขีดสุด แต่ในวันนี้ เมื่อการออกแบบสมาร์ทโฟนดูจะมาถึงจุดที่คล้ายกันไปหมด ความท้าทายจึงไม่ใช่แค่การทำให้บางลง แต่คือการสร้างความแตกต่างที่น่าจดจำ

Apple พยายามตอบโจทย์นี้ด้วย iPhone Air ที่เน้นความบางเบาเป็นพิเศษ ถึงขนาดยอมลดสเปกบางอย่างลง แต่ก็ต้องแลกมากับคำถามว่า ผู้ใช้งานจะยอมรับข้อจำกัดเรื่องแบตเตอรี่และกล้องได้หรือไม่

ในขณะเดียวกัน ความท้าทายที่สองซึ่งใหญ่กว่ามาก ก็กำลังคืบคลานเข้ามา นั่นคือสมรภูมิรบครั้งใหม่ที่เรียกว่า “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI

ในยุคที่ฮาร์ดแวร์เริ่มใกล้ถึงทางตัน ซอฟต์แวร์และ AI คือตัวตัดสินที่แท้จริงว่าใครจะเป็นผู้นำในทศวรรษหน้า

คู่แข่งอย่าง Google และ Samsung ต่างวิ่งนำหน้าไปหลายก้าว พวกเขานำเสนอฟีเจอร์ AI ที่ใช้งานได้จริงและน่าทึ่ง ตั้งแต่การแปลภาษาแบบเรียลไทม์ ไปจนถึงการลบวัตถุออกจากภาพถ่ายได้อย่างน่ามหัศจรรย์

Apple เปิดตัวสิ่งที่เรียกว่า Apple Intelligence ซึ่งชูจุดเด่นเรื่องความเป็นส่วนตัว เพราะ AI จะประมวลผลบนตัวเครื่องเป็นหลัก ไม่ส่งข้อมูลส่วนตัวของเรากลับไปที่เซิร์ฟเวอร์

นี่คือแนวทางที่น่าชื่นชม แต่ปัญหาคือการนำมาใช้งานจริงกลับล่าช้าและติดขัด จนนักวิเคราะห์บางคนเรียกว่ามัน “เกือบจะเป็นหายนะ”

Siri ผู้ช่วยอัจฉริยะที่เคยเป็นผู้บุกเบิกเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้กลับถูกคู่แข่งทิ้งห่างไปไกลในแง่ของความสามารถ ทำให้ Apple ตกอยู่ในสถานะ “ผู้ไล่ตาม” ในสมรภูมิที่สำคัญที่สุดแห่งยุค

แต่พายุยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ความท้าทายที่สามและอาจจะอันตรายที่สุด กำลังโจมตีเข้าที่หัวใจของโมเดลธุรกิจของ Apple โดยตรง

นั่นคือการสั่นคลอนของ “Ecosystem” หรือระบบนิเวศอันแข็งแกร่ง

จุดแข็งที่สุดของ Apple คือการที่อุปกรณ์ทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็น iPhone, Mac หรือ Apple Watch สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นไร้รอยต่อ สร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมจนผู้ใช้ไม่อยากย้ายไปไหน

แต่ “สวนสวยที่มีกำแพงล้อมรอบ” หรือ Walled Garden นี้ กำลังถูกทลายลงโดยกฎหมายจากหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก

ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย Digital Markets Act (DMA) ในยุโรป หรือการฟ้องร้องของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ในข้อหาผูกขาดตลาด ทั้งหมดนี้ล้วนบีบให้ Apple ต้องเปิดประตูบ้านของตัวเองมากขึ้น

การต้องยอมให้มีการติดตั้งแอปจากนอก App Store หรือการต้องเปิดระบบชำระเงินให้แก่ผู้พัฒนารายอื่น คือการทำลายความได้เปรียบที่ Apple เคยมีมาตลอด

เมื่อฮาร์ดแวร์ไม่ว้าวเหมือนเดิม สงคราม AI ก็เป็นฝ่ายตามหลัง แถมป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดอย่าง Ecosystem ก็กำลังถูกโจมตี คำถามสำคัญก็คือ แล้ว Apple จะเอาอะไรมาสู้ต่อจากนี้ไป?

เมื่อเผชิญกับพายุที่โหมกระหน่ำจากทุกทิศทาง หลายคนอาจมองว่านี่คือสัญญาณของจุดจบ แต่สำหรับบริษัทที่ผ่านร้อนผ่านหนาวและเคยเกือบล้มละลายมาแล้วครั้งหนึ่ง นี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบทใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิม

คำตอบของ Apple ต่อความท้าทายเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ที่การออก iPhone รุ่นใหม่ที่ดีกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย แต่มันคือการเดิมพันครั้งใหญ่กับอนาคตใน 2 สมรภูมิหลัก

สมรภูมิแรก คือการพลิกเกมในสงคราม AI

Apple รู้ดีว่าพวกเขาไม่สามารถแข่งขันด้วยพลังการประมวลผล AI ที่เหนือกว่าได้ในระยะสั้น แต่พวกเขามีไพ่ตายที่คู่แข่งไม่มี นั่นคือ “ความไว้วางใจ” และ “ความเป็นส่วนตัว”

Apple กำลังเดิมพันว่า ในระยะยาว ผู้คนจะเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลส่วนตัว และจะเลือกใช้ AI ที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ มากกว่า AI ที่เก่งที่สุดแต่ต้องแลกมาด้วยการสละความเป็นส่วนตัว

Apple Intelligence และ Siri ที่กำลังจะได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด จึงไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อแข่งขันว่าใครฉลาดกว่า แต่ถูกสร้างมาเพื่อเป็น “ผู้ช่วยส่วนตัวที่ไว้ใจได้ที่สุด”

นี่คือการเปลี่ยนสนามรบจากเรื่องของ “พลัง” ไปสู่เรื่องของ “ความเชื่อใจ” ซึ่งเป็นเกมที่ Apple ถนัดมาโดยตลอด

แต่เดิมพันที่ใหญ่กว่านั้น และอาจจะเป็นเดิมพันที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท กำลังรออยู่ในสมรภูมิที่สอง

นั่นคือการก้าวข้ามยุคของสมาร์ทโฟนไปสู่ “The Next Big Thing”

Apple ตระหนักดีว่าตลาดสมาร์ทโฟนมีวันที่จะต้องอิ่มตัว พวกเขาจึงต้องสร้างคลื่นลูกใหม่ที่จะมาปฏิวัติโลกได้อีกครั้ง เหมือนที่ Macintosh และ iPhone เคยทำสำเร็จมาแล้ว

และคำตอบนั้นก็คือ “Spatial Computing”

Apple Vision Pro อุปกรณ์สวมศีรษะที่เปิดตัวด้วยราคาสูงลิบลิ่ว อาจจะยังดูเป็นของเล่นสำหรับคนกลุ่มเล็กๆ ในวันนี้

แต่มันคือการประกาศให้โลกรู้ว่า “นี่คือทิศทางของคอมพิวเตอร์ในอนาคต”

มันคือการวางรากฐานสำหรับยุคใหม่ที่เส้นแบ่งระหว่างโลกจริงและโลกดิจิทัลจะเลือนหายไป เราจะไม่ได้มองข้อมูลผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมอีกต่อไป แต่จะโต้ตอบกับมันได้ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมรอบตัวเรา

นี่คือวิสัยทัศน์ระยะยาวที่ Apple กำลังทุ่มเทสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อสร้างให้เป็นจริง

ดังนั้น เรื่องราวของ Apple ในวันนี้ จึงไม่ใช่เรื่องของบริษัทที่กำลังถึงทางตัน แต่เป็นเรื่องราวของยักษ์ใหญ่ที่กำลังเดิมพันอนาคตทั้งหมด เพื่อก้าวข้ามความสำเร็จเดิมๆ ของตัวเอง

คำถามสุดท้ายจึงไม่ใช่ว่า iPhone รุ่นต่อไปจะสร้าง Supercycle ได้หรือไม่

แต่เป็นคำถามที่ว่า…

Apple จะสามารถสร้าง “วัฏจักรแห่งปัญญาประดิษฐ์” (Intelligence Cycle) และบุกเบิกยุคสมัยของ Spatial Computing ได้สำเร็จ ก่อนที่โลกจะหมุนไปจนไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเขาอีกต่อไปได้หรือไม่

นี่คือการต่อสู้ครั้งสำคัญ ที่จะตัดสินว่า Apple จะยังคงเป็นราชาแห่งโลกเทคโนโลยีต่อไปในอีกสิบปีข้างหน้าได้หรือเปล่า.

References : [bloomberg,theverge,techcrunch,macrumors,reuters]