หากมองย้อนกลับไปในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 จีนเป็นเพียงประเทศที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความยากจน และระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก แต่ใครจะคิดว่าวันนี้จีนจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับสองของโลก
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจสมัยใหม่ และที่น่าสนใจคือ ประเทศที่มีส่วนสำคัญในการช่วยให้จีนประสบความสำเร็จคือสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ปัจจุบันกลับกลายเป็นคู่แข่งสำคัญ
ย้อนกลับไปปี 1949 เมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีน (People’s Republic of China) ถือกำเนิดขึ้น ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบบเศรษฐกิจถูกวางแผนจากส่วนกลาง รัฐบาลควบคุมทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ธุรกิจเอกชนแทบไม่มีที่ยืน
ผลลัพธ์มีทั้งแง่บวกและลบ จีนประสบความสำเร็จในการพัฒนาอุตสาหกรรมพื้นฐานและโครงสร้างพื้นฐาน แต่ก็ยังคงเป็นประเทศที่ปิดกั้น ยากจน และด้อยพัฒนาเมื่อเทียบกับมาตรฐานโลก
ข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่า GDP ของจีนในปี 1960 มีมูลค่าเพียง 59.72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มขึ้นเป็น 149 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1978 แม้จะมีการเติบโตที่น่าประทับใจในบางปี แต่โดยรวมแล้วเศรษฐกิจยังไม่ได้พุ่งทะยานแต่อย่างใด
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในต้นทศวรรษ 1970 เมื่อประธานาธิบดี Richard Nixon เยือนปักกิ่งในปี 1972 การเยือนครั้งนี้ได้ละลายน้ำแข็งความสัมพันธ์ที่เย็นชามายาวนาน เปิดทางสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนาคต
แต่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดขึ้นเมื่อ Deng Xiaoping (เติ้งเสี่ยวผิง) ขึ้นสู่อำนาจในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เขานำเสนอแนวคิด “การปฏิรูปและเปิดประเทศ” (Reform and Opening Up) ที่เจ๋งมาก นำจีนออกจากระบบเศรษฐกิจแบบปิดสู่สิ่งที่เรียกว่า “เศรษฐกิจการตลาดแบบสังคมนิยม”
ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ แน่นแฟ้นขึ้นในปี 1979 เมื่อประธานาธิบดี Jimmy Carter ให้การรับรองทางการทูตแก่จีน และจุดเปลี่ยนสำคัญคือการที่จีนได้รับสถานะประเทศที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง (Most-Favored-Nation) จากสหรัฐฯ
สถานะนี้ทำให้สินค้าจีนเข้าสู่ตลาดอเมริกันด้วยภาษีที่ต่ำมาก ลูกค้าอเมริกันต่างเริ่มมองสินค้าราคาถูกจากจีน ซึ่งเป็นความได้เปรียบด้านต้นทุนของจีนในช่วงเวลานั้น ในปี 1981 รายได้เฉลี่ยต่อวันของชาวจีนอยู่ที่เพียง 1.02 ดอลลาร์ เทียบกับ 41.55 ดอลลาร์ของชาวอเมริกัน
ความแตกต่างมากกว่า 40 เท่านี้ดึงดูดบริษัทอเมริกันให้เข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ยักษ์ใหญ่อย่าง General Motors และ Ford เข้ามาร่วมทุนกับบริษัทรถยนต์ของจีน ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Microsoft, Intel และ Apple ก็มาตั้งฐานปฏิบัติการ
การเข้ามาของบริษัทเหล่านี้ไม่ได้นำมาแค่เงินทุนและการจ้างงาน แต่ยังมาพร้อมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญ กลยุทธ์ของรัฐบาลจีนเข้าท่ามาก พวกเขากำหนดให้บริษัทต่างชาติต้องร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น
อย่างกรณีของ SAIC (Shanghai Automotive Industry Corporation) ที่ร่วมทุนกับ General Motors ในช่วงแรก SAIC เป็นเพียงผู้ผลิตตามแบบของ GM แต่ต่อมาวิศวกรของ SAIC ได้เรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตและการออกแบบจนสามารถพัฒนารถยนต์แบรนด์ตัวเองได้
ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ Foxconn กลายเป็นตัวอย่างความสำเร็จที่น่าทึ่ง แม้จะมีสำนักงานใหญ่ในไต้หวัน แต่การดำเนินงานส่วนใหญ่อยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ และร่วมมือกับยักษ์ใหญ่อย่าง Apple, Dell และ Hewlett-Packard
Foxconn ไม่ใช่แค่โรงงานผลิตทั่วไป แต่เป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ความรู้และประสบการณ์เหล่านี้ได้แพร่กระจายไปสู่บริษัทจีนอื่นๆ ซึ่งสุดท้ายก็ปลุกปั้นความสามารถของตัวเองขึ้นมา
รัฐบาลจีนตระหนักว่าการเป็นฐานการผลิตระดับโลกต้องมีแรงงานที่มีทักษะและโครงสร้างพื้นฐานในระดับสูง จึงลงทุนอย่างมหาศาลในการพัฒนาทั้งสองด้านนี้
จีนส่งนักศึกษาจำนวนมากไปเรียนต่อในสหรัฐฯ และประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ จำนวนนักศึกษาจีนในสหรัฐฯ เพิ่มจาก 20,000 คนในปี 1988 เป็นมากกว่า 60,000 คนในปี 2000 ส่วนใหญ่เลือกเรียนวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และการจัดการธุรกิจ
เมื่อกลับประเทศ บัณฑิตเหล่านี้นำทั้งความรู้ วิธีคิด และความเข้าใจในเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาประเทศ หลายคนกลายเป็นผู้นำในวงการธุรกิจและการศึกษา สร้างการเปลี่ยนแปลงให้จีนในวงกว้าง
ด้านโครงสร้างพื้นฐาน จีนทุ่มงบมหาศาลพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง พลังงาน และการสื่อสาร สร้างท่าเรือขนาดใหญ่ เครือข่ายทางหลวง รถไฟความเร็วสูง และโรงไฟฟ้าจำนวนมาก
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 2001 เมื่อจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) หลังจากการเจรจาอันยาวนานกับประเทศมหาอำนาจหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป
อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนจีนเข้าร่วม WTO เขาเชื่อว่าการมีส่วนร่วมผ่านการค้าจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย และช่วยให้จีนยอมรับบรรทัดฐานระดับโลก
เมื่อเข้าร่วม WTO จีนต้องปฏิบัติตามพันธกรณีมากมาย ทั้งการลดภาษี เปิดตลาดให้ต่างชาติ และปฏิบัติตามมาตรฐานสากลเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ผลที่ตามมาคือการส่งออกของจีนพุ่งกระฉูดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ในช่วงห้าปีแรกหลังเข้าร่วม WTO การส่งออกของจีนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 25 ต่อปี ทำให้จีนกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก การเติบโตนี้ส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศขยายตัวอย่างรวดเร็ว
จีนไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นฐานการผลิตราคาถูก แต่ก้าวไปสู่การพัฒนานวัตกรรมของตัวเอง เห็นได้ชัดจากระบบการชำระเงินดิจิทัลที่ล้ำสมัยอย่าง Alipay และ WeChat Pay ที่ทำให้การใช้จ่ายในจีนเข้าสู่ยุคไร้เงินสดอย่างสมบูรณ์
มูลค่าการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัลในจีนปี 2021 สูงถึง 434 ล้านล้านดอลลาร์ มากกว่าสหรัฐฯ หลายเท่า แสดงให้เห็นว่าจีนไม่ได้เป็นเพียงผู้ตามอีกต่อไป แต่กลายเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในหลายด้าน
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในปัจจุบันกำลังเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งการแข่งขันด้านเทคโนโลยี ข้อพิพาททางการค้า และความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์
แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ความร่วมมือระหว่างสองประเทศได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้กับเศรษฐกิจโลก เหมือนฟ้าลิขิตให้ยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯเป็นผู้ที่ส่งให้มังกรอย่างจีนสยายปีกบนเวทีโลก
สุดท้ายแล้ว ความสำเร็จของจีนไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือความฝันลมๆ แล้งๆ แต่เป็นผลจากการวางแผนอย่างรอบคอบ การทำงานหนัก และความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศ ถึงแม้จะมีอุปสรรคมากมาย จีนก็ยังคงเดินหน้าด้วยความมั่นใจและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เป็นบทเรียนล้ำค่าสำหรับทุกประเทศที่ต้องการเขียนประวัติศาสตร์ของตัวเองขึ้นมาใหม่นั่นเองครับผม