Geek Story EP437 : เกิดอะไรขึ้นกับ Intel? จากราชาแห่งชิป สู่การปลดพนักงาน 24,000 คน

ในยุคหนึ่ง คำว่า Intel Inside ไม่ใช่แค่สโลแกนการตลาด แต่มันคือสัญลักษณ์ของความน่าเชื่อถือ คือการรับประกันว่าคอมพิวเตอร์เครื่องนี้มี “สมอง” ที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในยุคนั้น Intel คือราชา คือผู้กำหนดมาตรฐานของโลกคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ PC มานานหลายทศวรรษ

แต่แล้ว… เวลาก็เปลี่ยนไป จากข่าวใหญ่ที่ว่า Intel กำลังจะเลิกจ้างพนักงานหลายหมื่นตำแหน่ง มันทำให้เกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่า เกิดอะไรขึ้นกับยักษ์ใหญ่ที่ดูเหมือนจะไม่มีวันล้มตนนี้?

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/ywkfu5zh

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3932c6ax

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/mtvz5b2j

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/bOQvZnmClNk

Geek Daily EP311 : แผนการของ Mark Zuckerberg สร้าง AI ส่วนตัวให้ทุกคน หรือสร้างผู้ควบคุมโลก?

Mark Zuckerberg ได้ออกมาประกาศโปรเจกต์ใหม่ที่ชื่อว่า Meta Super Intelligence Labs พร้อมกับวิสัยทัศน์ที่ฟังดูเหมือนหลุดออกมาจากหนังไซไฟเลยทีเดียว เขาบอกว่าเป้าหมายไม่ใช่แค่การสร้าง AI ที่ฉลาดขึ้น แต่คือการสร้าง “ปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะขั้นสูงส่วนบุคคล” ให้กับ “ทุกคน”

คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นทันที… Superintelligence ที่ว่านี้ มันคืออะไรกันแน่? มันแตกต่างจาก AI อย่าง ChatGPT หรือ Gemini ที่เราพอจะคุ้นเคยกันอยู่แล้วอย่างไร? และที่สำคัญที่สุด ทำไมมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีถึงยอมทุ่มทรัพยากรมหาศาลเพื่อสร้างมันขึ้นมา? นี่คือการแข่งขันเพื่อสร้างเครื่องมือชิ้นต่อไป… หรือเป็นการแข่งขันเพื่อสร้าง “พระเจ้า” องค์ใหม่กันแน่?

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2w2rpx64

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/54eyeabe

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2ezcjubw

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/8TZOy0DQE68

Geek Daily EP310 : เดิมพัน 6 แสนล้าน! ทำไม Elon Musk ทิ้ง TSMC มาเลือก Samsung?

มีอยู่หนึ่งสมรภูมิรบที่ Samsung แม้จะยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ยังเป็นรองคู่แข่งแบบทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น ธุรกิจนั้นคือการรับจ้างผลิตชิป หรือที่ในวงการเรียกว่า ‘Foundry’

ในโลกของ Foundry นี้ มีราชาที่ครองบัลลังก์อย่างเหนียวแน่นมานาน นั่นก็คือ TSMC จากไต้หวัน ที่กุมส่วนแบ่งตลาดไว้ในมือเกินกว่าครึ่งหนึ่งของโลก ทิ้งให้ Samsung ที่เป็นเบอร์สอง ต้องมองตามแผ่นหลังของคู่แข่งอยู่ไกลๆ มาตลอดหลายปี

เรื่องราวดูเหมือนจะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง… ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่ที่สั่นสะเทือนวงการเทคโนโลยีทั้งโลก Samsung ประกาศดีลสัญญามูลค่ามหาศาลถึง 1.65 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 6 แสนล้านบาท ในตอนแรกยังไม่มีใครรู้ว่าลูกค้ารายนี้คือใคร รู้แค่ว่าเป็น “กลุ่มบริษัทข้ามชาติระดับโลก” แต่แล้วปริศนาก็ถูกเฉลยโดยบุคคลที่ทุกคนต้องรู้จัก เขาคือ Elon Musk

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/ydmkdx8k

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/5an47jmn

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/bd9a9u3c

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/GCTS_mDLwFg

Geek Story EP436 : เกิดอะไรขึ้นกับ 4 จตุรเทพวงการมือถือ จากผลิตภัณฑ์ในฝัน สู่ตำนานที่โลกลืม

เคยสงสัยไหมครับ ว่าทำไมโทรศัพท์มือถือที่เราเคยใช้ เคยรัก เคยอยากได้สุดๆ ในวันนั้น…วันนี้มันหายไปไหน?

แบรนด์อย่าง BlackBerry ที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของนักธุรกิจ, Sony Ericsson ที่มีหูฟัง Walkman สุดเท่, LG ที่เคยทำมือถือฝาพับดีไซน์ล้ำๆ หรือแม้แต่ Siemens ที่เคยขึ้นชื่อเรื่อง อึด ถึก ทน แบรนด์หนึ่งของโลก…ชื่อเหล่านี้เคยยิ่งใหญ่คับฟ้า แต่ในวันนี้กลับกลายเป็นเพียงความทรงจำ

เรื่องราวของพวกเขาไม่ใช่แค่การหายไปของผลิตภัณฑ์ แต่มันคือมหากาพย์ของเทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยความรุ่งโรจน์ ความผิดพลาด และบทเรียนราคาแพงที่น่าสนใจมากๆ ครับ วันนี้เราจะมาผ่าอาณาจักรที่ล่มสลายเหล่านี้ไปพร้อมๆ กัน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://bit.ly/3UpmnRj

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
http://bit.ly/47605eE

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/p2yneayv

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/1nEgU1-8bbU

กรณีศึกษา เมื่อ Trip.com จากจีน กำลังจะโค่นแชมป์โลกอย่าง Booking.com

ถ้าเราพูดถึงการจองโรงแรมหรือตั๋วเครื่องบินออนไลน์ ชื่อของ Booking .com , Agoda หรือ Expedia คงเป็นชื่อแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง

แบรนด์เหล่านี้เป็นเหมือนยักษ์ใหญ่จากโลกตะวันตก ที่เข้ามาปักธงและกำหนดวิธีการเดินทางของผู้คนทั่วโลกมานานหลายปี

แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มีผู้เล่นรายใหญ่อีกรายหนึ่งที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาอย่างเงียบๆ และทรงพลัง ชื่อของเขาคือ Trip .com

หลายคนอาจจะเคยเห็นชื่อนี้ผ่านตา แต่รู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังชื่อที่ดูเรียบง่ายนี้ คือจักรวรรดิการเดินทางขนาดมหึมาจากประเทศจีน ที่ปัจจุบันมียอดการจองรวมกันกว่า 160,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

คำถามที่น่าสนใจคือ… บริษัทจากจีนที่เคยแทบไม่มีใครรู้จักรายนี้ ก้าวขึ้นมาท้าชิงบัลลังก์ของยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ครองตลาดมานานได้อย่างไร?

เรื่องราวนี้ต้องย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1999 ที่เมืองเซี่ยงไฮ้

ในยุคนั้น อินเทอร์เน็ตยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนจีน การทำธุรกรรมออนไลน์ยังไม่ได้รับความไว้วางใจ การเดินทางท่องเที่ยวยังคงพึ่งพาบริษัททัวร์แบบดั้งเดิมเป็นหลัก

ท่ามกลางบรรยากาศแบบนั้น มีคนสี่คนมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองข้าม พวกเขาก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่ชื่อว่า ‘Ctrip’ ซึ่งเป็นชื่อดั้งเดิมของ Trip .com

สิ่งที่ทำให้ Ctrip แตกต่างและน่าสนใจ คือพวกเขาเข้าใจตลาดจีนอย่างลึกซึ้ง พวกเขารู้ดีว่าการจะบังคับให้ทุกคนหันมาใช้ออนไลน์ทันทีเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

พวกเขาจึงสร้างโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า “ออนไลน์ผสมออฟไลน์” ขึ้นมา

หากเป็นคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี ก็สามารถจองทุกอย่างผ่านเว็บไซต์ได้ทันที แต่ถ้ายังไม่มั่นใจ อยากพูดคุยกับมนุษย์มากกว่า ก็มีคอลเซ็นเตอร์และพนักงานคอยให้บริการ

โมเดลนี้เปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมคนรุ่นเก่าเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ มันค่อยๆ สร้างความคุ้นเคยและความไว้วางใจ จนทำให้คนจีนกล้าที่จะลองใช้บริการออนไลน์มากขึ้น

จังหวะเวลาก็ดูเหมือนจะเป็นใจอย่างไม่น่าเชื่อ เศรษฐกิจจีนในตอนนั้นกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ผู้คนมีรายได้สูงขึ้น และเริ่มต้องการวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง

Ctrip ถือกำเนิดขึ้นมาในเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปของตลาด

ในช่วงต้นยุค 2000 เกิดวิกฤตฟองสบู่ดอทคอมแตก บริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก แต่ Ctrip กลับรอดพ้นจากพายุครั้งนั้นมาได้

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาได้รับเงินทุนก้อนสำคัญจาก SoftBank ซึ่งทำให้พวกเขามีสายป่านยาวพอที่จะประคองธุรกิจให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้

และด้วยรากฐานที่มั่นคงนี้เอง ในปี 2003 Ctrip ก็พร้อมที่จะประกาศศักดาให้โลกได้รับรู้ ด้วยการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ของสหรัฐอเมริกา

ในวันแรกที่เปิดให้ซื้อขาย หุ้นของ Ctrip พุ่งทะยานขึ้นไปถึง 86% ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า ยักษ์ใหญ่ตัวใหม่ในวงการเทคโนโลยีของจีนได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว

แต่พวกเขาคงไม่คาดคิดว่า บททดสอบที่แท้จริงและโหดร้ายที่สุดกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

ในปีเดียวกันนั้นเอง ทั่วทั้งเอเชียต้องเผชิญกับการระบาดของโรคซาร์ส (SARS) อุตสาหกรรมการเดินทางแทบจะกลายเป็นอัมพาต เที่ยวบินถูกยกเลิก โรงแรมร้าง ผู้คนต่างเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน

สำหรับบริษัทที่รายได้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการเดินทางของผู้คน นี่คือฝันร้ายที่อาจนำไปสู่การปิดกิจการ

ธุรกิจของ Ctrip ได้รับผลกระทบอย่างหนัก รายได้ดิ่งเหวลงไปกว่า 70% ในช่วงที่สถานการณ์เลวร้ายที่สุด บริษัทนำเที่ยวอื่นๆ เริ่มปลดพนักงานและลดขนาดองค์กรเพื่อเอาตัวรอด

Ctrip ยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญ พวกเขามีสองทางเลือก คือทำเหมือนคนอื่นๆ เพื่อความอยู่รอด หรือจะเลือกเดิมพันกับอนาคตที่ยังมองไม่เห็น

และพวกเขาก็เลือกอย่างหลัง…

Ctrip ตัดสินใจที่จะไม่เลิกจ้างพนักงานแม้แต่คนเดียว แต่ปรับมาใช้ระบบการทำงานที่ยืดหยุ่นแทน เพื่อรักษาทีมงานที่แข็งแกร่งเอาไว้

ที่น่าทึ่งกว่านั้นคือ เพื่อให้พนักงานยังมีงานทำและบริษัทมีรายได้เข้ามาบ้าง พวกเขาตัดสินใจให้ธนาคารมาเช่าใช้พื้นที่คอลเซ็นเตอร์ของตัวเองเป็นการชั่วคราว

ขณะเดียวกัน ในฝั่งของลูกค้า ในขณะที่บริษัทอื่นทำให้การขอคืนเงินเป็นเรื่องยุ่งยาก Ctrip กลับประกาศนโยบายการยกเลิกและการคืนเงินที่ยืดหยุ่นอย่างเต็มที่

แม้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะทำให้บริษัทต้องเจ็บตัวทางการเงินอย่างหนักในระยะสั้น แต่สิ่งที่พวกเขาได้กลับมาคือสินทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้ นั่นคือ “ความไว้วางใจ” และ “ความภักดี” จากลูกค้า

แล้วเมื่อวิกฤตซาร์สคลี่คลายลง การเดินทางกลับมาเป็นปกติ ผลลัพธ์ของการตัดสินใจในวันนั้นก็ปรากฏให้เห็น

Ctrip ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วชนิดที่ว่าใครก็คาดไม่ถึง ลูกค้าที่ประทับใจในการดูแลของบริษัทในช่วงวิกฤต ต่างก็กลับมาใช้บริการอย่างเหนียวแน่น

พวกเขาได้พิสูจน์แล้วว่า พวกเขาไม่ใช่แค่บริษัทที่เติบโตตามกระแส แต่เป็นองค์กรที่สามารถบริหารจัดการวิกฤตได้อย่างดีเยี่ยม และให้ความสำคัญกับทั้งพนักงานและลูกค้า

แต่พายุลูกแรกผ่านไป พายุลูกที่สองก็ก่อตัวขึ้น…

เมื่อเข้าสู่ช่วงต้นทศวรรษ 2010 ตลาดท่องเที่ยวออนไลน์ของจีนได้กลายเป็นสมรภูมิรบที่ดุเดือด ผู้เล่นหน้าใหม่กระโดดเข้ามามากมาย และทุกคนก็ใช้กลยุทธ์เดียวกัน นั่นคือ “สงครามราคา”

บริษัทอย่าง Elong, Qunar และ Tongcheng ต่างพากันหั่นราคาแบบไม่คิดชีวิต ยอมขาดทุนเพื่อดึงลูกค้าเข้ามาในแพลตฟอร์มของตัวเองให้ได้มากที่สุด ตลาดเต็มไปด้วยการแข่งขันที่รุนแรงจนแทบไม่มีใครได้กำไร

Ctrip ในฐานะผู้นำตลาด ก็ถูกลากเข้าไปเล่นในเกมนี้ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับโปรโมชันต่างๆ จนอัตรากำไรที่เคยสูงถึง 30% ลดฮวบเหลือเพียง 3.3%

สถานการณ์ในตอนนั้น ทุกคนในตลาดต่างก็เลือดไหลไม่หยุด มันคือสงครามที่ดูเหมือนจะไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

และในจุดที่สถานการณ์คับขันที่สุด Ctrip ก็ได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่เปลี่ยนเกมการแข่งขันไปตลอดกาล พวกเขาคิดว่า “ในเมื่อเอาชนะไม่ได้ ก็ซื้อซะเลย”

แทนที่จะเผาเงินสู้ต่อไป Ctrip เปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์ไล่ซื้อกิจการของคู่แข่ง ตั้งแต่ปี 2014 ถึง 2016 พวกเขาได้เข้าควบคุมทั้ง Tongcheng, Elong และที่สำคัญที่สุดคือ Qunar ซึ่งเป็นคู่แข่งตัวฉกาจ

ดีลเหล่านี้เป็นการปิดฉากสงครามราคาที่ยืดเยื้อมานานหลายปีในทันที Ctrip ไม่เพียงแต่กำจัดคู่แข่งไปได้ แต่ยังได้ฐานลูกค้าและเทคโนโลยีของบริษัทเหล่านั้นมาเสริมทัพอีกด้วย

พวกเขากลายเป็นผู้ชนะที่แท้จริง และครองตลาดการเดินทางออนไลน์ในประเทศจีนได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แต่ชัยชนะในบ้านเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น พวกเขารู้ดีว่าสนามรบที่แท้จริงนั้นอยู่นอกประเทศ บนเวทีระดับโลกที่ยังมีเจ้าถิ่นอย่าง Booking .com และ Expedia คุมเกมอยู่

คำถามต่อไปคือ บริษัทจากจีนจะทำอย่างไรเพื่อเจาะตลาดโลกที่แบรนด์ตะวันตกมีความน่าเชื่อถือสูงกว่า?

Ctrip รู้ดีว่าการจะสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลกนั้น ต้องใช้ทั้งเงินและเวลามหาศาล การสู้ตรงๆ อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด พวกเขาจึงเลือกใช้ “ทางลัด”

ในปี 2016 Ctrip ได้สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก ด้วยการทุ่มเงินมหาศาลเพื่อเข้าซื้อกิจการของ ‘Skyscanner’

การซื้อ Skyscanner ถือเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง เพราะ Ctrip ไม่ได้แค่ซื้อบริษัท แต่พวกเขากำลังซื้อ “ประตูสู่ตลาดยุโรป”

พวกเขาได้ทั้งเทคโนโลยีการค้นหาที่ล้ำสมัย ฐานผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล และที่สำคัญที่สุดคือได้แบรนด์ที่คนตะวันตกเชื่อถืออยู่แล้วมาไว้ในมือ โดยไม่ต้องเริ่มสร้างใหม่จากศูนย์

หลังจากวางรากฐานในยุโรปแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการสร้างแบรนด์ระดับโลกของตัวเองขึ้นมาอย่างเป็นทางการ พวกเขาได้เปิดตัว ‘Trip .com’ และต่อมาบริษัทแม่ก็ได้รีแบรนด์ตัวเองเป็น ‘Trip .com Group’

ชื่อที่เรียบง่าย เป็นสากล และใครๆ ก็เข้าใจได้นี้ คือใบเบิกทางสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลกอย่างแท้จริง

แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น คือกลยุทธ์การปรับตัวให้เข้ากับท้องถิ่น หรือ Localization พวกเขาไม่ได้ใช้สูตรสำเร็จเดียวกับทุกตลาด

ในญี่ปุ่น พวกเขาร่วมมือกับธนาคารเพื่อออกบัตรเครดิต ในสิงคโปร์ พวกเขาส่งเสริมโปรแกรม Staycation และในตะวันออกกลาง พวกเขาก็เข้าไปจับมือกับหน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยว

กลยุทธ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้มองโลกแบบภาพรวม แต่ให้ความสำคัญกับความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละพื้นที่

และเมื่อการขยายอาณาจักรไปทั่วโลกสำเร็จแล้ว การแข่งขันในยุคต่อไปก็ไม่ได้วัดกันที่ขนาดของบริษัทอีกต่อไป แต่มันวัดกันที่ “เทคโนโลยี”

และนี่คือไพ่ใบสุดท้าย ที่อาจจะเป็นใบที่สำคัญที่สุดของ Trip .com

หลายคนอาจไม่รู้ว่าบริษัทนี้ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมาตั้งแต่แรก และในวันนี้ อาวุธลับที่พวกเขาเดิมพันอนาคตทั้งหมดไว้ก็คือ ‘AI’ หรือปัญญาประดิษฐ์

ล่าสุด Trip .com ได้เปิดตัวฟีเจอร์ที่ชื่อว่า ‘Trip Genie’ ซึ่งเปรียบเสมือนผู้ช่วยเดินทางส่วนตัวพลัง AI ที่สามารถวางแผนการเดินทางทั้งหมดให้เราได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

นอกจากนี้ พวกเขายังใช้ AI ในการทำ Dynamic Pricing เพื่อปรับราคาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดแบบเรียลไทม์ และใช้ AI ในการสร้างชุมชนนักเดินทางที่รู้ใจผู้ใช้งานแต่ละคน

จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในเซี่ยงไฮ้ สู่การฝ่าวิกฤตที่เกือบจะล้มละลาย การพลิกเกมในสงครามราคา และการวางหมากอย่างชาญฉลาดเพื่อบุกตลาดโลก

เรื่องราวของ Trip .com คือบทพิสูจน์ว่ายักษ์ใหญ่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในวันเดียว แต่มันเกิดจากการตัดสินใจที่ถูกต้องในจังหวะที่คับขัน ความกล้าที่จะคิดต่าง และการมองเห็นอนาคตก่อนคนอื่น

วันนี้ Trip .com Group ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงที่น่ากลัวที่สุดของเจ้าตลาดตะวันตกแล้ว และสนามรบครั้งต่อไปในสนามรบแห่งเทคโนโลยี AI นี้ ก็เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง

References : [investors .trip, skift, pandaily, wikipedia]