Geek Story EP351 : เส้นทางสู่ Gorilla Glass ที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน จากโปรเจ็กต์ล้มเหลวในปี 1971 สู่มาตรฐานหน้าจอสมาร์ทโฟนทั่วโลก

ย้อนกลับไปในยุคก่อนที่ iPhone จะถือกำเนิด โลกเรายังคงใช้หน้าจอโทรศัพท์มือถือที่มีคุณภาพต่ำ หน้าจอแตกง่าย เป็นพลาสติกที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนเพียงแค่สัมผัสกับวัตถุในกระเป๋า สร้างความปวดหัวให้กับผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั่วโลก

ในเดือนกันยายน 2006 เพียงสี่เดือนก่อนที่ Steve Jobs มีแผนจะเปิดตัว iPhone ให้โลกได้เห็น เขาได้เดินทางมาถึงสำนักงานใหญ่ของ Apple ด้วยความโกรธและไม่พอใจอย่างมาก Jobs แสดงให้ผู้บริหารระดับกลางเห็นถึง iPhone ต้นแบบที่มีรอยขีดข่วนเต็มหน้าจอพลาสติก ซึ่งเพียงแค่อยู่ในกระเป๋ากางเกงร่วมกับกุญแจก็ทำให้หน้าจอเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน

ผู้บริหารพยายามอธิบายว่าทีมได้ทดลองใช้หน้าจอแก้วต้นแบบ แต่มันล้มเหลวในการทดสอบการตกจากความสูงหนึ่งเมตร การทดสอบ 100 ครั้งพบว่าแตกทั้งหมด Jobs ไม่พอใจกับคำอธิบายและตอบกลับอย่างฉุนเฉียวว่าเขาแค่ต้องการรู้ว่าทีมจะทำให้มันสำเร็จได้หรือไม่

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/82hu9spt

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3bd8dype

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/mrwjrmwh

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/yvgy8PlpnZE

Geek Daily EP286 : ปิดฉาก Food Panda ทำไมแอปส่งอาหารยักษ์ใหญ่ทั่วโลกถึงยังขาดทุน แม้รายได้หลายแสนล้าน

บริษัท เดลิเวอรี่ ฮีโร่ (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของแบรนด์ Foodpanda จากประเทศเยอรมนี และเปิดให้บริการในประเทศไทยมาระยะหนึ่ง ท่ามกลางการแข่งขันในสมรภูมิฟู้ดเดลิเวอรีที่ร้อยระอุในไทย ล่าสุด Foodpanda Thailand ออกประกาศผ่านทางช่องทางโซเชียล มีเดีย แจ้งยุติการให้บริการแอปพลิเคชัน foodpanda มีผลตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.2568

ปัจจุบันเรามีแอปพลิเคชันอย่าง Lineman, Shopee Food และ Grab ที่ทำให้การสั่งอาหารเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส แอปเหล่านี้สามารถเปลี่ยนโฉมวงการเดลิเวอรี่ได้อย่างสิ้นเชิง แต่คุณเคยสงสัยไหมว่าธุรกิจเหล่านี้ทำกำไรได้มากแค่ไหน?

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/23k2sz92

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/ztp7mw4k

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2nw4k2jp

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/yjyRePrSVZY

มาสด้ายกระดับการบริการหลังการขายปรับค่าแรงมาตรฐานใหม่ พร้อมเปิดตัวโปรแกรมพิเศษ Mazda Warranty Plus ขยายการรับประกันคุณภาพอะไหล่เพิ่มเป็น 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร

มาสด้าตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดด้านบริการหลังการขาย ด้วยนโยบายการปรับค่าแรงมาตรฐานใหม่ทั่วประเทศ เป็น 600 บาท/ชม. สำหรับต่างจังหวัด และ 680 บาท/ชม. สำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล

เพื่อมอบความสบายใจไร้กังวลให้กับลูกค้า Mazda Family เมื่อนำรถมาเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการมาสด้าทั่วประเทศ พร้อมเปิดตัวโปรแกรมพิเศษ Mazda Warranty Plus ต่อความคุ้มครอง เพื่อคนแคร์รถ ด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพอะไหล่รถยนต์จาก 3 ปี เป็น 5 ปี*

อันเป็นสิทธิพิเศษที่จัดขึ้นภายใต้โปรแกรม Mazda Family และตอกย้ำถึงการนำปรัชญาใหม่ Joy Drives Lives เข้ามาพัฒนาและปรับปรุงแผนการดำเนินธุรกิจมาสด้าตามแนวทาง Customer-Centric โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับลูกค้าในทุก ๆ ประสบการณ์ เพื่อเป็นการคุ้มครองดูแลรถยนต์มาสด้าคันโปรดของลูกค้าให้เป็นไปอย่างราบรื่นตลอดอายุการใช้งาน

นายศราวุฒิ บรรยงค์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้ามีความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นและเป็นไปอย่างครบวงจรให้กับลูกค้า เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุด คือ การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งด้าน Customer Retention ตามความมุ่งมั่นของเรา โดยในปีงบประมาณ 2568 นี้ มาสด้าจะขับเคลื่อนงานบริการหลังการขายด้วยกลยุทธ์หลัก 4C ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการคำนึงถึงสิทธิประโยชน์สูงสุดของลูกค้าที่จะได้รับ อันประกอบด้วย 

  • Credibility ความน่าเชื่อถือ เพื่อลดความกังวลใจให้กับลูกค้าในการครอบครองรถยนต์มาสด้า      ด้วยการยกระดับความสามารถด้านการจ่ายอะไหล่ การซ่อมบำรุง และปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ 
  • Convenience ความสะดวกสบาย เพื่อเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในการเข้ารับบริการที่โชว์รูม
  • Customer Care การดูแลเอาใจใส่ เพื่อสร้างประสบการณ์และความสัมพันธ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า 
  • Cost of Ownership ลดภาระค่าใช้จ่ายในการครอบครองรถยนต์มาสด้าที่สมเหตุสมผล เพื่อช่วยลดความกังวลใจในเรื่องค่าใช้จ่ายของลูกค้าตลอดระยะเวลาที่ครอบครองรถยนต์มาสด้า 

เพื่อผลักดันนโยบายเหล่านี้ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นและเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้า มาสด้าจึงได้นำเอาข้อเสนอแนะของลูกค้ามาพัฒนาคุณภาพการให้บริการ และได้ออกแบบนโยบายหลังการขายใหม่ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด สำหรับลูกค้า Mazda Family เมื่อนำรถมาเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการมาสด้าทั่วประเทศ ลูกค้าจะได้รับความสบายใจในเรื่องของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการบำรุงรักษา ด้วยสิทธิพิเศษเหล่านี้

  • นโยบายการปรับค่าแรงใหม่ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ค่าแรง 600 บาท/ชม. สำหรับโชว์รูมต่างจังหวัด* และค่าแรง 680 บาท/ชม. สำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล* โดยลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถตามระยะ และเช็กพื้นที่ศูนย์บริการมาตรฐานมาสด้า และอัตราค่าแรงมาตรฐานใหม่ได้ที่เว็บไซต์มาสด้า https://www.mazda.co.th/th/maintenance
  • มอบความมั่นใจในทุกการดูแล โดยช่างผู้เชี่ยวชาญ พร้อมอะไหล่แท้คุณภาพจากมาสด้า
  • เปิดตัวโปรแกรมพิเศษ Mazda Warranty Plus ต่อความคุ้มครอง เพื่อคนแคร์รถ เมื่อนำรถเข้าเช็กระยะต่อเนื่องตามกำหนด*

“สำหรับโปรแกรมพิเศษ Mazda Warranty Plus เป็นโปรแกรมที่มาสด้าริเริ่มขึ้นใหม่ เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า Mazda Family ด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพอะไหล่รถยนต์จาก 3 ปี เป็น 5 ปี*

สำหรับชิ้นส่วนเครื่องยนต์ท่อนตรง เกียร์อัตโนมัติและเกียร์ธรรมดา เทอร์โบชาร์จเจอร์ และคาปาซิเตอร์ โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติมเล็กน้อยคือเป็นรถยนต์ที่มีอายุไม่เกิน 5 ปี หรือไม่เกิน 150,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และมีประวัติการเข้าเช็กตามระยะครบตามกำหนดทุก 6 เดือน หรือทุก 10,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) ครบทุกระยะ

ซึ่งลูกค้าสามารถลงทะเบียนและตรวจสอบสิทธิพิเศษนี้ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ที่ https://m.mazda.co.th/WarrantyPlusRegistrationนายศราวุฒิ กล่าว

มาสด้ายังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์ประสบการณ์ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมเตรียมแผนงานในการนำเสนอโปรแกรมเพื่อมอบสิทธิพิเศษดี ๆ เช่นนี้ให้กับลูกค้าต่อไป สำหรับลูกค้า Mazda Family ที่ต้องการรับข้อมูลข่าวสารและสิทธิพิเศษที่จัดขึ้นเพื่อลูกค้าก่อนใคร

สามารถเพิ่มเพื่อนผ่านแพลตฟอร์มไลน์ Mazda Sky Journey (Line Official Account: @skyjourney) นอกจากจะสามารถเช็กสิทธิพิเศษนี้ได้ก่อนใครแล้ว ลูกค้ายังสามารถทำการจองนัดหมายล่วงหน้า เพื่อนำรถเข้ารับบริการได้ที่ศูนย์บริการมาสด้าทั่วประเทศผ่านแพลตฟอร์มนี้ได้เช่นกัน *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.mazda.co.th

จาก ‘สาธารณรัฐ Samsung’ สู่วิกฤตครั้งใหญ่ เมื่อตระกูล Lee สั่นคลอน กับปัจจัยที่ดึงเกาหลีใต้ทั้งประเทศร่วมเสี่ยง

ข่าวใหญ่วงการเทคโนโลยีที่กำลังกระฉ่อนไปทั่วโลกตอนนี้คือการที่ Samsung ประกาศว่าบริษัทกำลังเผชิญภาวะวิกฤต! เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะ Samsung ไม่ใช่แค่บริษัทธรรมดา แต่เป็นราชวงศ์ธุรกิจที่ส่งต่ออำนาจจากรุ่นสู่รุ่น

Samsung เป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่ขับเคลื่อนเกาหลีใต้ ด้วยสัดส่วนถึง 20% ของ GDP ทั้งประเทศ มีบริษัทน้อยมากในโลกที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจบ้านเกิดขนาดนี้ จนมีคนล้อเรียกเกาหลีใต้ว่าเป็น “สาธารณรัฐ Samsung”

ในสายตาคนอเมริกาหรือชาติอื่นๆ อาจรู้จัก Samsung แค่เป็นแบรนด์มือถือหรืออิเล็กทรอนิกส์ แต่ในเกาหลีใต้ Samsung มีอิทธิพลไปในทุกภาคส่วนของธุรกิจ เพราะพวกเขาแฝงตัวไปแทบทุกวงการที่คุณนึกออก

บริษัทในเครือมีถึง 80 แห่ง Samsung Electronics เป็นเรือธงหลัก แต่พวกเขายังครองตลาดด้านการก่อสร้าง อสังหาฯ อาหาร การเงิน ประกันชีวิต สุขภาพ รวมถึงสร้างรถหุ้มเกราะ เรือบรรทุกน้ำมัน มีธุรกิจเสื้อผ้า ความบันเทิง และยังมีโรงพยาบาลอีกต่างหาก

ที่โคตรเจ๋งคือบริษัทยิ่งใหญ่ขนาดนี้เริ่มต้นจากการขายผักและบะหมี่แห้ง ต้นปี 2024 Samsung Electronics มีมูลค่า 400 พันล้านดอลลาร์ แต่พอถึงกรกฎาคม 2024 ความหายนะก็เกิดขึ้น

นักลงทุนต่างชาติเริ่มเทขายหุ้น Samsung จนมูลค่าหายวับไป 122 พันล้านดอลลาร์ในเวลาแค่ไม่กี่เดือน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าบริษัท! การดิ่งลงเหวขนาดนี้น่าเป็นห่วงมาก โดยเฉพาะสำหรับบริษัทที่ผูกพันกับ GDP ของทั้งประเทศ

อะไรทำให้เกิดการตื่นตระหนกครั้งนี้? แม้ว่าตลาดหุ้นแค่ข่าวลือก็ทำให้หุ้นลดฮวบได้ แต่ความจริงแล้วมีมุมมืดซ่อนอยู่เบื้องหลัง Samsung ถึงขั้นปรับเปลี่ยนผู้บริหารและบังคับให้ผู้บริหารทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์เพื่อแก้วิกฤต

คำถามใหญ่คือ Samsung มีปัญหาร้ายแรงจริงหรือ? แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับ Samsung การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร และผลกระทบที่มีต่อบริษัทระดับโลกนี้

ก่อนจะเข้าใจปัญหา เราต้องรู้ก่อนว่า Samsung ทำงานต่างจากบริษัทตะวันตก Samsung เป็น “chaebol” (แชโบล) หรือกลุ่มธุรกิจครอบครัวที่ส่งต่ออำนาจจากรุ่นสู่รุ่น คล้ายกับถ้า Zuckerberg จะมอบอาณาจักรให้ลูก

ตระกูล Lee ของ Samsung เป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลสุดในเกาหลี Miky Lee ผู้อำนวยการสร้างหนังดัง “Parasite” ก็เป็นทายาท Samsung และมีบทบาทสำคัญในการผลักดันวัฒนธรรมเกาหลีสู่กระแสหลัก

การเป็นบริษัทแชโบลทำให้อำนาจส่วนใหญ่อยู่ในมือตระกูล Lee ผู้ก่อตั้ง ซึ่งสร้างความท้าทายมากมาย มีคดีทุจริตและคดีความหลายครั้งที่ทำให้ภาพลักษณ์ Samsung ไม่ดีนัก

Jeffrey Kane ผู้เขียนหนังสือ “Samsung Rising” เคยกล่าวว่า “ผู้นำ Samsung ทุกคนเคยขึ้นศาลมาแล้ว ไม่ว่าจะถูกกล่าวหา ถูกตัดสินว่าผิด หรือติดคุกด้วยข้อหาหลบเลี่ยงภาษี ติดสินบน ยักยอกเงิน หรือให้การเท็จ”

คดีใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในปี 2017 เมื่อ Lee Jae-yong ทายาทของบริษัทเข้าไปพัวพันกับคดีติดสินบน Lee ถูกกล่าวหาว่าเสนอเงิน 38 ล้านดอลลาร์ให้บริษัท 4 แห่งที่บริหารโดยเพื่อนของประธานาธิบดี

หนึ่งในบริษัทนั้นอยู่ในเยอรมนีและให้บริการฝึกขี่ม้าแก่ลูกสาวของเพื่อนประธานาธิบดี เพื่อแลกกับการช่วยเหลือจากรัฐบาลในการควบรวมกิจการที่จะให้อำนาจควบคุม Samsung มากขึ้น

คดีนี้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุน แต่ภายในปี 2022 เขาได้รับการปล่อยตัวและกลับมาเป็นประธานบริหาร Samsung Electronics อีกครั้ง เพราะรัฐบาลเกาหลีบอกว่า Samsung สำคัญเกินกว่าที่รัฐบาลจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว

Samsung ยังมีชื่อเสียงในเรื่องลำดับชั้นการบริหารที่เข้มงวด เมื่อธุรกิจไปได้สวย ระบบนี้ก็เข้าท่า แต่คนวงในบอกว่าเป็นวัฒนธรรมที่ขัดขวางนวัตกรรมและทำให้ปรับตัวตามตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็วได้ยาก

เมื่อพูดถึงการสูญเสียมูลค่า 122 พันล้านดอลลาร์ เราจำเป็นต้องแยกให้ชัดว่าเป็น Samsung Electronics โดยเฉพาะ มีสองแผนกหลักคือ แผนกประสบการณ์อุปกรณ์ (สมาร์ทโฟน ทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้า) และแผนกโซลูชันอุปกรณ์ (ชิป จอแสดงผล)

เมื่อ Samsung Electronics ดิ่งลง 32% จากจุดสูงสุด นี่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่กว่าแค่ซีอีโอพลาด สาเหตุหลักมี 3 อย่าง: พลาดโอกาสด้าน AI, เสียเปรียบด้านชิป และการเปลี่ยนแปลงผู้นำที่วุ่นวาย

1. พลาดขบวนรถไฟ AI

เมื่อ AI แบบ generative บูม เกิดการแย่งชิงโอกาสทางธุรกิจอย่างบ้าคลั่ง Microsoft, Google และโดยเฉพาะ Nvidia ชิงพื้นที่อย่างเต็มตัว Nvidia ที่ผลิต GPU สำหรับ AI มีมูลค่าพุ่งทะยานเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์

แต่ Samsung กลับยืนมองอยู่ข้างสนาม พวกเขาล้าหลังในการผลิตหน่วยความจำแบนด์วิธสูง (HBM) ซึ่งเป็นชิปพิเศษที่ใช้ในระบบกราฟิกระดับสูงอย่าง Nvidia H100 ที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยี AI

ในดีลสุด Exclusive Samsung ควรผลิตชิปหน่วยความจำพิเศษให้ Nvidia แต่กลับทำพลาด ชิปไม่ผ่านมาตรฐานด้านความร้อนและประสิทธิภาพพลังงานที่ Nvidia ต้องการ

ความล้มเหลวครั้งนี้มีราคาแพงมาก คู่แข่งอย่าง SK Hynix ฉวยโอกาสทองและตอนนี้กลายเป็นผู้จัดหาชิปเหล่านี้ให้ Nvidia แต่เพียงผู้เดียว

Samsung รู้ว่าพวกเขาพลาดท่า จึงออกมาขอโทษที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายด้านหน่วยความจำ AI ประสิทธิภาพสูง นักลงทุนยิ่งผิดหวังเมื่อกำไรไตรมาสล่าสุดต่ำกว่าคาดถึง 900 ล้านดอลลาร์

แม้จะทำกำไรได้ 6.78 พันล้านดอลลาร์ แต่การพลาดเป้าเกือบพันล้านไม่ใช่เรื่องน่ายินดี Samsung เข้าสู่โหมดตื่นตระหนก รองประธาน Kyung Kye-hyun ยอมรับว่าความล้มเหลวสร้างความกังวลเกี่ยวกับความสามารถทางเทคโนโลยีและทิศทางในอนาคต

วิกฤตนี้ทำให้บริษัทต้องจัดหนักสั่งให้ผู้บริหารทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์เพื่อกู้สถานการณ์ เรียกได้ว่าเป็นความพยายามแบบสุดทางเลยทีเดียว

2. สงครามชิปที่แพ้ราบคาบ

นอกจาก AI แล้ว ธุรกิจชิปของ Samsung ยังเผชิญความท้าทายในตลาดชิปสมาร์ทโฟน ชิป Exynos เป็นจุดอ่อนมานาน มีปัญหาทั้งความร้อน ประสิทธิภาพแบตเตอรี่ และประสิทธิภาพโดยรวมเมื่อเทียบกับชิป Snapdragon ของ Qualcomm

Samsung เองยังไม่เชื่อมั่นในชิป Exynos จนต้องใช้ Snapdragon แทนในสมาร์ทโฟนระดับเรือธง Galaxy ที่ขายในตลาดสำคัญ โดยเฉพาะอเมริกาเหนือ

คู่แข่งใหญ่ของ Samsung คือ TSMC ยักษ์ใหญ่จากไต้หวัน ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ของ Samsung มียอดขายเกือบ 60 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 แต่ยังตามหลัง TSMC ที่ผลิตชิปได้ดีกว่า

TSMC ผลิตชิปที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า และมีข้อบกพร่องน้อยกว่า ทำให้ได้สัญญากับลูกค้ารายใหญ่อย่าง Apple, Nvidia และ AMD

ในไตรมาสแรกปี 2024 ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ 10 อันดับแรกมีรายได้รวม 29.2 พันล้านดอลลาร์ โดย TSMC ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 61.7% ขณะที่ Samsung มีเพียง 11% เท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น Samsung ยังเผชิญการแข่งขันจากบริษัทจีนที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด ในภาคส่วนที่ไม่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร เช่น ชิปรุ่นเก่าที่ใช้ในรถยนต์ เครื่องบิน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

3. ผู้นำวุ่นวาย บริษัทสั่นคลอน

Samsung พยายามแก้ปัญหาภายในด้วยการปรับเปลี่ยนผู้นำ ในเดือนพฤษภาคม 2024 ปลด Kyung Kye-hyun จากตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายชิป และนำ Jun-young Hong มาดูแลธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์หลัก

การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นก่อนที่นักลงทุนจะเทขายหุ้นในเดือนกรกฎาคม แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารรู้ว่าบริษัทกำลังมีปัญหาและต้องเปลี่ยนแปลง แต่การปรับเปลี่ยนผู้นำนี้ไม่ใช่แค่เรื่องมุมมองใหม่

มันเป็นการตอบสนองต่อแรงกดดันที่จะแก้ไขประวัติศาสตร์อันยาวนานของการบริหารงานภายในที่ผิดพลาด บริษัทผ่านการเปลี่ยนแปลงผู้นำมาหลายครั้ง มีการแต่งตั้งซีอีโอใหม่ถึง 3 คนในปี 2021 ในแผนกสำคัญ

ความถี่ของการเปลี่ยนแปลงผู้นำบ่งชี้ถึงความไม่มั่นคงและอาจบ่งบอกว่าขาดกลยุทธ์ระยะยาวที่ชัดเจน การปรับเปลี่ยนล่าสุดเป็นเพียงความพยายามอีกครั้งที่จะฟื้นฟูผู้นำ แต่ยังไม่มีผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ความวุ่นวายภายในนี้อาจเพิ่มการรับรู้ถึงความไม่มั่นคงของ Samsung ให้มากขึ้น ปัญหาเหล่านี้ทั้งการหยุดชะงักด้าน AI ความยากลำบากด้านชิป และความวุ่นวายในบริษัทหลายปีสร้างพายุที่สมบูรณ์แบบที่ทำลายหุ้นของ Samsung ให้เข้าสู่ตลาดหมี

ความหวังและความพยายามกู้วิกฤต

Samsung ทำอะไรได้บ้างเพื่อพลิกสถานการณ์? อย่างแรกคือนำ Junyang Hyan มานำแผนกเซมิคอนดักเตอร์ Jun เคยเป็นหัวหน้าแผนกแบตเตอรี่และโซลูชันพลังงานของ Samsung และมีบทบาทสำคัญในธุรกิจหน่วยความจำ

ตอนนี้เขามีภารกิจในการนำพาแผนกเซมิคอนดักเตอร์ผ่านวิกฤต ความหวังคือประสบการณ์ของเขาจะช่วยให้แผนกสำคัญนี้มั่นคงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อความต้องการทั่วโลกผันผวน

พวกเขายังตัดสินใจลดต้นทุนอย่างหนัก มีแผนเลิกจ้างทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียที่อาจกระทบถึง 10% ของงานในภูมิภาค เป็นการตัดสินใจที่โหดเหี้ยม แต่จำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพของบริษัท

มีพนักงานต่างประเทศ 15,000 คน ซึ่งเป็นมากกว่าครึ่งของพนักงาน Samsung ทั้งหมด แผนกโซลูชันอุปกรณ์ซึ่งดูแลหน่วยความจำและระบบรายงานกำไรลดลง 40% จากไตรมาสก่อน

ด้วยเหตุนี้ Samsung จึงวางแผนลดการผลิตลง 50% ภายในสิ้นปี 2024 เพื่อปรับตัวตามความต้องการที่ลดลงจากลูกค้าหลักในสหรัฐฯ และจีน พร้อมปรับกลยุทธ์การลงทุนโดยตัดโครงการรองเพื่อมุ่งเน้นธุรกิจหลักอย่างเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีจอแสดงผล

มองอนาคต: วิกฤตหรือโอกาส?

แม้มูลค่าตลาดหายไป 122 พันล้านดอลลาร์และผู้บริหารระดับสูงกำลังปรับตัวอย่างหนัก แต่ทุกอย่างอาจไม่ได้มืดมนขนาดนั้น จุดแข็งหลักของ Samsung คือการมีธุรกิจที่หลากหลาย

แม้บางภาคส่วนจะได้รับผลกระทบ แต่ภาคส่วนอื่นๆ ยังช่วยพยุงบริษัทไว้ได้ ในกรณีนี้ ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ Samsung Electronics และเมื่อดูผลประกอบการล่าสุด เป็นภาพที่ผสมผสาน

รายได้อยู่ที่ 59.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน แต่กำไรจากการดำเนินงานลดลง 6.9 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากค่าใช้จ่ายครั้งเดียวรวมถึงเงินจูงใจในแผนกเซมิคอนดักเตอร์

มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่บ้าง เช่น ยอดขายสมาร์ทโฟนและเทคโนโลยีจอแสดงผล โดยสรุปแล้ว แม้ Samsung Electronics จะเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะในด้านชิปหน่วยความจำและเซมิคอนดักเตอร์ แต่ไม่ได้เลวร้ายทั้งหมด

การเทขายหุ้นสะท้อนถึงการขาดความเชื่อมั่นในผู้นำและทิศทางของบริษัทมากกว่า ตลาดหุ้นมองไปที่อนาคตไม่ใช่สถานการณ์ปัจจุบัน

แม้จะไม่ใช่วิกฤตที่จะทำให้บริษัทล่มสลาย แต่การสูญเสียมูลค่า 122 พันล้านดอลลาร์ในเวลาอันสั้นเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ และหากผู้นำไม่สามารถนำพาบริษัทไปในทิศทางที่ถูกต้อง อาจเสี่ยงต่อความตื่นตระหนกครั้งใหม่

ตลาดหุ้นมีความผันผวนง่าย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก ความรู้สึกของนักลงทุน และเหตุการณ์ระยะสั้น แม้แต่แนวคิด “ใหญ่เกินกว่าจะล้ม” ก็ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป

ต้องรอดูว่า Samsung จะฝ่าฟันต่อสู้กับวิกฤตครั้งนี้อย่างไร จะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิมหรือจะตกต่ำลงไปอีก ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ และวิธีที่พวกเขาจะรับมือกับความท้าทายในยุค AI ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกเทคโนโลยีอย่างถึงรากถึงโคน