Geek Story EP406 : TCL โค่น LG ได้อย่างไร? เรื่องจริงแบรนด์โนเนมสู่อันดับ 2 ของโลก

ถ้าผมถามว่าแบรนด์ทีวีที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือใคร? หลายคนคงตอบได้ทันทีว่า Samsung… แล้วถ้าผมถามต่อว่า อันดับสองล่ะ คือใคร?

หลายคนอาจจะนึกถึง LG หรือ Sony ใช่ไหมครับ… แต่ถ้าผมบอกว่า ทั้งสองแบรนด์นี้ ถูกโค่นบัลลังก์อันดับสองไปแล้ว โดยบริษัทจีนที่เมื่อ 10 กว่าปีก่อน แทบไม่มีใครในตลาดโลกเคยได้ยินชื่อ… คุณจะเชื่อไหมครับ?

วันนี้ เราจะมาพูดถึงเรื่องราวของ TCL (ทีซีแอล) แบรนด์ที่ใช้เวลาเพียงทศวรรษเดียว พลิกเกมจากม้านอกสายตา กลายมาเป็นผู้ผลิตทีวีรายใหญ่อันดับสองของโลก แซงหน้า LG อย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และมันไม่ได้มีดีแค่เรื่อง “ราคาถูก” อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่มันคือมหากาพย์การวางกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เฉียบคม การต่อสู้ในสงครามราคาที่ดุเดือด และการเดิมพันครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมทีวีไปตลอดกาล

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/4rm7ba9w

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4mkaaxf8

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/yc3cjr8v

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/cIt-CYI9kq0

Geek Story EP405 : ทำไม Samsung ถึงผลิตชิปสู้ TSMC ไม่ได้? กับเหตุผลที่การโฟกัสเรื่องเดียว ถึงชนะการทำทุกอย่าง

เคยสงสัยไหมครับว่า ชิปที่อยู่ใน iPhone, การ์ดจอ NVIDIA รุ่นล่าสุด หรือแม้กระทั่งในคอมพิวเตอร์ที่ฉลาดที่สุดในโลก มันถูกสร้างขึ้นที่ไหน?

ลองนึกภาพตามนะครับ… โรงงานไฮเทคขนาดมหึมาแห่งหนึ่งในไต้หวัน ที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด โรงงานแห่งนี้ล้ำสมัยมากซะจนบริษัทที่มีมูลค่าหลายล้านล้านบาทอย่าง Apple หรือ NVIDIA ยังต้องยอมเข้าคิวเพื่อขอใช้บริการ

ในขณะเดียวกัน ลองนึกภาพบริษัทที่เราทุกคนรู้จักดีอย่าง Samsung… ยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ที่ผลิตทุกอย่างตั้งแต่ทีวี ตู้เย็น ไปจนถึงสมาร์ทโฟนที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่กลับต้องยืนมองคู่แข่งจากอีกฟากฝั่งช่องแคบ กวาดออเดอร์ชิปที่ล้ำที่สุดในโลกไปกว่า 90%

มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมบริษัทยักษ์ใหญ่ที่คนทั้งโลกรู้จักอย่าง Samsung ถึงเอาชนะบริษัทที่คนส่วนใหญ่แทบไม่เคยได้ยินชื่ออย่าง TSMC ไม่ได้?

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/5n8tsp3e

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/476twby4

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4jpkjfr2

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/b68pO6PaIcg

เกิดอะไรขึ้นกับ Palm? เรื่องราวการล่มสลายของยักษ์ใหญ่แห่งวงการ PDA ที่มาก่อนกาล

รู้หรือไม่ว่า ก่อนที่โลกจะมี iPhone และสมาร์ทโฟนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เคยมีบริษัทหนึ่งที่เกือบจะได้ครองโลกของอุปกรณ์พกพามาก่อน

บริษัทนั้นมีชื่อว่า Palm

เรื่องราวของ Palm เป็นเหมือนรถไฟเหาะ มีทั้งจุดสูงสุดที่น่าทึ่ง และจุดต่ำสุดที่น่าใจหาย มันเป็นเรื่องของการมีวิสัยทัศน์ที่มาก่อนกาล แต่กลับต้องพ่ายแพ้ในสงครามที่ตัวเองเป็นคนเริ่มต้น

และเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันกับชายผู้สร้าง iPod และนักบาสเกตบอลชื่อดังอย่าง Steph Curry อีกด้วย

แล้วเรื่องราวทั้งหมดนี้ มันเป็นมาอย่างไร?

ย้อนกลับไปในปี 1992 Jeff Hawkins นักประสาทวิทยาและผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ ได้ก่อตั้งบริษัท Palm ขึ้นมาพร้อมกับเพื่อนอีกสองสามคน

วิสัยทัศน์ของ Hawkins ในตอนนั้นชัดเจนมาก เขาเชื่อว่าอนาคตของการใช้คอมพิวเตอร์ไม่ได้อยู่บนโต๊ะทำงาน แต่อยู่ในมือของเรา

ในยุคนั้น อุปกรณ์พกพาที่ใกล้เคียงที่สุดคือสิ่งที่เรียกว่า PDA หรือ Personal Digital Assistant ซึ่งเปรียบเสมือนสมุดออร์แกไนเซอร์ดิจิทัล

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ Hawkins ไม่ได้มองว่าคู่แข่งของเขาคือบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่

คู่แข่งที่แท้จริงของเขาคือ “กระดาษ”

เขาต้องการสร้างอุปกรณ์ที่จะมาแทนที่สมุดจด ปฏิทิน และสมุดแพลนเนอร์กระดาษที่ทุกคนพกติดตัวกันอยู่

Palm เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ พวกเขาพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับ PDA ให้กับบริษัทอื่น หนึ่งในนั้นคือ Casio

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญครั้งแรกของพวกเขาคือซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า “Graffiti”

Graffiti คือนวัตกรรมที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเขียนตัวอักษรด้วยลายมือลงบนหน้าจอ แล้วซอฟต์แวร์จะแปลงมันเป็นตัวพิมพ์ดิจิทัลได้ทันที

นี่คือสิ่งที่ปฏิวัติวิธีการป้อนข้อมูลในยุคนั้น และมันก็ทำให้ชื่อของ Palm เริ่มเป็นที่รู้จัก

ต่อมาในปี 1995 บริษัท US Robotics ได้เข้ามาซื้อกิจการ Palm และนี่คือจุดที่ทำให้ Palm ได้มีโอกาสสร้างฮาร์ดแวร์ของตัวเองเป็นครั้งแรก

ผลิตภัณฑ์ที่แจ้งเกิดให้กับพวกเขาอย่างแท้จริงคือ “Pilot 1000” และ “Pilot 5000”

ความสำเร็จของ Pilot ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันเกิดจากหลักการ 4 ข้อที่ Hawkins และทีมงานยึดมั่นมาตลอด

หนึ่งคือ ขนาดต้องเล็กพอที่จะใส่ในกระเป๋าเสื้อได้

สองคือ ราคาต้องจับต้องได้ ไม่เกิน 300 ดอลลาร์

สามคือ ต้องเชื่อมต่อและซิงค์ข้อมูลกับ PC ได้อย่างง่ายดาย

และสี่คือ ต้องใช้งานง่ายเหมือนหยิบกระดาษขึ้นมาจด

ด้วยหลักการ 4 ข้อนี้ ประกอบกับระบบปฏิบัติการ Palm OS ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อหน้าจอสัมผัสโดยเฉพาะ ทำให้อุปกรณ์ Pilot ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

Palm กลายเป็นผู้นำตลาด PDA อย่างไม่มีใครเทียบได้ พวกเขาครองส่วนแบ่งตลาดกว่าครึ่งหนึ่งของโลก และคำว่า “Palm Pilot” ก็กลายเป็นคำเรียกติดปากสำหรับอุปกรณ์ประเภทนี้ไปโดยปริยาย

ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่ในโลกธุรกิจ ไม่มีอะไรที่แน่นอน

ในปี 1997 บริษัท 3Com ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่กว่า ได้เข้ามาซื้อกิจการ US Robotics ทำให้ Palm ต้องเปลี่ยนเจ้าของอีกครั้ง

การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารและทิศทางของบริษัท ทำให้ Jeff Hawkins และทีมงานผู้ก่อตั้งดั้งเดิมตัดสินใจลาออก

พวกเขาออกไปตั้งบริษัทใหม่ชื่อว่า Handspring ซึ่งกลายมาเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Palm และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกันมาก

สถานการณ์เริ่มซับซ้อนขึ้น Palm ที่ไม่มีผู้ก่อตั้งอยู่แล้ว ต้องแข่งขันกับบริษัทใหม่ที่ก่อตั้งโดยคนของตัวเอง

ช่วงต้นยุค 2000 คือยุคฟองสบู่ดอทคอม บริษัทเทคโนโลยีมีมูลค่าสูงเกินจริง Palm เองก็เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และหุ้นของพวกเขาก็เคยพุ่งไปสูงถึง 95 ดอลลาร์ในวันแรก

แต่เมื่อฟองสบู่แตก มูลค่าของ Palm ก็ดิ่งลงเหว เหลือเพียงหุ้นละ 6 ดอลลาร์ ทำให้บริษัทตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะถูกซื้อกิจการ

Palm พยายามปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ พวกเขาแยกบริษัทออกเป็นสองส่วน คือส่วนฮาร์ดแวร์ และส่วนซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า PalmSource

จากนั้นในปี 2003 ทีมฮาร์ดแวร์ของ Palm ก็ได้ทำในสิ่งที่น่าสนใจ คือการกลับไปซื้อกิจการ Handspring ของเหล่าผู้ก่อตั้งเดิมและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น PalmOne

ในช่วงเวลานี้เองที่ Palm ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดรุ่นหนึ่งของพวกเขา นั่นก็คือ “Treo”

Treo คือความพยายามที่จะรวมเอาความสามารถของ PDA และโทรศัพท์มือถือเข้าไว้ด้วยกัน มันมีทั้งคีย์บอร์ด กล้อง และสามารถโทรออกได้

มันคือการตอบสนองต่อคู่แข่งอย่าง BlackBerry ที่กำลังมาแรงในตลาดองค์กร และมันก็ทำได้ดีทีเดียว Treo กลายเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนยุคแรกๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

Palm กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พวกเขาซื้อสิทธิ์ในชื่อ Palm กลับคืนมา และเปลี่ยนชื่อบริษัทกลับเป็น “Palm” เหมือนเดิม

แต่แล้ว จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการมือถือก็ได้เกิดขึ้น

ในปี 2007 Apple ได้เปิดตัว “iPhone”

iPhone ไม่ได้เป็นแค่มือถืออีกเครื่องหนึ่ง แต่มันคือการปฏิวัติ มันมาพร้อมกับหน้าจอสัมผัสแบบคาปาซิทีฟที่ไม่ต้องใช้สไตลัส และระบบปฏิบัติการ iOS ที่ใช้งานง่ายและสวยงาม

มันได้เปลี่ยนนิยามของคำว่าสมาร์ทโฟนไปตลอดกาล

ในตอนแรก CEO ของ Palm ยังออกมาบอกว่าเขาไม่ได้กังวลกับ iPhone แต่ไม่นานพวกเขาก็รู้ว่านี่คือคลื่นสึนามิลูกใหญ่ที่กำลังจะซัดเข้าฝั่ง

Palm รู้ดีว่าพวกเขาต้องทำอะไรสักอย่าง และต้องทำอย่างรวดเร็ว

พวกเขาได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ คือการดึงตัว Jon Rubinstein อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Apple ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ iPod ให้มาเป็น CEO คนใหม่

นี่คือไพ่ใบสุดท้ายของ Palm

ภายใต้การนำของ Rubinstein ทีมงาน Palm ได้ซุ่มพัฒนาอาวุธลับเพื่อมาต่อกรกับ iPhone

สิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมาคือระบบปฏิบัติการใหม่ที่ชื่อว่า “WebOS” และสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่ชื่อว่า “Palm Pre”

WebOS ในตอนนั้น ถือว่าล้ำหน้ากว่าทั้ง iOS และ Android มันมีระบบ Multitasking ที่ยอดเยี่ยม ผู้ใช้สามารถเปิดหลายแอปพร้อมกันและสลับไปมาได้อย่างราบรื่น

ส่วน Palm Pre ก็มีดีไซน์ที่สวยงามและฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากมาย มันคือความหวังทั้งหมดของบริษัท

เมื่อ Palm Pre เปิดตัวในปี 2009 มันได้รับคำชมจากนักวิจารณ์อย่างล้นหลาม หลายคนยกให้มันเป็น “iPhone Killer” ตัวจริง

ดูเหมือนว่า Palm กำลังจะกลับมาทวงบัลลังก์คืนได้สำเร็จ

แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้น

แม้ว่าผลิตภัณฑ์จะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่ Palm ก็กำลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก พวกเขาใช้เงินไปมหาศาลกับการวิจัยและพัฒนา และยังต้องต่อสู้กับยักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Google ที่มีสายป่านยาวกว่ามาก

ยอดขายของ Palm Pre ไม่ได้เปรี้ยงปร้างอย่างที่คาดหวังไว้ บริษัทเริ่มขาดทุนอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ก็ดูเหมือนจะสิ้นหวัง

ในที่สุด ปี 2010 HP บริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ ก็ได้ยื่นมือเข้ามาซื้อกิจการ Palm ไปด้วยมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์

นี่ดูเหมือนจะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ การได้อยู่ในอ้อมอกของบริษัทใหญ่อย่าง HP น่าจะทำให้ Palm มีทรัพยากรและความมั่นคงที่จะต่อสู้ในสงครามสมาร์ทโฟนต่อไปได้

แต่แล้ว HP ก็ได้ทำการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Palm

พวกเขาตัดสินใจที่จะ “ทิ้ง” ชื่อแบรนด์ Palm ออกไป

ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะออกมา จะใช้ชื่อแบรนด์ HP แทน นี่คือการทำลายการรับรู้แบรนด์และฐานแฟนคลับที่ Palm สั่งสมมาเกือบ 20 ปีจนหมดสิ้น

HP ได้เปิดตัวอุปกรณ์ WebOS รุ่นใหม่ ทั้งสมาร์ทโฟน Pre 3, Veer และแท็บเล็ตที่ชื่อว่า Touchpad

แต่ทุกอย่างก็สายเกินไป ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า ยอดขายย่ำแย่จนน่าใจหาย

และเพียงแค่ 16 เดือนหลังจากที่ซื้อ Palm เข้ามา HP ก็ได้ประกาศยุติการพัฒนาและผลิตอุปกรณ์ WebOS ทั้งหมด

มันคือจุดจบที่รวดเร็วและน่าใจหาย

HP ต้องนำแท็บเล็ต Touchpad ที่เหลืออยู่ในสต็อกมาขายเลหลังในราคาเพียง 99 ดอลลาร์ ซึ่งน่าขันที่มันกลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะผู้คนซื้อมันไปเพื่อแฮกและลงระบบปฏิบัติการ Android แทน

เรื่องราวของ Palm ได้ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการ

ทรัพย์สินของ Palm ถูกแยกขายไปคนละทิศคนละทาง ระบบปฏิบัติการ WebOS ถูกขายให้กับ LG และทุกวันนี้มันก็ยังคงถูกใช้งานอยู่ในสมาร์ททีวีของ LG

ส่วนชื่อแบรนด์ Palm ก็ถูกขายให้กับบริษัทจีนอย่าง TCL ในเวลาต่อมา

และนี่คือจุดที่ Steph Curry เข้ามาเกี่ยวข้อง

ในปี 2018 TCL ได้พยายามชุบชีวิตแบรนด์ Palm ขึ้นมาใหม่ โดยเปิดตัวอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ทำหน้าที่เป็น “โทรศัพท์คู่หู” และได้ดึงตัว Steph Curry มาเป็นพรีเซนเตอร์

แต่มันก็เป็นเพียง Palm แค่ในชื่อเท่านั้น และก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด

เรื่องราวของ Palm คือกรณีศึกษาชั้นดีในโลกธุรกิจ

มันสอนให้เรารู้ว่า การมีนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้

Palm มีวิสัยทัศน์ที่มาก่อนกาล พวกเขาสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปฏิวัติวงการ แต่กลับสะดุดล้มเพราะการบริหารจัดการภายใน การขาดสายป่านทางการเงิน และการตัดสินใจที่ผิดพลาดในจังหวะที่สำคัญที่สุด

จากบริษัทที่เกือบจะได้ครองโลกมือถือ Palm ได้กลายเป็นเพียงตำนานที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี

เป็นบทเรียนราคาแพงที่เตือนใจว่า ในโลกที่มีการแข่งขันสูง การก้าวพลาดเพียงครั้งเดียว ก็อาจหมายถึงการล่มสลายได้ทั้งบริษัท.

References : [wikipedia,theverge,arstechnica,cnet,engadget]

บทเรียนแสนล้านของ Sony ชนะสงครามแผ่นดิสก์ แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับอนาคต

ถ้าเราลองย้อนเวลากลับไปสักประมาณปี 2001 โลกในตอนนั้นอาจจะดูไม่คุ้นตาเท่าไหร่ อินเทอร์เน็ตยังต้องต่อผ่านสายโทรศัพท์ และถ้าคุณมีมือถือ มันก็คงเป็นรุ่นฝาพับที่มีปุ่มกดจริงๆ

ในยุคที่ยังไม่มี Facebook หรือ iPhone ถ้ามีบริษัทหนึ่งที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของจักรวาลแห่งความบันเทิง บริษัทนั้นก็คือ Sony

ไม่ว่าคุณจะอยากฟังเพลง… ก็ต้องเป็นเครื่อง Walkman หรือ Discman อยากเล่นเกม… ก็ต้องนึกถึงเครื่อง PlayStation หรือถ้าจะดูหนังฟอร์มยักษ์ในโรงภาพยนตร์… ก็เป็นหนังจากค่ายของเขา

Sony ในวันนั้น ไม่ใช่แค่บริษัทเทคโนโลยี แต่เป็นผู้กำหนดวัฒนธรรมป๊อปของโลก พวกเขาเป็นเจ้าของทั้งฮาร์ดแวร์ที่ล้ำที่สุด และคอนเทนต์ที่ดีที่สุด เรียกว่าคุมเกมทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ

แต่คำถามคือ… แล้ววันนี้ Sony หายไปไหน?

แน่นอนว่า Sony ยังอยู่ แต่ถ้าเราพูดถึงทีวีที่ดีที่สุด เราอาจจะนึกถึง LG หรือ Samsung ถ้าอยากได้สมาร์ทโฟน ก็ต้องเป็น Apple หรือ Samsung ส่วนการดูหนังออนไลน์ ก็ต้องเป็น Netflix

Sony กลายเป็นเหมือนยักษ์ใหญ่ในอดีตที่ค่อยๆ เลือนหายไปจากความสนใจของผู้บริโภคส่วนใหญ่… เรื่องราวของยักษ์ใหญ่ที่เคยเป็นผู้สร้างเทรนด์ แต่กลับกลายเป็นเพียงอีกหนึ่งแบรนด์ทางเลือก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น ณ กรุงโตเกียว ปี 1946 ที่ยังคงบอบช้ำจากสงคราม ชายสองคน… คนหนึ่งคือนักฟิสิกส์ชื่อ Akio Morita และอีกคนคือวิศวกรชื่อ Masaru Ibuka ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ขึ้นมา

เป้าหมายของพวกเขายิ่งใหญ่เกินตัวมาก นั่นคือการชุบชีวิตอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของญี่ปุ่นให้กลับมายืนหยัดบนเวทีโลกอีกครั้ง

พวกเขาไม่ได้สร้างอาณาจักรขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ด้วย “สูตรสำเร็จ” ที่เกิดจากการผสมผสานของคนสองขั้วที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

ขั้วแรกคือ Akio Morita เขาคือตัวแทนของ “วิสัยทัศน์ที่กล้าฉีกทุกกฎ” เขาไม่เคยเชื่อในการเดินตามใคร แต่เชื่อในการสร้างเส้นทางของตัวเองขึ้นมา

เรื่องที่ชัดเจนที่สุดคือการให้กำเนิด “Sony Walkman” ในยุคที่การฟังเพลงนอกบ้านเป็นเรื่องใหญ่ Morita กลับมีไอเดียง่ายๆ ว่า ทำไมเราไม่สร้างเครื่องเล่นเพลงส่วนตัวที่พกไปไหนก็ได้

ทีมวิศวกรของเขาคัดค้านอย่างหนัก บอกว่ามันคือการลดเกรดเทคโนโลยี เพราะมันอัดเสียงไม่ได้ แต่ Morita ไม่ฟัง และผลลัพธ์ก็คืออุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ ที่เปลี่ยนโลกการฟังเพลงไปตลอดกาล นี่คือปรัชญาของเขา… อย่าตามเทรนด์ แต่จงสร้างมันขึ้นมา

แต่อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดอีกขั้วหนึ่งมาถ่วงดุล… และคนคนนั้นก็คือ Norio Ohga ปรมาจารย์ด้าน “ความสมบูรณ์แบบทางเทคนิค”

Ohga คือชายผู้หลงใหลในคุณภาพเสียง และเป็นคนที่ผลักดันให้โลกได้รู้จักกับแผ่น Compact Disc หรือ “แผ่นซีดี” ที่ให้เสียงคมชัดใสกระจ่างกว่าเทปคาสเซ็ตต์อย่างเทียบไม่ติด

นี่คือสูตรสำเร็จของ Sony ในยุคทอง… วิสัยทัศน์ที่กล้าเสี่ยงของ Morita บวกกับความสมบูรณ์แบบทางวิศวกรรมของ Ohga มันคือส่วนผสมที่ลงตัวและพา Sony ไปสู่จุดสูงสุด

แต่แล้ว… วันหนึ่ง เมื่อผู้ก่อตั้งทั้งสองวางมือจากบริษัทไป สูตรสำเร็จนั้นก็เริ่มหายไปครึ่งหนึ่ง Sony ยังคงมีความเชี่ยวชาญทางเทคนิคที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่ความกล้าที่จะเสี่ยงแบบถึงลูกถึงคน… มันได้จางหายไป

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อโลกก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่… เพลงดิจิทัลในรูปแบบไฟล์ MP3 ได้ถือกำเนิดขึ้น นี่คือโอกาสทองที่ Sony ควรจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

พวกเขามีแบรนด์ Walkman ที่คนทั้งโลกรู้จัก มีค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อยู่ในมือ และมีเทคโนโลยีที่พร้อมกว่าใคร แต่ Sony กลับเลือกที่จะ “ต่อต้าน” การมาของ MP3

พวกเขากลัว… กลัวว่าเพลงดิจิทัลจะมาทำลายยอดขายแผ่นซีดีที่เป็นเหมือนเครื่องจักรทำเงินของบริษัท แทนที่จะโอบรับอนาคต พวกเขากลับพยายามปกป้องอดีต

Sony สร้างกำแพงขึ้นมาด้วยการออกไฟล์เพลงรูปแบบของตัวเองที่ชื่อว่า ATRAC ใครที่ซื้อเครื่องเล่นเพลงของ Sony ต้องมานั่งแปลงไฟล์เพลงอย่างยุ่งยากและน่ารำคาญ

และในระหว่างที่ Sony กำลังวุ่นวายกับการสร้างกำแพงนั้นเอง… บริษัทคอมพิวเตอร์ที่ชื่อ Apple ก็เปิดตัวอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ ที่เรียบง่ายและใช้งานสะดวกอย่าง “iPod” ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบสำหรับ Sony ในตลาดเพลงพกพา

คำถามคือ… ทำไมบริษัทที่เคยกล้าหาญมาตลอด ถึงได้กลายเป็นบริษัทที่ขี้กลัวขนาดนี้? คำตอบซ่อนอยู่ในบาดแผลทางใจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท… ความล้มเหลวที่ชื่อว่า “Betamax”

ย้อนกลับไปในยุค 80 สงครามรูปแบบสื่อวิดีโอเทป ระหว่าง Betamax ของ Sony กับ VHS ของ JVC ถือเป็นกรณีศึกษาที่โด่งดังไปทั่วโลก

ทุกคนรู้ดีว่าเทคโนโลยี Betamax นั้นเหนือกว่า VHS ในทุกมิติ แต่ Sony ทำพลาดอย่างมหันต์ พวกเขาหวงเทคโนโลยีของตัวเองเกินไป และเชื่อมั่นในความเหนือกว่า จนไม่สนใจความต้องการของตลาด

ในขณะที่ JVC เปิดกว้างให้ใครก็ได้ผลิต VHS ทำให้มันแพร่หลายและราคาถูกกว่าอย่างรวดเร็ว สุดท้าย…เทคโนโลยีที่ด้อยกว่ากลับเป็นผู้ชนะสงครามอย่างขาดลอย

ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นมันไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่มันสร้าง “ความอัปยศ” และ “ความกลัว” ที่ฝังลึกเข้าไปในวัฒนธรรมองค์กรของ Sony พวกเขาสาบานว่าจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกเด็ดขาด

และความยึดติดกับการต้อง “ควบคุม” มาตรฐานเทคโนโลยีในอนาคตให้ได้นี่เอง… ที่นำไปสู่หายนะครั้งต่อมาที่รุนแรงยิ่งกว่า

เมื่อ Sony เข้าสู่ธุรกิจเกมด้วย PlayStation มันคือความสำเร็จที่ถล่มทลาย PlayStation 2 ขายได้ถึง 155 ล้านเครื่อง กลายเป็นตำนานที่ไม่มีใครเทียบได้ Sony คือราชาแห่งวงการเกมอย่างแท้จริง

แต่เมื่อถึงเวลาเปิดตัว PlayStation 3 ความสำเร็จนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นความ “หยิ่งผยอง” และความหยิ่งผยองนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยปมด้อยเรื่อง Betamax ที่รอวันแก้แค้น

ในช่วงนั้น สงครามรูปแบบสื่อครั้งใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น ระหว่างแผ่น Blu-ray ของฝั่ง Sony กับ HD DVD ของคู่แข่ง Sony มองเห็นโอกาสที่จะได้ล้างอายจากความพ่ายแพ้ในอดีต

พวกเขาจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ผิดพลาดที่สุด… นั่นคือการ “ยัด” เครื่องเล่น Blu-ray เข้าไปใน PlayStation 3 ทุกเครื่อง โดยไม่ได้สนใจเลยว่าเกมเมอร์ต้องการมันหรือไม่

ผลลัพธ์คือ… ราคาเปิดตัวของ PS3 พุ่งสูงไปถึง 599 ดอลลาร์ แพงกว่าคู่แข่งอย่าง Xbox 360 ถึง 200 ดอลลาร์ กลายเป็นเรื่องตลกขบขันและถูกล้อเลียนไปทั่ววงการ

ซ้ำร้าย พวกเขายังสร้างสถาปัตยกรรมซีพียูที่ทรงพลังแต่ซับซ้อนเกินไป จนนักพัฒนาเกมส่วนใหญ่พากันส่ายหน้าหนี Sony หมกมุ่นกับการสร้างสุดยอดเครื่องจักรเพื่อเอาชนะสงครามรูปแบบสื่อ จนลืมไปว่าพวกเขากำลังสร้าง “เครื่องเล่นเกม”

เป็นครั้งแรกที่ PlayStation กำลังจะแพ้สงครามคอนโซลอย่างย่อยยับ… แต่แล้ว ท่ามกลางวิกฤต Sony ก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด

ในปี 2013 Sony ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาเคยทำได้ดีที่สุด… นั่นคือ “การรับฟัง” พวกเขาเรียนรู้จากความผิดพลาดของ PS3 และกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ด้วย PlayStation 4

พวกเขาตัดเทคโนโลยีที่ไม่จำเป็นทิ้งไป มุ่งเน้นสิ่งที่เกมเมอร์ต้องการจริงๆ นั่นคือเกมที่ยอดเยี่ยม และราคาที่สมเหตุสมผล การกลับมาครั้งนี้คือชัยชนะที่งดงาม และพิสูจน์ให้เห็นว่า DNA ของผู้ชนะยังคงอยู่ในตัว Sony

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้บทเรียนราคาแพงแล้วใช่ไหม? …แต่เรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้น…

เพราะในขณะที่ฝ่ายเกมกำลังเฉลิมฉลองชัยชนะ ฝ่ายภาพยนตร์และบันเทิงกลับกำลังเดินซ้ำรอยความผิดพลาดเดิมอย่างไม่น่าเชื่อ

ในยุคที่การสตรีมมิ่งกำลังจะเปลี่ยนโลก… Sony ซึ่งเป็นเจ้าของสตูดิโอหนังยักษ์ใหญ่ และมีคลังคอนเทนต์มหาศาลอยู่ในมือ กลับมัวแต่วุ่นวายอยู่กับการเอาชนะในสงครามแผ่น Blu-ray

พวกเขาควรจะเป็น Netflix ได้ก่อนที่จะมี Netflix ด้วยซ้ำ… แต่พวกเขากลับพลาดโอกาสนั้นไปอย่างน่าเสียดาย เพราะมัวแต่ไปโฟกัสกับสงครามที่กำลังจะหมดความหมาย

สุดท้าย Blu-ray ก็ชนะ… แต่เป็นชัยชนะที่ว่างเปล่า เพราะในขณะที่ Sony กำลังดีใจกับชัยชนะเรื่องแผ่นดิสก์… Netflix, YouTube และ Amazon ก็ได้สร้างอนาคตที่แผ่นดิสก์ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว

ทุกวันนี้ Sony ยังคงสร้างหนังดีๆ ออกมา แต่พวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มที่คนใช้ดูหนัง พวกเขากลายเป็นแค่ผู้ผลิตคอนเทนต์เพื่อป้อนให้กับแพลตฟอร์มของคนอื่น

เรื่องราวของ Sony คือบทเรียนราคาแพง… ที่แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จในอดีต และความกลัวที่จะล้มเหลวซ้ำรอยเดิม มันสามารถทำลายองค์กรที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร

ความพ่ายแพ้ของ Betamax ได้สร้างบาดแผลที่ฝังลึก และคอยชี้นำการตัดสินใจของบริษัทมาตลอดหลายสิบปี ทำให้พวกเขาพลาดโอกาสครั้งแล้วครั้งเล่า

ทุกวันนี้ Sony ไม่ได้กำลังจะล้มละลาย พวกเขายังคงทำกำไรได้ดีจากธุรกิจเกมและเซ็นเซอร์กล้อง แต่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้สร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกอีกต่อไปแล้ว

พวกเขาเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่เสี่ยงเกินไป… แทนที่จะกระโจนเข้าไปสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างกล้าหาญเหมือนในอดีต

การกลับมาของ PlayStation 4 พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า Sony ยังสามารถเป็นผู้นำได้… ถ้าพวกเขาเลือกที่จะรับฟังและปรับตัว

ดังนั้น คำถามสุดท้ายที่น่าคิดจึงไม่ใช่ว่า Sony จะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งหรือไม่… แต่เป็นคำถามที่ว่า… Sony จะกล้าที่จะ “เสี่ยง” เพื่อสร้างตำนานบทใหม่… อีกครั้งหรือเปล่า

References : [hbr, wired, theverge, bloomberg, forbes]

Geek Monday EP282 : ขายดี แต่เจ๊ง! ถอดรหัส Neta Auto ขายดีอย่างไรให้ขาดทุนยับ

วันนี้เรามาคุยกันถึงเรื่องราวที่เข้มข้นเหมือนดูซีรีส์ดราม่า แต่เป็นเรื่องจริงในโลกธุรกิจ นั่นก็คือเรื่องของ Neta Auto จากที่เคยเป็นม้ามืดในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีน สู่การล่มสลายที่น่าตกใจ

เรื่องนี้สอนอะไรเราหลายอย่างเกี่ยวกับการทำธุรกิจในยุคที่การแข่งขันสูงมากๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงเร็วอย่างรถยนต์ไฟฟ้า

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/bdfrvme7

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4ujrfduv

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2kppx648

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/ylF9Iy45l-0