Geek Monday EP276 : ทำไม Clubhouse ถึงตายเร็วกว่าเกิด? จาก 4 พันล้านดอลลาร์ สู่ความเงียบงัน 

ในต้นปี 2021 Clubhouse คือแอพโซเชียลเสียงที่กำลังเป็นกระแสอย่างมาก มีผู้ใช้งานประจำเดือนมากกว่า 17 ล้านคนและมูลค่าบริษัทสูงถึง 4 พันล้านดอลลาร์ เรียกได้ว่าเป็นดาวดวงใหม่ในวงการโซเชียลมีเดีย ที่ดึงดูดทั้งผู้ใช้ทั่วไปและบุคคลมีชื่อเสียงมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Elon Musk ที่แบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานบนดาวอังคาร Mark Zuckerberg ที่พูดถึงเมตาเวิร์สอย่างกระตือรือร้น หรือแม้แต่ Oprah ที่มาเล่าเทคนิคการสัมภาษณ์ของเธอ

แต่แล้วอะไรทำให้ Clubhouse ที่เคยรุ่งเรืองกลับสูญเสียผู้ใช้งานไปมากกว่า 80% อย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นหนึ่งในความล้มเหลวที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โซเชียลมีเดีย? เรื่องนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับทุกแอพโซเชียลมีเดียที่ต้องการความสนใจจากผู้ใช้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yckc5vnu

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yax8h3hj

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/ytxht7xd

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/9FtEl_0Z7JU

Geek Story EP375 : ทำไม Motorola ถึงล้ม? บทเรียนธุรกิจพันล้านที่พังเพราะความสำเร็จ

ในยุคทศวรรษที่ 1990 คือจุดพีคของ Motorola พวกเขาครองตลาดเพจเจอร์ 85% ทั่วโลก เงินทุนไหลเข้าบริษัทมากมาย แต่การแข่งขันก็เริ่มรุมเร้า Nokia จากฟินแลนด์เริ่มสยายปีก และอุปกรณ์ PDA ก็เริ่มเป็นที่หมายปอง

แทนที่จะรีบพัฒนาโทรศัพท์ดิจิทัล Motorola กลับคิดว่าตัวเองจะเป็น StarLink ยุค 90s ด้วยโครงการ Iridium วางดาวเทียม 77 ดวงในวงโคจรต่ำ ลงทุนมหาศาลกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ แต่สุดท้ายมีคนใช้แค่ 20,000 ราย ซึ่งเป็นการเดิมบริษัทที่เละเทะไม่เป็นท่า

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/5ey33ca3

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yc3cmwh7

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4unj7dwa

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/I7j4pRLF6RQ

Foursquare หายไปไหน? จากโซเชียลล้มเหลวสู่ยักษ์ใหญ่เบื้องหลังแอปที่คุณใช้ทุกวัน

ถ้าใครทันยุคช่วงแรกเริ่มของเครือข่ายโซเชียลมีเดีย ผมคิดว่าต้องเคยกดเช็คอินผ่าน Foursquare อย่างน้อยสักครั้งในชีวิตอย่างแน่นอน บางคนอาจเคยได้เป็น “mayor” หรือได้รับเหรียญตรา super user มาแล้วด้วยซ้ำ

แต่เชื่อไหมว่า ทุกวันนี้เราก็ยังใช้ Foursquare อยู่โดยที่ไม่รู้ตัว หลายคนคิดว่าแอปนี้ตายไปแล้ว แต่เรื่องราวของพวกเขาไม่ได้จบแบบที่หลายคนคิด

ย้อนกลับไปปี 2009 Dennis Crowley และ Naveen Salvadore อยากสร้างแอปคู่แข่ง Twitter แต่มีจุดเด่นตรงที่รู้ว่าเพื่อนอยู่ที่ไหน Foursquare จึงถือกำเนิดขึ้นด้วยแนวคิดสุดเรียบง่าย แต่เจ๋งมากๆ คือให้ผู้ใช้ระบุตำแหน่งของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นบาร์ ร้านอาหาร คาเฟ่ และคนที่ติดตามจะรู้ว่าอยู่ที่ไหน

ผู้ใช้ยังสามารถโพสต์สถานะ รีวิวสถานที่ และบางแห่งยังเช็คอินให้แบบอัตโนมัติ ที่เจ๋งไปกว่านั้นคือผู้ใช้สามารถสะสมเหรียญตรา (Badges) ได้ด้วย และถ้าเช็คอินบ่อยที่สุดในที่ไหนสักแห่ง ก็จะได้เป็น “mayor” ซึ่งในยุคอินเทอร์เน็ตปี 2010 เรื่องนี้ยิ่งใหญ่มาก

เสน่ห์อันโดดเด่นของ Foursquare คือช่วยให้เราค้นพบสถานที่ใหม่ๆ ตั้งแต่ร้านหนังสือยันคาเฟ่ ธุรกิจก็ได้ประโยชน์จากการเช็คอินสุดล้ำนี้ เกิดเป็นเครือข่ายเล็กๆ สำหรับทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจ

แนวคิดนี้ฮิตสุดๆ จนบางคนทำนายว่าอาจกลายเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับ Facebook ช่วงหนึ่งคำทำนายนี้ดูแม่นมาก Foursquare กลายเป็นเด็กใหม่สุดเจ๋งในวงการ ธุรกิจต่างๆ รีบไปติดโลโก้ Foursquare ที่หน้าต่างและฟอร์มติดต่อของพวกเขา

สำหรับผู้ใช้ Foursquare การรู้ว่าเพื่อนอยู่ไหนและการสะสมเหรียญกลายเป็นเรื่องที่คนหมายปอง ไม่นานนักเหล่าคนดังก็เข้าร่วมขบวน บางคนถึงกับสร้างโหมดพิเศษสำหรับคนดัง ให้แฟนๆ ติดตามพวกเขาได้

นักบินอวกาศอย่าง Doug Wheelock ได้เช็คอินบน Foursquare จากสถานีอวกาศนานาชาติ ทำให้เขาได้เหรียญ NASA Explorer ซึ่งดูเหมือนมันก็ไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ NASA เลยต้องสร้างเว็บพิเศษให้คนอื่นๆ มีโอกาสได้เหรียญนี้บ้าง แม้แต่ Barack Obama ก็ยังเช็คอินในงานประชุมสาธารณะ

ธุรกิจต่างๆ ก็สร้างเหรียญเพื่อดึงดูดลูกค้า โดยผู้ใช้อาจจะได้รางวัลเป็นไอศกรีมฟรี พิซซ่า หรือหนังสือ ขึ้นอยู่กับที่ที่เคยไป ช่วงนั้น Foursquare มาแรงมาก มีการพูดถึงมูลค่าสูงถึงพันล้านดอลลาร์ และคู่แข่งก็เริ่มชายตามอง

Yahoo มาเคาะประตูเป็นรายแรกในปี 2010 เสนอเงินประมาณ 100-120 ล้านดอลลาร์ ตามด้วย Facebook ที่เสนอ 120 ล้านดอลลาร์ แต่ Crowley ขอเงิน 150 ล้าน ทำให้ Zuckerberg ยอมถอย Crowley ยืนยันว่ากำลังมองหาอนาคตที่ดีที่สุดให้บริษัท

แต่อีกไม่กี่ปีต่อมา สื่อโจมตีเขาที่ไม่รับเงินตอนนั้น เพราะการเจรจาซื้อกิจการจบลงอย่างรวดเร็ว ปัญหาหลักคือตัวเลขรายได้ Foursquare ที่มีแค่ 1.35 ล้านดอลลาร์ การลงทุน 120 ล้านดอลลาร์ดูจะเป็นเรื่องบ้าคลั่ง

ไม่นานนัก Foursquare ก็สูญเสียเสน่ห์ สาเหตุหลักเป็นเพราะ Facebook ที่มีอิทธิพลเกินต้านทาน และมีเครือข่ายสังคมอื่นๆ ที่ฮอตกว่า เช่น Instagram และ Snapchat เริ่มเติบโตขึ้น การเช็คอินก็ไม่เซ็กซี่เท่าการโพสต์รูปภาพอีกต่อไป

Foursquare เริ่มดิ่งลงเหวอย่างรวดเร็ว Crowley ต้องการเงินสด เมื่อไม่มีข้อตกลงซื้อกิจการ เขาจึงหานักลงทุน Ben Horowitz ได้ทุ่มเงิน 20 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือได้ว่าแทบจะเป็นเงินที่ส่งมาจากสวรรค์เลยทีเดียว

ช่วงเวลานั้น Foursquare ไม่ได้เผชิญแค่คู่แข่งภายนอก แต่ Crowley ยังต้องฝ่าฝันต่อสู้กับปัญหาการเติบโตที่กินเงินบริษัทไปมากโข ไม่มีเงินหมายถึงไม่มีนวัตกรรม เขาจึงระดมทุนเพิ่มอีก 50 ล้านดอลลาร์ด้วยมูลค่า 550 ล้านดอลลาร์

แต่นั่นก็คือเงินทุนก้อนสุดท้าย ไม่มีเงินเพิ่มอีกต่อไปแล้ว เพราะเขายังไม่สามารถแสดงโมเดลทางการเงินที่คุ้มค่า การทำเงินยังเป็นความท้าทายหลักของ Foursquare

ในปี 2012 บริษัททำเงินได้แค่ 2 ล้านดอลลาร์ สื่อจึงทำนายว่า Foursquare จะล่มสลาย ปี 2013 Business Insider บอกว่า Foursquare จะตายภายในสิ้นปี ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย

แต่เบื้องหลังฉาก Crowley กำลังเจอขุมทรัพย์บางอย่าง เพราะเรื่องที่น่าตลกก็คือ Foursquare นั่งอยู่บนหีบทองคำโดยไม่รู้ตัว เพราะทั้ง การเช็คอิน สถานที่ ตำแหน่ง อาหาร การจราจร ทั้งหมดนี้มันคือข้อมูลที่มีค่ามหาศาล

มีสถานที่ลงทะเบียนถึง 85 ล้านแห่ง และคนรักข้อมูลพวกนี้มากในทุกวันนี้ จนเจ้าของธุรกิจเริ่มเข้าหาพวกเขาด้วยคำถามเกี่ยวกับตลาด

ในปี 2014 Crowley จึงเลิกสร้างแพลตฟอร์มเพื่อเน้นการใช้งานแบบเครือข่ายโซเชียลมีเดียเพียงอย่างเดียว Foursquare จะช่วยเหลือธุรกิจ นักโฆษณา แบรนด์ และนักพัฒนาทั้งหมดผ่านข้อมูลของพวกเขา

เพื่อบรรลุเป้าหมายใหม่ Foursquare แยกตัวและปล่อย Swarm เครือข่ายสังคม ที่ยังเน้นการเช็คอิน แต่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่างเพื่อนสนิทและเครือข่าย ส่วนอีกแอปคือ Foursquare City Guides ที่เป็นคู่แข่ง Yelp ผู้ใช้เช็คอินและรีวิวสถานที่

ดูเหมือนว่าการแยกจะได้ผล แต่ก่อนการตัดสินใจ ยอดดาวน์โหลด Foursquare ใน App Store ลดฮวบ แต่หลังการแยกยอดดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นและเกิดกระแสคุยเกี่ยวกับการเปิดตัวแอปใหม่นี้

Swarm ติดอันดับใน 10 อันดับแรกช่วงสิงหาคม 2014 แต่กระแสดับสนิทเร็วมาก ภายในเดือนกันยายน มันตกต่ำกว่าอันดับ 1,000 ทั้งใน iOS และ Android Foursquare ก็เจอชะตากรรมคล้ายกัน ดูเหมือนจุดจบใกล้มาถึง

เป็นเวลาหลายปีที่บริษัทได้ปรับปรุงข้อมูล เครื่องมือ และเทคโนโลยี รายได้จะมาจากการให้ใบอนุญาต ทำให้ตัวของ Crowley ต้องก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ในปี 2016 และให้ Jeff Glueck เข้ามากุมบังเหียนแทน

Foursquare ก็กำลังหายไปจากสายตาโลกภายนอก เว้นแต่กลุ่มผู้ใช้ที่สนใจรีวิวและเยี่ยมชมสถานที่นั้นจริงๆ ฝั่งของ Swarm ก็มีผลงานไม่ดีนัก แม้แต่ Crowley เองก็ยอมรับในปี 2017 ว่าเขาไม่ได้ใช้มันมากในฐานะเครือข่ายสังคม

แต่ Crowley มีอาวุธลับเรียกว่า Pilgrim ซึ่งเป็นชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ตรวจจับว่าโทรศัพท์กำลังเคลื่อนที่เข้าออกจากสถานที่โดยอัตโนมัติ โดยผู้ใช้ไม่ต้องกดเช็คอิน

การขาย Pilgrim มีความหมายสุดๆ การติดตามอัตโนมัติทำนายแนวโน้มและแสดงพฤติกรรมผู้ใช้ได้แม่นยำกว่า และ Pilgrim เป็นของ Foursquare ที่ไม่ได้เป็นของยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook หรือ Google ทำให้น่าดึงดูดสำหรับผู้ใช้บางประเภท

ภายในปี 2018 ข้อมูล Foursquare มี 3 พันล้านการเข้าชม และมีคน 25 ล้านคนทั่วโลกเลือกให้ติดตามข้อมูลตลอดเวลา อีกปีต่อมา นักพัฒนา 150,000 คนใช้เทคโนโลยีของพวกเขา ซึ่งนั่นคือเงินมหาศาล

ในปี 2019 Foursquare ควบรวมกับบริษัทข้อมูล Factual และ Placed และด้วยบริษัทเหล่านี้ มันสร้างชื่อเป็นยักษ์ใหญ่ด้านข้อมูล นี่หมายถึงโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งเสียที

ข้อมูลและซอฟต์แวร์ของ Foursquare ตอนนี้ช่วยให้แอปต่างๆ ทำงาน เช่น Microsoft, Samsung, Twitter และ Uber

ไตรมาส 4 ปี 2020 บริษัทมีกำไรครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ และในปี 2019 พวกเขามีรายได้มากกว่า 150 ล้านดอลลาร์

ในขณะที่เราเชื่อว่า Foursquare ล้มเหลวในฐานะเครือข่ายสังคม และมันดูเหมือนจะล้มเหลวจริงๆ แต่พวกเขาสามารถสร้างตัวเองขึ้นใหม่ได้

สรุปแล้วพวกเราทุกคนยังคงเป็นส่วนหนึ่งของ Foursquare ในแบบที่เราไม่เคยคาดคิด เราเพียงแค่ไม่รู้ตัวว่าเรากำลังใช้มันอยู่ทุกวัน ผ่านแอปและบริการต่างๆ ที่พึ่งพาข้อมูลของพวกเขา

เรื่องราวของ Foursquare สอนบทเรียนล้ำค่าเกี่ยวกับการปรับตัวและการค้นพบคุณค่าที่แท้จริงในสิ่งที่คุณมี บางครั้ง ‘ความล้มเหลว’ ที่โลกมองเห็น อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความสำเร็จครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

การที่ Crowley กล้าปฏิเสธข้อเสนอหลายร้อยล้าน และเปลี่ยนทิศทางบริษัทอย่างสิ้นเชิง พิสูจน์ให้เห็นว่าบางครั้งการยอมแพ้ในสิ่งที่เราสร้างมากับมือ อาจนำไปสู่โอกาสที่ดีกว่า

และใครจะรู้ เผลอๆ ตอนนี้คุณอาจกำลังใช้เทคโนโลยีของ Foursquare อยู่ผ่านแอปโปรดของคุณโดยไม่รู้ตัว มันแสดงให้เห็นว่าในโลกดิจิทัล ความสำเร็จอาจไม่ได้มาในรูปแบบที่คาดหวังเสมอไป บางครั้งมันอาจซ่อนอยู่เบื้องหลังฉาก ขับเคลื่อนโดยข้อมูลและนวัตกรรมที่เราแทบไม่สังเกตเห็น

References : [mashable, techcrunch, fastcompany, forbes, businessinsider]

จากวิศวกร Audi สู่ผู้ปฏิวัติรถยนต์จีน Wan Gang บิดาแห่งรถไฟฟ้า ผู้ท้าชน Elon Musk

ผมว่าหลายคนคงแทบไม่เคยได้ยินชื่อของ Wan Gang ที่เรียกได้ว่าเปรียบเสมือน Godfather แห่งรถยนต์ไฟฟ้าประเทศจีน แต่ถ้าพูดถึง Elon Musk เชื่อว่าทุกคนรู้จักดี ทั้งที่จริงๆ แล้ว Wan Gang อาจเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อวงการยานยนต์ไฟฟ้าโลกมากกว่าซะอีก

ลองนึกภาพชายร่างเล็กคนหนึ่ง เมื่อเขาพูด ทุกคนในห้องประชุมที่เซี่ยงไฮ้ต่างตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ รอบโต๊ะมีผู้บริหารจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง General Motors, Ford, Tesla และอีกหลายแบรนด์จีน แค่คำพูดของเขาก็สามารถเปลี่ยนชะตาบริษัทเหล่านี้ได้เลยทีเดียว

ในงาน China Auto Forum ปี 2019 เพียงสามเดือนหลังจาก Tesla เริ่มสร้างโรงงานในเซี่ยงไฮ้ ทุกคนกำลังจับตาการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่สู่ยุคไฟฟ้า หลายคนเชื่อว่าถ้าใครจะทำให้รถไฟฟ้าประสบความสำเร็จได้ ต้องเป็น Elon Musk แต่เบื้องหลังความสำเร็จของวงการนี้ Wan Gang อาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่กว่า

เรื่องของ Musk และ Tesla เป็นตำนานที่ใครๆ ก็รู้ ตั้งแต่เริ่มต้นในซิลิคอน วัลเลย์ปี 2003 จนถึงการเข้ามาเป็นซีอีโอในปี 2008 และการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนปัจจุบันขายรถได้กว่าล้านคันต่อปี แม้ Model 3 รุ่นถูกที่สุดก็ยังมีราคาเกิน 35,000 ดอลลาร์

ส่วน Wan Gang นั้นแทบไม่มีใครรู้จัก แต่การก้าวขึ้นมาในวงการรถไฟฟ้าของเขาเริ่มพร้อมกับ Musk การได้เป็นรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์จีนในปี 2007 ทำให้เขาวางนโยบายที่สร้างบริษัทจีนนับร้อยในธุรกิจนี้ ปัจจุบันจีนขายรถไฟฟ้ามากกว่า 6 ล้านคันต่อปี ทั้งรุ่นหรูและรุ่นราคาถูกต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์

ในขณะที่ Musk ต้องต่อสู้กับความสงสัยของ Wall Street และพึ่งเงินอุดหนุนจากรัฐบาล Wan แสดงให้เห็นว่านโยบายที่ถูกต้องสามารถขับเคลื่อนการปฏิวัติเทคโนโลยีไม่เพียงในจีนแต่ทั่วโลก ทั้งสองคนอยู่แถวหน้าของการผลักดันโลกสู่ยุคเศรษฐกิจใหม่ แต่คนที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงกลับมีผลกระทบมากกว่า

ในช่วงกลางยุค 60 Wan ที่ยังเป็นวัยรุ่นพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางการปฏิวัติวัฒนธรรมของเหมา เจ๋อตง กองทัพแดงข่มเหงชนชั้นสูงอย่างครอบครัวของเขา มหาวิทยาลัยถูกปิด นักศึกษาถูกส่งไปชนบทเพื่อ “การศึกษาใหม่”

เด็กหนุ่มจากเซี่ยงไฮ้อย่าง Wan ถูกส่งไปที่หมู่บ้านดงกัวใกล้ชายแดนเกาหลีเหนือ ทำงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานกับวัยรุ่นคนอื่นๆ จากเมือง การทำงานของเขาดึงดูดความสนใจจากพรรคท้องถิ่น จนได้รับเลือกเป็นหัวหน้าทีมในปี 1974

หลังเหมาเสียชีวิตในปี 1976 มหาวิทยาลัยเปิดอีกครั้ง Wan ได้เรียนฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยในแถบตะวันออกเฉียงเหนือ และต่อด้วยวิศวกรรมเครื่องกลที่มหาวิทยาลัย Tongji ในเซี่ยงไฮ้ เขาเรียนได้ดีมาก ๆ จนได้ทุนจากธนาคารโลกไปเรียนต่อปริญญาเอกในเยอรมนี

ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี Clausthal เขาศึกษาวิธีลดเสียงเครื่องยนต์สันดาปภายใน ช่วงนั้นอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงหลังวิกฤตน้ำมันทศวรรษ 70 อุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมันกำลังต้องการวิศวกรเก่งๆ อย่าง Wan

Wan ได้รับข้อเสนองานมากมาย แต่เลือก Audi ที่เล็กที่สุดในบรรดาบริษัทใหญ่เยอรมัน ด้วยมองว่ามีโอกาสก้าวหน้ามากกว่า เริ่มงานในแผนกพัฒนารถยนต์ แก้ปัญหาเทคนิคในการออกแบบและผลิต

หลังผ่านไปห้าปีเขารู้ว่าการไต่เต้าใน Audi ต้องแสดงความสำเร็จในหลายแผนก จึงย้ายไปฝ่ายผลิต เน้นที่การพ่นสีรถ และได้เป็นหัวหน้าแผนกที่มีพนักงานกว่า 2,000 คน เขาใช้เทคนิคที่เรียนรู้จากดงกัว เช่น ถือเบียร์สองขวดไปคุยกับพนักงานในวันเกิด

ความพยายามนี้ได้ผลเข้าท่า Audi เลื่อนตำแหน่งให้เขาไปยังแผนกวางแผนกลาง ดูแลกระบวนการผลิตที่ผลิตรถหนึ่งคันทุก 60 วินาที แต่ Wan ยังคอยจับตาบ้านเกิดอย่างใกล้ชิด

เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำจีนหลังเหมา เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจจีน รวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ที่แทบไม่มี เปิดรับบริษัทต่างชาติมาร่วมทุนกับบริษัทในประเทศ Audi กลายเป็นที่โปรดปรานของชนชั้นนำจีน

ในการเยือนจีนกับ Audi Wan สังเกตว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมเพิ่มมลพิษและการพึ่งพาน้ำมันนำเข้า จีนบริโภคน้ำมันหนึ่งบาร์เรลต่อคนต่อปี ขณะที่เยอรมนีใช้ 12 บาร์เรล และสหรัฐฯ 20 บาร์เรล

Wan ต้องการให้คนจีนมีชีวิตดีเหมือนที่เขาได้รับในเยอรมนี แต่ด้วยประชากรมหาศาล จีนอาจจ่ายค่านำเข้าน้ำมันไม่ไหว ทางออกคือพัฒนารถที่ใช้พลังงานอื่นนอกจากน้ำมัน

ปี 2000 Wan ได้แบ่งปันความคิดกับผู้นำจีน จู หลี่หลาน รัฐมนตรีวิทยาศาสตร์จีนเยือน Audi ในเยอรมนี เขาเสนอว่าแทนที่จะปรับปรุงเครื่องยนต์เดิม จีนควรก้าวกระโดดด้วยเทคโนโลยีใหม่

เวลานั้นสหรัฐฯ ผลิตรถ 15 ล้านคันต่อปี จีนแค่ 700,000 คัน แต่บริษัทอย่าง BMW, GM และ Toyota เริ่มพัฒนารถไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่หรือไฮโดรเจน ไม่ก่อมลพิษอนุภาคและลดก๊าซเรือนกระจก Wan เชื่อว่านี่คืออนาคตของรถยนต์โดยสาร

หากจีนเป็นผู้นำรถไฟฟ้าในทศวรรษหน้า ประเทศจะกลายเป็นศูนย์กลางรถไฟฟ้าโลก จูเชิญ Wan กลับจีนเสนอแนวคิดต่อสภาแห่งรัฐ องค์กรปกครองสูงสุด Wan รู้ว่าถ้าสำเร็จจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์จีน

ไม่กี่เดือนต่อมา Wan ย้ายกลับจีน ภายใต้มหาวิทยาลัย Tongji ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์หลักในโครงการลับด้านเทคโนโลยียานยนต์ขั้นสูง โน้มน้าวสมาชิกสำคัญของสภาแห่งรัฐให้วางนโยบายส่งเสริมการขนส่งพลังงานทางเลือก

ปี 2009 เขาเปิดโครงการยานยนต์พลังงานใหม่ที่จะปฏิรูปอุตสาหกรรมรถยนต์จีน ความสามารถทางการเมืองของเขามีความสำคัญยิ่ง Levi Tillemann เขียนใน The Great Race ปี 2015 ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ไม่เคยแข่งขันได้ระดับนานาชาติโดยไม่มีการแทรกแซงของรัฐบาล

แนวทางนโยบายอุตสาหกรรมของจีน ที่ใช้เงินอุดหนุนและกฎระเบียบ เป็นวิธีพิสูจน์แล้วในการกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์ แผนของ Wan ยิ่งใหญ่กว่านั้น เขาตั้งใจสร้างผู้ผลิตรถยนต์ที่จะทิ้งเครื่องยนต์สันดาปภายในและทุ่มเทไปที่การขนส่งไร้มลพิษ

Wan ได้เป็นรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์จีนก่อนโอลิมปิก 2008 ที่ปักกิ่งหนึ่งปี พรรคคอมมิวนิสต์ประกาศว่านี่จะเป็นโอลิมปิก “สีเขียว” ครั้งแรก ปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงงานหลายสัปดาห์

Wan มีเส้นตายตั้งแต่ดูแลโครงการยานยนต์ขั้นสูงปี 2000: ต้องผลิตรถบัสและรถยนต์ไฟฟ้าให้ทันโอลิมปิก 2008 เป็นแผนที่มีความทะเยอทะยานมาก: มีรถไฟฟ้า 1,000 คันพร้อมสำหรับการแข่งขัน

ปี 2007 Wan มีสถาบันวิจัยและพันธมิตรอุตสาหกรรมมากมาย แต่จีนยังไม่ได้รับการพัฒนาเทคโนโลยีที่จำเป็น แทนที่จะยอมแพ้ รัฐบาลลดเป้าหมาย บริษัทย่อย BAIC จะผลิตรถบัสไฟฟ้า 50 คัน และ Chery ผลิตรถไฮบริด 50 คัน

Chery ต้องจ้าง Ricardo บริษัทที่ปรึกษาจากอังกฤษช่วย พัฒนาระบบติดตั้งกับ Chery A5 ที่สลับระหว่างเครื่องยนต์เบนซินและมอเตอร์ไฟฟ้าอัตโนมัติ แต่อัลกอริทึมสลับโหมดเริ่มช้าเกินไป ต้องฝึกคนขับเฉพาะที่สลับโหมดเองได้

รถบัส BAIC ทำงานดี แต่เลิกใช้ภายในสามปีเพราะแบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยระหว่างโอลิมปิก โลกยังหลงใหลกับความยิ่งใหญ่ของมหกรรมกีฬา

หลังนักกีฬากลับบ้าน โรงงานเริ่มเดินเครื่องอีกครั้ง ข้อจำกัดการใช้รถถูกยกเลิก หมอกควันกลับมา ปี 2009 จีนแซงสหรัฐฯ เป็นตลาดรถใหญ่ที่สุดในโลก ขายรถกินน้ำมัน 13 ล้านคัน มลพิษแย่ลง รัฐบาลเริ่มเปิดเผยข้อมูลคุณภาพอากาศ

การเปิดเผยตัวเลขเป็นเรื่องแปลก แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่คำนวณไว้ ปี 2014 หลี่ เค่อเฉียง นายกฯ จีนใช้ข้อมูลนี้ประกาศสงครามต่อต้านมลพิษ รัฐบาลให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิตรถไฟฟ้า

กระทรวงของ Wan ทำงานกับรัฐบาลท้องถิ่นออกกฎควบคุมจำนวนรถใหม่ ชาวเมืองที่อยากได้ป้ายทะเบียนรถน้ำมันต้องจับฉลากหรือประมูล บางครั้งแพงกว่าตัวรถ แต่ยานยนต์พลังงานใหม่ใช้หลักมาก่อนได้ก่อน

ปี 2011 จีนขายรถไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดประมาณ 1,000 คัน ปี 2022 พุ่งเป็น 7 ล้านคัน กลายเป็นตลาดรถไฟฟ้าใหญ่ที่สุดในโลก บางปีเติบโต 300% รถไฟฟ้าคิดเป็น 25% ของยอดขายรถทั้งหมด สูงกว่าเป้ารัฐบาล 20% สำหรับปี 2025

อนาคตรถยนต์ในจีนคือไฟฟ้าแน่นอน และการผลักดันของประเทศเร่งการใช้ไฟฟ้าในการขนส่งทั่วโลก ปี 2018 หวัง จื้อกัง รับตำแหน่งรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ต่อจาก Wan แต่ผลงานของเขาชัดเจนแล้ว

ระหว่างปี 2009-2017 รัฐบาลจีนใช้เงินกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์ในด้านรถไฟฟ้า มากกว่ามูลค่าตลาดของ GM ที่ผลิตรถ 8 ล้านคันต่อปี เงินที่พรรคคอมมิวนิสต์ใช้ให้ผลตอบแทนแล้ว

การผลักดันของ Wan สร้าง BYD ผู้ผลิตรถไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก มี Warren Buffett ที่เคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ขายทั้งรถยนต์และรถบัสไฟฟ้า มีโรงงานในแคลิฟอร์เนียและออนแทรีโอที่ผลิตรถบัสได้กว่า 1,000 คันต่อปี

ปัจจุบันจีนมีห่วงโซ่อุปทานรถไฟฟ้าครบวงจร จากโลหะทำแบตเตอรี่ไปจนถึงซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อน ที่สำคัญมีคนที่บริหารห่วงโซ่ทุกระดับ บริษัทรถไฟฟ้าจีนมั่งคั่งพอดึงพนักงานจากบริษัทระหว่างประเทศได้

ประเทศอื่นพยายามไล่ตาม สหรัฐฯ ออกกฎหมายสร้างแรงจูงใจ 100,000 ล้านดอลลาร์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ยุโรปมีแผนรถไฟฟ้าแบบจัดเต็ม เกณฑ์การปล่อยมลพิษบังคับให้ผู้ผลิตขายเฉพาะรถไฟฟ้าในทศวรรษหน้า

ช่วงที่ Wan เป็นรัฐมนตรี ทุกประเทศลงนามข้อตกลงปารีสปี 2015 รถไฟฟ้าเป็นทางออกสำคัญด้านสภาพภูมิอากาศ จีนแสดงว่าขยายเทคโนโลยีนี้ได้เร็ว หลายประเทศห้ามขายรถน้ำมันใหม่ภายในปี 2040 ตลาดกว่า 20% ของยอดขายรถโลกต้องเลิกใช้รถสันดาปภายในสมบูรณ์

Wan Gang และจีนแสดงให้เห็นว่า การสร้างเทคโนโลยีสีเขียวต้องมีนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล การลงทุนมหาศาลทั้งภาครัฐและเอกชน และเสริมพลังผู้ประกอบการ หากทำถูกทาง ก็สามารถความได้เปรียบทางเทคโนโลยีเหนือประเทศอื่น

เรื่องราวของ Wan Gang ไม่ใช่แค่ตำนานความสำเร็จของชายคนหนึ่ง แต่เป็นบทเรียนว่าวิสัยทัศน์และนโยบายที่แน่วแน่สามารถขีดเขียนชะตาใหม่ให้กับประเทศและโลกได้อย่างไร ในขณะที่เราเทิดทูน Elon Musk อย่าลืมมองเบื้องหลังความสำเร็จของจีน ที่ Wan Gang เป็นผู้รังสรรค์ขึ้นมา

บางทีความเจ๋งของ Wan อาจไม่ได้อยู่ที่การสร้างรถไฟฟ้ารุ่นแรก แต่เป็นการวางรากฐานทั้งระบบที่ทำให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตอย่างยั่งยืน เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับทุกประเทศที่ต้องการปฏิวัติอุตสาหกรรมของตัวเอง และเป็นแรงบันดาลใจให้เรารู้ว่า บางครั้งคนที่อยู่เบื้องหลังที่เราไม่ค่อยได้ยินชื่อ อาจเป็นผู้เปลี่ยนโลกได้มากกว่าที่คิด

References: [economist, techcrunch, bloomberg, scmp, nature, weforum]