Geek Daily EP301 : ถอดรหัสกลยุทธ์ Meta เดินเกม 2 ทางพร้อมกัน ระหว่าง “คนคุม AI” กับ “AI คุมตัวเอง”

ถ้าพูดถึงสงคราม เราอาจจะนึกถึงการรบราฆ่าฟัน แต่สงครามที่ผมจะเล่าให้ฟังวันนี้ มันเป็นสงครามที่ต่อสู้กันด้วยข้อมูล ด้วยเงินทุนมหาศาล และด้วยมันสมองของคนที่เก่งที่สุดในโลก

เหล่าบรรดายักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Meta, Google, Amazon หรือแม้แต่ Apple ต่างก็กระโจนเข้าสู่สมรภูมินี้กันอย่างเต็มตัว เดิมพันกันด้วยอนาคตของบริษัทเลยทีเดียว

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yc3daejh

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4upaj8j7

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/y5gOfAGHkVM

ทำไม Apple ถึงหนีออกจากจีนไม่ได้? กับเกมการเมืองที่แพงที่สุดในโลกเทคโนโลยี

ต้องบอกว่าตัวเลข 3.63 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง คือค่าแรงของคนงานที่ประกอบ iPhone ในจีนปัจจุบัน เปรียบเทียบกับอเมริกาที่ได้เกือบ 17 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าเกือบห้าเท่าเลยทีเดียว

แต่การประกอบ iPhone รุ่นใหม่ใช้เวลาแค่ 11 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าต้นทุนแรงงานทั้งหมดสำหรับ iPhone 16 Pro คือแค่ 40 ดอลลาร์ หรือแค่ 4% ของราคาขายปลีก

ตัวเลขนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นมา ถ้า Apple จ่ายค่าแรงระดับอเมริกันแล้วผลักดันต้นทุนให้กับผู้บริโภค ราคา iPhone จะเพิ่มขึ้นแค่ 146 ดอลลาร์เท่านั้น น้อยกว่าค่าอัพเกรด storage ของหลายคนเสียอีก

แล้วทำไม Apple ถึงยังคงติดอยู่ในจีน ทำไมไม่ย้ายออกมาเมื่อได้รับประโยชน์จากการเป็นอิสระขนาดนั้น

เหตุการณ์ในเดือน พฤศจิกายน ปี 2022 แสดงให้เห็นความเสี่ยงที่ชัดเจน Apple สูญเสียเงินหนึ่งพันล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์ หลังจากนโยบาย COVID-0 ของจีนทำให้เกิดการประท้วงที่โรงงานสำคัญ

หากแต่ตัวเลข 146 ดอลลาร์ไม่ใช่ตัวเลขที่สำคัญ เพราะต้นทุนแรงงานไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้ Apple พึ่งพาจีนแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่คำว่า “ขนาด” และ “ความยืดหยุ่น” Apple ไม่ต้องการแค่ผลิต iPhone เพียงหนึ่งเครื่อง พวกเขาต้องการผลิต 590 เครื่องต่อนาที หรือ 35,000 เครื่องต่อชั่วโมง การผลิต 849,000 เครื่องต่อวัน และ 5.9 ล้านเครื่องต่อสัปดาห์ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

เพราะจากประเทศ 200 ประเทศบนโลก มีเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่สามารถผลิต iPhone ได้ในราคา ขนาด และมาตรฐานที่เข้มงวดแบบนี้

แม้ว่า Apple จะเริ่มผลิต iPhone ในอินเดียตั้งแต่ปี 2017 และภายในปี 2024 ผลิตได้ประมาณ 25 ล้านเครื่อง แต่การกระจายการผลิตไปยังอินเดียเกิดขึ้นช้ากว่าในจีนถึงสิบเท่า

ปัญหาแรกที่ทำให้เป็นเรื่องที่ยากที่จะย้ายจากจีนก็คือความต้องการที่ผันผวน เพราะ iPhone ขายได้เกือบสองเท่าระหว่าง เดือนกันยายน ถึงช่วง Christmas เมื่อเทียบกับช่วงอื่น ๆ เช่น ในเดือน เมษายน, พฤษภาคม และ มิถุนายน

CEO Tim Cook เกลียดการถือสินค้าคงคลัง เขาเรียกมันว่า “ความชั่วร้ายโดยพื้นฐาน” เปรียบเทียบกับธุรกิจนม หากผ่านวันหมดอายุ ก็จะมีปัญหาทันที

ในปี 2012 บริษัทวิจัย Gartner ประเมินว่าผลิตภัณฑ์อย่าง iPhone เฉลี่ยอยู่ในการครอบครองของบริษัท Apple เพียงแค่ห้าวันเท่านั้น ซึ่งนับจากเวลาที่บินออกจากเครื่องบิน 747 ในจีนกลางจนถึงเวลาที่ขายให้กับลูกค้าใน Pittsburgh ใช้เวลาแค่ห้าวัน และตัวเลขนี้น่าจะดีขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาภายใต้การนำของ Cook

เพื่อรองรับความต้องการที่แปรผันสูงโดยไม่ถือสินค้าคงคลัง พันธมิตรการผลิตอย่าง Foxconn ต้องเพิ่มแรงงานเป็นสองเท่า จ้างคนงานเพิ่มถึงหนึ่งล้านคนในช่วงเตรียมตัวก่อนเดือนกันยายน แล้วปลดพวกเขาอย่างรวดเร็วหลังปีใหม่

ตามข้อมูลของ Patrick McGee ในหนังสือ “Apple and China” Foxconn เคยจ้างงานคนถึง 1.7 ล้านคน ในขณะที่ Walmart นายจ้างเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในโลกมี 2.1 ล้านคน

ลองจินตนาการดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหาก Walmart ปลดพนักงานครึ่งหนึ่งทุกเดือนธันวาคม โดยไม่มีเงินชดเชย สำนักงานว่างงานจะล้นไปด้วยคนตกงาน

ครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับแรงงานเหล่านี้จะตกอยู่ในสภาพความยากจนอย่างกะทันหันทุกปี แต่นั่นไม่ใช่ในจีน นี่คือจุดที่ทำให้จีนพิเศษแบบสุดๆ

พลเมืองจีนถูกผูกติดทางกฎหมายกับภูมิภาคเดียวกับพ่อแม่ของพวกเขา แต่ในช่วงทศวรรษ 1980 ทางการจีนผ่อนปรนข้อกำหนดเหล่านี้ อนุญาตให้คนเดินทางไปทั่วประเทศได้อย่างอิสระ

แต่มีเงื่อนไขก็คือ คุณสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ แต่คุณยังคงได้รับบริการของรัฐเฉพาะที่ครอบครัวของคุณลงทะเบียนอย่างเป็นทางการเท่านั้นซึ่งก็คือที่บ้านเกินของตนนั่นเอง

หากคุณเกิดในพื้นที่ชนบทของมณฑล Gansu ซึ่งมี GDP ต่อหัวเพียง 7,000 ดอลลาร์ ประมาณเท่ากับ Libya รัฐบาลอนุญาติให้คุณไปทำงานในโรงงานนอกปักกิ่งที่มี GDP ต่อหัวสูงกว่าสี่เท่า

แต่จะไม่อนุญาตให้คุณใช้โรงพยาบาล ศูนย์เด็กเล็ก หรือโรงเรียน ความแตกต่างของค่าจ้างอันมากโขระหว่างพื้นที่ชนบทและเมืองได้ผลักดันแรงงานย้ายไปยังโรงงานในเมืองใหญ่ ๆ

สิ่งที่สำคัญกว่ามากสำหรับ Apple คือความยืดหยุ่นอย่างมหาศาล ชนชั้นล่างของจีนประมาณ 300 ล้านคนหรือมากกว่านั้นของแรงงานเหล่านี้มีความพร้อมอยู่เสมอ

ทำให้ง่ายต่อการจ้างและง่ายต่อการไล่ออก สำหรับ Foxconn งานส่วนใหญ่ล้วนเป็นงานที่น่าเบื่อ กิจวัตรที่โหดร้าย กะ 12 ชั่วโมง และสภาพแวดล้อมที่น่าเศร้า

Foxconn ไม่ต้องการให้คนงานพึงพอใจเพราะไม่ต้องการให้พวกเขาอยู่นาน ๆ งานเหล่านี้ถูกออกแบบให้ตัดทิ้งได้แบบทันที พนักงานเฉลี่ยลาออกหลังจากทำงานได้เพียง 68 วัน

ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาก็ต้องการเจอลูก ซึ่งฝากไว้กับปู่ย่าตายายในบ้านเกิดเกือบตลอดเวลา ไม่ต้องพูดถึงว่าในที่สุดพวกเขาก็จะต้องการการดูแลทางการแพทย์เมื่อเจ็บป่วย

แหล่งของแรงงานราคาถูกอีกแหล่งหนึ่งคือนักเรียน เมื่อ Foxconn ต้องการคนเพิ่ม รัฐบาลท้องถิ่นจะขนนักเรียนจากโรงเรียนอาชีวศึกษามาฝึกงาน 2-6 เดือน ซึ่งเป็นข้อกำหนดในการจบการศึกษา

แล้วทำไมจีนถึงช่วยบริษัทเอกชนอเมริกัน คำตอบเกี่ยวข้องกับตัวเลขตั๋วเครื่องบิน 50 ที่นั่งชั้นธุรกิจเส้นทางระหว่าง San Francisco สู่ Shanghai ที่ Apple จองจาก United Airlines

ที่นั่ง 50 ที่รายวันนั้น แต่ละที่มีมูลค่าประมาณ 4,000 ดอลลาร์แสดงให้เห็นระดับการมีส่วนร่วมและการลงทุนของบริษัท ในขณะที่บริษัทส่วนใหญ่ให้บริษัทอื่นในจีนผลิต แล้วแทบไม่มาสนใจใยดี

แต่ Apple ปฏิเสธที่จะปล่อยให้ชะตากรรมของผลิตภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดอยู่ในมือของคนอื่น เพื่อรักษาการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด และตรงกับกำหนดเวลาที่เข้มงวด

Apple ได้ส่งวิศวกรเดินทางประมาณ 20,000 ครั้งต่อปีไปยัง Shanghai เพียงแห่งเดียว ณ ปี 2019 Apple เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ United Airline โดยใช้จ่ายเงินไปกว่า 150 ล้านดอลลาร์ต่อปี

ปกติ Apple เป็นหนึ่งในบริษัทที่เก็บความลับมากที่สุดบนโลก แต่เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการผลิตที่ Apple ซีเรียสมาก เพราะไม่ต้องการให้ Foxconn มีอำนาจมากจนเกินไป

ระหว่างปี 2007 ถึง 2012 อัตรากำไรของ Apple เติบโตจากประมาณ 20% เป็นเกือบ 35% ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ต้องขอบคุณ Foxconn แต่แม้จะเป็นผู้ทำให้ Apple กำไรพุ่งกระฉูด แต่อัตรากำไรของ Foxconn กลับลดลง

โดยหลังจากความสำเร็จอันน่าทึ่งของ iPhone ในปี 2007 Foxconn เริ่มหาสถานที่ใหม่เพื่อเสริมโรงงานใน Shenzhen ในเวลานั้น ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าพวกเขาจะเลือกเมื่องที่ยากจน ชนบท และห่างไกลของจีนอย่างเจิ้งโจว

เมืองที่มีสนามบินรันเวย์เดียวที่ล้อมรอบด้วยฟาร์มครอบครัวและหมู่บ้านเล็กๆ คำถามก็คือ ภูมิภาคเล็กๆ แห่งนี้สามารถรองรับการมาถึงอย่างกะทันหันของคนงาน 300,000 คนได้อย่างไร

Foxconn ลงนามสัญญากับรัฐบาลเจิ้งโจว ในเดือนกรกฎาคม 2010 รัฐบาลท้องถิ่นจ้างคนงาน 2,000 คนทันทีเพื่อทำงานสามกะ 24-7 เพื่อสร้างโรงงานของ Apple ให้เสร็จ

ข้าราชการท้องถิ่นรีบรื้อถอนบริษัทที่ขวางเส้นทางการก่อสร้างโรงงาน Apple และแม้กระทั่งหยุดการก่อสร้างรถไฟใต้ดินของเมืองเพื่อย้ายอุปกรณ์ไปยังโรงงาน ภายในเดือนสิงหาคม เพียงหนึ่งเดือนหลังจากนั้น Foxconn เริ่มดำเนินการได้แทบจะทันที

แต่ความช่วยเหลือของรัฐบาลไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น พวกเขายังสรรหาคนงาน ยกเลิกภาษีองค์กร และกำหนดให้พื้นที่ทั้งหมดเป็นเขตพิเศษที่ปลอดจากภาษีศุลกากร แถมรัฐบาลเจิ้งโจวได้สร้างสนามบินใหม่ที่ทันสมัยขนาดยักษ์ไว้ข้างๆ โรงงาน Apple อีกด้วย

ดังที่ Tim Cook เคยกล่าวไว้ “จีนหยุดเป็นประเทศที่มีต้นทุนแรงงานต่ำมาหลายปีแล้ว” สิ่งที่ทำให้ Apple อยู่ในจีนไม่ใช่เรื่องต้นทุนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความสอดคล้องกันระหว่างความต้องการทางธุรกิจของ Apple และเป้าหมายทางเศรษฐกิจของจีน

อินเดียสามารถเสนอแรงงานจำนวนมากกว่าและถูกกว่า อเมริกาสามารถเสนอเครดิตภาษี แต่มีเพียงจีนเท่านั้น ที่ตั้งแต่บุคคลระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์ ไปจนถึงข้าราชการท้องถิ่นระดับล่างสุด สามารถช่วยเหลือบริษัท Apple ได้ในทุกขั้นตอน

แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร แม้ว่า Apple จะพยายามกระจายการผลิตไปยังอินเดียและเวียดนาม และในปี 2024 อินเดียผลิต iPhone ได้ประมาณ 25 ล้านเครื่อง แต่ก็ยังคิดเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เมื่อเทียบกับจีน

ในช่วงที่ผ่านมา Apple พยายามส่งสัญญาณว่ากำลังลดการพึ่งพาจีน การส่งออก iPhone ที่ผลิตในอินเดียเพิ่มขึ้นหนึ่งในสามเป็นเกือบ 6 พันล้านดอลลาร์

แต่ตามที่ Patrick McGee ผู้เขียนหนังสือ “Apple in China” ระบุไว้ว่า หาก iPhone รุ่นต่อไปที่คุณซื้อมีป้าย “Made in India” บนกล่อง โทรศัพท์เครื่องนั้นก็ไม่ได้พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานที่มีจีนเป็นศูนย์กลางน้อยไปกว่า iPhone เครื่องอื่นๆ เลย

หากมีปัญหาเกิดขึ้นในจีน iPhone ก็ไม่สามารถที่จะผลิตที่อินเดียได้ เพราะการประกอบชิ้นส่วนย่อย ๆ ล้วนเกิดขึ้นในจีนแทบจะทั้งสิ้น

สถานการณ์ในปัจจุบันยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อ iPhone City ในเจิ้งโจว เริ่มเงียบลง เนื่องจาก Apple สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนให้กับแบรนด์จีนอย่าง Huawei และ Xiaomi และ Foxconn ย้ายการผลิตไปต่างประเทศ

ภายในโรงงาน Foxconn ที่เจิ้งโจว ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 5.6 ตารางกิโลเมตร ประมาณหนึ่งในสิบของ Manhattan และจ้างงานคนถึง 200,000 คน

พวกเขาต้องทำงานในห้องที่ไม่มีหน้าต่างที่มีกลิ่นคลอรีน สวมชุดป้องกันไฟฟ้าสถิตและหน้ากาก หากต้องการไปห้องน้ำ ต้องชดเชยเวลาที่เสียไป สภาพการทำงานที่โหดเหี้ยมแต่ต้องทน

สภาพการทำงานที่หนักหน่วงเป็นสิ่งที่ตั้งใจออกแบบมา เพื่อให้คนงานไม่อยากอยู่นาน และสามารถเปลี่ยนแรงงานได้ตามต้องการ เป็นระบบที่โครตโหดแต่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง

ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวของ Apple และจีนไม่ใช่เพียงเรื่องของต้นทุนแรงงานหรือการเมือง แต่เป็นเรื่องของระบบที่ซับซ้อนที่สร้างขึ้นมาในช่วงสองทศวรรษ ระบบที่ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์และต่างก็พึ่งพาซึ่งกันและกัน

จีนได้เทคโนโลยี การจ้างงาน และการพัฒนาอุตสาหกรรม ขณะที่ Apple ได้ความสามารถในการผลิตที่ไม่มีใครเทียบได้ ความยืดหยุ่นที่จำเป็น และต้นทุนที่แข่งขันได้

การที่ Apple จะสามารถหลุดออกจากการพึ่งพาจีนได้อย่างสมบูรณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องของเวลาเพียงแค่สองสามปี แต่อาจต้องใช้เวลาทั้งทศวรรษ และต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งในด้านเทคโนโลยี นโยบายรัฐบาล และพฤติกรรมผู้บริโภค

สำหรับตอนนี้ แม้จะมีความตึงเครียดทางการเมือง ภาษีที่เพิ่มขึ้น และความพยายามกระจายการผลิต Apple และจีนยังคงผูกพันกันอย่างแนบแน่น เพราะทั้งสองฝ่ายรู้ดีว่า การแยกทางอย่างกะทันหันจะสร้างความเสียหายให้กับทั้งคู่

นี่คือความจริงเบื้องหลังที่ซับซ้อนกว่าตัวเลข 146 ดอลลาร์ มันไม่ใช่เพียงเรื่องของเงิน แต่เป็นเรื่องของระบบ ความสัมพันธ์ และการพึ่งพาซึ่งกันและกันที่สร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน

ความเจ็บปวดของการแยกทางจะไม่ใช่แค่ตัวเลขในงบการเงิน แต่จะเป็นการสั่นคลอนทั้งระบบเศรษฐกิจโลก ทั้ง Apple และจีนต่างก็รู้ดีว่าพวกเขาต้องการกันและกันมากแค่ไหน

ในโลกที่การเมืองและเศรษฐกิจผสมผสานกันอย่างซับซ้อน ความสัมพันธ์แบบนี้แสดงให้เห็นว่าแม้จะมีความขัดแย้งทางการเมือง แต่ประโยชน์ทางเศรษฐกิจยังคงมีพลังที่แข็งแกร่งพอที่จะผูกมัดสองมหาอำนาจเข้าด้วยกัน

เรื่องราวของ Apple และจีนจึงเป็นมากกว่าการผลิต iPhone เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับพลังของการพึ่งพาทางเศรษฐกิจ ความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานสมัยใหม่ และความท้าทายในการแยกเศรษฐกิจออกจากการเมือง

References: [restofworld.org, cnbc, 9to5mac,PolyMatter]

การสังหารหมู่งานสาย STEM นักเศรษฐศาสตร์โนเบลเตือน ยุคปฏิวัติแรงงานครั้งใหม่ คุณพร้อมแล้วหรือยัง?

ต้องบอกว่ากลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็น “พี่ใหญ่” ในโลกของการทำงาน เป็นกลุ่มคนที่ใครๆ ก็หมายปองและถวิลหาอยากจะเป็น นั่นคือเหล่าผู้คนในสายงาน STEM

STEM ก็คือกลุ่มอาชีพที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (Science), เทคโนโลยี (Technology), วิศวกรรม (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) นั่นเอง

ในอดีต คนกลุ่มนี้แทบจะไม่เคยต้องกังวลเรื่องความมั่นคงในอาชีพเลย พวกเขาคือผู้รังสรรค์นวัตกรรม คือคนที่ขีดเขียนอนาคต เป็นมันสมองที่อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีเจ๋งๆ ที่เราใช้กัน

ในขณะที่อาชีพอื่นเริ่มร้อนๆ หนาวๆ กับการมาของหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ คนในแวดวง STEM กลับรู้สึกชิลๆ เพราะคิดว่า “ก็เรานี่แหละคนสร้าง AI แล้วมันจะมาแย่งงานเราได้ยังไง?”

แต่ดูเหมือนว่าความคิดนั้นกำลังจะแปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว

เพราะตอนนี้ ความเชื่อมั่นของคนกลุ่มนี้กำลังสั่นคลอนอย่างหนัก และความกังวลก็เริ่มคืบคลานเข้ามาในใจของพวกเขาอย่างช้าๆ

เรื่องราวนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อบริษัทจัดหางานด้านเทคโนโลยีอย่าง Sthree ได้ปล่อยผลการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ชื่อว่า “How the STEM World Evolves” ออกมา

ผลสำรวจนี้เจาะลึกเข้าไปในความคิดของคนทำงานสาย STEM กว่าสองพันคนทั่วโลก และสิ่งที่ค้นพบก็น่าสนใจมากจนทำเอาหลายคนตกใจ

ตัวเลขมันฟ้องว่า 34% ของคนในสายงาน STEM ทั้งหมด เริ่มกังวลว่า AI จะเข้ามาแย่งงานของพวกเขาไปจนหมดสิ้น

แต่ที่พีคไปกว่านั้นคือ เมื่อมองไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วงการนี้ ตัวเลขความกังวลกลับพุ่งไปถึง 44% เลยทีเดียว

มันกลายเป็นว่าคนรุ่นใหม่ที่ควรจะคุ้นเคยกับเทคโนโลยีมากกว่า กลับเป็นฝ่ายที่หวาดกลัวมากที่สุด

เรื่องนี้มันกลับตาลปัตรจากที่เราเคยคิดกันว่าคนรุ่นเก่าต่างหากที่น่าจะกลัวเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ความจริงกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

เหตุผลก็เพราะว่าคนรุ่นใหม่เหล่านี้ต้องเผชิญหน้าและอยู่ร่วมกับ AI ไปอีกหลายสิบปีในเส้นทางอาชีพของพวกเขา ความไม่แน่นอนในอนาคตจึงถาโถมเข้าใส่พวกเขาแบบจัดเต็ม

ความกังวลนี้ไม่ใช่เรื่องมโนไปเอง เพราะมีเสียงยืนยันจากบุคคลระดับโลกอย่าง Christopher Pissarides ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จาก London School of Economics ผู้เคยคว้ารางวัล Nobel Prize มาแล้วในปี 2010

เขาออกมาพูดแบบตรงไปตรงมา ชนิดที่ไม่ต้องอ้อมค้อมเลยว่า คนทำงานสาย STEM นั่นแหละที่ควรจะกังวลเรื่อง AI มากที่สุด

Pissarides อธิบายแนวคิดของเขาว่า ทักษะที่จำเป็นมากๆ ในตอนนี้ เช่น การรวบรวมข้อมูล การจัดระเบียบข้อมูล และการพัฒนา AI ให้ใช้งานได้จริง กำลังเป็นเหมือน “เมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างตัวเอง”

พูดง่ายๆ ก็คือ คนที่กำลังปลุกปั้นและสร้าง AI ขึ้นมาในวันนี้ ก็คือคนที่กำลังเสกอาวุธที่จะย้อนกลับมาทำให้ทักษะของตัวเองนั้นล้าสมัยและไร้ค่าในอนาคต

เบื้องหลังของสถานการณ์นี้มีปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ บริษัทใหญ่ๆ เริ่มมองเห็นศักยภาพจากการลงทุนใน AI แทนแรงงานมนุษย์

แม้ว่าตอนนี้จะยังเป็นการลงทุนเพียงน้อยนิด แต่พวกเขากำลังวางแผนระยะยาวที่จะค่อยๆ ลดการพึ่งพามนุษย์ลงเมื่อ AI ที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้นเก่งกาจและทรงพลังมากพอ

ผลการศึกษาจากยักษ์ใหญ่ทางการเงินอย่าง Goldman Sachs ยิ่งตอกย้ำภาพนี้ให้ชัดเจนขึ้นไปอีก โดยคาดการณ์ว่า AI จะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานในปัจจุบันได้ถึง 25%

ขณะที่อีกประมาณ 65% ของคนทำงาน ก็ต้องเตรียมใจไว้เลยว่ารูปแบบการทำงานของพวกเขาจะถูก AI เข้ามาเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน

ไม่ใช่ทุกสายงานใน STEM ที่จะโดนผลกระทบเท่ากัน เหมือนกับพายุที่ไม่ได้พัดถล่มทุกพื้นที่ด้วยความรุนแรงเท่ากัน

กลุ่มที่ดูจะยิ้มออกมากที่สุดคือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพราะงานของพวกเขายังต้องอาศัยการสัมผัส การสื่อสาร และความเข้าอกเข้าใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ยังทำได้ไม่ดีนัก

แต่สำหรับสายเทคโนโลยีจ๋าๆ อย่าง Software Development, Web Development, Data Science หรือการ Coding กลับต้องเจอศึกหนัก

เพราะงานเหล่านี้เกี่ยวข้องกับตัวเลขและข้อมูลมหาศาล ซึ่งเป็นอาหารโปรดของ AI ที่สามารถประมวลผลได้รวดเร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์หลายเท่าตัว

เราได้เห็นตัวอย่างจริงที่เกิดขึ้นแล้ว อย่างบริษัทแอปสอนภาษาชื่อดัง Duolingo ที่ CEO ออกมาประกาศกร้าวเมื่อเดือนเมษายน 2025 ว่าบริษัทจะเดินหน้าสู่การเป็น “AI-first” อย่างเต็มตัว

นั่นหมายความว่างานหลายอย่างที่เคยต้องจ้างมนุษย์ทำ ตอนนี้ถูกส่งต่อไปให้ AI จัดการแทนเรียบร้อยแล้ว เป็นการถีบส่งพนักงานเดิมแบบไม่ทันตั้งตัว

หรือเรื่องเล่าสุดเจ็บปวดของนักเขียนคนหนึ่งใน Tech Startup ที่ถูกเลิกจ้างแบบไร้คำอธิบาย แต่ภายหลังกลับไปเจอข้อความใน Slack ที่ผู้จัดการเรียกเธอว่า “Olivia/ChatGPT” เหมือนจะบอกเป็นนัยว่า ChatGPT สามารถทำงานแทนเธอได้ในราคาที่ถูกกว่ามาก

เรื่องนี้ชี้ให้เห็นมุมมืดของวงการเทคโนโลยีที่บางครั้งก็โหดเหี้ยมและไร้ความปรานีอย่างไม่น่าเชื่อ

แต่ท่ามกลางข่าวร้ายที่ถาโถมเข้ามา ก็ยังมีแสงสว่างรำไรให้เราได้ใจชื้นกันอยู่บ้าง ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้สอนเราว่า ทุกครั้งที่มีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาทำลายล้างงานเก่า มันก็จะสร้างงานใหม่ๆ ขึ้นมาทดแทนเสมอ

ข้อมูลจาก World Economic Forum คาดการณ์ว่า แม้ AI และหุ่นยนต์จะทำให้ 85 ล้านตำแหน่งงานหายไปภายในปี 2025 แต่ในขณะเดียวกัน มันก็จะรังสรรค์งานใหม่ๆ ขึ้นมาถึง 97 ล้านตำแหน่ง

งานใหม่เหล่านี้จะอยู่ในแวดวง AI Development, Data Science และที่สำคัญคืองานที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI

แต่ก็มีเงื่อนไขสำคัญ เพราะ 77% ของงาน AI ใหม่ๆ เหล่านี้ ต้องการวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโท และอีก 18% ต้องการถึงระดับปริญญาเอกเลยทีเดียว

สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ ได้เปลี่ยนทัศนคติของคนทำงานสาย STEM ใหม่ทั้งหมด พวกเขาไม่ได้มองแค่เรื่องเงินเดือนที่สูง ๆ เหมือนเดิมอีกต่อไป

ผลสำรวจของ Sthree พบว่า 53% ของคนกลุ่มนี้ ให้ความสำคัญกับ “ความมั่นคงในงาน” มากกว่าการขึ้นเงินเดือนเสียอีก

และกว่า 63% มองว่า “ความยืดหยุ่นในการทำงาน” เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อเส้นทางอาชีพของพวกเขาอย่างมาก

ที่น่าสนใจที่สุดคือ 81% ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่า “การทำงานที่มีเป้าหมาย” และสร้างคุณค่า เป็นหัวใจหลักในการเลือกอาชีพของพวกเขาในยุคนี้

นั่นแสดงให้เห็นว่า คนสาย STEM ของแท้ในยุคนี้ เข้าใจดีว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป และการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องคือหนทางเดียวที่จะอยู่รอด

กว่า 50% ยินดีที่จะเลือกโปรเจกต์ที่ช่วยพัฒนาทักษะของพวกเขา แม้จะได้รับเงินเดือนน้อยกว่าก็ตาม เพราะพวกเขารู้ดีว่าถ้าไม่ Upskill ตัวเอง ก็อาจจะกู่ไม่กลับและดับสนิทไปจากวงการนี้ได้เลย

นี่คือสัญญาณที่บอกว่า บริษัทต่างๆ ต้องเปลี่ยนวิธีคิดเช่นกัน การจะดึงดูดคนเก่งๆ ที่เป็นที่หมายปองไว้ให้อยู่กับองค์กรต่อไปได้ ไม่ใช่แค่การอัดฉีดเงินเดือนเพียงอย่างเดียว

บริษัทต้องลงทุนในการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของพนักงาน เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงที่พวกเขาสามารถเติบโตและสยายปีกไปพร้อมกับองค์กรได้

ตัวอย่างที่เจ๋งมาก ๆ คือ Amazon ที่ประกาศทุ่มงบกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ ในโครงการ “Upskilling 2025” เพื่อฝึกอบรมพนักงานกว่า 300,000 คน ให้มีทักษะพร้อมสำหรับงานด้านเทคนิคในอนาคต

แล้วเราควรจะรับมือกับคลื่นการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร?

สำหรับคนที่ทำงานในสาย STEM อยู่แล้ว คำแนะนำไม่ใช่การตั้งป้อมสู้กับ AI แต่คือการเรียนรู้ที่จะใช้มันให้เก่งกว่าคนอื่น

ลองคิดดูสิว่ามันจะเจ๋งแค่ไหน ถ้าเราสามารถใช้ ChatGPT ช่วยร่างโค้ด หรือใช้ GitHub Copilot ช่วยเขียนโปรแกรม ทำให้เราทำงานได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

และการพัฒนาทักษะที่ AI ยังทำได้ไม่ดีพอ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงกลยุทธ์ และที่สำคัญที่สุดคือทักษะการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์

สำหรับน้องๆ รุ่นใหม่ที่กำลังเลือกเส้นทางชีวิต Christopher Pissarides แนะนำว่าอย่ามองข้ามทักษะที่เกี่ยวข้องกับความเข้าอกเข้าใจ (Empathetic Skills) และความคิดสร้างสรรค์

งานที่ต้องใช้การดูแลเอาใจใส่ การสื่อสาร และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี จะยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดแรงงาน และเป็นงานที่ AI ไม่สามารถทำแทนได้อย่างสมบูรณ์

มองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มนุษยชาติเจอกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบนี้

การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอดีตเคยทำให้คนกลัวว่าจะตกงานกันถ้วนหน้า แต่สุดท้ายมันก็สร้างงานใหม่ๆ และอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนขึ้นมามากมาย

ยุคอินเทอร์เน็ตก็เช่นกัน ตอนที่มันเข้ามาใหม่ๆ ผู้คนต่างพากันหวาดกลัวว่าร้านค้าจะเจ๊ง พนักงานธนาคารจะตกงาน

แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือการถือกำเนิดของ E-commerce, Digital Marketing และอาชีพอีกนับไม่ถ้วน ที่สร้างโอกาสให้คนธรรมดาสามารถก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้

AI ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น มันอาจจะทำให้บางอาชีพต้องจบเห่และมลายหายไปหมดสิ้น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็จะเปิดประตูสู่โลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาสที่เรายังจินตนาการไม่ถึง

กุญแจสำคัญไม่ได้อยู่ที่การต่อต้านหรือหลีกหนี แต่คือการปรับตัว เรียนรู้ และเปิดใจยอมรับ

อนาคตของการทำงานไม่ได้ถูกขีดชะตาไว้ให้เราต้องพ่ายแพ้ แต่ถูกขีดเขียนขึ้นเพื่อให้เราได้แสดงความสามารถในการปรับตัวและความเป็นมนุษย์ของเราออกมา

เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากเครื่องจักร ไม่ใช่ความสามารถในการประมวลผลข้อมูล แต่คือหัวใจ ความเข้าใจในเพื่อนมนุษย์ และจินตนาการที่ไร้ขีดจำกัด

และนั่นคือความสามารถที่แท้จริง ที่จะทำให้เราไม่เพียงแค่อยู่รอด แต่จะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างสง่างามในยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึง.

References: [bloomberg, lse.ac.uk, sthree, taipeitimes, specialiststaffinggroup]

Geek Daily EP300 : Siri 2.0 จากผู้ช่วยที่ถูกลืม สู่ศูนย์กลางจักรวาล Apple

วันนี้จะมาชวนคุยเจาะลึกเรื่องราวที่เชื่อว่าสาวก Apple และคนที่ติดตามวงการเทคโนโลยีทั่วโลกต่างก็จับตามองกันอยู่ นั่นก็คือเรื่องของ Siri ผู้ช่วยอัจฉริยะที่เคยเป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งนวัตกรรมของ Apple แต่ช่วงหลัง ๆ กลับดูเงียบเหงาไป จนหลายคนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า “เกิดอะไรขึ้นกับ Siri?” ทำไมในยุคที่ AI กำลังพุ่งทะยานแบบนี้ ผู้ช่วยที่เคยล้ำที่สุดกลับดูเหมือนจะโดนคู่แข่งทิ้งห่างไปหลายก้าว

เรื่องมันเริ่มร้อนแรงขึ้นมาหลังจากที่ Apple ประกาศในงานใหญ่ว่าจะอัปเกรด Siri ให้ฉลาดล้ำขึ้นไปอีกขั้น แต่แล้ว…ก็เงียบหายไป ปล่อยให้พวกเรารอกันเก้อเลยทีเดียว ความสงสัยทั้งหมดนี้แหละครับ คือจุดเริ่มต้นของวิดีโอในวันนี้ เพราะล่าสุด มีบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจมาก ๆ ของสองผู้บริหารระดับสูงจาก Apple นั่นคือ Craig Federighi รองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ และ Greg “Joz” Jozwiak รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดทั่วโลก พวกเขาออกมาพูดถึงประเด็นนี้โดยตรงเลยว่าทำไม Siri ที่เราคาดหวังถึงยังมาไม่ถึง และอนาคตของ AI ในจักรวาลของ Apple จะเป็นไปในทิศทางไหน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/bdz7bb54

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4b98akx2

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2tcj99rv

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/m2kEjFaLsNk