Geek Daily EP285 : เมื่อ Iron Man แห่งวงการรถยนต์ Comeback Elon Musk จะพลิกวิกฤต Tesla ได้จริงหรือ?

แสงไฟในสำนักงานใหญ่ของ Tesla ที่ Austin เริ่มสว่างเจิดจ้ายามค่ำคืนอีกครั้ง เมื่อ Elon Musk ประกาศกลับมาทุ่มเทเวลาให้กับบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของเขามากขึ้น หลังจากที่เขาได้แบ่งเวลาไปให้กับกิจกรรมอื่นๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น SpaceX, X (Twitter เดิม), Neuralink และล่าสุดคืองานกับรัฐบาล

การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมพอดี เพราะ Tesla เพิ่งรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2025 ที่น่าผิดหวัง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/ykejr342

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3rmynxaa

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/8ud6kxcf

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Y0b3SBuOpZ4

Geek Story EP350 : วิกฤต Volkswagen! เมื่อยักษ์ใหญ่เยอรมันกำลังถูกกลืนกินในตลาดจีน

Volkswagen เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ย้อนกลับไปในปี 1978 จีนเพิ่งหลุดพ้นจากการปฏิวัติวัฒนธรรม ประเทศอยู่ในสภาพค่อนข้างยากจนและมีความต้องการยานพาหนะสูง จึงหันไปหาประเทศยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างเยอรมนี คณะผู้แทนจีนนำโดยรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมได้ไปปรากฏตัวที่สำนักงานใหญ่ของ Volkswagen ในเมืองวอล์ฟสบวร์ก

ในช่วงแรก จีนต้องการรถบรรทุกและรถโดยสารมากกว่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล เนื่องจากจีนเพิ่งเปิดประเทศ ทำให้ครอบครัวจีนส่วนใหญ่ยังไม่มีกำลังซื้อรถยนต์ส่วนตัว อย่างไรก็ตาม Volkswagen ได้เสนอแนวคิดว่าหากตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยังไม่พร้อม ควรเริ่มต้นที่รถแท็กซี่ก่อน และทาง Volkswagen จะทำการขายให้รัฐบาลจีน ด้วยขนาดตลาดที่ใหญ่มากของจีน จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่คุ้มค่าสำหรับ Volkswagen

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/49tkttzf

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/53f7s298

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4sehrjxy

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/v21RYR2_TnQ

ไปรษณีย์ไทยผนึกเทคซอส พัฒนา Data-as-a-service เปิดให้บริษัท – หน่วยงาน นำข้อมูลต่อยอดบริการ

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ผนึกกำลัง บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) อย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมกันพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและข้อมูล สร้างสรรค์บริการและโอกาสทางธุรกิจใหม่ในรูปแบบ data-as-a-service

ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมนวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้บริการในภาคส่วนโลจิสติกส์ และสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ไม่เคยมีมาก่อน

พิธีลงนาม MOU จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ อาคารภาณุรังษีไปรษณียาคาร สำนักงานใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสององค์กรร่วมเป็นสักขีพยาน นำโดย ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด, ดร.ตฤณ ทวิธารานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจบริการดิจิทัล บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และ คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด ซึ่งทั้งหมดได้ร่วมกันแสดงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับอุตสาหกรรม

ภายใต้กรอบความร่วมมือนี้ ไปรษณีย์ไทยและเทคซอสจะทำงานร่วมกันในหลากหลายด้าน ได้แก่:

  • การพัฒนารูปแบบธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Business Models): มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกเพื่อปรับปรุงการตัดสินใจทางธุรกิจและพัฒนาบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม
  • การสร้างต้นแบบนวัตกรรม (Prototypes): ร่วมกันพัฒนาและทดสอบโซลูชันเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์
  • การสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ (Business Matching): ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม เพื่อสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง
  • การส่งเสริมนวัตกรรมอย่างยั่งยืน (Sustainable Innovation Process): สร้างกระบวนการที่สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในระยะยาว
  • การสร้างรายได้จากข้อมูล (Data Monetization): แสวงหาโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่จากสินทรัพย์ข้อมูลขององค์กร

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า “ในนามของบริษัทฯ และคณะกรรมการ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาธุรกิจรูปแบบใหม่ในครั้งนี้ ซึ่งเทคซอสเป็นที่ยอมรับในวงการและเป็นผู้จัดงานด้านเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยเครือข่ายองค์กรชั้นนำมากมาย ทำให้เป็นเครือข่ายด้านเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เราให้ความสำคัญ”

ดร.ดนันท์ เสริมอีกว่า “ไปรษณีย์ไทยได้ดำเนินการด้านดิจิทัลแพลตฟอร์มมาประมาณ 2-3 ปี และมีประสบการณ์ในการปรับปรุงและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ในฐานะรัฐวิสาหกิจ เราตระหนักถึงความท้าทายและมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงและสร้างศักยภาพด้านดิจิทัล ส่งเสริมบุคลากรให้มีความเป็นดิจิทัลและมีแนวคิดสร้างสรรค์

โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการเติมเต็มและต่อยอดธุรกิจของทั้งสองฝ่าย เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน และหวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายความร่วมมือในอนาคตอันใกล้

ปัจจุบัน ไปรษณีย์ไทยพร้อมที่จะสนับสนุนเศรษฐกิจและสังคม สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างองค์กร ธุรกิจ และประชาชน ในฐานะเพื่อนแท้ร่วมทาง พร้อมที่จะร่วมเดินและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ยกระดับการให้บริการที่ครอบคลุม ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ โดยนำเทคโนโลยีมาบูรณาการเพื่อให้เข้าใจ เข้าถึง และอยู่ในใจลูกค้าทุกคนตลอดไป”

ด้านคุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริษัทเทคซอส กล่าวว่า “เทคซอสมีความตั้งใจที่จะพัฒนาด้านนวัตกรรม และสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นแบรนด์ของไทยสู่ระดับโลก ซึ่งไปรษณีย์ไทยมีความโดดเด่นในด้านข้อมูล โครงสร้างพื้นฐาน และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

เทคซอสจะสนับสนุนโครงการนี้ในด้านการสรรหาพันธมิตร การสร้างรายได้ การเพิ่มมูลค่าบริการ และการใช้ประโยชน์จากข้อมูล เพื่อขับเคลื่อนและยกระดับผู้ประกอบการไทย ไม่ว่าจะเป็น SMEs หรือองค์กรขนาดใหญ่ ให้สามารถเข้าถึงข้อมูลของไปรษณีย์ไทยได้ และเชื่อมั่นว่าการผนึกกำลังระหว่างภาครัฐและเอกชน จะช่วยยกระดับการใช้ข้อมูลของประเทศไทย”

ความร่วมมือในครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อยกระดับการนำข้อมูลของไปรษณีย์ไทยมาใช้ขับเคลื่อนประเทศไทยในหลากหลายมิติ ทั้งเชิงเศรษฐกิจและสังคม โดยจะร่วมกันพัฒนา data-as-a-service และเปิดรับพันธมิตรที่จะนำข้อมูลไปต่อยอดในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ ค้าปลีก, อีคอมเมิร์ซ, อสังหาริมทรัพย์, หน่วยงานราชการ และการตลาดของบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการข้อมูลการสัญจรในแต่ละพื้นที่ เพื่อค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ

โดยหน่วยงานและบริษัทที่สนใจ สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ bizdev@techsauce.co หรือ https://services.techsauce.co/contact-us ทั้งนี้การจับมือกันระหว่างไปรษณีย์ไทย ซึ่งมีความแข็งแกร่งด้านเครือข่ายและข้อมูลเชิงพื้นที่ กับ Techsauce ผู้นำด้านเทคโนโลยีและเครือข่ายสตาร์ทอัพ จะเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทย และสร้างประโยชน์ให้กับภาคส่วนต่าง ๆ ของประเทศในวงกว้าง

เวียดนามจะกลายเป็นญี่ปุ่นแห่งอาเซียน จากสงครามสู่การเป็นปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจแห่งเอเชีย

เวียดนามกำลังมาแรงแบบฉุดไม่อยู่ในฐานะประเทศที่จะกลายเป็นปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจแห่งเอเชียรายถัดไป ซึ่งหากมองย้อนกลับไป 20 ปี การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามเรียกได้ว่าโหดมาก

จาก GDP แค่ 39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2000 พุ่งทะยานเป็น 433 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 การเติบโตแบบพุ่งกระฉูดแบบนี้หาดูได้ยากในประวัติศาสตร์โลก

หลายคนเปรียบเทียบเวียดนามกับญี่ปุ่น แม้ว่าตอนนี้เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะใหญ่กว่าเยอะ มีมูลค่ามากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ และได้ชื่อว่าเป็นประเทศพัฒนาแล้วระดับท็อป

แต่อย่าลืมว่าหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นก็เคยเละเทะไม่เป็นท่า เมืองต่างๆ ถูกถล่มราบ ประชาชนแทบไม่มีกิน เศรษฐกิจแทบดับสนิท

เวียดนามวันนี้มีโอกาสที่จะทำแบบที่ญี่ปุ่นเคยทำ หรือเจ๋งกว่านั้นอีก ยุคนี้เทคโนโลยีล้ำสมัย มีนวัตกรรมใหม่ๆ ผุดขึ้นมากมาย เปิดโอกาสให้เวียดนามก้าวกระโดดได้เร็วกว่าที่ญี่ปุ่นเคยทำ

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เวียดนามต้องเจอความท้าทายมากโข ต้องปฏิรูปเศรษฐกิจ เปิดตลาดให้แข่งขันกันมากขึ้น สร้างบริษัทระดับโลก และปรับโครงสร้างให้เน้นการส่งออก

มาดูกันว่าญี่ปุ่นเสกความสำเร็จทางเศรษฐกิจขึ้นมาได้ยังไง และเวียดนามจะทำให้ดีกว่าได้อย่างไร

ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับภาคอุตสาหกรรมคือกุญแจสำคัญของความสำเร็จของญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่น โดยเฉพาะผ่าน กระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (MITI) ที่มีบทบาทมาก ๆ ในการชี้นำภาคอุตสาหกรรม

พวกเขาไม่แค่บอกว่าควรผลิตอะไร แต่ยังตั้งเป้าสุดท้าทาย และช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างบริษัท แนวทางนี้ทำให้ญี่ปุ่นโฟกัสที่อุตสาหกรรมมูลค่าสูง

ช่วยให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนจากประเทศที่แทบจะล้มละลายจากสงครามมาเป็นผู้นำเศรษฐกิจระดับโลก ดูได้จากการเติบโตแบบก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์

เวียดนามมีบางอย่างคล้ายญี่ปุ่น แต่ก็มีความต่างสำคัญ การแทรกแซงของรัฐบาลเวียดนามต่างจากโมเดลญี่ปุ่น แม้รัฐบาลเวียดนามจะมีบทบาทในอุตสาหกรรมสำคัญ

แต่พวกเขาเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อธุรกิจ มากกว่าการประสานงานและชี้นำโดยตรงแบบญี่ปุ่น

กลไกสำคัญอีกอย่างในระบบเศรษฐกิจญี่ปุ่นคือ Keiretsu ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่ได้รับการผลักดันจาก MITI ให้เติบโตและขยายตัว เดิมทีกลุ่มเหล่านี้คือ Zaibatsu

เป็นกลุ่มบริษัทใหญ่ที่ควบคุมโดยครอบครัว หลังสงคราม พวกเขาถูกจัดระเบียบใหม่เป็น Keiretsu ซึ่งมีระบบการถือหุ้นไขว้กันระหว่างบริษัท สร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่ง

โครงสร้างนี้ช่วยให้บริษัทรักษาเสถียรภาพได้ เพราะพวกเขาพึ่งพาเครือข่ายซัพพลายเออร์ ลูกค้า และผู้ให้บริการการเงินที่เป็นพวกเดียวกัน ตัวอย่างเช่น Keiretsu ของ Mitsubishi

มีทั้งบริษัทยานยนต์ (Mitsubishi Motors) อิเล็กทรอนิกส์ (Mitsubishi Electric) และบริการทางการเงิน (Mitsubishi UFJ Financial Group)

สิ่งที่โดดเด่นของ Keiretsu คือการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวและความร่วมมือระหว่างบริษัท ทั้งในรูปแบบข้อตกลงการค้าพิเศษ การถือหุ้นร่วมกัน และการแบ่งปันเทคโนโลยี

การจัดการแบบนี้ช่วยลดการแข่งขันในตลาด และเสริมความภักดีต่อกลุ่ม ซึ่งช่วยมากตอนเศรษฐกิจดิ่งลงเหว

แต่สภาพแวดล้อมทางธุรกิจของเวียดนามต่างจากญี่ปุ่นหลังสงครามเป็นอย่างมาก เศรษฐกิจเวียดนามเป็นการผสมระหว่างรัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชน และหน่วยงานต่างประเทศ

การนำระบบคล้าย Keiretsu มาใช้ในเวียดนามต้องปรับให้เข้ากับบริบทของประเทศ โดยส่งเสริมเครือข่ายบริษัทท้องถิ่นที่เข้มแข็ง พร้อมกับบูรณาการการลงทุนจากต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

อีกกลไกสำคัญคือการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก ญี่ปุ่นมุ่งผลิตสินค้าคุณภาพสูงที่แข่งขันได้ในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรืออิเล็กทรอนิกส์

แนวทางนี้ไม่เพียงกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น แต่ยังสร้างชื่อเสียงในด้านความเป็นเลิศด้านการผลิตด้วย

เวียดนามกำลังเดินตามเส้นทางนี้ โดยเน้นการส่งออกมากขึ้นเรื่อยๆ ภาคส่วนหลักของการส่งออกเวียดนามตอนนี้มีสิ่งทอ รองเท้า และอิเล็กทรอนิกส์

แต่ความต่างสำคัญคือ ญี่ปุ่นเกิดจากการลงทุนหนักในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและมูลค่าสูง ขณะที่เวียดนามยังเน้นไปที่ภาคส่วนที่มูลค่าต่ำกว่า

หากเวียดนามอยากเจ๋งแบบญี่ปุ่น ต้องปรับไปสู่อุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีสุดล้ำและมูลค่าสูงขึ้น ต้องลงทุนเยอะในเทคโนโลยี วิจัยและพัฒนา รวมถึงการพัฒนาทุนมนุษย์

เวียดนามไม่จำเป็นต้องลอกเลียนแบบญี่ปุ่นทุกขั้นตอน แต่สร้างเส้นทางของตัวเองสู่ความสำเร็จทางเศรษฐกิจได้ การตามทันญี่ปุ่นในปัจจุบันอาจเป็นเรื่องยาก เพราะอยู่คนละยุคสมัย

อีกอย่าง ญี่ปุ่นได้รับการอัดฉีดความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ หลังสงคราม ทั้งความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการเปิดตลาด

สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือทางการเงินผ่านแผน Marshall สร้างสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่มั่นคง ซึ่งเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ปัจจัยสำคัญอีกอย่างคือการใช้จ่ายทางทหาร เวียดนามใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศค่อนข้างสูง เพราะเหตุผลทางประวัติศาสตร์และความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์

ขณะที่ญี่ปุ่นไม่ต้องใช้จ่ายมากในด้านนี้ เพราะรัฐธรรมนูญยึดถือสันติภาพ และได้รับการปกป้องจากกองทัพสหรัฐฯ ทำให้ญี่ปุ่นมีงบเหลือไปลงทุนในการพัฒนาเศรษฐกิจได้มากกว่า

ข้อมูลจากสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์มบอกว่า ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ถึง 2020 การใช้จ่ายทางทหารของญี่ปุ่นไม่เคยเกิน 1% ของ GDP

ขณะที่เวียดนามใช้จ่ายด้านทหารสูงลิบ ในปี 1990 สูงถึง 7.9% ของ GDP และในปี 2018 ยังอยู่ที่ 2.3% การใช้จ่ายเหล่านี้ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม

หากเวียดนามลดการใช้จ่ายทางทหารและเอางบไปพัฒนาเศรษฐกิจ ก็น่าจะเป็นผลดีต่อการเติบโตในระยะยาว

ตัวชี้วัดสำคัญอีกอย่างคือการลงทุนในสินทรัพย์ทางกายภาพใหม่ เช่น อาคาร เครื่องจักร และอุปกรณ์ต่างๆ

ในแง่นี้ เวียดนามเริ่มดีขึ้นแล้ว การเติบโตประจำปีของสินทรัพย์ทางกายภาพใหม่ในเวียดนามเฉลี่ยประมาณ 5-10% ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับที่ญี่ปุ่นทำได้ในช่วงทศวรรษ 1970 ถึงต้นทศวรรษ 1990

การเติบโตอย่างแข็งแกร่งนี้แสดงถึงความมีชีวิตชีวาทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และทุนมนุษย์ ซึ่งการลงทุนเหล่านี้วางรากฐานสำหรับการเติบโตระยะยาว

แม้จะมีความต่าง แต่เวียดนามควรเรียนรู้จากนโยบายของญี่ปุ่น และสำคัญกว่า ต้องเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของญี่ปุ่นด้วย โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวและประชากรลดฮวบ

เวียดนามต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเติบโตไปถึงระดับเดียวกับญี่ปุ่น เศรษฐกิจเวียดนามที่มีมูลค่าประมาณ 433 พันล้านดอลลาร์ ต้องเติบโตประมาณ 7.87% ต่อปีเป็นเวลา 30 ปี

ถึงจะไปถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับ GDP ของญี่ปุ่น นั่นเป็นเป้าหมายที่โหดมาก เพราะการรักษาอัตราการเติบโตเกือบ 8% เป็นเวลา 30 ปีเป็นเรื่องยากโคตร

แต่ถ้ารักษาแนวโน้มการเติบโตปัจจุบันที่ 5-7% ต่อปี ก็มีโอกาสไล่ตามและเทียบเท่าญี่ปุ่นได้ในที่สุด แม้อาจต้องใช้เวลานานกว่าที่ฝันไว้

การพัฒนาเศรษฐกิจของเวียดนามต้องสร้างสมดุลระหว่างการเรียนรู้จากความเจ๋งของญี่ปุ่น ปรับตัวให้เข้ากับบริบทของตัวเอง และหลีกเลี่ยงปัญหาที่ญี่ปุ่นเจอ

เวียดนามต้องลงทุนในการพัฒนาทุนมนุษย์ เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมกับส่งเสริมภาคเอกชนและการสร้างนวัตกรรม

นอกจากนี้ เวียดนามต้องรับมือกับความท้าทายที่ญี่ปุ่นกำลังเจอ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ตอนนี้เวียดนามมีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก

แต่อัตราการเกิดที่ลดลงอาจนำไปสู่ปัญหาเดียวกับที่ญี่ปุ่นกำลังเจอ การวางแผนระยะยาวเพื่อรับมือกับเรื่องนี้มีความสำคัญมาก

การเป็นปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจแห่งเอเชียรายถัดไปของเวียดนามอาจยังอยู่ในอนาคตไกลๆ แต่ด้วยนโยบายที่เข้าท่า การลงทุนที่ฉลาด และการเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศอื่นๆ

เวียดนามก็มีโอกาสประสบความสำเร็จในการยกระดับประเทศและประชาชนไปสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืน

ความก้าวหน้าที่เวียดนามทำได้ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานั้นเจ๋งมาก และเป็นพื้นฐานแข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในอนาคต

แม้จะมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้า แต่โอกาสที่เวียดนามจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในเศรษฐกิจโลกก็มีอยู่จริง

เวียดนามสามารถรังสรรค์ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจในแบบฉบับของตัวเองได้ ด้วยการผสมผสานระหว่างการเรียนรู้จากความสำเร็จของญี่ปุ่นและการพัฒนาแนวทางที่เหมาะกับบริบทของตน

หลังจากฝ่าฟันความยากลำบากทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งในอดีต เวียดนามกำลังเขียนบทใหม่ของประวัติศาสตร์ประเทศ

การเดินทางสู่การเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอาจยาวนานและเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ทิศทางที่เวียดนามกำลังมุ่งหน้าไปนั้นมีความหวังและโอกาสเยอะมาก

เวียดนามวันนี้อาจยังตามหลังญี่ปุ่นอยู่มาก แต่ด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและแนวโน้มการเติบโตที่มั่นคง ไม่แปลกที่หลายคนชายจะมองว่าเวียดนามมีศักยภาพที่จะเป็นปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจแห่งต่อไปของเอเชีย

หากเวียดนามรักษาทิศทางการพัฒนาที่ถูกต้อง วันหนึ่งในอนาคต เราอาจได้เห็นเวียดนามยืนเคียงข้างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกอย่างที่ญี่ปุ่นเป็นอยู่ในปัจจุบันก็เป็นได้นั่นเองครับผม