Geek Story EP376 : Apple Intelligence จากความหวังสู่หายนะ เส้นทางขรุขระของ Apple สู่ยุค AI ที่ไม่มีวันมาถึง

ต้นปี 2018 Craig Federighi หัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์ของ Apple รวบรวมทีมผู้บริหารระดับสูงเพื่อประกาศข่าวสำคัญที่จะเปลี่ยนทิศทางบริษัท Apple ได้ว่าจ้าง John Giannandrea หรือที่รู้จักกันในวงการว่า JG อดีตผู้ดูแลกลุ่ม search และ AI ของ Google มาเป็นหัวหน้าฝ่าย AI คนใหม่ การตัดสินใจครั้งนี้เป็นความหวังของ Apple ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในด้าน AI หลังจากที่ล้าหลังคู่แข่งมานาน

Giannandrea ไม่ใช่คนธรรมดา ที่ Google เขาเคยนำทีมพัฒนาเทคโนโลยี AI ล้ำสมัยมาใช้ใน Photos, Translate และ Gmail รวมถึงมีส่วนสำคัญในการซื้อกิจการ DeepMind ในปี 2014 ซึ่งผลักดัน Google ให้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน AI ของโลก ด้วยประวัติอันยอดเยี่ยมนี้ ผู้บริหาร Apple จึงมั่นใจว่า “คุณจะหาใครอื่นในโลกที่ดีกว่านี้ได้อีกล่ะ?”

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/yckebvm6

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mth379mz

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3wj3wafb

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/-MfUYgVriCY

Geek Daily EP293 : ทำไม BYD แซงหน้า Toyota ในสิงคโปร์? เส้นทางจากยอดขายเพียง 3 คัน สู่แชมป์รถยนต์อันดับหนึ่ง

แรงตื่นตัวของกระแสรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกกำลังสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในวงการยานยนต์ โดยเฉพาะเมื่อบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนอย่าง BYD (Build Your Dream) สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดในประเทศสิงคโปร์ แซงหน้าค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota ที่ครองตำแหน่งนี้มานาน ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังบ่งบอกถึงทัศนคติของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปต่อผลิตภัณฑ์จากจีนอีกด้วย

ข้อมูลจาก Land Transport Authority (LTA) ของสิงคโปร์แสดงให้เห็นว่า BYD สามารถขายรถยนต์ได้ถึง 3,002 คัน คิดเป็น 20% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในสิงคโปร์ในช่วงสี่เดือนแรกของปีนี้ แซงหน้า Toyota ที่ขายได้เพียง 2,050 คัน และ Tesla ที่ขายได้ 535 คัน ความสำเร็จนี้นับเป็นก้าวกระโดดอย่างน่าทึ่งเมื่อเทียบกับปี 2020 ที่ BYD ขายรถในสิงคโปร์ได้เพียง 3 คันเท่านั้น

จากนั้น ยอดขายของ BYD ก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เป็น 89 คันในปี 2021, 786 คันในปี 2022 และ 1,416 คันในปี 2023 ในขณะที่ยอดขายของ Toyota ยังคงค่อนข้างคงที่อยู่ที่ประมาณ 7,000-9,000 คันต่อปี ส่วน Tesla แม้จะมียอดขายเพิ่มขึ้นเช่นกันแต่ก็ไม่รวดเร็วเท่า BYD

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3fpfwfr6

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2ktaztyh

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3xxh8fmz

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/RB3_cadlxHY

QQ x MSN กับมหาศึกช่วงชิงผู้นำแอปส่งข้อความเพื่อความอยู่รอดของ Tencent ในประเทศจีน

ย้อนกลับไปปี 2004 มีเรื่องราวสุดมันของการต่อสู้ระหว่างยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี Microsoft และบริษัทเกิดใหม่จากประเทศจีนอย่าง Tencent ที่พลิกฟื้นตำนานดาวิดปะทะโกไลแอทในโลกดิจิทัลขึ้นมาในยุคนั้น

Jeff Xiong Minghua ขุนพลมากฝีมือจากสำนักงานใหญ่ Microsoft ถูกส่งตัวมายังเซี่ยงไฮ้ในปี 2004 พร้อมภารกิจชัดเจน: บุกตลาดจีนด้วยบริการส่งข้อความยอดฮิต MSN ที่กำลังฮิตไปทั่วโลก

ตอนนั้น Pony Ma ผู้ก่อตั้ง Tencent ได้สร้างบริการ QQ จนติดตลาดในหมู่ชาวจีน แต่ยังไม่มีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจนในการหารายได้

Microsoft ในยุคนั้นคือจอมยุทธ์มือหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัว บุกไปทำธุรกิจที่ไหน คู่แข่งเละไม่เป็นท่า ด้วยสรรพกำลังมหาศาลทั้งเงินทุนและบุคลากรที่โคตรเทพในวงการเทคโนโลยี

Pony Ma รู้ดี MSN มีฐานผู้ใช้มากมายในจีนแม้ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างเป็นทางการ จำนวนผู้ใช้มากกว่า NetEase ซึ่งเป็นคู่แข่งเล็กๆ ของ Tencent ถึงสามเท่า

MSN มีจุดแข็งมากมาย ด้วยอินเทอร์เฟซสุดล้ำที่ถูกใจกลุ่มพนักงานออฟฟิศและนักศึกษา ซึ่งมองว่า QQ เป็นบริการสำหรับคนรากหญ้าที่ไม่เข้ากับสไตล์พวกเขา

ในหมู่คนชั้นกลางกว่า 20 ล้านคนในจีนช่วงนั้น MSN ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 53% สูงกว่า QQ ถึง 6% เรื่องน่าขันของวงการคือ QQ ลงแรงสร้างตลาดและปลูกฝังนิสัยผู้ใช้ แต่ MSN กลับเข้ามาเก็บเกี่ยวลูกค้าที่พร้อมอัพเกรดไปใช้แบรนด์นอก

QQ ถูกมองว่าเป็นบริการแชทสำหรับคนอายุน้อย รายได้น้อย ใช้คุยขณะเล่นเกมและหาเพื่อนในโลกออนไลน์ ขณะที่ MSN จะยกระดับเป็นเครื่องมือสำหรับมนุษย์ออฟฟิศและช่องทางแชร์ข้อมูลเพื่อธุรกิจ

Jeff ย้ายกลับเซี่ยงไฮ้อย่างเป็นทางการในปี 2003 พาครอบครัวที่เติบโตในซีแอตเทิลมาด้วย เพื่อช่วย Microsoft ขยายกิจการในจีน เขารวบรวมทีมแกร่ง 30 คนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับทีม Tencent เหตุการณ์นี้เหมือนเรือบรรทุกเครื่องบินกำลังบุกน่านน้ำของพวกเขา และต้องสู้กับเรือรบติดขีปนาวุธชั้นสูงจากอเมริกา

Microsoft จับมือกับพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อเสริมเนื้อหาผ่าน MSN นำเสนอบริการหลากหลายทั้ง ecommerce รถยนต์ และข่าวสาร รวมถึงจับมือกับ Alibaba

กลยุทธ์นี้ช่วยลดความเสี่ยงจากข้อบังคับท้องถิ่นด้านเนื้อหา แต่ยังสร้างรายได้จากบริการแชทได้ MSN ยังขโมย UI จาก QQ และซื้อกิจการบริษัทจีนเพื่อแปลงข้อความจากเดสก์ท็อปเป็นมือถือในราคาเพียง 1.20 ดอลลาร์ต่อเดือน พร้อมเชื่อมโยงกับ Yahoo ทั่วโลก การรุกคืบนี้เป็นภัยคุกคามโหดเหี้ยมต่อ Tencent

เพื่อสู้กลับ Pony ยกเครื่อง QQ ครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่เปิดตัว ในกันยายน 2004 QQ เพิ่มความสามารถแชร์ไฟล์และพื้นที่จัดเก็บเพื่อดึงดูดคนวัยทำงาน

นี่เป็นก้าวแรกในการพลิกฟื้นธุรกิจ Tencent โดย Pony พิสูจน์ว่าบริษัทของเขาสามารถเอาชนะใจผู้ใช้ที่มีกำลังซื้อสูงได้เช่นกัน

Pony ตัดสินใจออกจากมุมมืด ทั้งที่ปกติแทบไม่ออกงานไหน โดยประกาศวิสัยทัศน์ของ QQ ในการประชุมสื่อให้โลกรู้

ภายในมิถุนายน 2005 QQ มีผู้ใช้ 440 ล้านคน เทียบเท่าประชากรสหรัฐฯ และญี่ปุ่นรวมกัน Pony นิยามบริการส่งข้อความใหม่ว่าไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือสื่อสารอีกต่อไป แต่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับข้อมูล ความบันเทิง เกม บล็อก และวิดีโอ

เขาประกาศว่าแพลตฟอร์มแชทกำลังเปลี่ยนชีวิตผู้คน และ “จีนจะเป็นผู้นำโลกในบริการส่งข้อความ”

ฝั่ง Microsoft เผชิญปัญหาการจัดการภายใน ขับเคลื่อนตัวเองได้ยากลำบากเพราะโครงสร้างคล้ายระบบราชการที่ข้อมูลต้องส่งต่อไปยังสำนักงานใหญ่ การตัดสินใจของ MSN China จึงช้ากว่าคู่แข่งชัดเจน ทั้งที่ต้องแข่งกับเวลา

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด วิศวกรจีนเสนอให้ผู้ใช้ MSN รับข้อความขณะออฟไลน์ได้ แต่ข้อเสนอต้องถกเถียงที่สำนักงานใหญ่ ขณะที่ Tencent สร้างฟีเจอร์นี้ได้ในไม่กี่สัปดาห์

การตอบสนองรวดเร็ว สร้างนวัตกรรมและอัพเกรดเล็กๆ น้อยๆ เป็นความเจ๋งของ Tencent ที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้

แนวคิดนี้เรียกว่า ‘xiao bu kuai pao, kuai su die dai’ หมายถึงการก้าวเล็กๆ เพื่อดำเนินการรวดเร็วสู่การพัฒนาอย่างว่องไว ซึ่งกลายเป็นแนวปฏิบัติที่วงการเทคโนโลยีจีนใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

พันธมิตรท้องถิ่นด้านพอร์ทัลของ Microsoft ขาดกลยุทธ์ที่สอดคล้องในการสร้างรายได้จากทราฟฟิก MSN และเพื่อชนะใจผู้ลงโฆษณา พวกเขาตัดราคากันเองและบีบราคาโฆษณาให้ถูกที่สุด

เมื่อหน่วยงานกำกับดูแลจีนปราบปรามพื้นที่บริการข้อความบนมือถือ มันจำกัดการเติบโตรายได้ของ MSN ขณะที่ Tencent ทุ่มสรรพกำลังทั้งหมดให้กับ QQ

ความท้าทายสำคัญอีกข้อของ MSN คือการเก็บข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมดต้องส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐฯ ทำให้บริการช้ายิ่งกว่าเต่า

เหตุผลที่ Microsoft ทำแบบนี้เพราะจีนห้ามบริษัทต่างชาติดำเนินการศูนย์ข้อมูลเอง และบริษัทปฏิเสธการเก็บข้อมูลในผู้ให้บริการท้องถิ่น ซึ่งเป็นประเด็นละเอียดอ่อนสำหรับรัฐบาล

นั่นทำให้ผู้ใช้ MSN ในจีนต้องใช้เวลาถึงสองนาทีในการล็อกอิน ส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้ พอถึงเวลาที่พวกเขาตัดสินใจย้ายศูนย์ข้อมูลไปฮ่องกงซึ่งใกล้จีนแผ่นดินใหญ่ขึ้น MSN ก็สูญเสียส่วนแบ่งตลาดสำคัญให้ QQ ไปแล้ว

ความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดของ MSN เกิดช่วงปลายปี 2005 เมื่อรวมบริการแชทเข้ากับแพลตฟอร์มใหญ่ชื่อ MSN Live สำหรับผู้ใช้หลายคน การอัพเกรดทำให้มันกลายเป็นหน้าเว็บ และบริการแชทดูเหมือนหายไปชั่วข้ามคืน

เมื่อทีม Pony เห็น MSN Live เวอร์ชันใหม่ พวกเขารู้ทันทีว่าการต่อสู้จบแล้ว พวกเขาชนะเรียบร้อย

Microsoft ที่ก่อตั้งโดย Bill Gates กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานบริษัทยักษ์ใหญ่จากซิลิคอน วัลเลย์ ที่พ่ายแพ้คู่แข่งจากจีน ไม่ต่างจาก eBay และ Amazon ที่ถูกบดขยี้จาก Alibaba หรือ Uber ที่แพ้ Didi

มองย้อนกลับไป Microsoft ไม่เคยถือว่าสงครามแชทในจีนสำคัญที่สุด เพราะตอนนั้นพวกเขากำลังยุ่งกับการสู้กับ Google ในบ้านเกิด จีนมีสัดส่วนเพียง 2% ของธุรกิจทั่วโลก แต่สำหรับ Tencent, Pony และทีมพร้อมทุกอย่างที่จะล้มยักษ์

Jeff อาจเป็นคู่แข่งของ Pony ในจีน แต่ฝ่ายหลังไม่เคยโกรธเคือง กลับรู้สึกประทับใจ Jeff ที่สู้รบกันมาหลายปี

ทั้งคู่พบกันครั้งแรกในปี 2005 เมื่อ Jeff ไปเสิ่นเจิ้นช่วยซื้อบริษัทให้ Microsoft และ Pony ติดต่อให้ Jeff ไปร่วมทานอาหารเย็น พวกเขาคุยกันถูกคอเกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยี

Jeff รู้สึกว่าทีม Tencent เหมือนยังติดอยู่ในยุคหินเรื่องการบริหารทีมเทคโนโลยี ไม่มีแนวทางเป็นระบบในการจัดการทั้ง UI และ Bug ของซอฟต์แวร์

“เหมือน Microsoft อยู่บนท้องฟ้าและ Tencent ยังอยู่บนโลก มีอีกหลายอย่างที่พวกเขาต้องทำเพื่อยกระดับบริษัท” Jeff กล่าว

แต่ในในโลกเทคโนโลยี ท้ายที่สุดแล้วการมีเครื่องมือชั้นยอดหรือยึดตำราสูตรสำเร็จที่ดูเว่อร์เกินจริง บางครั้งก็สู้กลุ่มคนที่คลุกฝุ่นไร้ระเบียบแบบแผนไม่ได้ เหมือนที่ Pony ทำได้สำเร็จกับ QQ มาแล้วนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Influence Empire: Inside the Story of Tencent and China’s Tech Ambition โดย Lulu Chen

AI Agents ทาสรับใช้หรือผู้ทำลายความเป็นมนุษย์? กับบทเรียนสำคัญที่ทุกคนต้องรู้

พอดีส่วนตัวได้มีโอกาสรับฟังพอดแคสต์รายการดังในช่อง The Diary Of A CEO ที่มีการเชิญแขกรับเชิญที่น่าสนใจมาพูดคุยกันในหัวข้อ “AI AGENTS EMERGENCY DEBATE: These Jobs Won’t Exist In 24 Months! We Must Prepare For What’s Coming!”

ผมว่าหลายคนอาจจะเริ่มคิดว่า AI จะเปลี่ยนชีวิตเราไปได้ถึงขนาดไหน? นี่ผ่านมาแค่สองปีมันพัฒนาไปได้ไกลขนาดนี้ แล้วถ้าพูดถึงรุ่นลูก ๆ เราล่ะ มันจะกระทบกับพวกเขาอย่างไรบ้าง?

เราได้เห็นข่าวมากมายที่เหล่านักเทคโนโลยีมองว่า AI จะสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการสร้างความมั่งคั่ง แต่ในอีกด้านก็มีคนเตือนว่าการปฏิวัติด้วย AI อาจนำไปสู่หายนะ โดยเฉพาะเรื่องการว่างงานจำนวนมหาศาลเช่นเดียวกัน

Steven Bartlett (เจ้าของช่อง The Diary Of A CEO) เขาประทับใจกับเทคโนโลยี “Replit” เป็นอย่างมาก ซอฟต์แวร์นี้ช่วยให้คนสร้างซอฟต์แวร์ได้โดยแทบไม่ต้องเขียนโค้ด

ภายในเวลาแค่ 20 นาที Bartlett ผู้ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการเขียนโค้ดสามารถสร้างเว็บไซต์ ติดตั้งระบบรับชำระเงิน ผสาน AI เข้ากับเว็บไซต์ และเพิ่มระบบล็อกอินผ่าน Google ได้แบบง่าย ๆ

เขาส่งให้เพื่อนทดลองใช้ และมีคนจริงๆ ใช้บัตรเครดิตจ่ายเงินผ่านระบบ เขามองว่านี่คือการสร้างบริษัท SaaS โดยไม่ต้องเขียนโค้ดแม้แต่บรรทัดเดียว

นอกจากนี้ เขายังทดลองใช้ AI agent ชื่อ Operator สั่งน้ำจากร้านค้า โดย AI จัดการทุกอย่างตั้งแต่ใส่ข้อมูลบัตรเครดิต เลือกน้ำ ให้ทิป จนถึงใส่รายละเอียดการจัดส่ง

Amjad Masad ผู้ก่อตั้ง Replit แขกรับเชิญที่ได้เข้ามาร่วมรายการในครั้งนี้ ได้เล่าที่มาของแนวคิดของ Replit ว่าเขาเริ่มเขียนโปรแกรมตั้งแต่วัยเด็ก และเข้าใจว่าอุปสรรคระหว่างไอเดียกับความมั่งคั่งก็คือสิ่งที่เรียกว่าโครงสร้างพื้นฐาน

ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต เครื่องมือ และทักษะที่จำเป็น เขาจึงต้องการปลุกปั้นโลกที่ทุกคนที่มีไอเดียสามารถแก้ปัญหาและสร้างความมั่งคั่งได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก

Amjad อธิบายว่า AI agents แตกต่างจาก chat AI ทั่วไปตรงที่มันทำงานได้ต่อเนื่องจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายหรือเจอข้อผิดพลาด มันเหมือนเสกวัตถุจากอากาศได้

ที่น่าสนใจก็คือ ปัจจุบัน AI agents ทำงานต่อเนื่องได้ตั้งแต่ 30 วินาทีถึง 30 นาที และมีงานวิจัยระบุว่าทุก 7 เดือน ระยะเวลาการทำงานของมันจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

นั่นหมายความว่าในไม่ช้า เราจะมี AI ที่ทำงานได้ต่อเนื่องเป็นวันๆ ทำให้มันกลายเป็นแรงงานเสมือนมนุษย์อย่างแท้จริง

แต่ Bret Weinstein นักชีววิทยาด้านวิวัฒนาการ (แขกรับเชิญอีกราย) กลับมองว่านี่เป็นจุดพีคของความน่ากลัว เขามองว่า AI เป็นเครื่องจักรแรกที่ก้าวข้ามพ้นจากความซับซ้อนขั้นสูงไปสู่ความซับซ้อนที่แท้จริง

Bret เชื่อว่าศักยภาพในด้านดี ๆ ของเทคโนโลยีนี้มีมากมายไม่มีที่สิ้นสุด แต่อันตรายก็มากกว่าถึง 10 เท่า

Bret อธิบายว่า AI agents ที่ทำงานโดยอิสระอาจเป็นเงื่อนไขสำหรับหายนะที่เกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาดได้ คุณต้องแน่ใจว่าเข้าใจเป้าหมายที่แท้จริงและรู้วิธีควบคุมมัน

Daniel Priestley นักธุรกิจอีกท่านในวงสนทนานี้ เปรียบเทียบกับภาพถ่ายของนิวยอร์กในปี 1900 ที่มีแต่รถม้า แต่อีก 13 ปีต่อมา กลับกลายเป็นรถยนต์ทั้งหมด ม้าถูกแทนที่ภายในเวลาเพียงไม่นาน

หากถามม้าในปี 1900 พวกมันคงมั่นใจว่าจะอยู่คู่กับมนุษย์ตลอดไป โดยไม่รู้เลยว่าพวกมันกำลังจะถูกแทนที่อย่างสิ้นซาก เราเองก็อาจเป็นเหมือนม้าในยุค AI นี้

Daniel คิดว่าคนจำนวนมากไม่ตระหนักถึงผลกระทบมหาศาลของเทคโนโลยีนี้ วันนี้เราอาจสั่งน้ำด้วย AI และคิดว่าน่ารัก แต่พรุ่งนี้มันอาจทำงานได้หลายวันและไม่หยุดจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย

หากเครื่องจักรฉลาดขึ้นเรื่อยๆ และสามารถดำเนินการไปทั่วทั้งโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นที่ที่มนุษย์เราประกอบอาชีพกันส่วนใหญ่อยู่แล้ว มันจะทำอะไรไม่ได้บ้าง? มันจะฉลาดกว่าเราแน่นอน

Amjad มองในแง่ดี เขาอธิบายว่า AI ทำได้เพียงสิ่งที่มนุษย์ฝึกให้มัน มันไม่สามารถทำสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้วิธีทำได้ แม้มันจะรวมความรู้มหาศาลและทำงานเร็วกว่ามนุษย์มาก

แต่ Brett ไม่เห็นด้วย เขามองว่า AI จะพัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่จะพัฒนาไปเรื่อยๆ เมื่อ AI เริ่มปฏิสัมพันธ์กัน พวกมันจะมีความสามารถที่เราไม่คาดคิดและอาจไม่รู้ตัวแม้เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว

เหมือนการเชื่อมต่อจิตใจมนุษย์ด้วยสายอีเธอร์เน็ต ทำให้ศักยภาพทางความคิดเกินกว่ามนุษย์ AI ก็จะเป็นเช่นนั้น เป็นดั่งสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่มีความสามารถที่เรายังไม่มีชื่อเรียก

Amjad ยืนยันว่าหากงานของคุณเป็นงานที่ทำซ้ำๆ งานนั้นจะหายไปภายในไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ในขณะเดียวกัน โอกาสใหม่ๆ ในการสร้างความมั่งคั่งก็จะเกิดขึ้นเช่นกัน

งานที่เสี่ยงที่สุด ได้แก่ งานด้านประกันคุณภาพ งานป้อนข้อมูล ที่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์คลิกและพิมพ์ตามลำดับที่กำหนด รวมถึงงานบัญชี และแพทย์อ่านฟิล์ม X-RAY

อย่างไรก็ตาม AI จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ในวงการศึกษา การสอนแบบตัวต่อตัวเป็นวิธีเดียวที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มผลการเรียนได้อย่างมีนัยสำคัญ และ AI สามารถทำแบบนั้นได้

AI สามารถสร้างประสบการณ์การเรียนรู้แบบตัวต่อตัวที่ปรับให้เหมาะกับความเร็วของเด็กแต่ละคน เป็นครูส่วนตัวที่ไม่มีวันเหนื่อย เป็นการปฏิวัติการศึกษาที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ

แล้วพ่อแม่ควรสอนลูกอย่างไรในโลกใหม่นี้? Brett แนะนำให้สร้างเด็กที่มีความคิดริเริ่มสูงและมีทักษะหลากหลาย โดยเฉพาะการปรับตัวและแก้ปัญหาในระบบที่ซับซ้อน

เขาเน้นย้ำว่าในยุคของระบบที่มีความซับซ้อนสูง เราไม่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ทั้งหมด เด็กต้องเข้าใจว่าระบบอาจทำสิ่งที่เราคาดไม่ถึง จึงต้องติดตามผลลัพธ์ที่ไม่ได้ตั้งใจอยู่เสมอ

Amjad สนับสนุนการสอนให้เด็กมีความสามารถในการสร้างสรรค์ สร้างไอเดียอย่างรวดเร็วและปรับปรุงไอเดียเหล่านั้น เขามักนั่งกับลูกๆ ใช้ ChatGPT ให้พวกเขาจินตนาการ

เช่น “ถ้ามีแมวบนดวงจันทร์ล่ะ ถ้าดวงจันทร์ทำจากชีส และถ้ามีหนูอยู่ข้างใน” การฝึกเช่นนี้ทำให้เด็กๆ มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

Daniel ต้องการสร้างลูกให้เป็นคนมีความคิดริเริ่มสูงและมีทักษะทั่วไป อาจเป็นการเขียนหนังสือ มีพอดแคสต์ และเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองในเวลาเดียวกัน

แม้จะมีความกังวล Bret มองว่า AI อาจช่วยแก้ปัญหาที่สติปัญญามนุษย์อาจจัดการไม่ได้ เช่นเดียวกับที่คอมพิวเตอร์สามารถคำนวณในอัตราที่มนุษย์ไม่อาจตามทัน

Daniel มองเห็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ในวงการสุขภาพและการศึกษา AI จะช่วยแก้ปัญหาสาธารณสุขและปฏิรูปการศึกษาทั่วโลก ทำให้คนทำงานหลากหลายที่มีความหมายพร้อมกันได้

เขาแนะนำผู้ประกอบการว่า ทีมเล็กๆ ตอนนี้มีพลังมากโข ทีมที่มีขนาด 5-10 คนที่หลงใหลในปัญหาที่มีความหมายสามารถสร้างผลกระทบใหญ่ สร้างรายได้ และแก้ปัญหาสำคัญของโลกได้

พวกเขาอาจทำได้มากกว่าในช่วงเวลา 3 ปีเมื่อเทียบกับอาชีพ 30 ปีแบบเดิม ๆ เป็นการปฏิวัติวิธีการทำงานที่จะเปลี่ยนโลกไปอย่างสิ้นเชิง

แม้จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ท้าทาย แต่ทุกคนเห็นพ้องกันว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่น่าสนใจที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ โอกาสในการใช้พลัง AI เพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้นมีมหาศาล

หากเราเตรียมพร้อมและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีนี้อย่างชาญฉลาด เราจะไม่เป็นม้าในยุคที่รถยนต์กำลังมา แต่จะเป็นผู้ขับขี่ที่นำพาโลกไปสู่อนาคตที่สดใสกว่า

ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ การรู้เท่าทันและพร้อมปรับตัวคือกุญแจสำคัญ ประวัติศาสตร์สอนเราว่าเทคโนโลยีมักสร้างงานและโอกาสใหม่เสมอ แม้จะทำลายงานเก่าไปด้วย

สิ่งสำคัญคือต้องมองให้ไกลและพร้อมเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพราะในโลกที่ AI กำลังมีบทบาทมากขึ้น ความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นมนุษย์ และความสามารถในการปรับตัวจะกลายเป็นทักษะที่สำคัญที่สุด

AI ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง หากเราใช้มันอย่างฉลาด เราจะสามารถรังสรรค์โลกที่ดีกว่าสำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่คนที่มีเงินหรือเทคโนโลยี แต่สำหรับทุกคนที่พร้อมจะเรียนรู้และปรับตัว

อนาคตของเราถูกเขียนด้วยโค้ดและอัลกอริทึม แต่ว่าใครจะเป็นคนเขียนมัน? คำตอบอยู่ที่ตัวเราทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณมีบทบาทในการกำหนดว่า AI จะพาเราไปทางไหน

เพราะฉะนั้นจงเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะมันไม่ได้มาแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่มาแบบพลิกโลก และคนที่ปรับตัวได้เร็วที่สุดจะเป็นผู้ชนะ ซึ่งนี่คือเวลาของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ

References : https://youtu.be/JMYQmGfTltY?si=rQ-xxP9PcEsScfjh