ย้อนกลับไปในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ วาติกันไม่ได้เป็นแค่ศูนย์กลางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลทางการเมืองเป็นอย่างมากในยุโรปด้วย พวกเขาปกครองดินแดนขนาดใหญ่ในอิตาลีตอนกลาง ที่เรียกว่ารัฐของสันตะปาปา
เพื่อรักษาอำนาจ วาติกันต้องการเงินเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจึงรังสรรค์วิธีระดมทุนมากมาย หนึ่งในนั้นคือการขายใบไถ่บาป ซึ่งเป็นเอกสารที่รับรองว่าพระเจ้าจะยกเว้นโทษบาปให้ผู้ซื้อ โดยตั้งราคาตามความร้ายแรงของบาป
วิธีนี้สร้างรายได้มหาศาลให้วาติกัน แต่ก็นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนกลายเป็นชนวนให้ Martin Luther ก่อการปฏิรูปศาสนาขึ้นมา เรียกได้ว่าความโลภนำมาซึ่งรอยร้าวครั้งใหญ่ในวงการศาสนาเลยทีเดียว
แต่ปัญหาทางการเงินที่หนักสุดๆ ของวาติกันเกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เมื่อกองกำลังฝรั่งเศสภายใต้การนำของ Napoleon Bonaparte บุกยึดกรุงโรม และยุติการปกครองของสันตะปาปา
สมเด็จพระสันตะปาปา Pius VI ถูกจับกุมและเสียชีวิตระหว่างถูกคุมขัง เหตุการณ์นี้เกือบทำให้คริสตจักรคาทอลิกล่มสลาย
หลังจากสงคราม Napoleonic จบลง วาติกันได้อำนาจการปกครองรัฐของสันตะปาปาคืนมา แต่สถานการณ์การเงินยังเละเทะมาก ด้วยความสิ้นไร้ไม้ตอก คริสตจักรจึงหันไปพึ่งพาตระกูล Rothschild ราชวงศ์ธนาคารผู้ทรงอิทธิพลในยุโรป
ในปี 1831 สมเด็จพระสันตะปาปา Gregory XVI ทรงตัดสินใจยืมเงินจากตระกูล Rothschild เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร James de Rothschild หัวหน้าสำนักงานใหญ่ในปารีส ได้รับแต่งตั้งเป็นนายธนาคารของสันตะปาปา
การตัดสินใจนี้ทำให้เจ้าหน้าที่คริสตจักรสายอนุรักษ์ทั้งหลายไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขารู้สึกว่าเป็นความอัปยศที่ต้องพึ่งพาคนในตระกูลนี้เพื่อความช่วยเหลือทางการเงิน
ตระกูล Rothschild ให้วาติกันกู้ 40 ล้านยูโรในมูลค่าปัจจุบัน และด้วยอิทธิพลของตระกูลนี้ คริสตจักรจึงเริ่มการปฏิรูปทางการเงินครั้งใหญ่
พวกเขาเริ่มขายพันธบัตรให้กับผู้ศรัทธาคาทอลิก และลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และหุ้นของธนาคารแห่งโรม ซึ่งทำกำไรได้มากมาย แผนการนี้ทำให้วาติกันก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดการเงิน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 วาติกันเผชิญกับความตึงเครียดทางการเงินอีกรอบ เพราะรายได้จากการบริจาคดิ่งลงเหว เยอรมนีเห็นความสำคัญของการมีวาติกันเป็นพันธมิตรจึงส่งเงินลับๆ ให้ผ่านธนาคารสวิส
พวกเขาติดฉลากว่าเป็น Peter’s Pence หรือเงินถวายนักบุญเปโตร นอกจากนี้ ออสเตรียก็อัดฉีดเงินลับๆ ให้ด้วย
จุดพีคของประวัติศาสตร์การเงินวาติกันเกิดขึ้นในปี 1929 เมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาลาเตรันระหว่างอิตาลีและวาติกัน ซึ่งทำให้นครรัฐวาติกันเป็นประเทศอธิปไตย
รัฐบาลอิตาลีจ่ายเงินชดเชยให้วาติกันเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้คริสตจักรต้องการผู้เชี่ยวชาญมาจัดการเงินก้อนโตนี้ Bernardino Nogara ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่นี้
Nogara เป็นนักการเงินมากความสามารถและมีเครือข่ายที่แน่น ภายใต้การนำของเขา วาติกันรอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้อย่างน่าทึ่ง
เขาใช้กลยุทธ์สุดเทพ ทั้งลงทุนในทองคำ อสังหาริมทรัพย์ และทำ arbitrage ในพันธบัตรรัฐบาล นอกจากนี้ยังจัดตั้งเครือข่ายบริษัทโฮลดิ้งเพื่อจัดการการลงทุนอย่างรอบคอบและลึกลับซับซ้อน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 วาติกันก่อตั้ง Istituto per le Opere di Religione หรือธนาคารวาติกัน ซึ่งดำเนินการอย่างลับๆ ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลการเงิน ไม่ต้องเสียภาษี และสามารถทำลายเอกสารได้ทุก 10 ปี
ธนาคารนี้กลายเป็นช่องทางสำหรับการซ่อนและฟอกเงิน มีข่าวฉาวโฉ่ว่าช่วยย้ายเงินของนาซีและช่วยผู้ลี้ภัยนาซีหลบหนีไปอเมริกาใต้
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 วาติกันใช้ประโยชน์จากการฟื้นฟูของยุโรปโดยลงทุนในอุตสาหกรรมก่อสร้างและธนาคาร ในช่วงนี้ Michele Sindona นักการเงินสุดแสบแต่ไร้จริยธรรม เข้ามามีบทบาทสำคัญ
Sindona มีความสัมพันธ์กับมาเฟียและช่วยคนรวยหลบเลี่ยงภาษี เขาร่วมมือกับ Roberto Calvi ผู้บริหารของ Banco Ambrosiano สร้างเครือข่ายธนาคารและบริษัท Offshore Holding เพื่อย้ายเงินวาติกันอย่างลับๆ
Paul Marcinkus ประธานธนาคารวาติกันขณะนั้น สนับสนุนกิจกรรมของ Sindona และ Calvi โดยหวังขยายธุรกิจของธนาคารวาติกันไปทั่วโลก แต่แผนการเงินของพวกเขาเริ่มพังพินาศในช่วงต้นทศวรรษ 1970
ธนาคาร Franklin National ของ Sindona ในสหรัฐอเมริกาล้มละลาย และการลงทุนของเขาในอิตาลีก็มีปัญหาหนัก Calvi พยายามเข้าควบคุมสินทรัพย์ของ Sindona แต่ก็เผชิญกับปัญหาทางกฎหมาย
ในปี 1982 Roberto Calvi ถูกพบเสียชีวิตในลอนดอน โดยถูกแขวนคอใต้สะพาน Blackfriars ซึ่งสงสัยว่าเป็นการฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับมาเฟีย
วาติกันยอมรับความผิดพลาดในการทำงานร่วมกับ Calvi และจ่ายเงิน 244 ล้านดอลลาร์ในการตกลงทางกฎหมายเกี่ยวกับ Banco Ambrosiano เรื่องอื้อฉาวนี้ทำให้การบริจาคให้วาติกันลดฮวบ จนคริสตจักรขาดดุลงบประมาณเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
Michele Sindona ถูกส่งตัวกลับไปอิตาลีในปี 1985 และเสียชีวิตในคุกจากการได้รับพิษไซยาไนด์ ซึ่งสงสัยว่าเป็นการลงโทษอย่างสาสมจากมาเฟีย Paul Marcinkus ถูกออกหมายจับโดยเจ้าหน้าที่อิตาลี แต่วาติกันปฏิเสธที่จะส่งตัวเขา
ในทศวรรษ 1990 ธนาคารวาติกันเผชิญกับการตรวจสอบและเรื่องอื้อฉาวที่ไม่เคยมีมาก่อน นำไปสู่การแต่งตั้ง Angelo Caloia เป็นประธานคนใหม่ของธนาคารวาติกัน โดยหวังว่าจะฟื้นฟูความไว้วางใจในสถาบัน
แต่ปัญหาใหญ่กว่ารออยู่ข้างหน้า ในปี 2002 เกิดเรื่องฉาวเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศโดยบาทหลวง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาพลักษณ์และการเงินของคริสตจักร มณฑลหลายแห่งต้องประกาศล้มละลายหรือขายทรัพย์สินเพื่อจ่ายค่าชดเชยให้กับเหยื่อ
ในปี 2013 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสขึ้นครองตำแหน่ง นำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่คริสตจักรคาทอลิก พระองค์ทรงนำเสนอแนวทางที่ถ่อมตนและเป็นประชานิยมมากขึ้น แตกต่างจากพระสันตะปาปาองค์ก่อนอย่างสิ้นเชิง
พระองค์ทรงละทิ้งความหรูหราแบบดั้งเดิมของตำแหน่งสันตะปาปาและมุ่งเน้นไปที่การเข้าถึงคนยากจนและคนชายขอบในสังคม แนวทางของพระองค์ต่อประเด็นที่มีการถกเถียง มีความครอบคลุมและเห็นอกเห็นใจมากขึ้น
ในช่วงต้นของการดำรงตำแหน่ง สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของคริสตจักร ดึงดูดทั้งชาวคาทอลิกและผู้ที่ไม่ใช่คาทอลิกทั่วโลกได้มากมาย
ผลกระทบเชิงบวกนี้ยังส่งผลดีต่อธนาคารวาติกันด้วย เนื่องจากการเข้าร่วมมิสซาที่เพิ่มขึ้นและการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครในองค์กรการกุศลคาทอลิก ทำให้ธนาคารวาติกันได้รับเงินบริจาคอีกครั้งในจำนวนที่ไม่เคยมีมาก่อน
ภายใต้การนำของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ธนาคารวาติกันได้เพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน โดยเริ่มเผยแพร่รายงานทางการเงินประจำปีอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นการปฏิรูปครั้งสำคัญที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มของจำนวนบาทหลวงทั่วโลก แม้ว่าจำนวนบาทหลวงในยุโรปและอเมริกาจะลดลง แต่กลับมีการเพิ่มขึ้นในแอฟริกาและเอเชีย สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ของการเติบโตภายในคริสตจักร
แม้จะมีวิกฤตการเงินและภาพลักษณ์ที่ปั่นป่วนในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา คริสตจักรคาทอลิกดูเหมือนจะเริ่มพบจุดยืนที่มั่นคงอีกครั้ง แต่เราต้องไม่ลืมว่าวาติกันยังคงเป็นองค์กรที่มีลักษณะพิเศษ
ในท้ายที่สุด เหล่าผู้นำและสมาชิกของคริสตจักรก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีความอ่อนแอและข้อบกพร่อง ตลอดประวัติศาสตร์ คริสตจักรได้มีส่วนร่วมในแนวปฏิบัติทางการเงินหลายอย่างที่อาจขัดแย้งกับหลักความเชื่อของคาทอลิก
ปัจจุบัน ประชากรคาทอลิกทั่วโลกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนถึง 1.406 พันล้านคนภายในสิ้นปี 2023 เพิ่มขึ้น 1.15% จากปีก่อนหน้า นี่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าแม้จะมีความท้าทายและวิกฤตมากมายในอดีต คริสตจักรคาทอลิกยังคงเป็นสถาบันที่ทรงอิทธิพล
การเดินทางทางการเงินของวาติกันตลอดหลายศตวรรษ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและความอยู่รอดขององค์กรศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก แม้จะมีช่วงเวลาที่มืดมนและการตัดสินใจผิดพลาด แต่คริสตจักรก็ฟื้นตัวและปรับเปลี่ยนตัวเองได้หลายครั้ง
ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เรื่องราวทางการเงินของวาติกันจะยังคงเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างศาสนา การเงิน และอำนาจในโลกสมัยใหม่ การดูว่าคริสตจักรจะฝ่าฟันความท้าทายเหล่านี้อย่างไรจะเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับเราทุกคน
References: [vaticannews, catholicnewsagency, americamagazine, theatlantic, economist]