Geek Talk EP144 : วิกฤตศรัทธา BYD “Build Your Dreams” หรือ “Build Your Problems”?

ในปี 2024 โลกได้เห็นบัลลังก์ของราชาแห่งวงการรถยนต์ไฟฟ้าสั่นสะเทือนเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เพราะบริษัทที่ทุกคนคุ้นเคยอย่าง Tesla ไม่ใช่เบอร์หนึ่งของโลกในด้านยอดขายอีกต่อไป

ตำแหน่งนั้นถูกโค่นลงโดยม้ามืดจากแดนมังกร บริษัทที่มีชื่อว่า BYD

การเดินทางของ BYD ตลอดห้าปีที่ผ่านมา ทุกอย่างดูเหมือนจะหยุดพวกเขาไม่อยู่ ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน การวางกลยุทธ์ราคาที่ใครก็ต้องยอม และการบุกตลาดโลกอย่างไม่เกรงกลัว ในที่สุด BYD ก็สามารถทำในสิ่งที่หลายคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ นั่นคือการแซงหน้า Tesla

แต่แล้ว… หลังจากที่ BYD ได้เฉลิมฉลองบนจุดสูงสุด พวกเขาก็กำลังเผชิญหน้ากับความจริงบทใหม่ที่โหดร้ายกว่าเดิม ยอดขายในประเทศที่เคยเป็นหัวใจหลักกลับหดตัวลงอย่างน่าใจหาย กำไรที่เคยเติบโตไม่หยุดกลับดิ่งลงเป็นครั้งแรกในรอบสามปี และที่หนักที่สุดคือการที่รัฐบาลจีน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้สนับสนุนหลัก กลับกลายเป็นผู้ที่เข้ามาคุมเกมเสียเอง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/prp4u9n3

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2hb6kbb9

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/j76t7sv4

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/a3Shz-SRzzA

Geek Daily EP328 : กลยุทธ์ “กล้วย” ของ Google ท่าไม้ตายสุดเรียบง่ายที่โค่นบัลลังก์ ChatGPT

สังเกตกันไหมว่าช่วงนี้บนโซเชียลมีเดียของเรา ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram หรือ TikTok มันเต็มไปด้วยรูปภาพแปลกตาที่ดูเหมือนจะหลุดมาจากจินตนาการ ทั้งภาพเพื่อนเราในชุดส่าหรีสไตล์ย้อนยุคที่ดูสวยเนียนกริ๊บ หรือภาพเซลฟี่คู่กับดาราดังระดับโลกแบบที่ดูไม่ออกเลยว่าตัดต่อ และล่าสุดกับภาพฟิกเกอร์สามมิติของตัวเองที่ดูเท่สุดๆ หลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นแค่เทรนด์สนุกๆ ที่มาแล้วก็ไป

แต่ถ้าผมจะบอกว่า ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ แต่มันคือฉากหนึ่งของสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเทคโนโลยีตอนนี้…สงครามของเหล่าปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่มีอนาคตของอินเทอร์เน็ตเป็นเดิมพัน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/bdz4vjae

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/zmnpnp5b

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4jtc5rt4

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/jLQyZ1084Sg

จาก “Made in China” กับเส้นทางสู่ “Owned by China” เทคโนโลยีจีนยึดโลกอย่างไร?

หากเราลองหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา แล้วไล่ดูแอปพลิเคชันที่ใช้งานกันอยู่ทุกวัน เราอาจจะพบเรื่องน่าประหลาดใจอย่างหนึ่ง

ไม่ว่าจะเป็นแอปวิดีโอสั้นสุดฮิตอย่าง TikTok, แพลตฟอร์ม e-commerce ที่เราคุ้นเคยอย่าง Lazada หรือถ้ามองออกไปนอกจอมือถือ แบรนด์รถยนต์ยุโรปสุดหรูอย่าง Volvo หรือแบรนด์รถยนต์ระดับ mass อย่าง BYD ก็ตาม

รู้หรือไม่ว่า… สิ่งเหล่านี้ล้วนมีจุดร่วมเดียวกัน คือมีเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัทจากประเทศจีน

ทุกวันนี้ จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกอย่างเต็มตัว การเติบโตนี้ได้ผลักดันให้บริษัทเทคโนโลยีของพวกเขากลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญในเวทีโลก

คนนับพันล้านชีวิตใช้ผลิตภัณฑ์และบริการจากบริษัทอย่าง Tencent และ Huawei ในทุกๆ วัน แต่การแผ่ขยายอิทธิพลนี้ กลับเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ จนหลายคนอาจไม่เคยสังเกต

ผู้คนรับรู้ว่าสินค้าจำนวนมากถูกประทับตราว่า “Made in China” แต่กลับไม่รู้ว่าโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวัน ก็กำลังจะกลายเป็น “Owned by China” เช่นกัน

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อผู้นำจีนอย่าง เติ้ง เสี่ยวผิง ตัดสินใจปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งประวัติศาสตร์

มันคือการแง้มประตูประเทศที่เคยปิดตาย เพื่อเปิดรับการค้าและการลงทุนจากโลกภายนอก เปรียบเสมือนการจุดประกายไฟ ที่จะลุกลามจนกลายเป็นเปลวเพลิงแห่งนวัตกรรมในเวลาต่อมา

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1984 เมื่อจีนประกาศจัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” หรือ Special Economic Zones (SEZs) ขึ้นมา

เมืองชายฝั่งอย่าง เซินเจิ้น ที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงอันเงียบสงบ ได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นห้องทดลองทางเศรษฐกิจขนาดมหึมา

ลองจินตนาการถึงพื้นที่ที่มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษี กฎระเบียบที่ผ่อนปรน และเปิดกว้างรับเงินทุนจากต่างชาติ มันได้ดึงดูดทั้งผู้ประกอบการและบริษัทข้ามชาติให้หลั่งไหลเข้ามา

เซินเจิ้น ได้กลายร่างเป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และได้รับสมญานามในเวลาต่อมาว่าเป็น “Silicon Valley ของจีน”

ท่ามกลางความคึกคักนี้เอง ในปี 1987 อดีตวิศวกรในกองทัพอย่าง เหริน เจิ้งเฟย ได้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่ชื่อว่า Huawei ขึ้นมา

ในยุคแรก Huawei เป็นเพียงผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์โทรคมนาคม แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างหนัก ทำให้พวกเขาสามารถสร้างเทคโนโลยีของตัวเองได้

กลยุทธ์ที่น่าสนใจของ Huawei คือการเจาะตลาดในพื้นที่ชนบทของจีน ซึ่งเป็นตลาดที่คู่แข่งจากชาติตะวันตกมองข้าม และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Huawei เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากฐานราก

เวลาเดินทางมาถึงทศวรรษ 1990 ซึ่งถือเป็นยุคทองของการก่อตั้งบริษัทอินเทอร์เน็ตจีน หรือที่เรารู้จักกันในนามกลุ่ม “BAT”

ในปี 1998 Ma Huateng หรือ Pony Ma ได้ก่อตั้ง Tencent ขึ้นที่ เซินเจิ้น ผลิตภัณฑ์แรกของเขาคือโปรแกรมแชทชื่อ OICQ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ICQ ที่โด่งดังในยุคนั้น

Tencent ค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นเจ้าแห่งโซเชียลมีเดียของจีน และได้ให้กำเนิด “Super App” อย่าง WeChat ที่รวมทุกบริการในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การสื่อสาร การเงิน ไปจนถึงความบันเทิง

หนึ่งปีถัดมา ในปี 1999 ที่เมืองหางโจว ครูสอนภาษาอังกฤษนามว่า Jack Ma ได้รวบรวมเพื่อน 17 คน มาที่อพาร์ตเมนต์ของเขา เพื่อก่อตั้งบริษัทที่มีชื่อว่า Alibaba

เป้าหมายแรกของ Alibaba คือการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมผู้ผลิตจีนกับผู้ซื้อทั่วโลก แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือการเปิดตัว Taobao เพื่อท้าชนกับ eBay และพวกเขาก็ชนะสงครามนั้นอย่างเด็ดขาด

การเติบโตของ Alibaba ได้รับแรงหนุนจากชนชั้นกลางชาวจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีกำลังซื้อในโลกออนไลน์มหาศาล

ส่วนตัวอักษรสุดท้ายในกลุ่ม BAT ก็คือ Baidu ซึ่งก่อตั้งโดย Robin Li ในปี 2000 เขากลับมาจากการทำงานที่ Silicon Valley เพื่อสร้าง Search Engine ของคนจีน

Baidu เติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเพราะได้รับประโยชน์จากการที่รัฐบาลจีนมีข้อจำกัดกับคู่แข่งอย่าง Google ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้ครองตลาดการค้นหาในประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ

Huawei และกลุ่ม BAT คือคลื่นลูกแรกที่พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า จีนไม่ใช่แค่โรงงานของโลกอีกต่อไป แต่สามารถสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นของตัวเองได้แล้ว

แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 2010 คลื่นลูกที่สองของบริษัทเทคโนโลยีจีน ก็เริ่มซัดเข้าสู่เวทีโลกอย่างเต็มกำลัง

ในปี 2010 Lei Jun ได้ก่อตั้ง Xiaomi ขึ้นมา เพื่อท้าทายตลาดสมาร์ทโฟน ด้วยกลยุทธ์ “ของดีราคาถูก” โดยนำเสนอโทรศัพท์สเปกสูงในราคาที่เข้าถึงได้ และขายผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก

กลยุทธ์นี้ได้ผลอย่างมหาศาล และทำให้ Xiaomi กลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ที่สุดของโลกได้ในเวลาอันรวดเร็ว

จากนั้นในปี 2012 บริษัทที่สร้างปรากฏการณ์ไปทั่วโลกก็ได้ถือกำเนิดขึ้น นั่นคือ ByteDance ของ จาง อี้หมิง

หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อบริษัท แต่ถ้าบอกว่าพวกเขาคือผู้สร้าง TikTok ก็คงไม่มีใครไม่รู้จัก อาวุธลับของ TikTok คืออัลกอริทึมที่ชาญฉลาด ซึ่งสามารถป้อนวิดีโอให้ผู้ใช้ได้อย่างไม่รู้จบ

ความสำเร็จของ TikTok ทำให้ ByteDance กลายเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก และมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมป๊อปทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยมีบริษัทจีนไหนทำได้มาก่อน

ล่าสุด สมรภูมิรบได้ขยายไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจีนได้กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของโลกไปแล้ว และมีบริษัทอย่าง BYD และ Nio เป็นหัวหอก ท้าทายเจ้าตลาดเดิมอย่าง Tesla

มาถึงตรงนี้ เราจะเห็นภาพการเติบโตที่น่าทึ่งของบริษัทเทคโนโลยีจีน แต่คำถามสำคัญก็คือ แล้วทำไมเรื่องนี้ถึงกลายเป็นประเด็นที่น่ากังวลในระดับโลก?

คำตอบไม่ได้อยู่ที่ตัวบริษัทเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐของจีน ที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก

ประเด็นแรกที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือเรื่อง “โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร” โดยมี Huawei เป็นศูนย์กลาง

การที่ Huawei เป็นผู้นำในเทคโนโลยี 5G ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของโลกดิจิทัลในอนาคต ทำให้ชาติตะวันตกกังวลว่า รัฐบาลจีนอาจใช้เครือข่ายนี้ในการสอดแนมหรือแทรกแซงการสื่อสารได้

ประเด็นที่สองคือเรื่อง “ข้อมูล” ซึ่งเปรียบเสมือนทองคำในยุคนี้ บริษัทอย่าง Alibaba และ Tencent ต่างก็มีธุรกิจ Cloud Computing ที่ให้บริการเก็บข้อมูลกับบริษัทหลายพันแห่งทั่วโลก

ความน่ากังวลอยู่ที่กฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์ของจีน ปี 2017 ซึ่งกำหนดให้บริษัทจีนต้องส่งมอบข้อมูลให้กับรัฐบาลหากมีการร้องขอ

นั่นหมายความว่าข้อมูลสำคัญของธุรกิจหรือของพลเมืองในประเทศต่างๆ ที่ถูกเก็บไว้บนคลาวด์ของจีน อาจตกไปอยู่ในมือของรัฐบาลจีนได้

นอกจากการสร้างผลิตภัณฑ์ของตัวเองแล้ว บริษัทจีนยังขยายอิทธิพลผ่านการลงทุนอย่างเงียบๆ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ Tencent

Tencent ได้เข้าถือหุ้นในบริษัทเกมยักษ์ใหญ่ของโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Epic Games ผู้สร้าง Fortnite หรือ Riot Games ผู้สร้าง League of Legends

เกมเมอร์จำนวนมากอาจไม่เคยรู้เลยว่า เกมโปรดที่พวกเขาเล่นอยู่ทุกวันนั้น มีบริษัทจีนเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งทำให้ Tencent มีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมเกมและความบันเทิงของโลกอย่างมหาศาล

การครอบงำอย่างเงียบๆ นี้ กำลังคุกคามสิ่งที่เรียกว่า “อธิปไตยทางเทคโนโลยี” (Technological Sovereignty) ของหลายประเทศ

เมื่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ประเทศเหล่านั้นสูญเสียความสามารถในการควบคุมและพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองอย่างอิสระ

อย่างไรก็ตาม หากมองอย่างเป็นธรรม ก็ต้องยอมรับว่าบริษัทเทคโนโลยีจากฝั่งสหรัฐอเมริกาก็มีพฤติกรรมรวบรวมข้อมูลมหาศาลไม่ต่างกัน

กรณีของ Edward Snowden ที่ออกมาเปิดโปงโครงการ PRISM ก็แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานผ่านบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของตนเองได้เช่นกัน

ดังนั้น ปัญหาที่แท้จริงอาจไม่ใช่เรื่องของสัญชาติ แต่เป็นเรื่องของการที่อำนาจทางดิจิทัลกระจุกตัวอยู่ในมือของบริษัทไม่กี่แห่ง และรัฐบาลไม่กี่ประเทศ

ท้ายที่สุดแล้ว เส้นทางที่มั่นคงที่สุดสำหรับทุกประเทศ อาจไม่ใช่การเลือกว่าจะพึ่งพาเทคโนโลยีจากจีนหรืออเมริกา

แต่คือการพยายามสร้างและพัฒนาเทคโนโลยีให้เป็นของตนเอง แม้จะเป็นเส้นทางที่ยาวไกลและต้องใช้ต้นทุนมหาศาล

เพราะในโลกที่อำนาจถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี การพึ่งพาตนเอง คือหลักประกันที่ดีที่สุดของความมั่นคงและอธิปไตยในระยะยาว.

References : [reuters, bloomberg, scmp, cfr, wsj]

ครั้งหนึ่งไทยเคยสู้ญี่ปุ่น! ตำนาน “ธานินทร์” ยักษ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกโค่น

หากเราลองสำรวจดูเครื่องใช้ไฟฟ้ารอบตัวในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ ตู้เย็น หรือเครื่องปรับอากาศ เราคงจะคุ้นเคยกับแบรนด์จากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือจีนเป็นอย่างดี

แต่เชื่อหรือไม่ว่า ครั้งหนึ่งประเทศไทยเคยมีอาณาจักรเครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติไทยแท้ๆ ที่เคยยิ่งใหญ่และยืนหยัดต่อสู้กับแบรนด์ระดับโลกได้อย่างสมศักดิ์ศรี

แบรนด์นั้นคือ “ธานินทร์” ชื่อที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราต่างรู้จักกันดี ในฐานะสินค้า Made in Thailand ที่เป็นความภาคภูมิใจของคนทั้งชาติ

ทว่าอาณาจักรที่เคยรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดนี้ กลับต้องพบกับจุดจบที่น่าใจหาย คำถามคือมันเกิดอะไรขึ้น? อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ยักษ์ใหญ่ของวงการเครื่องใช้ไฟฟ้าไทยรายนี้ต้องล้มลง?

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกกำลังฟื้นตัว และเทคโนโลยีใหม่ๆ เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คน

ในยุคนั้น “วิทยุทรานซิสเตอร์” ถือเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก มันคือหน้าต่างบานแรกที่เชื่อมคนไทย โดยเฉพาะในต่างจังหวัด เข้ากับโลกภายนอก เป็นทั้งแหล่งข่าวสารและความบันเทิงที่สำคัญที่สุด

ภาพของชาวไร่ชาวนาที่พกวิทยุเครื่องเล็กติดตัวไปฟังระหว่างทำงาน กลายเป็นภาพที่คุ้นตา ด้วยขนาดที่กะทัดรัดและใช้ถ่านเพียงไม่กี่ก้อน ทำให้มันกลายเป็นสิ่งของล้ำค่าที่หลายคนต้องมี

แต่ปัญหาก็คือ วิทยุทั้งหมดในตลาดตอนนั้นล้วนเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้มีราคาสูงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าถึงได้ง่าย

และในช่องว่างทางตลาดนี้เอง ชายผู้มีนามว่า อุดม วิทยะสิรินันท์ ซึ่งมีอาชีพเป็นเพียงครูสอนพิมพ์ดีดธรรมดาคนหนึ่ง ได้มองเห็นโอกาสครั้งสำคัญ

เขาเริ่มต้นเส้นทางธุรกิจด้วยการร่วมหุ้นกับเพื่อน เปิดร้าน ‘นภาวิทยุ’ เพื่อนำเข้าวิทยุมาจำหน่าย กิจการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ไม่นานก็เกิดความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กับหุ้นส่วน

คุณอุดม จึงตัดสินใจแยกตัวออกมา และร่วมมือกับพี่น้องของตนเอง ก่อตั้งกิจการใหม่ในชื่อ ‘ห้างหุ้นส่วนจำกัดธานินทร์วิทยุ’

ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นจังหวะที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะในปี พ.ศ. 2504 เศรษฐกิจไทยกำลังขยายตัวอย่างก้าวกระโดดจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1

เมื่อคนไทยเริ่มมีกำลังซื้อมากขึ้น ความต้องการติดตามข่าวสารบ้านเมืองผ่านวิทยุก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

คุณอุดม ไม่ได้คิดแค่จะนำเข้าวิทยุมาขายอีกต่อไป เขามีความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือการสร้างวิทยุแบรนด์ของคนไทยขึ้นมาเอง

เขาเริ่มสั่งอะไหล่และชิ้นส่วนต่างๆ มาจากต่างประเทศ แล้วหมกมุ่นศึกษาตำราของฝรั่ง ลองผิดลองถูกอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดก็สามารถประกอบวิทยุที่รับคลื่น AM ได้คมชัดแจ๋ว

ที่สำคัญคือวิทยุของเขามีราคาที่ถูกกว่าวิทยุนำเข้าอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ได้รับการตอบรับจากตลาดอย่างดีเยี่ยม

ในตอนแรก เขาตั้งใจจะใช้ชื่อแบรนด์ว่า ‘Silver’ เพื่อให้ฟังดูทันสมัยเหมือนแบรนด์ต่างประเทศ แต่ชื่อนั้นดันไปซ้ำกับแบรนด์ที่มีอยู่แล้ว เขาจึงหันกลับมาหาชื่อไทยที่มีความหมายลึกซึ้ง และลงตัวที่ชื่อ “ธานินทร์”

ความสำเร็จของวิทยุธานินทร์ในยุคแรก เป็นเพียงแค่ปฐมบทของตำนานที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก

ในขณะที่ธุรกิจของธานินทร์กำลังเติบโต สมรภูมิการแข่งขันก็กำลังจะดุเดือดขึ้น เมื่อรัฐบาลไทยประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการผลิตในประเทศทดแทนการนำเข้า

นโยบายนี้เปรียบเสมือนการเปิดประตูให้บริษัทยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น Sanyo, National (ของ Matsushita), Mitsubishi, Toshiba และ Hitachi แห่กันเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย

การมาถึงของคู่แข่งระดับโลกอาจทำให้หลายคนหวาดหวั่น แต่สำหรับคุณอุดม เขากลับมองว่านี่คือโอกาสที่จะยกระดับธุรกิจของตัวเองให้เติบโตไปอีกขั้น

เขาตัดสินใจร่วมทุนกับน้องๆ คือ อรรนพ อนันต์ และอเนก จดทะเบียน ‘บริษัท ธานินทร์อุตสาหกรรม จำกัด’ ในปี พ.ศ. 2505 และกลายเป็นบริษัทไทยรายแรกที่ขอรับสิทธิ์ส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ

ธานินทร์ได้ทุ่มเงินซื้อที่ดินย่านอุดมสุขเพื่อสร้างโรงงานผลิตอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งกลายเป็นจุดแข็งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้พวกเขามีต้นทุนการผลิตที่ได้เปรียบคู่แข่ง

พวกเขาไม่ได้แข่งขันด้วยเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่เฉียบคมและเข้าใจคนไทยอย่างลึกซึ้ง

พวกเขาชูจุดขายความเป็นสินค้า ‘Made in Thailand’ อย่างภาคภูมิใจ พร้อมกับสโลแกนที่ยังคงติดหูคนไทยมาจนถึงทุกวันนี้ว่า ‘ทุกบาทคุ้มค่าด้วยธานินทร์’

ไม่เพียงเท่านั้น ธานินทร์ยังมองเห็นตลาดที่คู่แข่งมองข้าม ในขณะที่แบรนด์อื่นมุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าในกรุงเทพฯ ธานินทร์กลับบุกตลาดต่างจังหวัดอย่างจริงจัง

ภาพของรถกระบะที่บรรทุกวิทยุไปตระเวนขายตามงานวัดหรืองานกาชาด กลายเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลเกินคาด เพราะมันทำให้ชาวบ้านได้สัมผัสและทดลองฟังคุณภาพเสียงด้วยตัวเอง

และไม้เด็ดที่สำคัญที่สุด ที่ถือเป็นการปฏิวัติตลาดในยุคนั้น คือการริเริ่มระบบ “ผ่อนชำระ” ซึ่งทำให้คนที่ไม่สามารถจ่ายเงินก้อน สามารถเป็นเจ้าของวิทยุธานินทร์ได้ง่ายขึ้น

กลยุทธ์ทั้งหมดนี้ ทำให้ชื่อของธานินทร์เข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของคนไทยทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อธุรกิจวิทยุประสบความสำเร็จอย่างงดงาม คุณอุดม ก็เดินหน้าตามแผนการใหญ่ นั่นคือการผลักดันให้ธานินทร์กลายเป็นเจ้าตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าครบวงจรของประเทศไทย

อาณาจักรธานินทร์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีการแตกบริษัทในเครือออกเป็น 4 บริษัท และขยายสายการผลิตไปสู่สินค้าอื่นๆ ทั้งโทรทัศน์ขาว-ดำ โทรทัศน์สี หม้อหุงข้าว และพัดลม

ในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุด ธานินทร์สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับ 3 ของไทย เป็นรองเพียงแบรนด์ระดับโลกอย่าง Sony และ National (Panasonic ในปัจจุบัน)

ในปี พ.ศ. 2526 ธานินทร์มีรายได้สูงถึง 800 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่มหาศาลอย่างยิ่งในยุคนั้น

แต่ใครจะรู้ว่า จุดสูงสุดนั้น คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางขาลงที่ไม่มีใครคาดคิด

หลังจากปี พ.ศ. 2526 เป็นต้นมา ธานินทร์ต้องเผชิญกับความท้าทายระลอกใหม่ที่หนักหนากว่าเดิมหลายเท่าตัว

ปัญหาแรกคือเรื่อง “ต้นทุน” บรรดาคู่แข่งสัญชาติญี่ปุ่นมีความได้เปรียบจากการมีบริษัทแม่ที่แข็งแกร่ง ทำให้สามารถนำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบในไทยด้วยต้นทุนที่ต่ำและเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า

ในขณะเดียวกัน ที่เกาหลีใต้และไต้หวันก็เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม พวกเขาหันมาใช้เครื่องจักรที่สามารถผลิตสินค้าได้ครั้งละเป็นแสนชิ้น ทำให้ธานินทร์ซึ่งมีกำลังการผลิตหลักพันชิ้นต่อวัน ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้อีกต่อไป

ซ้ำร้าย ปัญหาค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้ต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบของธานินทร์พุ่งสูงขึ้น จนเริ่มส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของบริษัท

ธานินทร์พยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอด พวกเขาลองบุกตลาดจีน แต่ก็ไม่อาจสู้ Hitachi ที่เข้าไปทำตลาดไว้ก่อนแล้วได้

พวกเขาพยายามปรับภาพลักษณ์สินค้าให้ดูพรีเมียม โดยชูว่าโรงแรมชั้นนำอย่าง Mandarin Oriental ยังเลือกใช้ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานกระแสความนิยมของแบรนด์ต่างชาติได้

นอกจากปัจจัยภายนอกที่ถาโถมเข้ามา ยังมีปัญหาการบริหารจัดการภายในที่สะสมมานาน ซึ่งเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ

ในที่สุด อาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่ก็ไม่อาจต้านทานวิกฤตได้อีกต่อไป ธานินทร์ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก และมียอดหนี้กับธนาคารต่างๆ สูงถึง 630 ล้านบาท

แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ แต่ด้วยชื่อเสียงและความผูกพันที่คนไทยมีต่อแบรนด์ธานินทร์ บรรดาธนาคารเจ้าหนี้จึงพยายามหาทางช่วยเหลือ

พวกเขาได้ยื่นเรื่องไปถึงธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อขอให้พิจารณาปล่อย Soft Loan หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำพิเศษ เพื่อช่วยพยุงให้ธานินทร์สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้

แต่คำตอบที่ได้รับกลับมา คือการปฏิเสธด้วยเหตุผลสั้นๆ ว่า “ไม่มีระเบียบให้ทำได้”

ประโยคดังกล่าวเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ดับความหวังทั้งหมดลง

ถึงกระนั้น ครอบครัววิทยะสิรินันท์ก็ยังไม่ยอมแพ้ พวกเขาพยายามขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นออกไป เข้าร่วมแผนฟื้นฟูกิจการ และยอมให้มีผู้บริหารจากภายนอกเข้ามาดูแล

แต่ความพยายามทั้งหมดก็ไม่เป็นผล

ในเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2532 บริษัท สหยูเนี่ยน ได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท ธานินทร์อุตสาหกรรม จำกัด ถือเป็นการปิดฉากตำนานอาณาจักรเครื่องใช้ไฟฟ้าของคนไทยลงอย่างเป็นทางการ

แล้วทุกวันนี้ ธานินทร์หายไปไหน?

ความจริงแล้วมรดกของธานินทร์ยังไม่ได้หายไปไหนเสียทีเดียว วิทยุทรานซิสเตอร์ยี่ห้อธานินทร์ที่เรายังพอเห็นได้ในปัจจุบัน ก็ยังคงผลิตโดยหนึ่งในบริษัทดั้งเดิมของตระกูล

ส่วนบริษัทที่เคยรับจ้างผลิตโทรทัศน์ให้ธานินทร์อย่าง ไทย ฮาเบล อินดัสเทรียล ก็ได้นำความรู้และประสบการณ์มาต่อยอด สร้างแบรนด์โทรทัศน์ของตัวเองในชื่อ Altron

มองย้อนกลับมาในปัจจุบัน ประเทศไทยได้กลายเป็นฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก แต่ผู้นำตลาดในแต่ละกลุ่มสินค้ากลับเป็นแบรนด์จากต่างชาติทั้งหมด

เรื่องราวของธานินทร์ จึงเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า การจะสร้างแบรนด์ไทยให้ยิ่งใหญ่และยั่งยืนได้นั้น นอกจากวิสัยทัศน์และความสามารถของผู้ประกอบการแล้ว การสนับสนุนจากภาครัฐ และที่สำคัญที่สุดคือกำลังใจจากคนไทยด้วยกันเอง ก็เป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยจริงๆ

References : [WorkpointToday,brandthink, readthecloud, marketthink, prachachat, silpa-mag]