Geek Talk EP106 : ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นสามารถเอาตัวรอดจากภัยคุกคามของรถยนต์ไฟฟ้าของจีนได้หรือไม่?

ถ้าพูดถึงฉากไล่ล่าสุดมันส์ในหนังเรื่อง Too Fast Too Furious หลายคนคงนึกภาพรถสปอร์ตญี่ปุ่นที่แต่งเต็มวิ่งทะยานไปบนถนน ทั้ง Nissan, Honda, Mazda, Toyota รถเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่ไอคอนบนจอเงิน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง พวกเขาคือคู่แข่งตัวฉกาจที่ขับเคี่ยวกันมานานหลายสิบปีในสมรภูมิรถยนต์โลก

วันนี้จะมาชวนคุยเพื่อไขปริศนาว่าเกิดอะไรขึ้นกับยักษ์ใหญ่จากแดนอาทิตย์อุทัย? ทำไมพวกเขาที่เคยเป็นเจ้าโลก ถึงกำลังสูญเสียความได้เปรียบ และอนาคตของพวกเขาจะเหมือนกับรถสปอร์ตที่พุ่งทะยานไปข้างหน้า หรือกำลังจะวิ่งตกขอบทางกันแน่

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4s5atyhu

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
 https://tinyurl.com/sdfsbcy5

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3t2jcvrb

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/pIwc73qQ1Vg

ทำไม Winamp ถึงพ่ายแพ้ให้ iTunes? กับสงครามเครื่องเล่นเพลงที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์

ถ้าเราย้อนเวลากลับไปในยุคปลายทศวรรษ 1990 สมัยที่ยังไม่มี iPod หรือ Spotify ครองเมือง มีโปรแกรมเล็กๆ ตัวหนึ่ง ที่เข้ามาปฏิวัติการฟังเพลงของคนทั้งโลก โปรแกรมที่ว่านี้มีชื่อว่า Winamp

สำหรับคนวัย 30 ปลายๆ ขึ้นไป คงไม่มีใครไม่รู้จัก Winamp โปรแกรมเล่นเพลงคู่บุญของผู้ที่ท่องโลกอินเทอร์เน็ตผ่าน Napster หรือ LimeWire เพื่อดาวน์โหลดเพลง MP3 ที่ตัวเองหมายปองมาเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์

ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องยุ่งยากใช่ไหม ที่ต้องไปหาเพลงมาใส่โปรแกรมเองทีละเพลง แต่ในยุคนั้น มันคือความเจ๋งและเป็นสัญลักษณ์ของการเข้ามาของยุค MP3 ที่กำลังจะพลิกโฉมอุตสาหกรรมดนตรีไปตลอดกาล

ก่อนจะมี Winamp การฟังเพลงบนคอมพิวเตอร์เป็นอะไรที่น่าปวดหัว ไฟล์เสียงมีสารพัดนามสกุล การสร้างเพลย์ลิสต์ก็ทำได้ยาก มันคือความวุ่นวายที่คนรุ่นใหม่คงนึกภาพไม่ออก

เรื่องราวทั้งหมดนี้มีจุดเริ่มต้นในปี 1997 จากฝีมือของ Justin Frankel และ Dmitry Boldyrev สองนักศึกษาจาก University of Utah ที่ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน เพื่อมารังสรรค์โปรแกรมที่จะเปลี่ยนโลก

พวกเขาจับเอา User Interface ของ Windows ที่ทุกคนคุ้นเคย มารวมกับเทคโนโลยีเล่นไฟล์ MP3 ที่ชื่อว่า AMP กลายเป็นที่มาของชื่อ “Winamp” ซึ่งก็คือการผสมคำระหว่าง Windows กับ AMP นั่นเอง

Winamp เวอร์ชันแรกที่ปล่อยออกมาเมื่อ 21 เมษายน 1997 หน้าตาเรียบง่ายมาก มีแค่เมนูบาร์สำหรับกดเล่น หยุด หรือข้ามเพลง แต่เพียงไม่กี่เดือนต่อมา อินเทอร์เฟซในตำนานที่ทุกคนจดจำก็ถือกำเนิดขึ้น

สิ่งที่ทำให้ Winamp กลายเป็นโปรแกรมที่โคตรเทพ คือความสามารถในการปรับแต่ง ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนหน้ากาก หรือที่เรียกว่า “Skin” ได้ตามใจชอบ อยากได้หน้าตาสุดล้ำแค่ไหน ก็มีคนทำมาให้เลือกเป็นพันๆ แบบ

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีระบบ Plugin ที่ให้นักพัฒนาภายนอกเข้ามาสร้างส่วนเสริมเพิ่มความสามารถได้อีกด้วย การฟังเพลงจึงกลายเป็นเรื่องง่ายดาย แค่ลากไฟล์เพลงไปวางในหน้าต่างเพลย์ลิสต์ ทุกอย่างก็จบ

ความเรียบง่ายและยืดหยุ่นนี้เอง ที่ทำให้ Winamp เข้าคู่กับเครือข่ายแชร์ไฟล์อย่าง Napster ได้อย่างลงตัว มันเปลี่ยนวิธีการค้นหาและฟังเพลงของผู้คนไปอย่างสิ้นเชิง

คนรักดนตรีในยุคนั้นต่างหลงรัก Winamp ไม่ใช่แค่เพราะมันเล่นเพลงได้ แต่เพราะมันเบา ไม่กินทรัพยากรเครื่อง และปรับแต่งได้อิสระสุดๆ แถมยังมี Plugin อย่าง MilkDrop ที่สร้าง Visualizer แสงสีสุดอลังการเต้นตามจังหวะเพลง ทำให้การฟังเพลงสนุกยิ่งกว่าเดิม

จากโปรแกรมที่ไม่มีใครรู้จัก ในปี 1998 Winamp มียอดดาวน์โหลดทะลุ 3 ล้านครั้ง ตัวเลขผู้ใช้งานเติบโตขึ้นจากศูนย์ไปเป็น 25 ล้านคนในปี 2000 และทะยานสู่ 60 ล้านคนในปี 2001 เป็นปรากฏการณ์ที่ดังกระฉูดไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ตในเวลานั้น

แต่ทุกเรื่องราวความสำเร็จ มักมีจุดเปลี่ยนที่เจ็บปวดเสมอ และสำหรับ Winamp มันคือสิ่งที่บริษัทเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆ ในยุค 90 มักต้องเผชิญ นั่นคือการถูกซื้อกิจการ

เดือนมิถุนายน ปี 1999 บริษัท AOL ยักษ์ใหญ่แห่งโลกอินเทอร์เน็ตในยุคนั้น ได้เข้าซื้อ Nullsoft ซึ่งเป็นบริษัทของ Winamp ไปด้วยมูลค่าสูงถึง 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฟังดูเหมือนเป็นเงินก้อนโตสำหรับทีมงานเล็กๆ แค่ 4 คน

แต่ปัญหาใหญ่ก็ตามมา AOL ไม่ได้เข้าใจจิตวิญญาณของ Winamp เลยแม้แต่น้อย พวกเขามองเห็นแค่วิธีทำเงินจากยอดผู้ใช้งานมหาศาล และต้องการใช้ Winamp เป็นเครื่องมือหาลูกค้าให้กับบริการอินเทอร์เน็ตแบบ Dial-up ของตัวเอง

นี่คือจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การล่มสลายในเวลาต่อมา

ไม่นานนัก ประสบการณ์การติดตั้ง Winamp ที่เคยเรียบง่าย ก็กลายเป็นเรื่องน่ารำคาญ ผู้ใช้ต้องคอยกดปฏิเสธข้อเสนอสมัครสมาชิก AOL ฟรี ต้องเจอกับโปรแกรมเสริมที่ไม่ได้ต้องการ และโฆษณาที่น่ารำคาญของ AOL ที่ยัดเยียดเข้ามาไม่หยุด

AOL กำลังทำลายสิ่งที่ทำให้ Winamp เป็นที่รักของผู้คน ความเรียบง่าย ความสะอาด และความเป็นอิสระ มันถูกแทนที่ด้วยความพยายามในการขายของที่น่ารังเกียจ จนผู้ใช้เริ่มรู้สึกยี้ และมองว่าคุณค่าของโปรแกรมที่พวกเขาเคยรักกำลังเปลี่ยนไป

ดูเหมือนจะเป็นเรื่องซ้ำซากในโลกเทคโนโลยี ที่บริษัทยักษ์ใหญ่มักทำลายนวัตกรรมดีๆ หลังจากซื้อมันมา เพราะความไม่เข้าใจในตัวตนของผลิตภัณฑ์นั้นๆ

และในขณะที่ Winamp กำลังเจอกับปัญหาภายในที่ AOL ก่อขึ้น คู่แข่งตัวจริงก็ปรากฏตัวขึ้น

ในปี 2001 Apple ได้เปิดตัว iPod เครื่องเล่นเพลงพกพาที่เปลี่ยนโลก และภายในปี 2003 โปรแกรมคู่บุญของมันอย่าง iTunes ก็พร้อมให้ชาว PC ได้ใช้งาน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของจุดจบอย่างแท้จริงของ Winamp

เมื่อคุณมี iPod ที่อยู่ในมือ การเปลี่ยนไปใช้ iTunes เพื่อจัดการเพลงก็เป็นเรื่องที่แทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นไร้ที่ติ

iTunes ในยุคแรกนั้นเข้าท่ากว่า Winamp ในหลายๆ ด้าน มันสามารถ Rip เพลงจากแผ่นซีดีได้ในไม่กี่คลิก และในขณะที่ Winamp ของ AOL เริ่มรกไปด้วยหน้าต่างหลายบาน อินเทอร์เฟซของ iTunes กลับสะอาดสะอ้าน ใช้งานง่าย ทุกอย่างรวมอยู่ในหน้าต่างเดียว

แม้ว่าเหล่าคอมพิวเตอร์กี๊กตัวยงจะยังคงภักดีต่อ Winamp แต่สำหรับคนทั่วไปที่ต้องการแค่ฟังเพลงง่ายๆ iTunes คือคำตอบที่ใช่กว่า มันง่ายกว่า สะดวกกว่า และทำงานกับ iPod ได้สมบูรณ์แบบ

Winamp พยายามดิ้นรนต่อสู้ ด้วยการออกอัปเดตให้รองรับการถ่ายโอนเพลงไปยัง iPod แต่มันก็สายไปเสียแล้ว Apple ได้ยกระดับเกมการฟังเพลงไปอีกขั้น ทิ้งให้ Winamp กลายเป็นอดีตที่ค่อยๆ เลือนหายไป

ฐานผู้ใช้ของ Winamp ลดฮวบอย่างน่าใจหาย ผู้คนต่างแห่กันไปหา iTunes และระบบนิเวศของ Apple ที่ครบวงจรกว่า ส่วน Winamp ก็ยังคงติดหล่มอยู่กับการจัดการที่เละเทะของ AOL

บางครั้งการมาก่อนก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้ชนะเสมอไป การปรับตัวให้ทันกับความต้องการของผู้ใช้ต่างหาก คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

และแล้วในปี 2013 เมื่อ AOL ไม่สามารถทนแบกรับ Winamp ต่อไปได้อีก จึงตัดสินใจประกาศปิดตำนานโปรแกรมนี้ลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ธันวาคม 2013 มันดูเหมือนจะเป็นการจุดจบของมหากาพย์นี้

หลายคนคิดว่านั่นคือฉากสุดท้ายของ Winamp แต่แล้วเรื่องราวก็พลิกผันในนาทีสุดท้าย

เดือนมกราคม 2014 บริษัทสื่อดิจิทัลจากเบลเยียมชื่อ Radionomy ได้เข้ามาซื้อกิจการ Nullsoft ต่อจาก AOL ในราคาประมาณ 5-10 ล้านดอลลาร์ เว็บไซต์ Winamp กลับมาออนไลน์อีกครั้ง พร้อมคำสัญญาว่าเวอร์ชันใหม่กำลังจะมา

แต่แล้วความหวังก็ดูเลือนลางเวลาผ่านไปหลายปี ก็ยังไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมออกมาเสียที หลายคนเริ่มคิดว่ามันอาจเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ จนกระทั่งปี 2018 มีไฟล์ติดตั้ง Winamp 5.8 หลุดออกมาบนโลกออนไลน์ ทำให้ Radionomy ต้องจำใจปล่อยเวอร์ชันนั้นออกมาเร็วกว่ากำหนด

การพัฒนาซอฟต์แวร์ในยุคนี้มันซับซ้อนกว่าสมัยก่อนมาก แรงกดดันจากชุมชนผู้ใช้ทำให้แผนการต่างๆ ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

เมื่อถึงปี 2023 เราก็ได้เห็น Winamp 5.9.2 ที่รองรับ Windows 11 และปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้น แต่ Radionomy ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น Llama Group แล้ว มีแผนที่ใหญ่กว่าแค่การปัดฝุ่นของเก่า

พวกเขาได้เปิดตัว Winamp Platform โฉมใหม่ ที่ไม่ได้เป็นแค่โปรแกรมเล่นเพลงอีกต่อไป แต่มุ่งหวังจะเป็นระบบนิเวศสำหรับศิลปินและแฟนเพลง คล้ายๆ กับ Patreon สำหรับวงการดนตรี ที่ศิลปินสามารถหารายได้และแฟนคลับก็สนับสนุนได้โดยตรง

ฟังดูเป็นไอเดียที่เข้าท่าแต่เรื่องราวยังไม่จบง่ายๆ เพราะมันดันมีเรื่องฉาวโฉ่เกิดขึ้น

เดือนพฤษภาคม 2024 Llama Group ประกาศว่าจะทำให้ Winamp เป็น Open Source บางส่วน ซึ่งเป็นข่าวดีแต่เมื่อพวกเขาปล่อย Source Code ออกมาจริงๆ หายนะก็บังเกิด

ปรากฏว่าโค้ดที่ปล่อยออกมานั้น มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์อย่างหนักหน่วง เพราะดันมีโค้ดของบริษัทอื่นปะปนอยู่เพียบ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Intel หรือแม้แต่ Dolby กลายเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขาต้องรีบลบ Repository บน GitHub ทิ้งแทบไม่ทัน

มันกลายเป็นบทเรียนราคาแพงว่า การทำ Open Source นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะกับโปรแกรมเก่าแก่ที่มีประวัติ โชกโชนอย่าง Winamp

แล้วปัจจุบัน Winamp อยู่ที่ไหน? คำตอบคือมันยังคงมีชีวิตอยู่ ในหลายรูปแบบ สำหรับคนที่ยังถวิลหาความคลาสสิก คุณยังสามารถดาวน์โหลด Winamp 5.9.2 มาใช้งานได้ มันยังคงทำงานได้ดีบน Windows 11

ส่วน Winamp Platform โฉมใหม่ ก็ยังคงเดินหน้าต่อไป แต่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ในโลกที่ถูกยักษ์ใหญ่อย่าง Spotify หรือ Apple Music ครองตลาดอยู่ ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป

สำหรับใครที่ทันใช้ Winamp ในยุครุ่งเรือง แค่ได้ยินเสียงเปิดโปรแกรมอันเป็นเอกลักษณ์ “Winamp, it really whips the llama’s ass!” ก็คงทำให้หวนนึกถึงวันเก่าๆ ที่การหาเพลงใหม่คือการผจญภัย และการแต่ง Skin คือศิลปะ

เรื่องราวของ Winamp สอนให้เรารู้ว่า นวัตกรรมที่สุดเจ๋งไม่จำเป็นต้องมาจากบริษัทใหญ่เสมอไป บางทีมันก็เกิดจากนักศึกษาสองคนที่มีความฝันและความกล้าที่จะทำในสิ่งที่แตกต่าง

มันยังสอนเราว่า การถูกซื้อกิจการไม่ใช่ตอนจบที่สวยงามเสมอไป บางครั้งมันคือจุดเริ่มต้นของความพินาศ หากผู้ซื้อไม่เข้าใจในคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งที่พวกเขาได้มา

และที่สำคัญที่สุด โลกเทคโนโลยีนั้นเปลี่ยนแปลงเร็ว สิ่งที่เป็นมาตรฐานในวันนี้ อาจกลายเป็นของล้าสมัยในวันพรุ่งนี้ได้เสมอ

แม้ว่าวันนี้ Winamp จะไม่ได้เป็นโปรแกรมเล่นเพลงอันดับหนึ่งอีกต่อไป แต่มันได้ทิ้งมรดกและเปลี่ยนวิธีการฟังเพลงบนคอมพิวเตอร์ของเราไปตลอดกาล มันคือตำนานที่ยังมีลมหายใจ และสำหรับใครหลายคน มันยังคงเป็นโปรแกรมที่ “whips the llama’s ass” อยู่เสมอ

References: [techspot, wikipedia, fastcompany, businesswire, theregister]

ทำไม Myspace ถึงพ่ายแพ้ให้ Facebook? จากจุดสูงสุดสู่การล่มสลาย เมื่อการเป็นที่ 1 ไม่ได้การันตีความสำเร็จ

เรื่องราวของ Myspace คือหนึ่งในกรณีศึกษาที่คลาสสิกและเจ็บแสบที่สุดในโลกเทคโนโลยี มันคือเรื่องของยักษ์ใหญ่ที่เคยเป็นพี่เบิ้มของวงการ ผู้ครอบครองบัลลังก์โซเชียลมีเดียอย่างไร้เทียมทาน ถูกเด็กหนุ่มเนิร์ดจาก Harvard แย่งชิงทุกอย่างไป

ย้อนกลับไปในปี 2004 ในห้องประชุมแห่งหนึ่ง ผู้ก่อตั้ง Myspace กำลังนั่งฟังชายหนุ่มเด็กเนิร์ดที่ชื่อ Mark Zuckerberg ที่มานำเสนอขายเว็บไซต์ของเขา ที่ตอนนั้นยังใช้ชื่อว่า “The Facebook” ในราคา 75 ล้านดอลลาร์

แต่คำตอบของ Myspace คือ “ไม่”

มันไม่ใช่น่าเรื่องแปลกใจแต่อย่างใดที่ Myspace จะ Say No เพราะในเวลานั้น Myspace กำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ เป็นแพลตฟอร์มที่วัยรุ่นทุกคนต้องมี ไม่มีใครคิดว่าจะมีใครมาโค่นพวกเขาลงได้

Myspace ในยุคทองนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าโปรไฟล์ของตัวเองได้อย่างอิสระ คุณอยากได้พื้นหลังลายไหน สีอะไร ฟอนต์แบบไหน จัดเต็มได้เลย มันคือพื้นที่แสดงตัวตนที่โคตรเจ๋ง

แต่แล้วทุกอย่างก็กลับตาลปัตร ยักษ์ใหญ่รายนี้ล้มครืนลงอย่างไม่เป็นท่า และเหตุผลที่แท้จริง อาจลึกลับซับซ้อนกว่าที่เราคิด

เรื่องราวการผงาดขึ้นมาและการดิ่งลงเหวของ Myspace ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจธรรมดา แต่มันคือมหากาพย์ที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน การตัดสินใจที่ผิดพลาด และโชคชะตาที่พลิกผัน

เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจากชื่อโดเมน myspace .com ซึ่งเดิมทีถูกซื้อมาเพื่อทำธุรกิจรับฝากไฟล์ออนไลน์ คล้ายๆ กับ Dropbox ในยุคแรกเริ่ม

แต่เหมือนกับธุรกิจดอทคอมจำนวนมากในยุคนั้น มันไปไม่รอด โดยเฉพาะหลังฟองสบู่แตก นักลงทุนหยุดอัดฉีดเงินเข้าสู่บริษัทอินเทอร์เน็ตจนเละเทะไปตามๆ กัน

เจ้าของโดเมนในตอนนั้นคือ Chris DeWolfe เขาเก็บชื่อนี้ไว้ เพราะคิดว่ามันอาจมีประโยชน์ในอนาคต ซึ่งเขาคิดถูกเผง

Chris และเพื่อนซี้ของเขา Tom Anderson ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทการตลาดอีเมลชื่อ Response Base

ถ้าคุณเคยมีบัญชี Myspace คุณต้องจำหน้าของ Tom ได้แน่นอน เพราะเขาคือเพื่อนคนแรกของทุกคนบนแพลตฟอร์ม

Tom Anderson เป็นผู้บุกเบิกอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น เขาเริ่มต้นจากการเป็นแฮกเกอร์วัยรุ่น ที่ชอบเจาะระบบเว็บไซต์บริษัทต่างๆ เพียงเพื่อความสนุก

ทั้ง Tom และ Chris ต่างก็เป็นคนหนุ่มที่มีประสบการณ์บนโลกอินเทอร์เน็ตอย่างโชกโชน พวกเขาสองคนทำงานเข้าขากันได้อย่างน่าทึ่ง

บริษัท Response Base ของพวกเขาจึงอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ สามารถคว้าลูกค้าที่ยังงงๆ กับโลกออนไลน์มาได้เพียบ

ภายในปีเดียว พวกเขาก็สามารถขายธุรกิจให้กับบริษัทการตลาดที่ใหญ่กว่าอย่าง eUniverse ได้ในราคา 3.3 ล้านดอลลาร์

eUniverse นี่แหละ ที่ต่อมาจะกลายเป็นบริษัทแม่ของ Myspace แต่ก่อนจะถึงวันนั้น… บริษัทนี้มีด้านมืดที่ซ่อนอยู่ไม่น้อย

eUniverse เป็นเจ้าของเว็บไซต์จำนวนมาก และบางเว็บก็ทำธุรกิจที่น่าสงสัย จนได้รับฉายาว่าเป็น “สลัมแห่งอินเทอร์เน็ต”

ต้องเข้าใจว่าสมัยนั้นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยังค่อนข้างใหม่กับโลกออนไลน์ และมักจะคลิกโฆษณากะพริบ หรือซื้อของที่ดูดีเกินจริง

eUniverse ก็ฉวยโอกาสจากจุดนี้ พวกเขาขายสินค้าบวกราคาสูงลิ่วอย่างครีมลดริ้วรอย ไปจนถึงหนังสืออย่าง “วิธีทำให้ตัวสูงขึ้น”

แต่ที่แสบสันที่สุด คือเว็บไซต์ที่แจกเคอร์เซอร์เมาส์ฟรี พอผู้ใช้ดาวน์โหลด พวกเขาก็จะโดนฝังสปายแวร์ที่คอยติดตามพฤติกรรมโดยไม่รู้ตัว

พอเรื่องนี้แดงขึ้นมา eUniverse ก็โดนข่าวฉาวโฉ่ถล่มจนเละ พวกเขาต้องรีบเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Intermix Media เพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์

แต่ความจริงก็คือ บริษัทกำลังเจอปัญหาหนักหน่วง ผู้คนเริ่มฉลาดขึ้น ตัวกรองสแปมก็เทพขึ้น ทำให้ธุรกิจเดิมๆ ของพวกเขาเริ่มไปต่อไม่ไหว

ผลก็คือ Intermix Media เตรียมจะปิดหลายเว็บไซต์ในเครือ รวมถึง Response Base ที่ Tom และ Chris ยังทำงานอยู่ด้วย

ทั้งคู่รู้ทันทีว่าพวกเขาต้องการแผนใหม่เพื่อความอยู่รอด นี่คือจุดที่พรหมลิขิตเริ่มขีดชะตาชีวิตของพวกเขา

ในตอนนั้นเอง เว็บไซต์โซเชียลมีเดียรุ่นแรกๆ อย่าง Friendster เริ่มได้รับความนิยม Tom Anderson เห็นศักยภาพมหาศาลในไอเดียของ Friendster ที่ให้คนมาเชื่อมต่อกันออนไลน์ แต่เขาก็มองเห็นจุดอ่อนของมัน

Friendster เป็นระบบปิดที่เชื่อมต่อกับคนที่ไม่รู้จักได้ยาก แถมเว็บไซต์ยังช้าเป็นเต่าคลานอีกด้วย

Tom รู้สึกว่าถ้าหยิบไอเดียนี้มาทำให้ดีกว่า มันจะต้องบูมแน่นอน เขาจึงเดินเข้าไปหาเจ้านายที่ Intermix พร้อมกับไอเดียการสร้าง “Friendster เวอร์ชันที่ดีกว่า”

โครงการนี้อาจเป็นตั๋วที่พาบริษัทออกจากธุรกิจสแปมที่กำลังจะดับสนิท Intermix จึงไฟเขียว และ Chris ก็บอกว่า เขามีชื่อโดเมนที่เพอร์เฟกต์ที่สุดสำหรับโปรเจกต์นี้: myspace .com

เมื่อ Myspace เปิดตัว พวกเขาก็จัดหนักทันที โดยเสนอรางวัลเงินสดให้พนักงานที่ชวนคนมาสมัครได้มากที่สุด

ด้วยความที่บริษัทแม่เป็นเจ้าแห่งการตลาดอยู่แล้ว พวกเขามีลิสต์อีเมลในมือมหาศาล ทำให้การโปรโมตเป็นไปอย่างง่ายดาย

แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้ Myspace แตกต่างและดังกระฉูด คือความผิดพลาดทางเทคนิคที่กลายเป็นความเจ๋ง

โปรแกรมเมอร์คนหนึ่งลืมบล็อกการใช้งานโค้ด HTML ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปแก้ไขหน้าโปรไฟล์ของตัวเองได้

ผลลัพธ์คือความบ้าคลั่งที่ไม่มีใครคาดคิด วัยรุ่นนับล้านแห่กันไปเรียนเขียนโค้ด HTML เพื่อรังสรรค์โปรไฟล์ของตัวเองให้สุดล้ำ

โปรไฟล์ของแต่ละคนจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือทุกคนเริ่มต้นด้วยการมีเพื่อนหนึ่งคน นั่นก็คือ Tom Anderson

ความนิยมของ Myspace พุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น และแน่นอนว่าพวกเขาชวนเพื่อนๆ ต่อกันเป็นทอดๆ

โมเมนตัมยิ่งพุ่งกระฉูด เมื่อพวกเขาตัดสินใจเจาะตลาดนักดนตรี ซึ่งกำลังมองหาพื้นที่โปรโมตตัวเองหลังจากการล่มสลายของ Napster

Chris และ Tom เดินสายไปตามคลับในลอสแอนเจลิส ชักชวนวงดนตรีให้มาเปิดเพจบน Myspace

กลยุทธ์นี้ได้ผลเกินคาด ศิลปินดังอย่าง Arctic Monkeys, Calvin Harris, และ Lily Allen แจ้งเกิดและสร้างฐานแฟนคลับมหาศาลจากแพลตฟอร์มนี้

ภายในเวลาไม่นาน Myspace ก็มีผู้ใช้ทะลุหลักล้าน และเติบโตแบบก้าวกระโดด นำไปสู่การกำเนิดของ “อินฟลูเอนเซอร์” รุ่นแรกๆ

Myspace ยังมีบทบาทสำคัญในการแจ้งเกิด YouTube ด้วย เพราะผู้ใช้สามารถฝังวิดีโอจาก YouTube ลงบนหน้าโปรไฟล์ได้อย่างง่ายดาย

แต่แล้ว ฟีเจอร์ที่เคยเป็นจุดแข็งก็เริ่มสร้างปัญหาใหญ่หลวง ความอิสระในการปรับแต่งและความสามารถในการเชื่อมต่อกับใครก็ได้ เริ่มกลายเป็นดาบสองคม

สื่อต่างๆ เริ่มประโคมข่าวถึงอันตรายบน Myspace ทั้งเรื่องผู้ใหญ่ที่จ้องจะล่อลวงผู้เยาว์ และการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ที่โหดเหี้ยม

เหตุการณ์ที่น่าสลดใจคือกรณีของเด็กหญิง Megan Meier วัย 13 ปี ที่ถูกรุมบูลลี่อย่างหนักบน Myspace จนเธอตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง

เรื่องราวเหล่านี้ทำให้ชื่อเสียงของ Myspace เสียหายเป็นอย่างมากในสายตาผู้ปกครองและผู้ลงโฆษณา

แม้เว็บไซต์จะเติบโต แต่การขายโฆษณากลับทำได้ในราคาที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เพราะแบรนด์ต่างๆ กังวลเรื่องภาพลักษณ์และความปลอดภัย

ซ้ำร้าย ในเดือนตุลาคม 2005 แฮกเกอร์หนุ่มวัย 19 ปี Samy Kamkar ได้ปล่อยไวรัสคอมพิวเตอร์ที่แพร่กระจายเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ผ่านช่องโหว่ของ Myspace

ไวรัส “Samy worm” นี้ ไม่ได้มีเจตนาร้าย มันแค่ทำให้ใครก็ตามที่เข้าชมโปรไฟล์ของเขา กลายเป็นเพื่อนกับเขาโดยอัตโนมัติ และโพสต์ข้อความว่า “Samy คือฮีโร่ของฉัน”

แต่ด้วยความที่ไวรัสสามารถคัดลอกตัวเองไปยังโปรไฟล์อื่นได้ มันจึงแพร่กระจายอย่างบ้าคลั่ง

ภายใน 24 ชั่วโมง ผู้ใช้กว่า 1 ล้านคนติดไวรัสโดยไม่รู้ตัว ทีมงาน Myspace ต้องปิดเว็บชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหา ความโกลาหลครั้งนี้สั่นคลอนความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง

ขณะเดียวกัน ภายในบริษัทเองก็เริ่มมีรอยร้าว ผู้ก่อตั้งเริ่มมีปัญหากับบริษัทแม่ ที่ไม่ยอมลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น

เซิร์ฟเวอร์ของ Myspace ถูกอัดแน่นอยู่ในศูนย์ข้อมูลจนร้อนระอุถึงขั้นละลาย และเมื่อไฟดับ เว็บไซต์ก็ล่มทั้งระบบ

เหตุผลที่ Intermix ไม่ยอมลงทุน ก็เพราะตัวเองกำลังมีปัญหาทางการเงินอย่างหนัก จากคดีความเรื่องสปายแวร์ที่ฉาวโฉ่ จนต้องจ่ายค่าปรับก้อนโต

แต่ท่ามกลางมรสุมที่รุมเร้า Myspace กลับยังคงเติบโตอย่างไม่น่าเชื่อ มันยังคงเป็นที่ถวิลหาของวัยรุ่น และผู้คนก็ยังชวนเพื่อนๆ มาใช้งานไม่หยุด

และแล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท

ปี 2005 Chris DeWolfe ได้พบกับ Mark Zuckerberg ที่เสนอขาย Facebook ในราคา 75 ล้านดอลลาร์ Chris มองว่าราคานี้มันสูงเว่อร์เกินไป และปฏิเสธข้อเสนอไป การตัดสินใจครั้งนี้ได้เปลี่ยนชะตาชีวิตของ Myspace ไปตลอดกาล

แน่นอนว่ามองจากวันนี้ มันคือการตัดสินใจที่ผิดพลาดมหันต์ แต่ในตอนนั้น 75 ล้านดอลลาร์ถือเป็นเงินมหาศาลสำหรับบริษัทหน้าใหม่

หลังจากนั้นไม่นาน สงครามประมูลเพื่อซื้อ Myspace ก็เกิดขึ้นระหว่าง Viacom และ News Corp ของเจ้าพ่อสื่ออย่าง Rupert Murdoch

สุดท้าย News Corp เป็นผู้ชนะ ด้วยการทุ่มเงิน 580 ล้านดอลลาร์เข้าซื้อ Intermix Media โดยทุกคนรู้ดีว่าเพชรเม็ดงามที่พวกเขาหมายปองคือ Myspace

ในช่วงแรกหลังการซื้อกิจการ ทุกอย่างดูเหมือนจะเริ่มต้นด้วยกลีบกุหลาบ Rupert Murdoch ถึงกับขึ้นปกนิตยสาร Wired ในฐานะ “ไอดอลวัยรุ่น” คนใหม่

แต่แทนที่เงินทุนมหาศาลจะช่วยแก้ปัญหา มันกลับทำให้ทุกอย่างแย่ลง Myspace กลายเป็นองค์กรอุ้ยอ้าย เต็มไปด้วยระบบราชการที่ล่าช้า

เป้าหมายหลักถูกเปลี่ยนไปที่การทำเงินจากโฆษณาให้ได้มากที่สุด ทำให้หน้าเว็บเต็มไปด้วยโฆษณาคุณภาพต่ำที่น่ารำคาญ

Murdoch มอง Myspace เป็นแค่เครื่องพิมพ์เงิน ไม่ใช่การลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างชุมชนที่แข็งแกร่ง

ในทางตรงกันข้าม Facebook ที่มีเงินทุนจากนักลงทุนที่กล้าเสี่ยง กลับเคลื่อนไหวได้เร็วกว่า และคิดการณ์ไกลกว่ามาก

Facebook เริ่มต้นอย่างชาญฉลาด ด้วยการจำกัดผู้ใช้เฉพาะนักศึกษา ทำให้เกิดความรู้สึกพิเศษและเป็นที่หมายปอง จนกระทั่งเปิดให้ทุกคนใช้งานได้ในภายหลัง

การออกแบบที่เรียบง่าย สะอาดตา และเหมือนกันทุกคนของ Facebook ทำให้มันใช้งานง่ายสำหรับคนทุกเพศทุกวัย

ในขณะที่ Myspace นั้นวุ่นวายและรกรุงรัง โปรไฟล์ที่ปรับแต่งได้อิสระเกินไปทำให้เว็บโหลดช้า และเต็มไปด้วยดีไซน์ที่ชวนปวดหัว

แนวทางนี้ยังทำให้การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เป็นไปอย่างล่าช้า เพราะมันยากที่จะทำให้เข้ากับโปรไฟล์ที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วได้

เมื่อ Facebook เปิดตัว News Feed มันก็ยิ่งทำให้แพลตฟอร์มดึงดูดผู้คนได้เร็วยิ่งขึ้น แม้ Myspace จะยังเป็นพี่ใหญ่ของวงการ แต่โมเมนตัมกำลังเปลี่ยนข้างอย่างชัดเจน

Facebook ซึ่งถูกมองว่าเป็นของใหม่ที่เจ๋งกว่า ค่อยๆ แซงหน้าขึ้นมา และเมื่อผู้คนเริ่มย้ายบ้าน คนอื่นๆ ก็ต้องย้ายตาม เพราะนั่นคือที่ที่เพื่อนๆ ของพวกเขาอยู่

นี่คือจุดเริ่มต้นของการตกต่ำอย่างแท้จริงของ Myspace ผู้ใช้ลดฮวบ โฆษณาก็น่ารำคาญ เว็บก็ช้า ชื่อเสียงก็ย่ำแย่

ในปี 2009 ทั้ง Chris DeWolfe และ Tom Anderson ก็ตัดสินใจลาออกจากบริษัทที่พวกเขาร่วมกันปลุกปั้นมากับมือ

ในที่สุด Rupert Murdoch ก็หมดความสนใจ และขาย Myspace ต่อไปในราคาเพียง 35 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาที่เขาจ่ายไป

หลายคนอาจบอกว่า Facebook คือผู้ที่สังหาร Myspace แต่นั่นเป็นการสรุปที่ง่ายเกินไป

ความจริงคือ Myspace มีโอกาสทุกอย่างที่จะเป็นผู้ชนะ แต่พวกเขากลับสะดุดขาตัวเองล้มครั้งแล้วครั้งเล่า

Sean Parker ประธานคนแรกของ Facebook เคยกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า: “เหตุผลเดียวที่เราชนะคือความไร้ความสามารถอย่างร้ายแรงของ Myspace ตลอดระยะเวลาหลายปี”

แม้ Myspace จะยังคงอยู่รอดในทางเทคนิค โดยหันไปเน้นด้านดนตรี แต่ในปี 2019 พวกเขาก็สร้างข่าวฉาวอีกครั้ง

บริษัทประกาศว่าได้ทำไฟล์เพลงเกือบ 50 ล้านเพลงที่อัปโหลดมาตลอดสองทศวรรษหายไปโดยไม่ได้ตั้งใจระหว่างการย้ายเซิร์ฟเวอร์ มันคือการปิดฉากที่เละไม่เป็นท่าอย่างสมบูรณ์แบบ

สำหรับ Tom Anderson หรือ “เพื่อนคนแรกของทุกคน” เรื่องราวทั้งหมดอาจไม่ใช่ความล้มเหลว เขาทำเงินได้มหาศาลและเกษียณอย่างมีความสุข

ทุกวันนี้ เขาท่องเที่ยวไปทั่วโลก และสนุกกับการถ่ายภาพ แต่สิ่งที่น่าขันก็คือ เขาแชร์ภาพถ่ายเหล่านั้นบนแพลตฟอร์มอย่าง Twitter และ Instagram

ในทุกครั้งที่เขาโพสต์ เขาอาจจะอดคิดไม่ได้ว่า… ถ้าวันนั้น Myspace ตัดสินใจต่างออกไป โลกในวันนี้อาจมีหน้าตาที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง.

References : [The Guardian,WIRED,The New York Times,Vice,Mashable]