Geek Story EP397 : Hisense จากโรงงานก๊อปปี้ สู่แบรนด์ทีวีที่โค่น Sony ถึงในบ้าน

ครั้งหนึ่ง คำว่า Made in Japan บนกล่องโทรทัศน์ มันคือเครื่องการันตีคุณภาพ คือสัญลักษณ์ของความทันสมัย และคือที่สุดของความเจ๋งในห้องนั่งเล่นของทุกบ้านทั่วโลก แบรนด์อย่าง Sony, Panasonic หรือ Sharp คือราชาที่ไม่มีใครคิดจะอาจหาญไปท้าทายบัลลังก์ของพวกเขา

แต่เชื่อไหมครับว่าวันนี้… ในบ้านของคนญี่ปุ่นเอง โทรทัศน์ที่ขายดีที่สุดกลับไม่ใช่แบรนด์ญี่ปุ่นระดับตำนานเหล่านี้ แต่เป็นแบรนด์จากจีนที่เมื่อ 20 ปีก่อน แทบไม่มีใครในโลกรู้จักชื่อของพวกเขาด้วยซ้ำ บริษัทนั้นคือ Hisense

เรื่องราวการโค่นบัลลังก์ของยักษ์ใหญ่ที่ดูเหมือนจะไม่มีวันพ่ายแพ้นี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง? ทำไมบริษัทจีนโนเนมถึงสามารถก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์สองของโลก และยึดตลาดบ้านเกิดของคู่แข่งได้สำเร็จ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/yrxmk6s9

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/569h8fsm

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/44s42y9e

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/QhOykOjunzg

Theranos 2.0? AI + เลือดหยดเดียว = ปฏิวัติการแพทย์ หรือการต้มตุ๋นครั้งใหม่

ถ้าผมพูดชื่อ Elizabeth Holmes ขึ้นมา หลายคนคงร้อง “ยี้” และนึกถึงเรื่องราวสุดฉาวโฉ่ของ Theranos สตาร์ตอัปที่เคยถูกยกยอปอปั้นว่าจะเป็นอนาคตของการตรวจเลือด แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องต้มตุ๋นระดับประวัติศาสตร์ ที่หลอกเงินนักลงทุนไปเกือบพันล้านดอลลาร์

เรื่องราวของเธอดูเหมือนจะจบไปแล้วในคุก แต่ถ้าผมจะบอกว่า…เรื่องราวกำลังจะมีภาคต่อ และครั้งนี้มันอาจจะไม่ใช่แค่ความฝันลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป คุณจะเชื่อไหม?

วันนี้อยากจะมาชวนคุยเรื่องจักรวาลของ Elizabeth Holmes กันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เรื่องราวมันลึกลับซับซ้อนกว่าเดิมมาก เพราะในขณะที่ตัวเธอยังคงชดใช้กรรมอยู่ในเรือนจำ คู่ชีวิตของเธออย่าง Billy Evans กำลังปลุกปั้นบริษัทใหม่ที่ทำเรื่องเดียวกันเป๊ะๆ

เรื่องนี้มันเริ่มมีกลิ่นแปลกๆ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา Holmes ได้ให้สัมภาษณ์ครั้งแรกจากหลังกรงเหล็กกับนิตยสาร People เธอบอกว่า “ไม่มีวันไหนเลยที่เธอหยุดทำงานวิจัยและคิดค้นสิ่งประดิษฐ์” และยังคงยึดมั่นกับความฝันที่จะทำให้ทุกคนเข้าถึงการดูแลสุขภาพในราคาที่จับต้องได้

ฟังดูคุ้นๆ ใช่ไหมครับ? มันแทบจะเหมือนเทปม้วนเก่าที่ถูกเอามาเล่นซ้ำ

ในขณะที่ Holmes กำลังต่อสู้กับชะตากรรมในคุกที่ Texas คู่ชีวิตของเธอ Billy Evans กำลังวิ่งระดมทุนหลายล้านดอลลาร์ให้กับสตาร์ตอัป AI น้องใหม่ที่ชื่อว่า Haemanthus ซึ่งแปลเป็นภาษากรีกได้ว่า “ดอกไม้สีเลือด”

หลายคนอาจจะคิดว่า “เอาอีกแล้วเหรอ?” วงการจะโดนต้มตุ๋นซ้ำสองอีกหรือเปล่า?

ใจเย็นๆ ครับ เพราะครั้งนี้มันอาจจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ครั้งนี้…เทคโนโลยีที่เคยเป็นแค่เรื่องมโนของ Holmes มันอาจจะใช้งานได้จริงแล้ว

เทคโนโลยีที่ Holmes เคยโกหกคนทั้งโลกเอาไว้ในอดีต ตอนนี้มันกลับกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ด้วยพลังของ AI ที่สุดล้ำ และศาสตร์ใหม่ที่เรียกว่า Raman spectroscopy

คำถามที่ตามมาคือ ใครจะกล้าให้โอกาสหรือเชื่อใจครอบครัวนี้อีกครั้ง? และที่สำคัญกว่านั้น ถ้าเทคโนโลยีครั้งนี้มันเป็น “ของแท้” และใช้งานได้จริง มันจะเปลี่ยนโลกไปได้ขนาดไหน?

วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่หลายคนเรียกว่า Theranos 2.0 ทำไมมันถึงยังมีคนกล้าอัดฉีดเงินให้ และที่สำคัญที่สุด ทำไมเทคโนโลยีที่เคยเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันของ Holmes ถึงกลับกลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ในปี 2025

ปัจจุบัน Elizabeth Holmes ในวัย 41 ปี กำลังใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ Federal Prison Camp Bryan ที่รัฐ Texas เธอถูกตัดสินจำคุก 11 ปี 3 เดือน แต่ด้วยความประพฤติดี เธออาจจะได้ออกมาสู่โลกภายนอกเร็วกว่ากำหนด โดยมีวันปล่อยตัวที่คาดการณ์ไว้คือเดือนสิงหาคม 2032

ชีวิตในคุกของเธอเริ่มต้นตอนตี 5 ทุกวัน ออกกำลังกาย 40 นาที ก่อนจะไปทำงานเป็น reentry clerk ได้ค่าจ้างชั่วโมงละ 31 เซ็นต์ หน้าที่ของเธอคือช่วยเหลือนักโทษหญิงคนอื่นที่กำลังจะพ้นโทษ ให้เตรียมตัวกลับสู่สังคม ทั้งการเขียนเรซูเม่ และการยื่นขอสวัสดิการต่างๆ

นอกจากนี้ เธอยังทำงานเป็นผู้ช่วยด้านกฎหมายและสอนภาษาฝรั่งเศสด้วย เรียกได้ว่าใช้ทุกนาทีอย่างคุ้มค่า แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ชีวิตส่วนตัวของเธอ เธอยังได้พบกับลูกๆ ทั้งสองคน William วัย 3 ขวบ และ Invicta วัย 2 ขวบ สัปดาห์ละสองครั้ง พร้อมกับ Billy Evans คู่ชีวิตของเธอ

แต่สิ่งที่เธอตอกย้ำในการให้สัมภาษณ์ และเป็นเหมือนเชื้อไฟที่จุดเรื่องราวทั้งหมดขึ้นมาใหม่ คือคำพูดที่ว่า “ไม่มีวันไหนที่เธอหยุดทำงานวิจัยและประดิษฐ์” เธอยังคงหมกมุ่นกับการเขียนสิทธิบัตรใหม่ๆ จากหลังกรงเหล็ก ราวกับว่ากำแพงคุกไม่สามารถหยุดความทะเยอทะยานของเธอได้

และในขณะเดียวกัน โลกภายนอกก็ไม่ได้หยุดนิ่ง Billy Evans คู่ชีวิตของเธอ ซึ่งเป็นทายาทของเครือโรงแรมใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย วัย 33 ปี ไม่ได้นั่งรอเฉยๆ เขากำลังเดินหน้ากับบริษัท Haemanthus สตาร์ตอัป AI ที่ต้องการรังสรรค์เครื่องตรวจโรคจากของเหลวในร่างกาย

จากเอกสารที่ The New York Times ได้มาตรวจสอบ อุปกรณ์ของ Haemanthus จะใช้เลเซอร์สแกนของเหลวในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเลือด น้ำลาย หรือปัสสาวะ และทำการวิเคราะห์ในระดับโมเลกุลภายในเวลาไม่กี่วินาที โดยใช้โมเดล AI ตรวจหาโรคมะเร็งและปัญหาสุขภาพอื่นๆ

ฟังดูแล้วก็คือคอนเซ็ปต์เดียวกับ Theranos ไม่ผิดเพี้ยนเลยใช่ไหมครับ? แต่ความฉลาดของ Evans อยู่ตรงนี้ เขาไม่ได้กระโจนเข้าสู่ตลาดมนุษย์ที่กฎระเบียบสุดโหด

กลยุทธ์ของ Haemanthus คือการเริ่มต้นจากตลาดสัตว์เลี้ยงก่อน แล้วค่อยขยายไปสู่มนุษย์ในภายหลัง นี่คือแผนที่เข้าท่ามาก เพราะธุรกิจตรวจมะเร็งสำหรับสัตว์เลี้ยงนั้นเป็นตลาดมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่กฎระเบียบไม่เข้มงวดเท่าของมนุษย์ เป็นการเดินเกมที่ชาญฉลาดเพื่อพิสูจน์เทคโนโลยีและสร้างความเชื่อมั่น

ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานราว 10 คน และระดมทุนไปได้แล้วมากกว่า 18 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเพื่อนและครอบครัวของ Evans เอง

แน่นอนว่าเมื่อข่าวนี้ดังกระฉ่อนออกไป ปฏิกิริยาในวงการก็มีทั้งความตกใจ โกรธแค้น และความกังขา บริษัทลงทุนของ Michael Dell ปฏิเสธข้อเสนอทันที นักลงทุนยุคแรกๆ ของ Facebook และผู้จัดการกองทุน VC หลายคนก็บอกว่าจะขอผ่าน “ด้วยเหตุผลเดียวกันกับที่เคยผ่าน Theranos มาแล้ว”

แต่ถึงอย่างนั้น Evans ก็ยังสามารถระดมทุนมาได้หลายล้านดอลลาร์จากเครือข่ายส่วนตัวของเขาเอง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของคอนเนคชันและอาจจะเป็นเพราะ “กลิ่นเงิน” ที่หอมหวนจากเทคโนโลยีนี้

ความแสบของเรื่องนี้คือ Haemanthus ถึงกับออกแถลงการณ์ผ่านโซเชียลมีเดียยอมรับแบบตรงไปตรงมาว่า “ใช่ CEO ของเรา Billy Evans เป็นคู่ชีวิตของ Elizabeth Holmes ความสงสัยเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เราจึงต้องสร้างมาตรฐานที่โปร่งใสและสูงกว่าใคร นี่ไม่ใช่ Theranos 2.0”

ทีนี้มาถึงหัวใจของเรื่องที่ทำให้ทุกอย่างน่าติดตาม…เทคโนโลยีเบื้องหลังที่อาจจะเปลี่ยนเกมได้จริงๆ

เทคโนโลยีที่ Haemanthus กำลังพัฒนาอยู่มีชื่อว่า Raman spectroscopy ซึ่งถูกนำมาผสมผสานกับพลังของ AI

เอาแบบเข้าใจง่ายๆ Raman spectroscopy ไม่ใช่ของใหม่ มันเป็นเทคนิคที่นักเคมีใช้กันมาเกือบศตวรรษแล้ว หลักการของมันคือการยิงแสงเลเซอร์ไปที่โมเลกุล และจากการสั่นสะเทือนของโมเลกุลนั้น เราจะสามารถระบุได้ว่ามันคือโมเลกุลอะไร

สิ่งที่ทำให้มันกลายเป็นของ “โครตเจ๋ง” ในยุคนี้ คือการนำข้อมูลการสั่นสะเทือนที่ซับซ้อนมหาศาลนั้น มาให้ AI ที่มีความสามารถในการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ช่วยวิเคราะห์และแยกแยะรูปแบบที่สายตามนุษย์มองไม่เห็น

งานวิจัยล่าสุดจากทั่วโลกเริ่มแสดงให้เห็นถึงความเทพของเทคนิคนี้ นักวิทยาศาสตร์จาก Beihang University และ Capital Medical University ในปักกิ่ง ได้ใช้ Raman spectroscopy คู่กับ AI เพื่อปรับปรุงกระบวนการวินิจฉัยทางพยาธิวิทยา ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่งมาก

หรือการศึกษาในวารสาร Scientific Reports ที่แสดงให้เห็นว่าเทคนิคนี้สามารถวินิจฉัยมะเร็งเต้านมได้ด้วยความแม่นยำสูงถึง 94.6% และความจำเพาะ (Specificity) 100% ซึ่งหมายความว่าถ้าผลออกมาว่าไม่เป็น ก็คือไม่เป็นจริงๆ ไม่มีการตรวจมั่วซั่ว

ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาจากจีนอีกชิ้นให้ผลลัพธ์ที่โหดกว่าเดิม ด้วยความแม่นยำ 99.7% ในการตรวจหาเซลล์มะเร็งผิวหนัง และ 97.9% สำหรับการติดเชื้อแบคทีเรีย ตัวเลขระดับนี้มันน่าตกใจมาก ๆ

ความเจ๋งของ Raman spectroscopy คือมันสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีในระยะเริ่มต้นของการเกิดโรคได้ แม้กระทั่งก่อนที่เซลล์จะเริ่มเปลี่ยนแปลงรูปร่างจนมองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์เสียอีก

นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เรื่องราวของ Haemanthus ไม่ใช่แค่ความฝันลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป มันมีหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่จับต้องได้และผลการวิจัยที่หนักแน่นมารองรับ

สิ่งที่ทำให้เรื่องราวครั้งนี้แตกต่างจากมหากาพย์ Theranos ที่เละไม่เป็นท่าในอดีต มีอยู่หลายประการด้วยกัน

ประการแรก และสำคัญที่สุด เทคโนโลยี Raman spectroscopy เป็นวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วและมีอยู่จริง ไม่ใช่เทคโนโลยีที่ถูกเสกขึ้นมาจากจินตนาการเหมือนที่ Holmes เคยอ้างในอดีต

ประการที่สอง พลังของ AI ในปี 2025 นั้นก้าวหน้าไปไกลกว่ายุคของ Theranos อย่างเทียบไม่ติด มันสามารถประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนและค้นหารูปแบบที่ลึกซึ้งได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้การวิเคราะห์ผลจากสเปกตรัมมีความแม่นยำสูง

และประการที่สาม พวกเขาเริ่มต้นจากตลาดสัตว์เลี้ยงก่อน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดมากในการลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและสร้างความน่าเชื่อถือก่อนที่จะขยับไปสู่ตลาดมนุษย์ที่ใหญ่กว่าและโหดหินกว่ามากโข

แต่มันก็ยังมีอุปสรรคมากมายที่สองสามีภรรยาต้องเจอ

Tyler Shultz อดีตพนักงาน Theranos ผู้กล้าออกมาแฉความจริง ได้เขียนบทความเตือนว่า “ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะลองอีกครั้ง” เป็นการส่งสัญญาณว่าอย่าเพิ่งไว้วางใจอะไรง่ายๆ

การเดินทางจากวิทยาศาสตร์ที่ใช้การได้ในห้องแล็บ ไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริงในเชิงพาณิชย์นั้น มันคือการเข็นครกขึ้นภูเขา และเป็นจุดที่บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพส่วนใหญ่ต้องจบเห่หรือล้มเหลวไม่เป็นท่า

นอกจากนี้ ตัวของ Holmes เองยังถูกคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) สั่งห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารหรือกรรมการของบริษัทมหาชนเป็นเวลา 10 ปี แต่กฎนี้ไม่ได้ห้ามเธอจากการช่วยบริหารบริษัทเอกชนอยู่ลับหลัง

การแข่งขันในตลาดนี้ก็กำลังดุเดือด บริษัทอื่นๆ อย่าง Sight Diagnostics จากอิสราเอลก็กำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกัน และนักวิจัยจาก University of Colorado Boulder ก็เพิ่งประกาศผลการวิจัยใหม่ๆ ออกมา เรียกได้ว่าทุกคนต่างก็ต้องการที่จะเป็นผู้ชนะในสมรภูมินี้

ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวของ Haemanthus ทำให้เราต้องกลับมาตั้งคำถามที่ยากจะตอบ

ถ้าครั้งนี้เทคโนโลยีมันใช้งานได้จริง เราจะแยกแยะนวัตกรรมของแท้ ออกจากการต้มตุ๋นที่อาจจะซ่อนอยู่ได้อย่างไร?

การที่ชื่อของ Elizabeth Holmes ยังคงวนเวียนอยู่ ถึงแม้จะเป็นทางอ้อม มันเป็นรอยร้าวที่ทำให้เราควรต้องระมัดระวังเป็นพิเศษหรือไม่?

และคำถามที่สำคัญที่สุด หากเทคโนโลยีนี้ประสบความสำเร็จจริงๆ มันจะเปลี่ยนโฉมหน้าของการวินิจฉัยโรคในอนาคตอย่างไร?

ตัวของ Holmes เองยังคงยืนยันว่าเธอ “ยังคงมุ่งมั่นกับความฝันในการทำให้โซลูชันการดูแลสุขภาพที่ราคาไม่แพงพร้อมใช้งานสำหรับทุกคน” และเมื่อเธอได้รับการปล่อยตัวในปี 2032 เธอก็วางแผนที่จะกลับเข้าสู่วงการไบโอเทคอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย

เรื่องราวของ Haemanthus สอนให้เรารู้ว่า ในโลกของนวัตกรรมที่ทุกอย่างพุ่งทะยานไปข้างหน้า เส้นแบ่งระหว่าง “อัจฉริยะ” กับ “นักต้มตุ๋น” บางครั้งมันก็บางเฉียบจนน่าใจหาย

ความแตกต่างในครั้งนี้คือ…วิทยาศาสตร์อาจจะเดินทางมาไกลพอที่จะรองรับความฝันที่เคยดูบ้าคลั่งของ Holmes ได้แล้ว

แต่คำถามสุดท้ายที่ยังไม่มีใครตอบได้ก็คือ…แล้วเราจะเชื่อใจมันได้หรือไม่?

สำหรับตอนนี้ เราคงทำได้แค่จับตาดูว่า Haemanthus จะพิสูจน์ตัวเองได้อย่างไร และมีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะเป็นผู้ขีดชะตาว่านี่คือการกลับมาของฝันร้ายที่ชื่อ Theranos 2.0 หรือจะเป็นรุ่งอรุณแห่งนวัตกรรมที่จะเปลี่ยนโลกใบนี้ไปตลอดกาล

References: [npr.org, statnews, techcrunch, people, fortune]

เมื่อ Disney เปิดศึก! ฟ้อง Midjourney AI สร้างภาพ… สงครามนี้ใครจะชนะ?

เคยสงสัยไหมว่า จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อพี่ใหญ่แห่งโลกบันเทิง ที่ปลุกปั้นตัวละครในความฝันของผู้คนมานับศตวรรษ ต้องมาเปิดศึกกับบริษัทเทคโนโลยี ที่มาพร้อมกับความสามารถสุดล้ำ ราวกับมีเวทมนตร์

เรื่องนี้กำลังเกิดขึ้นจริง และมันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่จะเข้ามาขีดชะตาโลกแห่งความคิดสร้างสรรค์ไปตลอดกาล

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้น เมื่อ Disney และ Universal สองพี่ใหญ่แห่งฮอลลีวูด ตัดสินใจทำในสิ่งที่หลายคนคาดคิดไว้แล้ว นั่นคือการยื่นฟ้องบริษัท AI ชื่อ Midjourney

Midjourney คือแพลตฟอร์มรังสรรค์ภาพด้วย AI ที่กำลังดังกระฉูด ใครๆ ก็สามารถเข้าไป “เสก” ภาพอะไรก็ได้ขึ้นมาในเวลาไม่กี่วินาที แค่พิมพ์คำสั่งที่ต้องการลงไปเท่านั้น

ความเจ๋งของมัน ทำให้ใครต่อใครต่างก็ตาลุกวาว และแห่กันเข้าไปใช้งานจนแพลตฟอร์มได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

แต่ในความเจ๋งนั้น ก็มีมุมมืดซ่อนอยู่…

เพราะผู้ใช้งานจำนวนมาก ไม่ได้สั่งให้ AI สร้างแค่ภาพวิวทิวทัศน์ แต่กลับสั่งให้มันสร้างภาพตัวละครที่พวกเขาชื่นชอบ ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของค่ายหนังยักษ์ใหญ่

ผลลัพธ์คือ ภาพของ Mickey Mouse, Deadpool หรือเหล่า Minion ในเวอร์ชันแปลกๆ ถูกสร้างขึ้นมานับไม่ถ้วน และแพร่กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ต

แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้ Disney และ Universal อยู่เฉยไม่ได้ การกระทำดังกล่าวถือเป็นการล้ำเส้นอย่างชัดเจน

พวกเขาจึงตัดสินใจฟ้องร้อง Midjourney โดยกล่าวหาว่าแพลตฟอร์มนี้ เปรียบเสมือนเครื่องจักรที่ผลิตผลงานละเมิดลิขสิทธิ์ออกมาอย่างบ้าคลั่ง

นี่คือจุดเริ่มต้นของมหากาพย์การต่อสู้ ที่ฝ่ายหนึ่งคือเจ้าแห่งคอนเทนต์ผู้เก๋าเกม อีกฝ่ายคือดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งโลกเทคโนโลยี

ถ้ามองเผินๆ หลายคนอาจคิดว่า Midjourney คงจะเละไม่เป็นท่า เมื่อต้องมาเจอกับทีมทนายที่โชกโชนของ Disney

แต่ช้าก่อน… Midjourney ไม่ใช่หมูในอวยให้ใครมาเชือดแบบง่ายๆ

รู้หรือไม่ว่า Midjourney ที่เพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2021 กลับมีรายได้พุ่งทะยาน ในปี 2023 มีรายงานว่าบริษัททำเงินไปมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์ หรือราว 7,300 ล้านบาท

ตัวเลขนี้บอกชัดเจนว่า Midjourney มีทุนมากพอที่จะตั้งทีมกฎหมายมาสู้กับพี่ใหญ่ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

สงครามครั้งนี้จึงไม่ใช่การที่ยักษ์มาไล่ตบเด็ก แต่เป็นการต่อสู้ของสองขุมกำลังที่พร้อมจะฟาดฟันกันอย่างถึงพริกถึงขึง

แต่เรื่องที่ทำให้ศึกครั้งนี้พีคมากยิ่งขึ้นไปอีก มันไม่ใช่แค่เรื่องภาพนิ่ง…

เพราะเทคโนโลยี AI มันได้ก้าวข้ามไปสู่การสร้าง “วิดีโอ” แล้ว และนี่คือสิ่งที่ทำให้บรรดาผู้บริหารค่ายหนังต้องสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง

ลองนึกภาพตาม…

มีคนสร้างหนังสั้นในจักรวาล Star Wars ชื่อ Greg the Stormtrooper ขึ้นมาด้วย AI ทั้งหมด และคุณภาพของมันก็ออกมาเจ๋งมาก ๆ จนน่าตกใจ

หรือมีคนเอาภาพนิ่งของ Supergirl ไปโยนใส่โปรแกรม แล้วสั่งให้เธอเต้น วิดีโอที่ได้ก็ดูสมจริงจนน่าทึ่ง

สิ่งนี้ได้เปลี่ยนโจทย์ไปโดยสิ้นเชิง มันไม่ใช่แค่การละเมิดลิขสิทธิ์ภาพนิ่งอีกต่อไป แต่เป็นการสั่นคลอนรากฐานของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งระบบ

ที่ผ่านมา สตูดิโอต้องอัดฉีดเงินมหาศาล หลายร้อยล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างหนังฟอร์มยักษ์หนึ่งเรื่อง

แต่ตอนนี้ แฟนคลับที่เข้าใจในตัวละครอย่างลึกซึ้ง สามารถใช้เงินเพียงน้อยนิด สร้างผลงานคุณภาพสูงออกมาแข่งได้อย่างง่ายดาย

นี่คือความจริงที่เจ็บปวดสำหรับสตูดิโอ ที่เคยผูกขาดการสร้างสรรค์เรื่องราวในจินตนาการมาตลอด

คำถามที่น่าคิดคือ… แล้วในทางกฎหมาย ใครกันแน่ที่ต้องรับผิดชอบ?

ประเด็นนี้มันมีความซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะแม้แต่สำนักงานลิขสิทธิ์ของสหรัฐฯ เองก็ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้

ตามหลักแล้ว ผลงานที่จะมีลิขสิทธิ์ได้ ต้องเกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์

แต่ภาพจาก AI มันเกิดจากการที่มนุษย์พิมพ์คำสั่งไม่กี่คำ แล้วให้ AI ไปประมวลผลต่อ แบบนี้จะนับเป็นผลงานของมนุษย์ได้หรือไม่?

และถ้าผลงานของ AI เองยังไม่มีลิขสิทธิ์ แล้วมันจะไปละเมิดลิขสิทธิ์ของคนอื่นได้อย่างไร?

มันเป็นภาวะ “เส้นผมบังภูเขา” ที่ทำให้นักกฎหมายต้องกุมขมับ

ฝั่ง Midjourney ก็สามารถเถียงได้ว่า ซอฟต์แวร์ของพวกเขาเป็นเพียงเครื่องมือเปล่าๆ การที่ผลลัพธ์ออกมาเป็นตัวละครของ Disney มันเป็นเพราะผู้ใช้งาน ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา

เรื่องราวจึงยิ่งซับซ้อนเข้าไปใหญ่ และดูเหมือนว่าคดีนี้จะต้องฝ่าฟันต่อสู้กันอีกยาวนานในชั้นศาล

แล้วทางออกของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร? อนาคตของโลกสร้างสรรค์กำลังจะไปในทิศทางไหน?

หากมองไปข้างหน้า เราอาจเห็นภาพอนาคตที่เป็นไปได้สองเส้นทาง ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เส้นทางแรก คือเส้นทางที่เหล่าพี่ใหญ่เป็นฝ่ายชนะ แต่ชัยชนะของพวกเขาไม่ใช่การทำให้ AI สูญหายไป เพราะพวกเขารู้ดีว่ามันเป็นสิ่งที่ฉุดไม่อยู่แล้ว

แต่จะเป็นการเข้า “ควบคุม” เทคโนโลยีนี้แทน

เราอาจจะได้เห็น “Marvel AI Generator” หรือ “Disney AI Creator” ที่เป็นทางการ ซึ่งถ้าใครอยากจะสร้างผลงานเกี่ยวกับจักรวาลของพวกเขา ก็ต้องมาใช้เครื่องมือและจ่ายค่าลิขสิทธิ์

ในโลกแบบนั้น ความคิดสร้างสรรค์จะยังคงอยู่ แต่จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าของลิขสิทธิ์เดิม เป็นการต่อลมหายใจให้กับโมเดลธุรกิจแบบเก่า

แต่อีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนในโลกเทคโนโลยีถวิลหา คือเส้นทางที่ AI กลายเป็นเครื่องมือปลดแอกความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง

ในโลกอุดมคตินั้น ผลงานจาก AI จะไม่มีใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ มันจะกลายเป็นพื้นที่อิสระที่ทุกคนสามารถเข้ามาต่อยอด จินตนาการ และรังสรรค์เรื่องราวได้อย่างไร้ขีดจำกัด

หากเป็นเช่นนั้น การแข่งขันในตลาดคอนเทนต์จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผลงานจะไม่ได้ถูกตัดสินที่งบการตลาด แต่จะวัดกันที่ “ความเจ๋ง” และ “ความเทพ” ของไอเดียล้วนๆ

ในโลกแบบนั้น สตูดิโอใหญ่จะไม่สามารถทำหนังภาคต่อแบบเดิมๆ ที่น่าเบื่อออกมาได้อีกต่อไป เพราะถ้าผลงานของพวกเขาไม่เข้าท่าพอ ก็อาจจะถูกผลงาน AI ของแฟนคลับที่ทำออกมาได้ดีกว่า “ถีบส่ง” จนตกกระป๋องไปเลยก็ได้

นี่คือสองทางแยกสำคัญ ที่จะขีดชะตาชีวิตของอุตสาหกรรมบันเทิงในอนาคต

เรื่องนี้บอกอะไรกับเรา?

การฟ้องร้องของ Disney ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่คดีลิขสิทธิ์ธรรมดาๆ แต่มันคือจุดปะทะครั้งสำคัญระหว่าง “โลกเก่า” และ “โลกใหม่”

มันแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีได้พัฒนาไปไกล จนสามารถสั่นคลอนโมเดลธุรกิจที่เคยแข็งแกร่งมานานหลายทศวรรษได้

ไม่ว่าผลลัพธ์ของคดีนี้จะออกมาเป็นอย่างไร โลกก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เพราะพลังในการ “สร้าง” ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในมือของคนไม่กี่กลุ่มอีกแล้ว แต่มันได้กระจายไปสู่มือของคนธรรมดาทั่วโลก

และนี่อาจเป็นสัญญาณเตือนครั้งสุดท้ายให้เหล่าพี่ใหญ่รู้ว่า ถึงเวลาที่ต้องปรับตัวครั้งใหญ่เสียที

เพราะหากพวกเขายังคงยึดติดกับความสำเร็จแบบเดิมๆ และไม่ยอมมองไปข้างหน้า

ก็อาจจะมีสักวันที่บัลลังก์ที่เคยครอบครอง ต้องพังทลายลง… ไม่ใช่เพราะคู่แข่งทางธุรกิจ

แต่เพราะพลังความคิดสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัด ที่ถูกปลดปล่อยออกมาโดยปัญญาประดิษฐ์ นั่นเอง

References : [hollywoodreporter,theverge,reuters,stablediffusionlitigation,forbes]