เบื้องหลังหุ้นพุ่งทะยานของ Palantir ผู้ชนะที่แท้จริงในสงคราม เมื่อความขัดแย้งทั่วโลกคือเงินทองของพวกเขา

ทุกวันนี้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มักจะคุยโวโอ้อ้วยว่าพวกเขา “กำลังเชื่อมโยงโลก” แต่จริงๆ แล้วพวกเขากำลังทำอะไรกันแน่? หลายคนมองว่าพวกเขาแค่สร้างแพลตฟอร์มอย่าง Facebook , Instagram หรือ TikTok ที่ทำให้ผู้คนเสพติด

ท่ามกลางบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลาย มี Palantir ที่เป็นยูนิคอร์นจาก Silicon Valley ซึ่งมีผลการดำเนินงานเติบโตแบบก้าวกระโดดที่สุดในปีที่ผ่านมา หลายคนอาจคิดว่าพวกเขาทำบริการสตรีมมิ่ง แอปเช่าบ้าน หรือหูฟังไร้สาย

แต่ Palantir แตกต่างจากบริษัทเทคอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง พวกเขาพูดอย่างเปิดเผยว่า “เราสร้างห่วงโซ่การสังหารดิจิทัล” และ “ผลิตภัณฑ์ของเราถูกใช้เพื่อฆ่าผู้คน”

เว็บไซต์ของ Palantir อธิบายว่าพวกเขาทำงานเกี่ยวกับการใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์และส่งมอบผลลัพธ์ให้กับสถาบันที่ทรงพลังที่สุดของโลกตะวันตก ถึงจะฟังดูซับซ้อน แต่มีอย่างหนึ่งที่ชัดเจน นั่นคือพวกเขาทำเงินมหาศาล

หุ้นของ Palantir พุ่งทะยานอย่างไม่น่าเชื่อ พุ่งกระฉูดถึง 340% ในปี 2024 ทำให้บริษัทมีมูลค่ากว่า 250 พันล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับยักษ์ใหญ่อย่าง AT&T, IBM และ Cisco เลยทีเดียว

Sharon Weinberger บรรณาธิการด้านความมั่นคงแห่งชาติของ Wall Street Journal ผู้มีประสบการณ์โชกโชนกับอุตสาหกรรมการป้องกันของสหรัฐฯ กว่า 20 ปี เล่าว่า Palantir เริ่มต้นในปี 2003 ระหว่างสงครามต่อต้านการก่อการร้าย

ช่วงนั้นกองทัพอเมริกากำลังเผชิญปัญหาใหญ่ในอัฟกานิสถานและอิรัก นั่นคือระเบิด IEDs ที่กำลังฆ่าทหารในอัตราที่น่าสะพรึงกลัว Palantir จึงเสนอตัวเข้ามาช่วย

พวกเขารังสรรค์แนวคิดในการรวบรวมข้อมูลมหาศาลที่กระทรวงกลาโหมเก็บรวบรวมจากสนามรบ นำมาวิเคราะห์ในฐานข้อมูล เพื่อระบุผู้ก่อการร้าย ซึ่งเป็นแนวทางที่สุดยอดมากในยุคนั้น

ปัจจุบัน Palantir ได้พัฒนาตัวเองเป็น “ผู้แก้ปัญหา” ให้กับกระทรวงกลาโหม พวกเขาบอกว่า “คุณมีปัญหา เราจะแก้ไขมัน” เป็นการวางตำแหน่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง

สิ่งที่ทำให้ Palantir เจ๋งมาก ๆ คือความกล้าที่จะประกาศตัวว่าทำงานกับกองทัพ พวกเขาพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เราให้บริการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงกลาโหมทำสงคราม” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในปี 2003

Mark O’Mara นักประวัติศาสตร์และศาสตราจารย์ผู้ศึกษาการเมืองและธุรกิจอเมริกัน บอกว่า Palantir กำลังช่วยทำลายล้างระบบการทำสัญญาแบบดั้งเดิมของกระทรวงกลาโหม

ปกติแล้ว มีผู้รับเหมารายใหญ่เพียงไม่กี่รายที่ผูกขาดสัญญาขนาดใหญ่และมักมีค่าใช้จ่ายเกินงบประมาณ ทำให้งบกลาโหมบวมโต การมีบริษัทใหม่ๆ เข้ามาแข่งขันจึงเป็นเรื่องดี

Palantir ประสบความสำเร็จในการทำสัญญากับรัฐบาลอย่างมาก ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาจ้างพนักงานระดับสูงจากหน่วยงานรัฐบาลจำนวนมาก

ผู้บริหารระดับสูงของ Palantir หลายคนได้รับการแต่งตั้งโดย Trump ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล สร้างความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับรัฐบาล ทำให้ได้ข้อมูลจากคนวงในที่ทำงานในภารกิจสำคัญของกองทัพ

ตั้งแต่ปี 2009 Palantir ได้ทำสัญญากับกระทรวงกลาโหมมากกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการสุดล้ำต่างๆ มากมาย

พวกเขาพัฒนาแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูล Vantage ของกองทัพ, กระเป๋าคอมพิวเตอร์ดาวเทียม AI แบบ James Bond และระบบโดรนที่ควบคุมด้วย AI ชื่อ Project Maven

ที่เจ๋งสุดๆ คือ Titan ยานพาหนะที่ควบคุมด้วย AI ตัวแรกของกองทัพ ซึ่งลดเวลาจากการตรวจจับเป้าหมายถึงการยิง ลดภาระทหาร และช่วยให้ยิงแม่นยำในระยะไกล

แต่ความร่วมมือของพวกเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านทหาร ในช่วงโควิด-19 สหรัฐฯ ได้ทำสัญญากับ Palantir เพื่อติดตามข้อมูลการระบาดและพัฒนาระบบแจกจ่ายวัคซีน

มีรายงานว่า Palantir ยังช่วยหน่วยงาน Immigration and Customs Enforcement (ICE) พัฒนาระบบเฝ้าระวังและวางแผนปฏิบัติการด้วยสัญญาเริ่มต้นมูลค่าสูงถึง 127 ล้านดอลลาร์

ในช่วงทศวรรษ 2010 ตำรวจนิวออร์ลีนส์ร่วมมือกับ Palantir อย่างลับๆ เพื่อทดสอบเทคโนโลยีทำนายอาชญากรรม คล้ายๆ กับในหนัง Minority Report เลยทีเดียว

ทั่วโลก เทคโนโลยีของ Palantir ถูกใช้โดยกองทัพยูเครน กองทัพอิสราเอลสำหรับภารกิจสงคราม และโดยรัฐบาลอังกฤษเพื่อปรับปรุงระบบสุขภาพ NHS England

แต่ความร่วมมือเหล่านี้ก็สร้างความขัดแย้งไม่น้อย โดยเฉพาะประเด็นความเป็นส่วนตัว กลุ่มเสรีภาพพลเมืองแสดงความกังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล

Palantir ไม่ได้หยุดอยู่แค่งานด้านความมั่นคง พวกเขาขยายธุรกิจสู่ภาคเอกชนได้อย่างน่าทึ่ง ขายผลิตภัณฑ์ให้ธนาคารและหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อต่อต้านการฟอกเงิน

บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่าง BP เป็นพันธมิตรระยะยาวที่ใช้ซอฟต์แวร์ของ Palantir สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และยังมีลูกค้าอื่นๆ อีกมากมาย

ลูกค้า AI ของ Palantir รวมถึงบริษัทชั้นนำอย่าง United Airlines, Lowe’s, General Mills และ Tampa General Hospital ทำให้รายได้เชิงพาณิชย์ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 54% ในปีที่ผ่านมา

การเติบโตแบบก้าวกระโดดนี้ส่วนหนึ่งมาจากการปรับเปลี่ยนโฟกัสของบริษัทจากการเฝ้าระวังข้อมูลในช่วงแรก มาเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI สุดล้ำในปัจจุบัน

เบื้องหลังความสำเร็จของ Palantir คือผู้ก่อตั้งที่มีวิสัยทัศน์อย่าง Peter Thiel และ Alex Karp โดย Thiel มักอยู่ในมุมมืด ส่วน Karp เป็นผู้นำที่พูดจาตรงไปตรงมา

Karp มีแฟนคลับมากมายในหมู่นักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะชุมชน Reddit ที่มีคนติดตามราว 100,000 คน บางคนถึงกับเรียกเขาว่า “Daddy Karp”

Karp ตอบสนองด้วยคำพูดที่ทะลึ่งและน่าตกใจ เช่น “ผมไม่คิดในแง่ชนะแพ้ ผมคิดในแง่การครอบงำ แทบไม่มีอะไรทำให้มนุษย์มีความสุขมากไปกว่าการเอาโคเคนไปจากพวกขายชอร์ต”

Alex Karp เป็นตัวละครที่ลึกลับซับซ้อน ในด้านหนึ่ง เขาร่วมมือกับ Peter Thiel นักสนับสนุนฝ่ายขวาและผู้ให้ทุน Trump ในปี 2016 เพื่อสร้างบริษัทเฝ้าระวังข้อมูลต่อต้านการก่อการร้าย

แต่อีกด้าน Karp กลับสนับสนุน Kamala Harris ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีล่าสุด บริจาคให้พรรคเดโมแครตบ่อยครั้ง และใช้ชีวิตแบบที่ไม่เหมือนกับผู้บริหารเทคโนโลยีทั่วไป

Karp มาจากพื้นฐานฝ่ายซ้าย ขณะที่ Thiel เป็นที่รู้จักในฐานะนักอนุรักษ์นิยมที่พูดตรงๆ แม้จะมีแนวคิดทางการเมืองต่างกัน แต่ทั้งคู่มีความเชื่อร่วมกันคล้ายยุคสงครามเย็น

พวกเขาเชื่อในความจำเป็นของความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมเอกชนกับสถาบันป้องกันประเทศ เพื่อให้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดอยู่ในมือของรัฐบาลสหรัฐฯ

ความสัมพันธ์ที่ Karp และ Palantir กำลังผลักดันทั้งเทคโนโลยีและกระทรวงกลาโหมไม่ใช่เรื่องใหม่ทั้งหมด แต่เป็นการหวนกลับไปสู่โมเดลแบบเก่า

Karp เปิดเผยว่าเขาชื่นชอบอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม ที่มี Lockheed เป็นนายจ้างรายใหญ่ใน Silicon Valley จนถึงทศวรรษ 1980 ยุคที่กระทรวงกลาโหมสร้างอินเทอร์เน็ต

เขายังยกตัวอย่างโครงการแมนฮัตตันที่ Oppenheimer รวบรวมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรเทพที่สุดในสหรัฐฯ เพื่อร่วมมือกับรัฐบาล เป็นตัวอย่างที่ควรทำตาม

ในหนังสือล่าสุด Karp โต้แย้งว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีหลงทางในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นแค่ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคที่ไม่ได้พัฒนาสังคมอย่างแท้จริง

เขาเสนอว่าอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ควรกลับมาสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลใหม่ เพื่อปกป้องตะวันตก แม้ว่าหลายคนจะรู้สึกไม่ดีกับแนวคิดนี้ก็ตาม

Karp แยกตัวเองจากผู้นำเทคโนโลยีร่วมสมัยด้วยความเปิดเผยเรื่องความรักชาติและการยอมรับว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทถูกใช้ในการปฏิบัติการทางทหาร

แนวคิดนี้กำลังได้รับการยอมรับมากขึ้นในหมู่บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เริ่มเปิดเผยความสัมพันธ์กับวอชิงตัน ดี.ซี. แทนที่จะแกล้งทำเป็นไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล

แม้ว่า Palantir จะมีความทะเยอทะยานสูงส่ง แต่ยังไม่แน่ชัดว่าพวกเขาจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการป้องกันและล้มล้างยักษ์ใหญ่อย่าง Lockheed Martin, Boeing หรือ Raytheon ได้หรือไม่

พวกเขายังไม่ได้พิสูจน์ว่าสามารถสร้างระบบอาวุธหลักได้เจ๋งกว่าบริษัทเหล่านี้ แต่มีความเป็นไปได้ว่า Palantir อาจเป็นตัวแทนของอนาคตในอุตสาหกรรมนี้

ความแตกต่างชัดเจนระหว่าง Palantir กับบริษัทป้องกันแบบดั้งเดิมคือการสื่อสารต่อสาธารณะ ผู้บริหารของ Lockheed Martin หรือ Raytheon แทบไม่เคยแสดงความเห็นเรื่องการเมืองโลก

Palantir กำลังทำสิ่งที่แตกต่างโดยพยายามขายตัวเองให้กับสังคมโดยรวม พวกเขาสร้างวัฒนธรรมที่บอกว่า “การทำงานกับเพนตากอนไม่ใช่ธุรกิจที่สกปรก แต่เป็นการช่วยปกป้องประเทศ”

ความสำเร็จในระยะยาวของแนวทางนี้ยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตาม แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ Palantir กำลังท้าทายรูปแบบการทำธุรกิจเดิมในอุตสาหกรรมการป้องกันและความมั่นคง

ในอนาคต บทบาทของบริษัทอย่าง Palantir และความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับความมั่นคงจะยิ่งสำคัญ เมื่อเราเข้าสู่ยุค AI และเทคโนโลยีขั้นสูงนั่นเองครับผม

9 ธุรกิจสุด Failed ของ Donald Trump เส้นทางนักธุรกิจสุดผันผวน เมื่อความทะเยอทะยานเกินตัวนำไปสู่หายนะทางการเงิน

Donald Trump คือชื่อที่หลายคนรู้จักในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาผู้ทรงอิทธิพลในขณะนี้ แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้นซ่อนมุมมืดของความล้มเหลวไว้มากมาย

เส้นทางธุรกิจของเขาเต็มไปด้วยความผันผวน ล้มลุกคลุกคลาน เข้ารูปเข้ารอยบ้าง เละเทะบ้าง แต่น่าทึ่งที่แม้ล้มเหลวถึง 9 ครั้ง เขายังกลับมาได้เสมอ

จุดเริ่มต้นความฝันอันยิ่งใหญ่ของ Trump คือ Trump Taj Mahal Casino Resort ในแอตแลนติกซิตี้ โครงการสุดล้ำที่ถูกวางแผนให้เป็นคาสิโนที่ใหญ่โตและหรูหราที่สุด

เขาลงทุนด้วย Junk Bond มูลค่ามหาศาลถึง 675 ล้านดอลลาร์ ทั้งที่เคยสัญญากับคณะกรรมการควบคุมคาสิโนรัฐ New Jersey ว่าจะไม่ทำเช่นนั้น

นั่นทำให้ Trump Taj Mahal จำเป็นต้องทำรายได้มากกว่าหนึ่งล้านดอลลาร์ต่อวันเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่าย แต่ Trump ก็ยืนยันว่าไม่มีปัญหา

แต่แล้วความจริงก็ปรากฎ เพียงแค่เจ็ดเดือนหลังเปิด Taj Mahal เริ่มผิดนัดชำระหนี้ และในปี 1991 ก็ดิ่งลงเหวด้วยการยื่นล้มละลาย นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น คาสิโนอีกสองแห่งของ Trump ในแอตแลนติกซิตี้ก็เจ๊งตามกันมาในปีถัดมา

เมื่อ Trump ออกจากเมืองนั้น ผู้จัดจำหน่ายและพันธมิตรทางธุรกิจมากมายถูกทิ้งไว้ และมีรายงานว่า Trump ยังเป็นหนี้พวกเขาอยู่จนทุกวันนี้

ความล้มเหลวของ Trump Taj Mahal ไม่ได้เกิดจากการขาดทุนเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการบริหารจัดการที่ผิดพลาดและการประเมินตลาดที่เว่อร์เกินจริง

Trump มองโลกในแง่ดีแบบเพ้อฝัน เชื่อว่าชื่อเสียงของเขาจะดึงดูดลูกค้าได้มากพอที่จะทำให้ธุรกิจพุ่งทะยาน แต่ความจริงคือตลาดคาสิโนในแอตแลนติกซิตี้เริ่มอิ่มตัวแล้ว

หลังจากประสบปัญหากับธุรกิจคาสิโน Trump ไม่ยอมแพ้ แต่กลับกระเหี้ยนกระหือรือก้าวเข้าสู่ธุรกิจที่เขาไม่คุ้นเคย

เมษายน 2006 เพียงไม่กี่ปีก่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ จะพัง Trump ประกาศว่า “ผมคิดว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ดีในการเริ่มต้นบริษัทสินเชื่อบ้าน” และก่อตั้ง Trump Mortgage

การตัดสินใจนี้เกิดในจังหวะเวลาที่แย่ที่สุด เพราะตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังจะพังเละไม่เป็นท่า Trump Mortgage จึงจบเห่ภายในหนึ่งปี

ผลลัพธ์คือ Trump Mortgage ทำรายได้เพียงหนึ่งในสามของเป้าหมาย 3 พันล้านดอลลาร์ที่ผู้บริหารคาดการณ์ไว้ เรียกได้ว่าลดฮวบอย่างน่าใจหาย

ธุรกิจอีกแห่งที่ทำให้ชื่อเสียง Trump ฉาวโฉ่คือ Trump University ซึ่งเขาโฆษณาว่า “ที่ Trump University เราสอนความสำเร็จ นั่นคือสิ่งที่สำคัญ ความสำเร็จมันจะเกิดขึ้นกับคุณ”

แต่ Trump University ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาโม้ และไม่ได้ให้สิ่งที่สัญญาว่าจะให้กับผู้เรียน กลายเป็นมวยล้มต้มคนดูอย่างชัดเจน

คดีฟ้องร้องทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าเกือบทุกอย่างเกี่ยวกับ Trump University เป็นเรื่องหลอกลวง เริ่มตั้งแต่ชื่อ ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่ได้รับการรับรอง

Trump University รวบรวมเงินประมาณ 40 ล้านดอลลาร์จากผู้คนที่หวังจะประสบความสำเร็จเหมือน Trump ผู้เข้าร่วมหลักสูตรมากมายต่างช็อกเมื่อพบว่าพวกเขาถูกหลอก

แม้ว่า Trump University จะอยู่รอดได้นานกว่าที่คาด แต่สุดท้ายต้องชดใช้ค่าเสียหาย 25 ล้านดอลลาร์ในการตกลงยอมความ ถือเป็นการลงโทษอย่างสาสม

นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่ Trump ใช้ชื่อเสียงดึงดูดผู้คนโดยไม่สามารถรักษาคำมั่นสัญญา นั่นทำให้ผู้คนต่างเจ็บปวดกับคำคุยโวที่เกินจริงของ Trump

นอกจากธุรกิจคาสิโนและการศึกษา Trump ยังมีความฝันอันยิ่งใหญ่ในธุรกิจโรงแรมด้วย ในปี 1988 เขากู้ยืมเงินมหาศาลถึง 390 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อโรงแรม Plaza

ด้วยความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของตัวเอง เขาทุ่มเงินอีก 50 ล้านดอลลาร์ในการปรับปรุงและแต่งตั้งภรรยา Ivana เป็นประธานโรงแรม

Ivana กล่าวว่า “ฉันกำลังสนุก ฉันมีความสุขเสมอที่ Plaza” แต่ความสุขนั้นอยู่ได้ไม่นาน โรงแรมทำกำไรไม่พอชำระหนี้ที่เกิดจากการซื้อและปรับปรุง พฤศจิกายน 1992 Plaza กลายเป็นการล้มละลายครั้งที่สี่ของ Trump ในทศวรรษนั้น

ปี 1995 เจ้าหนี้ของ Trump ขายโรงแรมในราคา 325 ล้านดอลลาร์ น้อยกว่าที่ Trump จ่ายไปถึง 65 ล้านเมื่อเจ็ดปีก่อน เป็นการขาดทุนที่เจ็บปวดไม่น้อย

Trump ไม่ได้จำกัดธุรกิจแค่อสังหาริมทรัพย์และการพนัน เขายังพยายามใช้ชื่อเสียงสร้างแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภค “ถ้าผมใส่ชื่อ Trump ลงไป มันจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด” เขากล่าว

“เมื่อพูดถึงสเต็กชั้นเยี่ยม ผมเพิ่งยกระดับสเต็ก วันนี้ผ่าน Sharper Image คุณสามารถเพลิดเพลินกับสเต็กที่ดีที่สุดในโลกที่บ้านของคุณเอง” Trump โฆษณาอย่างภาคภูมิใจ

แต่ CEO ของ Sharper Image อย่าง Jerry Levin กลับเปิดโปงว่า “เราแทบจะไม่ได้ขายสเต็กเลย” แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ชื่อ Trump ก็ไม่สามารถช่วยสินค้าขายดีได้

สินค้าอีกชิ้นที่ล้มเหลวคือ Trump Vodka ที่ถูกวางตลาดว่า “มีความต้องการอย่างมากสำหรับสินค้าระดับสูง สไตล์สูงมาก” แต่ก็ต้องยุติการขายในสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว

ความทะเยอทะยานของ Trump ไม่หยุดเพียงแค่นี้ ในขณะที่คนทั่วไปซื้อจักรยานสักคัน แต่ Trump กลับซื้อการแข่งจักรยานทั้งรายการ เป็นการตัดสินใจบ้าบอมาก ๆ

การแข่งขันนี้ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Tour du Pont หลังจากปัญหาทางการเงินของ Trump บังคับให้เขายุติการสนับสนุน เป็นอีกธุรกิจที่จบเห่อย่างรวดเร็ว

แม้ว่ายอดขายในปี 1989 จะน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของการคาดการณ์ Trump ก็ยังฝ่าฝันต่อสู้ ในปี 2004 เขาซื้อสายการบิน Eastern Shuttle ด้วยราคา 365 ล้านดอลลาร์ สายการบินขาดทุนมากกว่า 125 ล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 18 เดือน และ Trump ต้องยอมแพ้ในปี 1992

ถึงแม้จะมีความล้มเหลวมากมาย Trump ยังคงยืนยันว่า “ผมสร้างธุรกิจที่ยอดเยี่ยม ผมเป็นนักธุรกิจ ประสบความสำเร็จจริงๆ ประสบความสำเร็จจริงๆ ในธุรกิจและในการเมือง”

เมื่อมองย้อนกลับไปที่เส้นทางธุรกิจของ Trump เราจะเห็นรูปแบบของการตัดสินใจผิดพลาด การประเมินตลาดที่ไม่ถูกต้อง และความเชื่อมั่นในชื่อเสียงของตนเองมากเกินไป

หนึ่งในปัญหาหลักของ Trump คือการใช้เงินกู้จำนวนมหาศาลในการลงทุน เมื่อธุรกิจไม่เป็นไปตามฝัน เขาก็แบกรับภาระหนี้สินไม่ไหว ทำให้กระเป๋าฉีกหลายต่อหลายครั้ง

นอกจากนี้ Trump ยังมักจะจับเสือมือเปล่าโดยเข้าสู่อุตสาหกรรมที่เขาไม่มีความเชี่ยวชาญ เช่น สายการบิน สินเชื่อบ้าน หรือแม้แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

อีกปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่ความล้มเหลวคือการที่ Trump มักจะตัดสินใจในช่วงเวลาที่แย่สุดๆ เช่น การเปิด Trump Mortgage ไม่กี่เดือนก่อนวิกฤตอสังหาริมทรัพย์

แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือแม้จะมีความล้มเหลวมากมาย Trump ก็ยังสามารถรักษาภาพลักษณ์ของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ ด้วยความเจ๋งในการสร้างแบรนด์ส่วนตัว

Trump เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการใช้กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลที่แข็งแกร่ง โดยเน้นที่ภาพลักษณ์ของความสำเร็จและความมั่งคั่ง แม้ว่าความเป็นจริงจะไม่ได้สวยงามเช่นนั้น

เขาใช้สื่อและการปรากฏตัวต่อสาธารณชนเพื่อรังสรรค์เรื่องราวที่น่าประทับใจเกี่ยวกับตัวเองและธุรกิจ ความสามารถในการฟื้นตัวและปลุกปั้นภาพลักษณ์ใหม่หลังความล้มเหลวแต่ละครั้งเป็นทักษะที่ทำให้เขาแตกต่าง

แม้ว่า Trump จะมีความล้มเหลวทางธุรกิจมากมาย แต่เขาไม่เคยยอมแพ้และยังคงสร้างแบรนด์ของตัวเองต่อไป จนสามารถใช้ชื่อเสียงนั้นในการเข้าสู่วงการการเมือง

การที่ Trump ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาถึงสองครั้งทั้งที่มีประวัติล้มเหลวทางธุรกิจมากมาย เป็นเรื่องที่น่าทึ่งและแสดงให้เห็นถึงความเทพในการสร้างภาพลักษณ์ของเขา

แม้ว่าวิธีการของ Trump อาจจะมีข้อถกเถียง แต่ความไม่ย่อท้อของเขาก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในชีวิตธุรกิจได้

การศึกษาเส้นทางธุรกิจของ Trump ทำให้เราเห็นว่าความสำเร็จไม่ได้วัดจากการไม่เคยล้มเหลว แต่วัดจากความสามารถในการลุกขึ้นใหม่หลังจากล้มลง

รวมถึงการรักษาภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นในตนเองแม้ในยามที่ตกต่ำที่สุด นี่อาจเป็นบทเรียนที่มีค่าที่สุดที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากเรื่องราวของเขานั่นเองครับผม