Geek Story EP334 : ฝันร้ายหลังไมค์ของธุรกิจเดลิเวอรี่ ไรเดอร์จะรอดได้ไงถ้าบริษัทที่จ้างพวกเขากำลังจมน้ำตาย

เวลาที่เราสั่งอาหารผ่านแอปส่งอาหาร เราแทบไม่เคยคิดถึงกลไกธุรกิจที่ซับซ้อนเบื้องหลังการส่งอาหารจานโปรดมาถึงหน้าประตูบ้านเรา พอดแคสต์ EP นี้ผมอยากจะชวนทุกคนเจาะลึกโลกของธุรกิจส่งอาหาร ที่ดูเหมือนเรียบง่ายแต่กลับมีความซับซ้อนและท้าทายในการทำกำไรอย่างไม่น่าเชื่อ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/59mn3rty

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/bdrdmvv7

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/mrx24nww

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/AQizs8gtew4

ทำไม Sony ถึงล้มเหลวในตลาดมือถือ? จาก 88% สู่ 0% ศึกชิงบัลลังก์สมาร์ทโฟนที่จบลงด้วยความพ่ายแพ้

Sony เป็นแบรนด์ระดับท็อปในวงการเทคโนโลยีมาอย่างยาวนาน เริ่มจากการปฏิวัติวงการโทรทัศน์ด้วย Trinitron ในยุค 60 พลิกโฉมวงการเครื่องเสียงด้วย Walkman ปี 1979 และสร้างตำนานเกมคอนโซลด้วย PlayStation ที่ได้รับการเทิดทูนไปทั่วโลก

แต่บนเส้นทางความสำเร็จอันสวยหรู Sony ก็มีมุมมืดที่หลายคนอาจไม่รู้ นั่นคือการเข้าสู่ตลาดโทรศัพท์มือถือที่แม้จะเริ่มต้นด้วยกลีบกุหลาบแต่กลับจบลงด้วยความเจ็บปวด

Sony หมายปองตลาดโทรศัพท์มือถือตั้งแต่ยุค 90 แต่กลับทำได้เพียงคว้าส่วนแบ่งตลาดโลกแค่ 1% และในญี่ปุ่นก็ได้แค่ 10% เท่านั้น สถานการณ์ไม่เป็นใจเลยสักนิด

ทางฝั่ง Ericsson บริษัทโทรคมนาคมลูกพี่ใหญ่จากสวีเดนก็กำลังเจอปัญหาหนักเช่นกัน แม้จะถือส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 10% ทั่วโลก แต่กำลังถูก Motorola และ Nokia รุมถล่มอย่างหนัก

จุดพลิกผันเกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2000 เมื่อโรงงาน Phillips ในเมือง Albuquerque เกิดไฟไหม้ใหญ่ เกิดเป็นหายนะ เพราะ Phillips คือซัพพลายเออร์ชิปวิทยุหลักของ Ericsson

Nokia คู่แข่งที่ใช้ชิ้นส่วนจากที่เดียวกัน ตอบสนองเร็วมาก ส่งทีมไปประเมินความเสียหายทันที และกระจายคำสั่งซื้อไปที่อื่น ส่วน Ericsson ใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะรู้ว่าเรื่องมันเลวร้ายแค่ไหน

ผลลัพธ์คือการผลิตโทรศัพท์ของ Ericsson หยุดชะงักเป็นเวลาหลายเดือน ผู้เชี่ยวชาญประเมินความเสียหายทางการเงินที่ 400 ล้านดอลลาร์ แต่ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นมีมูลค่ามากกว่านั้นมากโข

ด้วยวิกฤตที่รุมเร้า Sony และ Ericsson จึงเริ่มแผนการเจรจาเพื่อที่จะควบรวมกิจการกัน ในต้นปี 2001 Sony มีความเจ๋งด้านการออกแบบและเทคโนโลยีภาพเสียง ขณะที่ Ericsson แข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีสื่อสารและความสัมพันธ์กับผู้ให้บริการเครือข่าย

การเจรจาใช้เวลาไม่น้อย เพราะทั้งสองฝ่ายต้องการความมั่นใจว่าทรัพย์สินทางปัญญาของตนจะได้รับการปกป้อง ท้ายที่สุด เดือนตุลาคม 2001 Sony Ericsson Mobile Communications ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยการถือหุ้นฝั่งละ 50-50

บริษัทร่วมทุนนี้ตั้งสำนักงานใหญ่ในลอนดอน มีพนักงานเริ่มต้น 3,500 คน และไม่รอช้าที่จะปลุกปั้นผลิตภัณฑ์แรก นั่นคือ Sony Ericsson T68i โทรศัพท์จอสีรุ่นแรกสำหรับตลาดทั่วไป

T68i สร้างความฮือฮามาก ในยุคที่โทรศัพท์ส่วนใหญ่ยังใช้จอขาวดำหรือสองสีอย่าง Nokia 3310 หรือ Blackberry แต่ก็มีราคาแพงอยู่ที่ 650 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าโหดมากในยุคนั้น

ความสำเร็จของ T68i นำไปสู่การพัฒนาสายผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย แบ่งเป็นสามสายหลัก: สาย T (Talk) เน้นการใช้งานพื้นฐาน, สาย K (Kamera) โดดเด่นด้วยกล้องคุณภาพสูง และสาย W (Walkman) ที่ผสานความเจ๋งของเทคโนโลยีเพลงเข้ากับโทรศัพท์

ปี 2003 เป็นปีทองด้วยการเปิดตัว T610 ที่ขายได้กระฉูดถึง 15 ล้านเครื่อง ตามมาด้วย K750 ในปี 2005 ที่โดดเด่นด้วยกล้อง 2 ล้านพิกเซล และ W800 ในปี 2006 ที่ตอบโจทย์กระแส iPod และการฟังเพลง MP3

จุดพีคของ Sony Ericsson มาถึงในปี 2007 ด้วยการเปิดตัว K810 และ K850 ที่มาพร้อมกล้อง 5 ล้านพิกเซล บริษัทพุ่งทะยานสู่ส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 88.8% ถือเป็นจุดสูงสุดของ Sony Ericsson ในอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือ

แต่แล้วทุกอย่างก็พลิกผัน เมื่อ Steve Jobs ขึ้นเวทีเปิดตัว iPhone รุ่นแรกในวันที่ 9 มกราคม 2007ที่เปลี่ยนโลกโทรศัพท์มือถือไปตลอดกาล

Sony Ericsson ต้องรีบปรับตัว ในปี 2008 พวกเขายุติสายผลิตภัณฑ์ K ที่เคยประสบความสำเร็จและแทนที่ด้วยสาย Xperia ที่มุ่งเน้นตลาดระดับไฮเอนด์

แต่ Xperia X1 รุ่นแรกยังคงยึดติดกับคีย์บอร์ดแบบเลื่อนและใช้หน้าจอสัมผัสแบบ resistive ที่ต้องกดแรงๆ ซึ่งแย่กว่าระบบ capacitive ของ iPhone ที่แค่แตะเบาๆ ก็ใช้งานได้

ที่แย่ยิ่งกว่าคือการเลือกใช้ระบบ Windows Mobile ที่ล้าสมัย ในขณะที่ Android กำลังก่อร่างสร้างตัว ผลกระทบปรากฏชัดเจน ภายในแค่ 2 ปี Sony Ericsson สูญเสียลูกค้าและส่วนแบ่งตลาดไปเกือบครึ่ง แม้จะเปลี่ยนมาใช้ Android ในปี 2010 กับ Xperia X10 แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

การตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ก็มั่วซั่วสุดๆ มีทั้ง Neo, Arc, Ray และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ผู้บริโภคงงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2011 เมื่อ Sony ตัดสินใจควักกระเป๋า 1.5 พันล้านดอลลาร์ซื้อหุ้นทั้งหมดคืนจาก Ericsson เปลี่ยนชื่อเป็น Sony Mobile

แต่ปัญหายังรุมเร้า: การตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ที่สับสน, การทำตลาดที่ไร้สาระโดยเฉพาะช่วงปี 2015-2016, การสนับสนุนผลิตภัณฑ์แค่ 2 ปีทั้งที่ราคาสูงถึง 1,100-2,000 ดอลลาร์, และการมุ่งเน้นตลาดเฉพาะทางมากเกินไป

ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า Sony หวังสูงเกินไปที่คิดจะสู้กับ Apple และ Samsung ด้วยสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม ทั้งที่ขาด ecosystem ของผลิตภัณฑ์และบริการที่แข็งแกร่ง

ปัจจุบัน Sony มีส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนตกลงเหลือ 0% ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการล่มสลายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มือถือก็มีเพียงสองรุ่นบนเว็บไซต์ซึ่งทั้งคู่ก็หมดสต็อก แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังค่อยๆ ถอยจากตลาดนี้

บทเรียนจากความล้มเหลวของ Sony คือแม้จะมีเทคโนโลยีที่เทพแค่ไหน แต่หากขาดความเข้าใจตลาดและมีกลยุทธ์ที่สับสน ก็อาจนำไปสู่ความพ่ายแพ้อย่างราบคาบได้

เรื่องราวของ Sony เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับธุรกิจเทคโนโลยีทั่วโลก ที่แสดงให้เห็นว่าแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ก็อาจถูกถีบให้ดิ่งลงเหวในตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็ว หากขาดการปรับตัวที่ทันท่วงที เหมือนที่ Sony ได้ประสบพบเจอมานั่นเองครับผม

ปิดตำนาน Hyperloop One เมื่อความฝันมูลค่า 450 ล้านดอลลาร์ถูกเบรกกลางอากาศ

ความฝันที่เราจะสามารถเดินทางจากกรุงเทพไปเชียงใหม่โดยใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง มันคือสิ่งที่ Hyperloop One พยายามทำให้เป็นจริง แต่หลังจากระดมทุนไปกว่า 450 ล้านดอลลาร์และทำงานมาเกือบทศวรรษ ความฝันนี้กลับจบลงในเดือนธันวาคม 2023 เมื่อบริษัทประกาศปิดตัวอย่างเป็นทางการ

แนวคิด Hyperloop ไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้อนกลับไปต้นยุค 1900 วิศวกรชื่อ Robert H. Godard คิดค้น V Train ซึ่งเป็นระบบขนส่งในท่อความดันต่ำ แนวคิดนี้อยู่ในตำราวิศวกรรมและนิยายวิทยาศาสตร์มาหลายสิบปี แต่ไม่เคยมีใครลงมือทำจริงจัง

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปี 2012 เมื่อ Elon Musk พูดถึงแนวคิดนี้กับเพื่อนชื่อ Shervin Pishevar ระหว่างเดินทางไปคิวบา Musk ตีพิมพ์แนวคิดชื่อ “Hyperloop Alpha” ในปี 2013 และเปิดเป็น open source เพราะอ้างว่าไม่มีเวลาพัฒนาเนื่องจากต้องดูแล Tesla กับ SpaceX

หลักการของ Hyperloop คือการนำแคปซูลใส่ในท่อขนาดใหญ่ ปรับความดันให้มีแรงต้านอากาศน้อยสุด แล้วเร่งความเร็วให้ถึง 760 ไมล์ต่อชั่วโมง เป้าหมายคือสร้างเส้นทางระหว่างเมืองใหญ่ที่ห่างกันพอดีๆ เช่น LA กับ San Francisco ที่ปกติขับรถ 5 ชั่วโมง หรือบิน 1.5 ชั่วโมง แต่ถ้าใช้ Hyperloop จะใช้เวลาแค่ 35 นาทีเท่านั้น

ในขณะที่ Musk ไม่ได้พัฒนาต่อเอง Shervin Pishevar กลับก่อตั้ง Hyperloop Technologies ในปี 2014 เพื่อรังสรรค์แนวคิดนี้ให้เป็นจริง บริษัทรวบรวมวิศวกรและนักลงทุนมาแก้โจทย์ยากๆ ทั้งเรื่องเครื่องอัดอากาศ ระบบลอยตัวแม่เหล็ก และหน่วยขับเคลื่อนไฟฟ้า

กระแสฮือฮาพุ่งกระฉูด สื่อใหญ่ทั่วโลกรายงานข่าวนี้ นิตยสาร Forbes ถึงกับนำ Shervin ขึ้นปก เรียก Hyperloop ว่าเป็น “การแข่งขันด้านอวกาศรูปแบบใหม่”

ต้นปี 2016 หลังระดมทุนหลายรอบ บริษัทเปิดสถานที่ทดสอบในทะเลทรายเนวาดา แสดงการทดสอบที่มีความเร็วเกิน 100 ไมล์ต่อชั่วโมง พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น Hyperloop One และประกาศแผนพัฒนาอย่างรวดเร็ว รวมถึงการสร้างรางทดสอบระยะทาง 1.5 กิโลเมตร

แต่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น มีรอยร้าวเกิดขึ้นเมื่อ Shervin Pishevar ลาออกหลังถูกกล่าวหาเรื่องพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี Brogan BamBrogan ก็ลาออกเช่นกัน โดยกล่าวหาว่าบริษัทสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษ BamBrogan ยังอ้างว่ามีคนวางยาเขาในที่ทำงานหลังแสดงความไม่เห็นด้วยกับผู้บริหาร

แม้จะมีความวุ่นวาย แต่กระแสความฮือฮาไม่ได้ลดลง ในช่วงฤดูร้อนปี 2016 บริษัททำข้อตกลงกับรัฐบาลรัสเซียสำหรับ Hyperloop ในมอสโก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ลงทุน 50 ล้านดอลลาร์และศึกษาความเป็นไปได้ในดูไบ มีการสร้างวิดีโอโปรโมทที่น่าตื่นเต้นโดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2020

เอกสารภายในที่ Forbes เปิดเผยในปลายปี 2016 ระบุว่าบริษัทคาดจะมี Hyperloop แรกพร้อมขนส่งสินค้าในปี 2020 และรับผู้โดยสารในปี 2021 แต่การประมาณการต้นทุนพุ่งสูงเป็น 9-13 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่ Musk ประมาณไว้แค่ 6 พันล้าน

บริษัทยังคงมองโลกในแง่ดี ประเมินตลาดในอนาคตที่จะมีมูลค่ามากกว่า 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 และ 9.3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2040 คาดว่าจะมีกำไรหลายพันล้านหลังดำเนินงานระยะยาว

ความตื่นเต้นและศักยภาพของ Hyperloop ดึงดูด Richard Branson แห่งกลุ่ม Virgin เข้าร่วมคณะกรรมการบริษัท หลังเห็นการทดสอบที่เนวาดา นำไปสู่การปรับแบรนด์เป็น Virgin Hyperloop One โดย Virgin รับผิดชอบพัฒนาประสบการณ์ผู้โดยสาร

ช่วงนี้บริษัททำข้อตกลงกับหลายประเทศ ทั้งเอสโตเนียในปี 2017 อินเดียในปี 2018 ที่วางแผนสร้าง Hyperloop ระหว่าง Mumbai กับ Pune รัฐต่างๆ ในสหรัฐฯ ทั้งโอไฮโอ มิสซูรี เท็กซัส ก็เริ่มสำรวจเส้นทาง ซาอุดิอาระเบียลงนามในปี 2020 และบริษัทประกาศแผนสร้างศูนย์รับรองมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ในเวสต์เวอร์จิเนีย

ปี 2020 บริษัทแนะนำต้นแบบแคปซูลผู้โดยสาร XP-2 และสร้างข่าวพาดหัวด้วยการทดสอบกับมนุษย์เป็นครั้งแรก โดยมี CTO ของบริษัทและผู้อำนวยการฝ่ายประสบการณ์ผู้โดยสารเป็นอาสาสมัคร

ความสำเร็จนี้ถูกโหมโปรโมตว่าเป็นก้าวสำคัญ แม้ว่าความเร็วจะแค่ 100 ไมล์ต่อชั่วโมง ห่างไกลจากเป้าหมาย 700 ไมล์ต่อชั่วโมงที่โฆษณาไว้ บริษัทตั้งเป้าใหม่สำหรับปี 2025 เพื่อได้รับการรับรองและเริ่มก่อสร้าง

หลังจากนั้น แทนที่จะพุ่งทะยาน ทุกอย่างกลับดิ่งลงเหว ไม่มีความคืบหน้าที่จับต้องได้ บริษัทเงียบหายไปตลอดปี 2021 บางส่วนเพราะโควิด-19 ที่ขัดขวางการทำงาน ในช่วงนี้ บริษัทเปลี่ยนการออกแบบจากระบบแม่เหล็กด้านล่างเป็นระบบติดตั้งด้านบน

แม้ระดมทุนได้เกือบครึ่งพันล้านดอลลาร์ Virgin Hyperloop เริ่มระส่ำ ต้นปี 2022 บริษัทลดขนาดองค์กรลงอย่างมาก ปลดพนักงานเกือบครึ่งหนึ่ง

บริษัทเปลี่ยนกลยุทธ์ หันมาเน้นขนส่งสินค้าก่อน แล้วค่อยพัฒนาสู่การขนส่งผู้โดยสารภายหลัง แนวคิดคือเริ่มด้วยสินค้าจะง่ายกว่า ไม่ต้องพัฒนาประสบการณ์ผู้โดยสารให้สมบูรณ์แบบ แต่ความสามารถในการดึงดูดคนเก่งและเงินทุนเริ่มร่อยหรอ

ปลายปี 2022 บริษัทปลดพนักงานเพิ่มและเปลี่ยนแบรนด์อีกครั้ง เลิกใช้ชื่อ Virgin กลับไปใช้ Hyperloop One ทั้งพนักงานและนักลงทุนเริ่มเห็นปัญหาใหญ่ ไม่มีข่าวดีหรือความคืบหน้าในโครงการตามที่สัญญาไว้ ศูนย์รับรองในเวสต์เวอร์จิเนียถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการ

วันที่ 21 ธันวาคม 2023 Bloomberg รายงานว่า Hyperloop One จะยุติการดำเนินงานภายในสิ้นปี แม้ไม่ได้ยื่นล้มละลายอย่างเป็นทางการ แต่บริษัทดำเนินการเสมือนเป็นการล้มละลายแบบ Chapter 7 ชำระบัญชีทุกอย่างและปิดตัว

งานวิจัยและทรัพย์สินทางปัญญาส่วนใหญ่ถูกโอนกลับไปยัง DP World บริษัทโลจิสติกส์ในดูไบซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทรัพย์สินทางกายภาพ เช่น รางทดสอบ สำนักงาน และเครื่องจักรถูกจับแยกชิ้นส่วนขาย

ก็ต้องบอกว่า Hyperloop เป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดในวงการเทคโนโลยี เป็นแนวคิดที่นักอนาคตนิยมถวิลหามาเป็นศตวรรษ แต่ไม่เคยได้รับความนิยมพอที่จะทำให้มันเกิดขึ้นจริง จนกระทั่ง Elon Musk ผลักดันแนวคิดนี้ขึ้นมา

หลังทำงานเกือบทศวรรษและระดมทุน 450 ล้านดอลลาร์ สิ่งที่แสดงได้คือการทดสอบกับมนุษย์ครั้งเดียวที่ความเร็วแค่ 100 ไมล์ต่อชั่วโมง ห่างไกลจากความเร็ว 760 ไมล์ต่อชั่วโมงที่สัญญา ความฝันลมๆ แล้งๆ เริ่มจางหาย

ความล้มเหลวของ Hyperloop One สะท้อนความท้าทายในการพัฒนาเทคโนโลยีปฏิวัติวงการ มีอุปสรรคมากมาย ทั้งการรักษาท่อขนาดใหญ่ให้มีความดันคงที่ การรักษาความปลอดภัยผู้โดยสารในความเร็วสูง และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ

การสร้างโครงสร้างพื้นฐานบนเทคโนโลยีใหม่ที่ไม่เคยพิสูจน์มีค่าใช้จ่ายสูงหลายล้านดอลลาร์ เพื่อระบบขนส่งที่รับผู้โดยสารได้น้อย ในขณะที่รถไฟแม่เหล็กและรถไฟความเร็วสูงพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริง

แม้ Hyperloop One จะปิดตัว แนวคิดนี้ยังมีชีวิตผ่านบริษัทอื่น เช่น TransPod ในแคนาดา Hardt Hyperloop ในเนเธอร์แลนด์ และ Hyperloop Transportation Technologies ในสหรัฐฯ แม้จะมีเงินทุนน้อยกว่า แต่ยังฝ่าฝันต่อสู้เพื่อทำให้แนวคิดนี้เป็นจริง

ความล้มเหลวของ Hyperloop One เป็นเรื่องราวของความทะเยอทะยานที่เจอความเป็นจริงอันแสนเจ็บปวด แม้มีวิสัยทัศน์ที่เจ๋งมากๆ การสนับสนุนจากคนดัง และเงินมหาศาล แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคทางเทคนิคและการเงินได้

อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวนี้ไม่ได้หมายความว่าแนวคิด Hyperloop เป็นเรื่องเพ้อฝัน เทคโนโลยีที่ปฏิวัติวงการมักต้องการเวลาและการทดลองมากกว่าที่คาด ความพยายามของ Hyperloop One ถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันขอบเขตของสิ่งที่เป็นไปได้

ในโลกนวัตกรรม ความล้มเหลวมักเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ บางครั้งต้องมีคนกล้าเสี่ยงและล้มเหลวเพื่อปูทางให้คนรุ่นต่อไป อาจเป็นไปได้ว่าในอนาคต เราจะเห็นระบบขนส่งในท่อสุญญากาศที่ได้แรงบันดาลใจจาก Hyperloop One

เรื่องราวนี้เตือนใจว่าแม้แต่แนวคิดที่น่าตื่นเต้นสุดๆ ก็ต้องเจอความท้าทายในโลกจริง การแปลงความฝันให้เป็นจริงต้องการมากกว่ากระแสฮือฮาและเงินทุน ต้องมีความอดทน การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ และความเข้าใจข้อจำกัดทางวิศวกรรมและเศรษฐกิจ

ในขณะที่เรามองหาวิธีเดินทางที่เร็วขึ้นและสะอาดขึ้น บทเรียนจาก Hyperloop One จะมีค่าสำหรับนักนวัตกรรมและนักลงทุนที่กล้าท้าทายสถานะปัจจุบัน และพยายามขีดเขียนอนาคตที่ดีกว่าให้กับโลกของเรานั่นเองครับผม

จุดจบนักพัฒนาซอฟต์แวร์? ทำไมแรงงาน 110,000 คนถูกไล่ออก ความจริงอันโหดร้ายในยุค AI เขียนโค้ด

ต้องบอกว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาการเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นงานในฝันของใครหลายคน US News and World Report เคยจัดให้อาชีพนี้อยู่อันดับหนึ่ง แซงหน้าอาชีพในวงการสาธารณสุขที่ครองแชมป์มาตลอด 3 ปี

เงินเดือนพุ่งกระฉูด สวัสดิการเทพ ทั้งเบี้ยเลี้ยงและชั่วโมงทำงานที่ยืดหยุ่น ทำให้อาชีพนี้เป็นที่หมายปองของคนรุ่นใหม่

แต่ดูเหมือนว่ายุคทองกำลังจะถึงจุดจบ เมื่อเราเริ่มเห็นแนวโน้มว่าในอนาคต โค้ดมากมายในแอปต่างๆ รวมถึง AI จะถูกสร้างโดยวิศวกร AI แทนที่วิศวกรมนุษย์

ข้อมูลจาก US Bureau of Labor Statistics บ่งชี้ว่า ในปี 2019 มีนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในอเมริกาประมาณ 1.5 ล้านคน และคาดว่าจะเติบโตอีก 22% ถึงปี 2029

แต่ความเจ๋งของ AI ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดได้เข้ามาพลิกเกมนี้อย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครคาดคิดว่า มาถึงปี 2025 ตำแหน่งงานนักพัฒนาซอฟต์แวร์จะไม่เพิ่มขึ้น แต่กลับดิ่งลงเหวอย่างน่าใจหาย

วงการเทคโนโลยีกำลังเจอศึกหนัก Microsoft ประกาศเลิกจ้าง 5% Meta เจ้าของ Facebook ก็ลดพนักงาน 5% Alphabet ลูกพี่ใหญ่ก็ลดคนเป็นพันๆ

นักพัฒนาซอฟต์แวร์กว่า 110,000 คนทั่วโลกถูกถีบออกจากงาน สะท้อนให้เห็นว่าวงการกำลังสั่นคลอนหนัก พวกเขาต้องฝ่าฝันต่อสู้ในตลาดงานที่แข่งขันกันอย่างโหดเหี้ยม

Meta ที่เคยเป็นความฝันของมืออาชีพด้านซอฟต์แวร์ ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ยกเลิกตำแหน่งถึง 16,000 ตำแหน่ง เพื่อมุ่งเน้นพัฒนา AI ที่กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง

นี่เป็นจุดจบของนักพัฒนาซอฟต์แวร์จริงหรือ? อนาคตในโลกแรงงานจะเป็นเช่นไร?

ย้อนกลับไปมองประวัติศาสตร์ นักพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นกำลังสำคัญของวงการเทคโนโลยีมานาน ตั้งแต่ปลายยุค 90 ถึงต้นยุค 2020 ความต้องการพุ่งทะยาน

ช่วงปี 2000 โลกเข้าสู่ยุคอินเทอร์เน็ตแบบเต็มตัว ต้องการแอปและเว็บใหม่ๆ มากมาย ทำให้การจ้างโปรแกรมเมอร์เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

ปี 2015 การพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นสาขาที่เนื้อหอมสุดๆ มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาเต็มไปด้วยนักศึกษาที่อยากก้าวเข้าสู่วงการนี้

แต่แล้วเมื่อ AI เทพขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สภาพแวดล้อมเริ่มเปลี่ยนแปลงจนน่าตกใจ

ปี 2020 บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google, Microsoft และ OpenAI เริ่มเสกโมเดล AI ที่สามารถสร้างโค้ดได้โดยอัตโนมัติเกือบทั้งหมด

ChatGPT เป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นเทคโนโลยี AI ที่ได้รับเงินสนับสนุนมหาศาลถึง 10 พันล้านดอลลาร์จาก Microsoft

ความก้าวหน้านี้ส่งสัญญาณชัดว่า AI สามารถทำงานแทนที่นักพัฒนามนุษย์ได้หลายอย่าง ปี 2023 เป็นจุดพลิกผันของวงการ

GitHub Copilot ที่ขับเคลื่อนโดย OpenAI เริ่มช่วยนักพัฒนาสร้างโค้ดทั้งชุดจากการป้อนข้อมูลแค่ไม่กี่บรรทัด ในชณะที่ Microsoft 365 Copilot กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้คนหลายล้านคนใช้และพึ่งพาทุกวัน

ตอนแรก เครื่องมือพวกนี้ถูกมองเป็นแค่ตัวช่วย แต่ไม่นานผู้เชี่ยวชาญก็ตระหนักถึงศักยภาพโครตเทพในการแทนที่งานมนุษย์

บริษัทต่างๆ เริ่มลดพนักงานพัฒนาซอฟต์แวร์ เพราะ AI ทำงานได้แบบจัดเต็มโดยต้องการคนน้อยลงเรื่อยๆ ปี 2025 วงการเทคโนโลยีอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว

การศึกษาปี 2024 เผยว่า 32% ของบริษัทเทคโนโลยีได้นำ AI มาใช้ทำงานเขียนโปรแกรมอัตโนมัติ Meta, Google และ Amazon กำลังใช้ AI แบบจัดเต็มในการเขียนโค้ด ทดสอบซอฟต์แวร์ และดูแลระบบ ส่งผลให้ความต้องการนักพัฒนาแบบเดิมลดฮวบ

ปี 2025 Meta เลิกจ้างคนกว่า 10,000 คน ประมาณ 15% เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างสู่การใช้ AI มากขึ้น

กุมภาพันธ์ 2025 Workday เลิกจ้าง 1,750 คน ประมาณ 8.5% ของคนทั่วโลก ในขณะที่ Salesforce และ Cruz ประกาศว่าพวกเขาจะลดพนักงาน

มกราคม 2025 Salesforce ตัดตำแหน่งกว่า 1,000 ตำแหน่ง ลดทีมวิศวกรซอฟต์แวร์ลง 15% อ้างว่า AI ทำงานได้ดีกว่า Salesforce กำลังตัดงานมากกว่า 1,000 ตำแหน่ง และพวกเขาจะจ้างพนักงานขายเพื่อขายผลิตภัณฑ์ AI แทน

น่าสนใจที่การเลิกจ้างไม่ได้จำกัดแค่บริษัทเทคโนโลยี แต่กำลังเกิดขึ้นกับธุรกิจทุกประเภททั่วโลก

45% ของบริษัทที่ไม่ใช่เทคโนโลยีวางแผนแทนที่ทีมพัฒนาบางส่วนด้วย AI ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า การเลิกจ้างวิศวกรซอฟต์แวร์กลายเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็ทำกัน

Meta เลิกจ้างคนหลายพันคนในปี 2025 โดยอ้างว่า AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ ซึ่ง AI กำลังปฏิวัติการเขียนโปรแกรม ทำให้คนที่ไม่มีความรู้มาก่อนสามารถสร้างโค้ดซับซ้อนได้ด้วยคำสั่งภาษาธรรมชาติแบบสบาย ๆ

ปัญหาใหญ่คือ งานทั้งหมดที่เคยทำโดยนักพัฒนา ตอนนี้ AI ทำได้หมด นั่นหมายความว่าเทคโนโลยีนี้แย่งงานไปแล้วหลายแสนตำแหน่ง และจะยังทำต่อไปในทศวรรษหน้า

ถ้าเทคโนโลยียังก้าวกระโดดแบบนี้ งานที่เคยต้องใช้ทีมนักพัฒนาทั้งทีม ก็จะจัดการได้ด้วยระบบอัตโนมัติเพียงไม่กี่ตัว

ChatGPT ช่วยธุรกิจประหยัดเงินได้หลายพันล้าน เทคโนโลยีนี้สามารถเพิ่มผลผลิตในระยะยาวได้มากกว่า 230 พันล้านดอลลาร์

ประกอบกับการที่บริษัทต่าง ๆ เปลี่ยนไปเน้นที่การลดต้นทุนมากขึ้น หลังจากการเติบโตอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ผ่านมา ที่จ้างคนเยอะโดยไม่คิดถึงความยั่งยืน

ปัจจุบันเศรษฐกิจไม่แน่นอนมากขึ้น องค์กรต่างๆ จึงปรับโครงสร้างและกำจัดตำแหน่งที่ไม่จำเป็นออกไป ความก้าวหน้าของ AI ช่วยให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น แต่มีต้นทุนคือการกำจัดงานนักพัฒนาซอฟต์แวร์

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีระบบอัตโนมัติ ประสบการณ์ของมนุษย์ยังมีความสำคัญไม่เปลี่ยนแปลง นักพัฒนาต้องปรับตัวหันไปเน้นงานเชิงกลยุทธ์มากขึ้น

ทั้งงานด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมระบบขั้นสูง การออกแบบโซลูชัน และการดูแล AI นอกจากนี้ ความคิดสร้างสรรค์และความสามารถแก้ปัญหาซับซ้อนยังเป็นทักษะมนุษย์ที่จำเป็น

ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้หมายถึงจุดจบของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เป็นการขีดชะตาชีวิตของคนในสายอาชีพนี้

นักพัฒนาต้องปรับตัวและเรียนรู้วิธีทำงานกับ AI โดยรับบทบาทเชิงกลยุทธ์มากขึ้น ในขณะที่งานซ้ำๆ และงานพื้นฐานถูกทำให้เป็นอัตโนมัติทั้งหมด

วิชาชีพกำลังเผชิญอนาคตที่ไม่แน่นอน ซึ่งความสามารถในการทำงานร่วมกับ AI อาจสำคัญกว่าความรู้ลึกในภาษาการเขียนโปรแกรมแบบดั้งเดิม

นักพัฒนาที่ปรับตัวได้จะยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรม แม้ว่ารูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนไปมากก็ตามที

การเปลี่ยนแปลงนี้กระทบไม่เฉพาะวงการซอฟต์แวร์ แต่ส่งผลต่ออาชีพอื่นๆ อีกมากมาย World Economic Forum รายงานว่าภายในปี 2030 AI จะทำให้งานกว่า 85 ล้านตำแหน่งทั่วโลกมลายหายไปหมดสิ้น

ในขณะเดียวกันก็จะรังสรรค์งานใหม่ประมาณ 97 ล้านตำแหน่ง ซึ่งต้องการทักษะและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างออกไป ซึ่งเป็นโอกาสของตลาดแรงงานยุคใหม่นั่นเองครับผม