Geek Story EP352 : ทำไม Spotify ถึงมีปัญหากับศิลปินไม่จบสิ้น? เปิดโมเดลธุรกิจที่ถูกออกแบบผิดมาตั้งแต่ต้น

Daniel Ek ผู้ก่อตั้ง Spotify คิดว่าเรื่องลิขสิทธิ์เพลงเป็นเรื่องที่เจรจาได้ง่าย ในตอนแรกเขาคิดเพียงแค่ว่าจะไปขอลิขสิทธิ์การสตรีมมิ่งจากหน่วยงานของสวีเดนที่ดูแลลิขสิทธิ์ในส่วนของการแพร่กระจายทางวิทยุ โดยไม่จำเป็นต้องเจรจากับค่ายเพลงโดยตรง

นั่นเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ แต่ธุรกิจต้องเดินหน้าต่อไป ด้วยเงินทุนที่ระดมมาได้มากมาย ทำให้ Spotify ต้องเผชิญกับปัญหาด้านกฎหมายมากมายในการเจรจากับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ซึ่งในที่สุด Ek ก็ต้องเป็นฝ่ายยอม ทำให้ Spotify เสียเปรียบอย่างมาก เพราะเงินส่วนใหญ่จากการสตรีมมิ่งจะตกไปอยู่กับค่ายเพลง ไม่ใช่ทั้ง Spotify และศิลปิน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/why3n4kp

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yzb2n9h4

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3xxzv9kr

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/QAxd2HF_njk

กว่าจะมาเป็น ASML จากทีมวิศวกร 100 คนสู่ผู้กำหนดชะตาชีวิตดิจิทัลของมนุษยชาติ

ย้อนกลับไปปี 1984 ASML เป็นแค่บริษัทเกิดใหม่ที่แทบไม่มีอะไรติดตัว ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกและเงินทุน การคิดถึงการสร้างเครื่องจักรผลิตชิปรุ่นใหม่ของโลกในเวลานั้นเป็นเพียงแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ

ปีเดียวกันนั้นเอง Philips บริษัทยักษ์ใหญ่อิเล็กทรอนิกส์จากเนเธอร์แลนด์ ตัดสินใจแยกแผนกสร้างเครื่องจักรผลิตชิปออกมา ก่อตั้งเป็นบริษัทใหม่ชื่อ ASML โดยมีสำนักงานใหญ่ที่เมือง Veldhoven ไม่ไกลจากชายแดนเนเธอร์แลนด์ติดเบลเยียม

ช่วงเวลานั้น การที่ ASML จะก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทระดับโลกในวงการเซมิคอนดักเตอร์ดูเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝัน แม้ยุโรปจะเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ แต่ก็ยังตามหลัง Silicon Valley และญี่ปุ่นอยู่มากโข

สิ่งที่ทำให้ ASML มีความแตกต่างจากบริษัทญี่ปุ่นหรืออเมริกาคือแนวคิดในการทำธุรกิจ พวกเขาตัดสินใจประกอบระบบจากชิ้นส่วนที่จัดหาอย่างพิถีพิถันจากซัพพลายเออร์ทั่วโลก

เป็นการพึ่งพาบริษัทอื่นในการสร้างส่วนประกอบหลักของเครื่องจักร ซึ่งในเวลานั้นดูเหมือนเป็นแนวคิดที่เสี่ยงสุด ๆ

แต่ ASML กลับรังสรรค์วิธีจัดการความเสี่ยงได้อย่างยอดเยี่ยม ต่างจากคู่แข่งอย่าง Canon และ Nikon จากญี่ปุ่นที่พยายามสร้างทุกอย่างภายในบริษัทตัวเอง

ด้วยกลยุทธ์นี้ ASML ซื้อชิ้นส่วนที่ดีที่สุดในตลาดได้ เมื่อเริ่มมุ่งพัฒนาเครื่อง EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) ความสามารถในการรวมชิ้นส่วนชั้นเลิศจากทั่วโลกกลายเป็นจุดแข็งของพวกเขา

ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดัน ASML ไปสู่ความสำเร็จ ช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 ASML จากเนเธอร์แลนด์ถูกมองว่าเป็นกลางในข้อพิพาททางการค้าระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา

Micron บริษัทสตาร์ทอัพผู้ผลิต DRAM สัญชาติอเมริกัน เมื่อต้องการซื้อเครื่องจักรสำหรับผลิต จึงเลือก ASML แทนการพึ่ง Canon หรือ Nikon ซึ่งมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคู่แข่งของ Micron ในญี่ปุ่น

การแยกตัวจาก Philips ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับ TSMC จากไต้หวัน เพราะ Philips เป็นนักลงทุนสำคัญใน TSMC ถ่ายทอดเทคโนโลยีกระบวนการผลิตและทรัพย์สินทางปัญญาให้ TSMC ตั้งแต่เริ่มต้น

ASML ได้ฐานลูกค้าจาก TSMC เพราะโรงงาน TSMC ออกแบบตามกระบวนการผลิตของ Philips และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อโรงงาน TSMC เกิดไฟไหม้ใหญ่ปี 1989 ทำให้ต้องซื้อเครื่องจักรผลิตชิปเพิ่ม 19 เครื่อง ทั้งหมดสั่งตรงจาก ASML

ทั้ง ASML และ TSMC เริ่มจากบริษัทเล็กๆ ที่แทบไม่มีใครชายตามองในวงการผลิตชิปช่วงแรก แต่พวกเขาเติบโตไปด้วยกันและสร้างความร่วมมือแน่นแฟ้น จนก้าวขึ้นเป็นลูกพี่ในอุตสาหกรรมของตนในปัจจุบัน

ในขณะเดียวกัน ฝั่งอเมริกา Andy Grove กำลังเตรียมอนุมัติการลงทุนครั้งใหญ่แรกของ Intel ในการวิจัยเครื่องมือ EUV เช่นเดียวกับที่ ASML กำลังทำ

ช่วงปี 1992-1996 Intel สร้างความร่วมมือกับห้องปฏิบัติการหลายแห่งจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญจำเป็นต่อการสร้างเครื่อง EUV

แรกๆ ดูเหมือนจะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า เพราะแม้ห้องวิจัยอเมริกาจะเชี่ยวชาญการสร้างต้นแบบระบบ EUV แต่พวกเขาโฟกัสที่วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่การผลิตระดับอุตสาหกรรม

เป้าหมายของ Intel คือสร้างสิ่งใหม่ ไม่ใช่แค่วัดผลทดลองทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ต้องหาบริษัทที่ผลิตเครื่อง EUV จำนวนมากได้ ซึ่งมองไปทั่วอเมริกาแทบไม่มีบริษัทไหนทำได้สักที่

บริษัทที่สร้างเครื่องมือพวกนี้ที่ใหญ่สุดในอเมริกาคือ Silicon Valley Group (SVG) ซึ่งล้าหลังทางเทคโนโลยี รัฐบาลสหรัฐฯ ยังบาดเจ็บจากสงครามการค้าช่วง 1980 กับญี่ปุ่น จึงไม่อยากให้ Nikon และ Canon เข้ามาร่วมวง

แม้ Nikon เองก็ไม่คิดว่าเทคโนโลยี EUV จะใช้งานได้จริง ทำให้ ASML เป็นความหวังเดียวที่จะช่วย Intel ได้

การให้บริษัทต่างชาติเข้าถึงงานวิจัยล้ำสมัยจากห้องทดลองระดับชาติของอเมริกาสร้างความตะหงิดใจให้กับฝั่งวอชิงตัน ตอนนั้นยังไม่มีการใช้เทคโนโลยี EUV ในวงการทหาร และยังไม่แน่ใจว่า EUV จะใช้งานได้จริงหรือไม่

แต่นักการเมืองอเมริกันมองว่า ASML และรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ สิ่งสำคัญกว่าสำหรับพวกเขาคือผลกระทบต่อการสร้างงาน ไม่ใช่เรื่องภูมิรัฐศาสตร์

รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดให้ ASML สร้างโรงงานในสหรัฐฯ เพื่อผลิตชิ้นส่วนสำหรับเครื่อง EUV และจ้างพนักงานชาวอเมริกัน แต่การวิจัยและพัฒนาหลักของ ASML ส่วนใหญ่ยังเกิดในเนเธอร์แลนด์

เมื่อถูกปิดกั้นไม่ให้วิจัยในห้องแล็บแห่งชาติสหรัฐฯ Nikon และ Canon ตัดสินใจไม่สร้างเครื่องมือ EUV ของตัวเอง ปล่อยให้ ASML เป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในโลก

ปี 2001 ASML เข้าซื้อกิจการ Silicon Valley Group บริษัทผลิตเครื่องจักรผลิตชิปแห่งสุดท้ายของอเมริกา แต่ในตอนนั้นมันก็มีคำถามว่าดีลนี้เหมาะสมหรือไม่ และจะกระทบความมั่นคงอเมริกาหรือเปล่า

ภายใน DARPA และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ซึ่งให้ทุนอุตสาหกรรมนี้มานาน เจ้าหน้าที่บางคนคัดค้านดีลนี้ สภาคองเกรสก็กังวลเช่นกัน วุฒิสมาชิกสามคนเขียนจดหมายถึงประธานาธิบดี George W. Bush แสดงความกังวลว่า “ASML จะครอบครองเทคโนโลยี EUV ทั้งหมดของรัฐบาลสหรัฐฯ”

ทางด้าน Intel ออกมาสนับสนุนการขายนี้ ชี้แจงว่าการขาย Silicon Valley Group ให้ ASML สำคัญต่อการพัฒนา EUV และเป็นพื้นฐานสำหรับอนาคตของการประมวลผล หากไม่มีการควบรวมกิจการ การพัฒนาเครื่องมือใหม่ในสหรัฐฯ จะล่าช้าออกไปอีก

สุดท้าย เครื่อง EUV ยุคถัดไปถูกประกอบในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าชิ้นส่วนบางอย่างจะยังสร้างในโรงงานที่คอนเนตทิคัต เครือข่ายวิทยาศาสตร์ที่ผลิต EUV มีอยู่ทั่วโลก รวมนักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศทั้งอเมริกา ญี่ปุ่น สโลวีเนีย และกรีซ

แต่การผลิต EUV ไม่ได้กระจายไปทั่วโลก แต่ถูกผูกขาดทั้งห่วงโซ่อุปทานโดยบริษัทเดียวคือ ASML ซึ่งสามารถควบคุมอนาคตการผลิตชิปของโลกอย่างที่เห็นทุกวันนี้

จากบริษัทเล็กๆ ที่แยกตัวจาก Philips ปี 1984 ASML ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก ด้วยการผูกขาดเทคโนโลยี EUV ที่จำเป็นสำหรับผลิตชิปประสิทธิภาพสูง

ทำให้บริษัทจากประเทศเล็กๆ อย่างเนเธอร์แลนด์กลายเป็นผู้ขีดชะตาชีวิตการพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญของโลก

เทคโนโลยีของ ASML ปัจจุบันเป็นหัวใจของการผลิตชิปประมวลผลที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ รถยนต์ หรืออุปกรณ์ IoT ต่างๆ

ทำให้บริษัทมีอิทธิพลมหาศาลต่อห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีระดับโลก ราวกับมีเวทมนตร์ในการควบคุมอุตสาหกรรมนี้

ช่วงวิกฤตขาดแคลนชิปทั่วโลกหลังการระบาดของ COVID-19 ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของ ASML ในฐานะผู้ผลิตเครื่องจักรจำเป็นสำหรับการขยายกำลังผลิตชิปทั่วโลก

รัฐบาลประเทศต่างๆ ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างหมายปองดึง ASML เข้าสู่อ้อมอกของตน เพื่อรักษาความสามารถแข่งขันด้านเทคโนโลยี

ความสำเร็จของ ASML ไม่ได้เกิดจากการเป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการรวบรวมความเชี่ยวชาญจากทั่วโลกและสร้างระบบซับซ้อนให้ทำงานได้จริงในระดับอุตสาหกรรม

นับเป็นบทเรียนที่สำคัญว่าในโลกเทคโนโลยีสมัยใหม่ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศอาจสำคัญไม่น้อยกว่าการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพียงอย่างเดียว

ในอนาคต ASML ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีผลิตชิปรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบสนองความต้องการประมวลผลที่พุ่งกระฉูดอย่างฉุดไม่อยู่

โดยเฉพาะจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) การประมวลผลควอนตัม และเทคโนโลยี 5G ที่กำลังมาแรงแซงทางโค้ง

ความท้าทายสำคัญของ ASML ในอนาคตคือการรักษาความเป็นกลางทางการเมืองท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจเทคโนโลยีอย่างสหรัฐฯ และจีน

โดยเฉพาะประเด็นการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังประเทศที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์

ประเทศต่างๆ ทั่วโลกพยายามลงทุนสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของตัวเอง แต่การที่ ASML ผูกขาดเทคโนโลยีการผลิตสำคัญทำให้ความพยายามเหล่านี้ต้องพึ่งพา ASML อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สะท้อนให้เห็นอำนาจต่อรองมหาศาลของบริษัทจากประเทศเล็กๆ ในยุโรปแห่งนี้ สมฉายาผู้ควบคุมอนาคตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก

เรื่องราวของ ASML เป็นตัวอย่างของการที่บริษัทขนาดเล็กสามารถเติบโตจนกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมระดับโลก ด้วยการเลือกกลยุทธ์ที่แตกต่าง

การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และการมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่ตลาดต้องการ ทำให้บริษัทจากประเทศที่ไม่ได้เป็นมหาอำนาจเทคโนโลยีสามารถก้าวขึ้นมาเป็นที่เชิดหน้าชูตาในการกำหนดทิศทางอนาคตของเทคโนโลยีโลกได้

อิทธิพลของ ASML ในปัจจุบันทำให้หลายประเทศต้องแข่งขันกันอัดฉีดเงินลงทุนและสิทธิพิเศษเพื่อดึงดูดให้บริษัทขยายฐานการผลิตไปยังประเทศของตน

ความสำเร็จของ ASML ยังแสดงให้เห็นว่าแม้แต่บริษัทจากประเทศขนาดเล็กก็สามารถฝ่าฝันต่อสู้จนประสบความสำเร็จในเวทีโลกได้ หากมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและกล้าตัดสินใจเลือกเส้นทางที่แตกต่าง

นับเป็นแรงบันดาลใจให้กับบริษัทสตาร์ทอัพทั่วโลกที่กำลังมุ่งมั่นสร้างเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคต

บทเรียนราคาแพงจาก Ghost Kitchens ความล้มเหลวที่ซ่อนอยู่ จากกระแสล้านล้านดอลลาร์ สู่โมเดลที่กำลังดิ้นรน

ธุรกิจจัดส่งอาหารกำลังบูมสุดๆ และยังไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัว แอปจัดส่งอาหารยักษ์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่มีเทรนด์หนึ่งที่ไม่ได้รุ่งแรงไปกับกระแสนี้ นั่นคือ “Ghost Kitchens” หรือร้านอาหารเสมือนจริง

ช่วงหนึ่งเราเห็นแบรนด์แปลกๆ เกิดขึ้นมากถึง 80-100 แบรนด์ที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน พวกเขาตั้งชื่อดึงดูดใจ สร้างโปรไฟล์ปลอมๆ ว่าเป็นร้านดัง แต่ความจริงอาจเป็นแค่เชฟในร้านทั่ว ๆ ไปที่ทำอาหารส่งให้เรา

ในสหรัฐอเมริกาแบรนด์ใหญ่อย่าง Wendy’s และ Kroger ที่ร่วมกับ Kitchen United กำลังถอนตัวออกจากโมเดลร้านอาหารเสมือนจริง บริษัทจัดส่งอาหารเองก็กำลังถอดพวกเขาออกจากแอป และบริษัท Ghost Kitchens อย่าง Cloud Kitchens ที่นำโดยอดีต CEO ของ Uber กำลังปิดร้านและเลิกจ้างพนักงานเพื่อประคองธุรกิจไม่ให้ดับสูญ

การระบาดของ Covid-19 เปลี่ยนพฤติกรรมการกินของชาวอเมริกันและผู้คนทั่วโลกชั่วคราว ร้านอาหารปิดตัวทำให้คนหันไปใช้แอปสั่งอาหาร ร้านที่ไม่มีบริการจัดส่งต้องปิดกิจการ และเชฟของพวกเขาหันมาใช้ Ghost Kitchens เป็นทางรอด

พวกเขาจ่ายค่าเช่าเพียงนิดหน่อยก็สามารถเริ่มทำธุรกิจได้เลย นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ Ghost Kitchens เป็นที่หมายปองของนักลงทุนมากมาย ทางเลือกอื่นๆ เช่น รถขายอาหารหรือเปิดร้านเอง ล้วนมีต้นทุนสูงลิบสำหรับแนวคิดใหม่ๆ

“สำหรับพวกเรา เราต้องการให้ต้นทุนในการเปิดตัวต่ำที่สุด เพื่อที่เราจะทดสอบไอเดียได้ เราไม่รู้เลยว่ามันจะได้ผลหรือไม่ หรือลูกค้าจะตอบรับอย่างไร เราแค่ต้องออกไปลองทำดู” นักธุรกิจรายหนึ่งให้ความเห็น

ไม่นานนัก แบรนด์ยักษ์ใหญ่ก็โดดเข้าวงการนี้ พวกเขามีสาขามากมายทั่วสหรัฐฯ ที่ต้องปิดตัวลงในช่วงโควิด ทำให้การใช้ครัวที่มีอยู่แล้วเพื่อบริการลูกค้าเป็นเรื่องง่ายและสะดวก

เครือร้านอาหารดังอย่าง Denny’s, Ruby Tuesday, Boston Market, Applebee’s และ Wingstop ต่างก็กระโจนเข้าสู่กระแส Ghost Kitchens อย่างบ้าคลั่ง นักลงทุนทั้งหลายก็อัดฉีดเงินเข้าอย่างเต็มที่

บริษัทชั้นนำในวงการ Ghost Kitchens ระดมทุนได้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์จากการลงทุนแบบ venture financing ระหว่างปี 2020 ถึง 2022 ตามข้อมูลของ Crunchbase

กระแส Ghost Kitchens ทำให้บริษัทอย่าง Nimbus Kitchen ในนิวยอร์กซิตี้พยายามฉกฉวยโอกาสนี้ สตาร์ทอัพแห่งนี้เปิดพื้นที่ครัวเชิงพาณิชย์หลายแห่งให้เชฟเช่า

“ผมก่อตั้ง Nimbus จากความต้องการส่วนตัว ผมกำลังมองหาที่จะเปิดธุรกิจอาหารของตัวเอง แต่ไม่สามารถหาพื้นที่ครัวเชิงพาณิชย์ที่จะดำเนินการได้” ผู้ก่อตั้งกล่าว

ธุรกิจอาหารมาหา Nimbus เพื่อเช่าพื้นที่ครัวที่พร้อมใช้งานทันที โดยส่วนใหญ่เช่าระยะยาวตั้งแต่ 6 เดือนถึงหลายปี Nimbus ดูแลเรื่องค่าสาธารณูปโภค การทำความสะอาดบ่อดักไขมัน การกำจัดแมลง และการบำรุงรักษาทั้งหมด

บริษัทอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ CBRE คาดการณ์ว่า Ghost Kitchens จะมีสัดส่วน 21% ของอุตสาหกรรมร้านอาหารในสหรัฐฯ ภายในปี 2025 นักวิเคราะห์ด้านอาหารประมาณการว่าอุตสาหกรรมนี้จะมีขนาดตลาดถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

“มีความคาดหวังจากชุมชนนักลงทุนว่าเทรนด์ที่เริ่มต้นหรือเติบโตอย่างมากในช่วงการระบาดจะยังคงดำเนินต่อไปหลังโควิด” ผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งกล่าว

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ Ghost Kitchens กลับได้รับความนิยมน้อยลง ผู้บริโภคกลับไปสู่พฤติกรรมเดิมๆ ที่ Deloitte พวกเขาทำการศึกษาลูกค้าร้านอาหารทุกปี และติดตามความรู้สึกของลูกค้าอย่างใกล้ชิด

ลูกค้ากว่าครึ่งบอกว่าพวกเขากำลังกลับไปใช้บริการร้านอาหารในอัตราเท่าเดิมหรือมากกว่าช่วงก่อนโควิด และสิ่งสำคัญคือพวกเขาต้องการกลับไปยังแบรนด์โปรดของตัวเอง ไม่ใช่แบรนด์เสมือนจริงที่ไม่มีใครรู้จักที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้

ปัจจัยที่สามที่ทำให้ Ghost Kitchens ตกต่ำคือภาวะเงินเฟ้อในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความจริงคือการจัดส่งอาหารไม่ใช่เรื่องถูก ทั้งสำหรับเจ้าของร้านและผู้บริโภค

อีกปัจจัยคือการควบคุมแอปจัดส่งอาหารที่เข้มงวดขึ้น ลูกค้าหลายรายร้องเรียนเกี่ยวกับลักษณะลับๆ ล่อๆ ของ Ghost Kitchens บางแห่ง ซึ่งไม่มีที่อยู่จริงหรือแม้แต่อาจเป็นที่อยู่บ้านของใครบางคน

“ในท้ายที่สุด สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงครัวเสมือน และนั่นทำให้ลูกค้ายากที่จะรู้ว่าอาหารมาจากไหน ใครทำ และแบรนด์ไหนอยู่เบื้องหลัง นี่เป็นจุดที่แอปจัดส่งอาหารบุคคลที่สามเข้ามาและบอกว่า ‘เฮ้ เราต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย'” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว

ความโปร่งใสเป็นกุญแจสำคัญ “มันน่าตะหงิดใจจริงๆ สำหรับผู้บริโภคที่จะพบว่าอาหารถูกปรุงในห้องใต้ดินของโบสถ์หรือในเขตคลังสินค้าที่ไม่เคยเห็นแสงอาทิตย์”

Nimbus ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสโดยตั้งอยู่ในพื้นที่ชั้นล่างที่มีหน้าต่างกระจกจากพื้นถึงเพดาน คนเดินผ่านสามารถมองเห็นอาหารกำลังถูกเตรียม พวกเขายังมีพื้นที่ด้านหน้าเปิดรับชุมชน มีครัวโชว์และพื้นที่จัดกิจกรรมที่ผู้บริโภคสามารถเข้ามาได้ สั่งอาหาร ทานในสถานที่ และมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์

แอปจัดส่งอาหารได้กำจัด Ghost Kitchens ที่มีปัญหาหลายพันรายออกจากระบบ และเพิ่มกฎระเบียบเข้มงวดขึ้น โดยกำหนดให้มีเมนูที่แตกต่างจากบริษัทแม่ รูปภาพอาหารที่ไม่ซ้ำใคร และคะแนนรีวิวจากลูกค้าที่สูงขึ้น

การปิดกิจการและการยกเลิกแผนขยายธุรกิจสั่นคลอนอุตสาหกรรมนี้เป็นอย่างมาก Cloud Kitchens ของ Travis Kalanick ผู้ร่วมก่อตั้ง Uber ซึ่งระดมทุนได้มากกว่า 850 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 ประกาศลดจำนวนพนักงาน ปิดกิจการมากมาย และข้อตกลงกับร้านอาหารก็ลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ

สองปีที่ผ่านมามีการปิดกิจการเพิ่มขึ้นทั่วอุตสาหกรรม ตลาดที่อิ่มตัวเกินไปเริ่มเห็นการล่มสลาย และธุรกิจยอดนิยมในช่วงโควิดเริ่มทยอยปิดกันไปอย่างเงียบๆ

“ผมไม่คิดว่าแบรนด์ใหญ่หลายรายจะยังลงทุนใน Ghost Kitchens ต่อไป” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว “แต่ผมไม่ได้บอกว่าพวกเขาจะหายไปทั้งหมด เพราะยังมีกรณีการใช้งานสำหรับแบรนด์เล็กๆ อยู่”

ยังคงมีประสิทธิภาพในการใช้ครัวร่วมกัน และ Ghost Kitchens หลายแห่งอยู่ใกล้ลูกค้า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นพื้นที่ที่แบรนด์ไม่มีร้านจริงอยู่แล้ว

แม้ว่า Ghost Kitchens แบบมีแบรนด์จะซบเซา แต่ Nimbus Kitchen กำลังพบโมเมนตัมโดยมุ่งเน้นไปที่การจัดงานอีเวนต์และการจัดเลี้ยง ไม่ใช่แค่การจัดส่งเท่านั้น ซึ่งบริษัทเรียกว่า “พื้นที่ครัวร่วม” (co-cooking spaces)

Nimbus มีสี่สาขาทั่วนิวยอร์กซิตี้ มีหน่วยครัวให้เช่า 40 หน่วยและพื้นที่จัดงานให้เช่า 4 แห่ง พวกเขาเป็นบริการที่ยืดหยุ่นสูง ทำให้ธุรกิจอาหารสามารถทำอาหารได้ตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงหลายปี

พวกเขาทำงานร่วมกับแนวคิดต่างๆ ในอุตสาหกรรมและในทุกขั้นตอนของการเติบโต มีสมาชิกเพียง 20% ที่พึ่งพาการจัดส่ง ส่วนที่เหลือเป็นธุรกิจจัดเลี้ยง แนวคิดการเตรียมอาหาร แบรนด์สินค้าบรรจุภัณฑ์ และเชฟที่ทำการพัฒนาสูตรอาหาร

“เราเชื่อว่าอนาคตของอุตสาหกรรมคือการให้บริการไม่เพียงแค่แนวคิดการจัดส่ง แต่รวมถึงธุรกิจอาหารประเภทต่างๆ ที่ต้องการพื้นที่ครัวเพื่อขายอย่างถูกกฎหมาย” ผู้บริหาร Nimbus กล่าว

แม้ว่าพื้นที่ครัวร่วมจะเสนอทางเลือกที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเมื่อเทียบกับร้านอาหาร แต่ต้นทุนการดำเนินงานก็ไม่ได้ถูก และค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกิจจัดส่งอาหารอาจทำให้กระเป๋าฉีกได้

“แพลตฟอร์มต่างๆ มีต้นทุนในการหาลูกค้าที่สูงลิบ ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มอยู่ที่ 15% ถึงมากกว่า 30% ขึ้นอยู่กับว่าคุณรับการสนับสนุนด้านการตลาดจากแพลตฟอร์มมากแค่ไหน” ผู้ประกอบการกล่าว

อย่างไรก็ตาม การมีช่องทางตรงของตัวเองก็สำคัญไม่แพ้กัน “เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่เกือบครึ่งหนึ่งของคำสั่งซื้อทุกสัปดาห์มาจาก happyboards .com (แพลตฟอร์มของ Nimbus เอง) โดยตรง ซึ่งเราไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มใดๆ”

ในช่วงโควิด ผลกระทบของ Ghost Kitchens ถูกประเมินสูงเกินไป เราเห็นสิ่งนี้จากการลดลงของพวกเขาในปัจจุบัน และในสิ่งที่แบรนด์ร้านอาหารกำลังลงทุน

ยังคงมีการเปลี่ยนจากกายภาพสู่ดิจิทัล นั่นหมายความว่าลูกค้าต้องการตัวเลือก แต่ไม่ใช่เรื่องของ Ghost Kitchens อีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการขยายช่องทางที่ลูกค้าขับรถผ่าน หรือการลดขนาดพื้นที่รับประทานอาหารและสร้างพื้นที่มากขึ้นสำหรับจุดรับอาหารเมื่อสั่งผ่านแอป

ครัวร่วมและโครงสร้างพื้นฐานการทำอาหารร่วมกันเช่น Nimbus จะยังอยู่ต่อไป พวกเขาเห็นแต่ความต้องการที่เพิ่มขึ้น “ภาพใหญ่ของ Happy Boards คือเราต้องการให้กลายเป็นคำที่เป็นที่รู้จักสำหรับชีสและเนื้อสัตว์แปรรูป เหมือนที่ Sweetgreen เป็นที่รู้จักสำหรับสลัด” ผู้ก่อตั้งกล่าว

ผู้เล่นรายอื่นในธุรกิจนี้ต้องมุ่งเน้นไปที่ชุมชน นั่นคือสิ่งที่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการต้องการ แม้จะไม่มีวันแทนที่ประสบการณ์ร้านอาหารจริงได้ แต่พวกเขาสามารถเชื่อมช่องว่างระหว่าง Ghost Kitchens ที่มีประสิทธิภาพสูงกับประสบการณ์ร้านอาหารจริง

ทุกคนจะได้ประโยชน์เมื่อมีการมุ่งเน้นที่ชุมชนและประสบการณ์ และนี่คือทิศทางที่อุตสาหกรรมกำลังมุ่งไป ใครจะคิดว่าธุรกิจที่เคยเป็นที่หมายปองของนักลงทุนมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์จะต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด? นี่คือบทเรียนโหดๆ ของการธุรกิจที่ไม่ควรพึ่งพาเพียงกระแสชั่วครั้งชั่วคราว