ทำไม Musk ชนะ แต่ Bezos พ่ายแพ้ในจีน? Amazon vs Tesla บทเรียนล้ำค่าจากยักษ์อเมริกันในแดนมังกร

การบุกตลาดจีนถือเป็นเป้าหมายใหญ่ของบริษัทระดับโลกหลายแห่ง เพราะตลาดที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแห่งนี้มีกำลังซื้อมหาศาล

คาดว่าภายในปี 2030 การใช้จ่ายของผู้บริโภคจีนจะพุ่งเป็นสองเท่า แตะระดับ 13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเทียบเท่ากับที่ชาวอเมริกันใช้จ่ายอยู่ในปัจจุบัน

แต่ก็ต้องบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หลายบริษัทต่างชาติประสบปัญหาในการทำความเข้าใจตลาดที่ลึกลับซับซ้อนแห่งนี้ และนี่คือเรื่องราวของ Amazon และ Tesla สองยักษ์ใหญ่อเมริกันที่มีชะตากรรมต่างกันราวฟ้ากับเหวในแดนมังกร

ย้อนกลับไปปี 2004 Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon ตัดสินใจเข้าตลาดจีนด้วยการซื้อเว็บไซต์ช้อปปิ้งท้องถิ่น Joyo .com มูลค่า 75 ล้านดอลลาร์

Bezos มั่นใจมากว่าสูตรที่ทำให้ประสบความสำเร็จในอเมริกาจะใช้ได้ผลในจีนเช่นกัน หลังการซื้อกิจการ Amazon เปลี่ยนชื่อเว็บไซต์เป็น Amazon China หรือ Amazon .cn ในปี 2011

ช่วงแรก Amazon มีส่วนแบ่งการตลาดที่น่าพอใจ โดยในปี 2012 ครองตลาดประมาณ 15% แต่หลังจากนั้นกลับดิ่งลงเหวอย่างรวดเร็วเหลือไม่ถึง 1% ในปี 2018 จนนำไปสู่การปิดตัว e-commerce ในจีนปี 2019

ฝั่ง Tesla ภายใต้การนำของ Elon Musk กลับมีเส้นทางที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง แม้จะเข้าตลาดช้ากว่ามาก โดยเริ่มจากการสร้างโรงงาน Gigafactory ในเซี่ยงไฮ้ปี 2019

Tesla เป็นผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติรายแรกที่ได้รับอนุญาตให้สร้างโรงงานในจีนโดยไม่ต้องมีพันธมิตรท้องถิ่น การก่อสร้างโรงงานเสร็จสิ้นในเวลาเพียง 168 วันทำการ หรือประมาณหกเดือนเพียงเท่านั้น

Musk พูดชื่นชมจีนอยู่เสมอว่า “จีนยอดเยี่ยมในความคิดของผม พลังงานในจีนยอดเยี่ยม ผู้คนที่นั่นมีคนฉลาดและขยันมาก” การแสดงความชื่นชมอย่างจริงใจและต่อเนื่องสร้างความประทับใจให้ผู้นำและประชาชนจีนเป็นอย่างมาก

มันเป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนว่า Amazon เน้นซื้อกิจการท้องถิ่นแล้วยัดเยียดโมเดลธุรกิจแบบอเมริกันให้ตลาดจีน ส่วน Tesla เลือกลงทุนโดยตรงและใส่ใจสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนอย่างจริงจัง

Amazon .cn เริ่มดำเนินงานในจีนท่ามกลางการแข่งขันสุดโหดเหี้ยมจากยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba และ JD .com ซึ่งทั้งสองเป็นเจ้าของและดำเนินกิจการ e-commerce ที่ใหญ่และได้รับความไว้วางใจสูงสุดในประเทศ

ปัญหาใหญ่คือ Amazon ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับรสนิยมของผู้บริโภคชาวจีนได้เลย ยังคงใช้การออกแบบเว็บไซต์เรียบๆ และเหมือนกันทั่วโลก

ในขณะที่เว็บไซต์ของ Tmall และ JD เต็มไปด้วยสีสันสดใสและบรรยากาศเทศกาล ชาวอเมริกันอาจชอบดีไซน์เรียบง่าย แต่นั่นไม่ถูกใจคนจีนอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ Amazon ยังแพ้ราบคาบบนแพลตฟอร์มมือถือ ทั้งที่ในช่วงปี 2017 การช้อปปิ้งผ่านสมาร์ทโฟนในจีนมีสัดส่วนสูงถึง 84% ของการซื้อขายออนไลน์ทั้งหมด

อีกจุดสำคัญคือระบบการชำระเงิน เมื่อ Alibaba พัฒนา Alipay ทำให้ผู้ใช้จ่ายเงินแบบดิจิทัลได้สะดวกสุดๆ แต่ Amazon ยังคงให้ลูกค้าจ่ายเงินสดเมื่อรับสินค้า ซึ่งมันไม่เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคชาวจีนยุคใหม่เอาซะเลย

ที่แย่ไปกว่านั้น Amazon China พึ่งพาคำสั่งจากสำนักงานใหญ่ในซีแอตเทิลมากเกินไป ทำให้ตอบสนองต่อตลาดล่าช้าสุดๆ การตัดสินใจส่วนใหญ่ต้องผ่านสำนักงานใหญ่

ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดอาจจะเป็นการที่ Jeff Bezos ไม่สนใจสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีน ผู้บริหาร Amazon .cn บอกว่า Bezos ไม่แคร์ที่จะเข้าใจกลไกภายในของรัฐบาลจีน หรือสร้างสัมพันธ์กับผู้นำท้องถิ่น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับความสำเร็จในประเทศนี้

ตรงกันข้ามกับ Elon Musk ที่ทุ่มเทสร้างความสัมพันธ์ดีๆ กับเจ้าหน้าที่และรัฐบาลจีน เช่น พาทูตจีนประจำสหรัฐฯ ไปทดลองขับ Model S Plaid หรือโพสต์ชื่นชมโครงการอวกาศและการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนบนบัญชี Weibo ของเขา

Tesla ยังเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาดจีนอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ยัดเยียดโมเดลธุรกิจจากอเมริกา บริษัทตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในเซี่ยงไฮ้ และให้อิสระทีมงานในจีนตัดสินใจ ทำให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว

จีนเห็นความสำคัญของ Tesla เห็นได้จากตอนที่เกิดล็อกดาวน์ในเซี่ยงไฮ้ช่วงปี 2022 รัฐบาลจีนจัดให้ Tesla เป็นหนึ่งใน 600 ธุรกิจสำคัญที่ได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการเป็นลำดับแรก

ทางการยังจัดรถบัสพิเศษขนส่งพนักงานและช่วยดำเนินมาตรการฆ่าเชื้อตามที่กำหนด ถือว่า Tesla ได้รับการเทิดทูนเป็นอย่างมากในประเทศจีน

ปัจจุบันสถานการณ์ของสองบริษัทนี้ในจีนต่างกันราวฟ้ากับดิน Amazon ได้ปิดตัวไปแล้ว เหลือเพียงบริการ Amazon Web Services, Kindle e-books และการค้าข้ามพรมแดนเท่านั้น

แต่ที่น่าสนใจก็คือ แม้ Amazon จะออกจากจีน แต่กลับมีผู้ขายชาวจีนจำนวนมากประสบความสำเร็จบน Amazon ทั่วโลก ปัจจุบันผู้ขายจากจีนมีสัดส่วนกว่า 36% ของผู้ขายรายใหญ่บน Amazon ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 15% เมื่อสองปีก่อน

ส่วน Tesla ในจีนใช้กลยุทธ์การตลาดที่แตกต่างสุดๆ โดยไม่มีแผนกการตลาดเฉพาะเลย เนื่องจาก Musk เน้นอัดฉีดทรัพยากรเพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และปล่อยให้สินค้าพูดแทนตัวเอง

นอกจากนี้ยังใช้ประโยชน์จากตัว Musk เองที่เป็นที่สนใจบนโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างกระแสและการรับรู้ ถือเป็นกลยุทธ์ที่ประหยัดแต่ได้ผลเยี่ยม

อย่างไรก็ตาม ช่วงหลังๆ Tesla เริ่มเจอความท้าทายในตลาดจีน ยอดขายลดฮวบต่อเนื่องห้าเดือนติดกันเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยในกุมภาพันธ์ 2025 ยอดจัดส่งรถลดลงถึง 49% เหลือเพียง 30,688 คัน

สาเหตุสำคัญมาจากการแข่งขันที่ดุเดือดจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยเฉพาะจาก BYD ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด

แม้จะมีความท้าทาย แต่ Tesla ยังมีฐานมั่นคงในจีน โดยมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ที่ 11.47% และคิดเป็น 7.48% ของตลาดยานพาหนะพลังงานใหม่ของจีน

ยอดขายในปี 2024 เพิ่มขึ้น 8.8% เป็นสถิติสูงสุดที่ 657,000 คัน แม้ว่าส่วนแบ่งตลาดจะลดลงเล็กน้อยจาก 11.7% เหลือ 10.4% ก็ตาม ซึ่งถือว่ายังอยู่ในตำแหน่งที่ดีของตลาดนี้

ความเจ๋งของ Tesla ในจีนเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลท้องถิ่น การลงทุนวิจัยและพัฒนาในประเทศ

การให้อิสระทีมงานในจีนตัดสินใจ และการเข้าใจความต้องการผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง ซึ่งล้วนเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับบริษัทต่างชาติที่หมายปองตลาดจีน

แต่สถานการณ์ล่าสุดทำให้ Tesla เผชิญความท้าทายมากขึ้น เนื่องจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่รุนแรงขึ้น

โดยเฉพาะเมื่อ Musk ได้รับบทบาทสำคัญในคณะรัฐบาลของประธานาธิบดี Trump ทำให้ต้องรักษาสมดุลทางการเมืองอย่างระมัดระวัง ไม่ให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์กับทั้งสองประเทศ

แม้ว่า BYD จะไล่ตาม Tesla อย่างรวดเร็ว แต่ความสัมพันธ์ที่ดีที่ Musk สร้างไว้กับจีน รวมถึงการลงทุนในโรงงานและเทคโนโลยีภายในประเทศ ทำให้ Tesla ยังได้เปรียบเหนือคู่แข่งจากต่างประเทศรายอื่น

เรื่องของ Amazon และ Tesla ในจีนสะท้อนให้เห็นว่าการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศต้องการมากกว่าเงินทุนและแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การเข้าใจวัฒนธรรม การปรับตัวให้เข้ากับความต้องการท้องถิ่น และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลล้วนเป็นปัจจัยสำคัญ

ในที่สุดแล้ว ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่สินค้าหรือบริการที่ดี แต่ยังรวมถึงความสามารถในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างแท้จริง

ไม่ใช่แค่เข้าไปหวังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แล้วถอนตัวเมื่อไม่เป็นไปตามคาด แต่ต้องฝ่าฟันต่อสู้และปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย

หากไม่พร้อมเผชิญความท้าทายเหล่านี้ การเข้าไปลงทุนในจีนอาจกลายเป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ หรือแย่กว่านั้นคือการสูญเสียทั้งเงินทุนและโอกาสในหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก

References : [ecommercedb, cnbc, ti-insight, linkedin]

Geek Story EP371 : ทำไม GeoCities ถึงหายไป? จากมหานครดิจิทัลสู่เมืองร้างที่ถูกลืม

ย้อนกลับไปในยุค 1990 มีสถานที่หนึ่งบนอินเทอร์เน็ตที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านให้กับผู้คนนับล้าน เป็นมหานครดิจิทัลที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา มีถนนหนทางเป็นลิงก์ มีอาคารบ้านเรือนเป็นเว็บเพจส่วนตัว และมีย่านต่างๆ ที่แบ่งตามความสนใจของผู้คน สถานที่นั้นมีชื่อว่า GeoCities

ช่วงปลายทศวรรษ 1990 เป็นยุคทองของ GeoCities ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์กลางของวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตยุคแรก ในเวลานั้น การสร้างเว็บไซต์เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคสูง แต่ GeoCities เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง พวกเขาเสนอพื้นที่ฟรีและเครื่องมือง่ายๆ ที่ทำให้คนทั่วไปสามารถสร้างเว็บเพจของตัวเองได้โดยไม่ต้องมีความรู้เรื่องการเขียนโค้ด HTML ที่ซับซ้อน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/2fs8wvsm

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3kcbxery

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/yaw9mfx2

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/at50boTxcm0

Geek Story EP370 : Chainsaw Carly กับ CEO ที่ถูกเกลียดที่สุดในประวัติศาสตร์ HP

ก่อนที่ Carly Fiorina จะเข้ามาเป็น CEO HP เป็นบริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งและเป็นที่เคารพนับถือ หลังจากก่อตั้งในปี 1939 จากโรงรถเล็กๆ บริษัทได้เติบโตจนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในช่วงทศวรรษ 1990 HP เริ่มเผชิญกับความท้าทายที่รุนแรง

บริษัทมีหน่วยธุรกิจถึง 83 หน่วย แต่ละหน่วยต่างมุ่งเน้นเป้าหมายของตนเอง ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนและขาดประสิทธิภาพ วัฒนธรรมองค์กรที่เคยเป็นจุดแข็งกลับกลายเป็นอุปสรรค เมื่อพนักงานเริ่มคาดหวังโบนัสประจำโดยไม่คำนึงถึงผลงาน HP กำลังสูญเสียความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมให้กับคู่แข่งอย่าง Dell, IBM และ Apple

ในสถานการณ์เช่นนี้ คณะกรรมการบริษัทเชื่อว่า HP ต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พวกเขาต้องการผู้นำที่จะสามารถรวมทุกฝ่ายเข้าด้วยกันและนำพาบริษัทกลับสู่ความรุ่งเรือง และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ Carly Fiorina ก้าวเข้ามา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/yeyrw4pk

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/7wkx8vn8

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/v83t7m7wjDw