ย้อนกลับไปปี 1984 ASML เป็นแค่บริษัทเกิดใหม่ที่แทบไม่มีอะไรติดตัว ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกและเงินทุน การคิดถึงการสร้างเครื่องจักรผลิตชิปรุ่นใหม่ของโลกในเวลานั้นเป็นเพียงแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ
ปีเดียวกันนั้นเอง Philips บริษัทยักษ์ใหญ่อิเล็กทรอนิกส์จากเนเธอร์แลนด์ ตัดสินใจแยกแผนกสร้างเครื่องจักรผลิตชิปออกมา ก่อตั้งเป็นบริษัทใหม่ชื่อ ASML โดยมีสำนักงานใหญ่ที่เมือง Veldhoven ไม่ไกลจากชายแดนเนเธอร์แลนด์ติดเบลเยียม
ช่วงเวลานั้น การที่ ASML จะก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทระดับโลกในวงการเซมิคอนดักเตอร์ดูเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝัน แม้ยุโรปจะเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ แต่ก็ยังตามหลัง Silicon Valley และญี่ปุ่นอยู่มากโข
สิ่งที่ทำให้ ASML มีความแตกต่างจากบริษัทญี่ปุ่นหรืออเมริกาคือแนวคิดในการทำธุรกิจ พวกเขาตัดสินใจประกอบระบบจากชิ้นส่วนที่จัดหาอย่างพิถีพิถันจากซัพพลายเออร์ทั่วโลก
เป็นการพึ่งพาบริษัทอื่นในการสร้างส่วนประกอบหลักของเครื่องจักร ซึ่งในเวลานั้นดูเหมือนเป็นแนวคิดที่เสี่ยงสุด ๆ
แต่ ASML กลับรังสรรค์วิธีจัดการความเสี่ยงได้อย่างยอดเยี่ยม ต่างจากคู่แข่งอย่าง Canon และ Nikon จากญี่ปุ่นที่พยายามสร้างทุกอย่างภายในบริษัทตัวเอง
ด้วยกลยุทธ์นี้ ASML ซื้อชิ้นส่วนที่ดีที่สุดในตลาดได้ เมื่อเริ่มมุ่งพัฒนาเครื่อง EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) ความสามารถในการรวมชิ้นส่วนชั้นเลิศจากทั่วโลกกลายเป็นจุดแข็งของพวกเขา
ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดัน ASML ไปสู่ความสำเร็จ ช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 ASML จากเนเธอร์แลนด์ถูกมองว่าเป็นกลางในข้อพิพาททางการค้าระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา
Micron บริษัทสตาร์ทอัพผู้ผลิต DRAM สัญชาติอเมริกัน เมื่อต้องการซื้อเครื่องจักรสำหรับผลิต จึงเลือก ASML แทนการพึ่ง Canon หรือ Nikon ซึ่งมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคู่แข่งของ Micron ในญี่ปุ่น
การแยกตัวจาก Philips ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับ TSMC จากไต้หวัน เพราะ Philips เป็นนักลงทุนสำคัญใน TSMC ถ่ายทอดเทคโนโลยีกระบวนการผลิตและทรัพย์สินทางปัญญาให้ TSMC ตั้งแต่เริ่มต้น
ASML ได้ฐานลูกค้าจาก TSMC เพราะโรงงาน TSMC ออกแบบตามกระบวนการผลิตของ Philips และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อโรงงาน TSMC เกิดไฟไหม้ใหญ่ปี 1989 ทำให้ต้องซื้อเครื่องจักรผลิตชิปเพิ่ม 19 เครื่อง ทั้งหมดสั่งตรงจาก ASML
ทั้ง ASML และ TSMC เริ่มจากบริษัทเล็กๆ ที่แทบไม่มีใครชายตามองในวงการผลิตชิปช่วงแรก แต่พวกเขาเติบโตไปด้วยกันและสร้างความร่วมมือแน่นแฟ้น จนก้าวขึ้นเป็นลูกพี่ในอุตสาหกรรมของตนในปัจจุบัน
ในขณะเดียวกัน ฝั่งอเมริกา Andy Grove กำลังเตรียมอนุมัติการลงทุนครั้งใหญ่แรกของ Intel ในการวิจัยเครื่องมือ EUV เช่นเดียวกับที่ ASML กำลังทำ
ช่วงปี 1992-1996 Intel สร้างความร่วมมือกับห้องปฏิบัติการหลายแห่งจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญจำเป็นต่อการสร้างเครื่อง EUV
แรกๆ ดูเหมือนจะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า เพราะแม้ห้องวิจัยอเมริกาจะเชี่ยวชาญการสร้างต้นแบบระบบ EUV แต่พวกเขาโฟกัสที่วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่การผลิตระดับอุตสาหกรรม
เป้าหมายของ Intel คือสร้างสิ่งใหม่ ไม่ใช่แค่วัดผลทดลองทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ต้องหาบริษัทที่ผลิตเครื่อง EUV จำนวนมากได้ ซึ่งมองไปทั่วอเมริกาแทบไม่มีบริษัทไหนทำได้สักที่
บริษัทที่สร้างเครื่องมือพวกนี้ที่ใหญ่สุดในอเมริกาคือ Silicon Valley Group (SVG) ซึ่งล้าหลังทางเทคโนโลยี รัฐบาลสหรัฐฯ ยังบาดเจ็บจากสงครามการค้าช่วง 1980 กับญี่ปุ่น จึงไม่อยากให้ Nikon และ Canon เข้ามาร่วมวง
แม้ Nikon เองก็ไม่คิดว่าเทคโนโลยี EUV จะใช้งานได้จริง ทำให้ ASML เป็นความหวังเดียวที่จะช่วย Intel ได้
การให้บริษัทต่างชาติเข้าถึงงานวิจัยล้ำสมัยจากห้องทดลองระดับชาติของอเมริกาสร้างความตะหงิดใจให้กับฝั่งวอชิงตัน ตอนนั้นยังไม่มีการใช้เทคโนโลยี EUV ในวงการทหาร และยังไม่แน่ใจว่า EUV จะใช้งานได้จริงหรือไม่
แต่นักการเมืองอเมริกันมองว่า ASML และรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ สิ่งสำคัญกว่าสำหรับพวกเขาคือผลกระทบต่อการสร้างงาน ไม่ใช่เรื่องภูมิรัฐศาสตร์
รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดให้ ASML สร้างโรงงานในสหรัฐฯ เพื่อผลิตชิ้นส่วนสำหรับเครื่อง EUV และจ้างพนักงานชาวอเมริกัน แต่การวิจัยและพัฒนาหลักของ ASML ส่วนใหญ่ยังเกิดในเนเธอร์แลนด์
เมื่อถูกปิดกั้นไม่ให้วิจัยในห้องแล็บแห่งชาติสหรัฐฯ Nikon และ Canon ตัดสินใจไม่สร้างเครื่องมือ EUV ของตัวเอง ปล่อยให้ ASML เป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในโลก
ปี 2001 ASML เข้าซื้อกิจการ Silicon Valley Group บริษัทผลิตเครื่องจักรผลิตชิปแห่งสุดท้ายของอเมริกา แต่ในตอนนั้นมันก็มีคำถามว่าดีลนี้เหมาะสมหรือไม่ และจะกระทบความมั่นคงอเมริกาหรือเปล่า
ภายใน DARPA และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ซึ่งให้ทุนอุตสาหกรรมนี้มานาน เจ้าหน้าที่บางคนคัดค้านดีลนี้ สภาคองเกรสก็กังวลเช่นกัน วุฒิสมาชิกสามคนเขียนจดหมายถึงประธานาธิบดี George W. Bush แสดงความกังวลว่า “ASML จะครอบครองเทคโนโลยี EUV ทั้งหมดของรัฐบาลสหรัฐฯ”
ทางด้าน Intel ออกมาสนับสนุนการขายนี้ ชี้แจงว่าการขาย Silicon Valley Group ให้ ASML สำคัญต่อการพัฒนา EUV และเป็นพื้นฐานสำหรับอนาคตของการประมวลผล หากไม่มีการควบรวมกิจการ การพัฒนาเครื่องมือใหม่ในสหรัฐฯ จะล่าช้าออกไปอีก
สุดท้าย เครื่อง EUV ยุคถัดไปถูกประกอบในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าชิ้นส่วนบางอย่างจะยังสร้างในโรงงานที่คอนเนตทิคัต เครือข่ายวิทยาศาสตร์ที่ผลิต EUV มีอยู่ทั่วโลก รวมนักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศทั้งอเมริกา ญี่ปุ่น สโลวีเนีย และกรีซ
แต่การผลิต EUV ไม่ได้กระจายไปทั่วโลก แต่ถูกผูกขาดทั้งห่วงโซ่อุปทานโดยบริษัทเดียวคือ ASML ซึ่งสามารถควบคุมอนาคตการผลิตชิปของโลกอย่างที่เห็นทุกวันนี้
จากบริษัทเล็กๆ ที่แยกตัวจาก Philips ปี 1984 ASML ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก ด้วยการผูกขาดเทคโนโลยี EUV ที่จำเป็นสำหรับผลิตชิปประสิทธิภาพสูง
ทำให้บริษัทจากประเทศเล็กๆ อย่างเนเธอร์แลนด์กลายเป็นผู้ขีดชะตาชีวิตการพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญของโลก
เทคโนโลยีของ ASML ปัจจุบันเป็นหัวใจของการผลิตชิปประมวลผลที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ รถยนต์ หรืออุปกรณ์ IoT ต่างๆ
ทำให้บริษัทมีอิทธิพลมหาศาลต่อห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีระดับโลก ราวกับมีเวทมนตร์ในการควบคุมอุตสาหกรรมนี้
ช่วงวิกฤตขาดแคลนชิปทั่วโลกหลังการระบาดของ COVID-19 ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของ ASML ในฐานะผู้ผลิตเครื่องจักรจำเป็นสำหรับการขยายกำลังผลิตชิปทั่วโลก
รัฐบาลประเทศต่างๆ ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างหมายปองดึง ASML เข้าสู่อ้อมอกของตน เพื่อรักษาความสามารถแข่งขันด้านเทคโนโลยี
ความสำเร็จของ ASML ไม่ได้เกิดจากการเป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการรวบรวมความเชี่ยวชาญจากทั่วโลกและสร้างระบบซับซ้อนให้ทำงานได้จริงในระดับอุตสาหกรรม
นับเป็นบทเรียนที่สำคัญว่าในโลกเทคโนโลยีสมัยใหม่ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศอาจสำคัญไม่น้อยกว่าการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพียงอย่างเดียว
ในอนาคต ASML ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีผลิตชิปรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบสนองความต้องการประมวลผลที่พุ่งกระฉูดอย่างฉุดไม่อยู่
โดยเฉพาะจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) การประมวลผลควอนตัม และเทคโนโลยี 5G ที่กำลังมาแรงแซงทางโค้ง
ความท้าทายสำคัญของ ASML ในอนาคตคือการรักษาความเป็นกลางทางการเมืองท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจเทคโนโลยีอย่างสหรัฐฯ และจีน
โดยเฉพาะประเด็นการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังประเทศที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์
ประเทศต่างๆ ทั่วโลกพยายามลงทุนสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของตัวเอง แต่การที่ ASML ผูกขาดเทคโนโลยีการผลิตสำคัญทำให้ความพยายามเหล่านี้ต้องพึ่งพา ASML อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สะท้อนให้เห็นอำนาจต่อรองมหาศาลของบริษัทจากประเทศเล็กๆ ในยุโรปแห่งนี้ สมฉายาผู้ควบคุมอนาคตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก
เรื่องราวของ ASML เป็นตัวอย่างของการที่บริษัทขนาดเล็กสามารถเติบโตจนกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมระดับโลก ด้วยการเลือกกลยุทธ์ที่แตกต่าง
การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และการมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่ตลาดต้องการ ทำให้บริษัทจากประเทศที่ไม่ได้เป็นมหาอำนาจเทคโนโลยีสามารถก้าวขึ้นมาเป็นที่เชิดหน้าชูตาในการกำหนดทิศทางอนาคตของเทคโนโลยีโลกได้
อิทธิพลของ ASML ในปัจจุบันทำให้หลายประเทศต้องแข่งขันกันอัดฉีดเงินลงทุนและสิทธิพิเศษเพื่อดึงดูดให้บริษัทขยายฐานการผลิตไปยังประเทศของตน
ความสำเร็จของ ASML ยังแสดงให้เห็นว่าแม้แต่บริษัทจากประเทศขนาดเล็กก็สามารถฝ่าฝันต่อสู้จนประสบความสำเร็จในเวทีโลกได้ หากมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและกล้าตัดสินใจเลือกเส้นทางที่แตกต่าง
นับเป็นแรงบันดาลใจให้กับบริษัทสตาร์ทอัพทั่วโลกที่กำลังมุ่งมั่นสร้างเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคต