กลลวงของธุรกิจ Subscription โลกยุคใหม่ที่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งที่คุณซื้ออีกต่อไป

ในทุกวันนี้รูปแบบบริการ Subscription กลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ มันมีอยู่ทุกที่ ตั้งแต่การดูภาพยนตร์ ฟังเพลง ช้อปปิ้ง เล่นวิดีโอเกม เครื่องกรองน้ำ จักรเย็บผ้า แปรงสีฟัน รถยนต์ ตู้เย็น เครื่องปิ้งขนมปัง และแม้แต่ขวดน้ำ มันเป็นเรื่องไร้สาระที่สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับผู้บริโภคเข้าไปทุกวัน

นี่คือความแสบของบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่เราซื้อของที่มีราคาแพงแล้วยังต้องจ่ายเงินทุกเดือนอีก มันเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดมาก ๆ ในทุกวันนี้

ก็ต้องบอกว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ธุรกิจที่ใช้โมเดล Subscription เติบโตเร็วกว่าบริษัทแบบดั้งเดิมเกือบสี่เท่า เป็นโมเดลธุรกิจที่พุ่งทะยานอย่างน่าสนใจ

คนส่วนใหญ่คิดว่าการสมัครสมาชิกเป็นเพียงวิธีหารายได้ที่น่ารำคาญโดยบริษัทที่โลภ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ทุกวันนี้เรากำลังสูญเสียมากกว่าแค่เรื่องของเงิน

การสมัครสมาชิกกำลังเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของเรากับสิ่งที่เราใช้และพึ่งพาทุกวัน ซึ่งมีข้อมูลว่าสำหรับชาวอเมริกันโดยเฉลี่ย พวกเขาจ่ายเกือบ 300 ดอลลาร์ต่อเดือนเลยทีเดียว

ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าไม่มีทางที่จะใช้จ่ายมากขนาดนั้น แต่ที่น่าสนใจคือชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยประเมินค่าใช้จ่ายรายเดือนจากการสมัครสมาชิกต่ำไปอย่างน้อย 100 ดอลลาร์ ซึ่งผมว่าคนไทยก็น่าจะคิดแบบเดียวกัน เพราะสมัครกันจนเพลิน

จริงๆ แล้ว โมเดลธุรกิจนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มันมีมาตั้งแต่อย่างน้อยในศตวรรษที่ 15 กับการประดิษฐ์แท่นพิมพ์ ผู้อ่านหนังสือพิมพ์สมัครสมาชิกโดยเขียนชื่อของพวกเขาไว้ภายใต้ข้อตกลง (Subscriber มาจาก Sub ที่แปลว่าใต้ และ Scribe ที่แปลว่าเขียน)

ผู้พิมพ์ได้รับความจงรักภักดีจากลูกค้าและรายได้ที่คาดการณ์ได้อย่างสม่ำเสมอ โดยการเสนอความสะดวกสบาย คุณค่าเพิ่ม หรือทั้งสองอย่างให้กับลูกค้า

การสมัครสมาชิกสื่อเกิดขึ้นในปี 1948 เมื่อเคเบิลทีวีนำเสนอสัญญาณที่มีคุณภาพสูงกว่าในราคารายเดือนที่ถูก เป็นบริการที่เจ๋งมาก ๆ ในยุคนั้น

ในปี 1997 Netflix ขยายแนวคิดนั้นไปยัง DVD – ส่งฟรีและไม่มีค่าปรับล่าช้า และเมื่อพวกเขาเปิดตัวบริการสตรีมมิ่งในปี 2007 ก็นำไปสู่บริการที่ให้คุณค่าที่ยิ่งใหญ่กว่า

ทั้งดนตรี ภาพยนตร์ และรายการทีวีแบบไม่จำกัดตามความต้องการของลูกค้า ที่ไม่ต้องลากติดตัวไปด้วยเมื่อต้องย้ายบ้าน เป็นบริการที่ตอบโจทย์มาก ๆ ในยุคนั้น

แต่ทุกวันนี้ มีประเภทใหม่ของการสมัครสมาชิกที่เรากำลังจ่ายเงินเพื่อใช้สิ่งที่เราเป็นเจ้าของอยู่แล้ว คำถามก็คือมันกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?

มันเริ่มต้นด้วย Salesforce บริษัทซอฟต์แวร์ที่นำเสนอโมเดลการขายใหม่ ในช่วงทศวรรษ 90 และส่วนใหญ่ของต้นทศวรรษ 2000 หากเราต้องการซื้อซอฟต์แวร์เช่น Word หรือ Photoshop เราจะซื้อแผ่น CD-Rom ติดตั้งมันบนคอมพิวเตอร์ของเรา

และใช้มันได้นานเท่าที่เราต้องการ ซึ่งเราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง แต่ปัญหาสำหรับบริษัทคือซอฟต์แวร์มีค่าบำรุงรักษาที่แพง วิศวกรซอฟต์แวร์ต้องแก้ไขข้อบกพร่องและทำการอัปเกรดความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา

ในสมัยนั้น เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนทุกปีพวกเขาจะออกเวอร์ชันใหม่พร้อมคุณสมบัติใหม่อีกมากมาย

Salesforce วางตำแหน่งตัวเองเป็นพวก “แอนตี้ซอฟต์แวร์” โดยเปลี่ยนเกมธุรกิจให้ไม่มีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าที่สูง ๆ สำหรับซอฟต์แวร์ที่จะล้าสมัยในอีกไม่กี่ปี เป็นไอเดียที่เจ๋งมาก ๆ ในยุคนั้น

เราเพียงจ่ายแค่ค่าธรรมเนียมรายเดือนเล็กน้อย ก็จะมีเวอร์ชันล่าสุดเสมอ ซอฟต์แวร์ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อแบบกล่องอีกต่อไป มันได้กลายเป็นบริการที่เราต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรายเดือน

โมเดลนี้มันประสบความสำเร็จอย่างมาก Salesforce เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 2004 และเป็น IPO ที่มีผลงานดีที่สุดของปี

Microsoft เปิดตัว Office 365 ในปี 2010 และรายได้เพิ่มขึ้นเกือบ 70% เรียกได้ว่ารายได้พุ่งทะยานอย่างน่าทึ่ง

Adobe เปลี่ยนเป็นแบบ Subscription เท่านั้นด้วย Creative Cloud ในปี 2013 การสมัครสมาชิกเติบโตขึ้น 16 เท่านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ทุกวันนี้ Photoshop มีค่าใช้จ่าย 263 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการต้องซื้อชุดซอฟต์แวร์แบบกล่องราคา 700 ดอลลาร์ที่เราจะต้องจ่ายก่อนหน้านี้

แต่ในประมาณสองปีครึ่ง เราจะจ่ายเกินกว่านั้น ดังนั้นคุณค่าเพิ่มเติมอะไรที่เราได้รับสำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้?

ก็ต้องบอกว่ามันมีไม่มากนัก เพราะซอฟต์แวร์ไม่ได้ปรับปรุงมากมายอีกต่อไป อาจจะมีคุณสมบัติใหม่หนึ่งหรือสองอย่าง Word ก็ไม่ได้พัฒนามากนักตั้งแต่ปี 2006

เมื่อเวลาผ่านไป บริษัทได้เห็นว่านี่เป็นวิธีใหม่ในการบีบเงินเพิ่มเติมจากผู้บริโภค เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้พวกเขาได้กำไรมากโข

จากนั้น ธุรกิจ Subscription ก็คลานออกจากหน้าจอของเราเข้าไปในสิ่งของทางกายภาพและกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว

มันกลายเป็นเรื่องง่ายมากที่จะแนะนำการเชื่อมต่อเครือข่ายและซอฟต์แวร์ฝังตัวในอุปกรณ์ไฮเทคยุคใหม่ ทุกวันนี้เราจึงเห็นสิ่งต่างๆ มากมายที่ไม่จำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์จริงๆ ซะด้วยซ้ำ

เมื่อผู้ผลิตโฆษณาผลิตภัณฑ์อัจฉริยะ ซอฟต์แวร์ได้กลายเป็นจุดขาย พวกเขาคุยโวว่าจะมีคุณสมบัติที่น่าตื่นตาตื่นใจทุกชนิด

กลยุทธ์นี้เรียกว่าการผูกมัดซอฟต์แวร์ (software tethering) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้บริษัทมีความสามารถในการควบคุมวิธีที่เราโต้ตอบกับผลิตภัณฑ์ของพวกเขา

ตัวอย่างเช่น ตลับหมึกที่มีมีชิปเฉพาะที่กำลังสื่อสารกับ HP ดังนั้นถ้าในเวลาใดก็ตามที่มันสูญเสียการเชื่อมต่อกับเครือข่าย มันจะไม่พิมพ์ทันที

ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มพยายามล็อกคุณสมบัติบางอย่างไว้เบื้องหลังระบบชำระเงิน BMW จะปล่อยให้เราหนาวสั่นเว้นแต่เราจะจ่ายเงินให้พวกเขาเป็นรายเดือน ตัวอย่างเช่นแพ็คเกจ 18 ดอลลาร์ต่อเดือนสำหรับที่นั่งทำความร้อน

เจ้าของ Tesla ต้องจ่าย 10 ดอลลาร์ต่อเดือนเพื่อเข้าถึงการนำทางและคุณสมบัติการสตรีมทั้งหมดในรถของพวกเขา Mercedes ล็อกการเร่งความเร็วที่เร็วขึ้นไว้เบื้องหลังการสมัครสมาชิกรายปี 1,200 ดอลลาร์ พร้อมกับคุณสมบัติอื่นๆ อีกมากมาย

ตัวอย่างเช่น การปลดล็อกกล้องติดหน้ารถจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 16 ดอลลาร์ต่อเดือน การสตาร์ทจากระยะไกล จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 35 ดอลลาร์ต่อปี หรือถ้า Mercedes ของเราถูกขโมย พวกเขาจะช่วยหามัน แต่ต้องจ่าย 2 ดอลลาร์ต่อเดือนนะ

ไม่ใช่แค่รถยนต์ เปลเด็กอัจฉริยะ SNOO, แหวน Oura, นาฬิกาปลุก Hatch, กล้อง Ring เหล่านี้ล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ราคาแพงที่ไม่ทำงานอย่างเต็มที่โดยไม่มีการสมัครสมาชิก

การผูกมัดซอฟต์แวร์ (software tethering) ยังอนุญาตให้บริษัทบังคับให้เราใช้อุปกรณ์เสริมที่มีราคาแพงของพวกเขา ตัวอย่างเช่น GE ใส่ล็อคดิจิทัลบนตู้เย็นอัจฉริยะบางรุ่น เพื่อให้เราสามารถใช้ได้เฉพาะตัวกรองน้ำยี่ห้อของพวกเขาเท่านั้น บริษัทต่างๆ จะเข้ารหัสทุกอย่าง: แคปซูลกาแฟ หลอดไฟ ทรายแมว และหมึกพิมพ์

HP Instant Ink นำกลยุทธ์นี้ไปสู่อีกระดับ พวกเขาคิดเงินตามจำนวนหน้าที่ลูกค้าต้องการพิมพ์ ไม่ใช่ปริมาณหมึกที่ลูกค้าจะใช้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง HP ไม่ได้ขายตลับหมึกให้ลูกค้าเลย พวกเขากำลังให้เช่าและคิดเงินทุกครั้งที่ลูกค้าใช้มัน

บริษัทที่ใช้โมเดล Subscription ไม่สนใจว่าประสบการณ์ของเราจะแย่แค่ไหน ตราบใดที่พวกเขาทำกำไร พวกเขาจะฆ่าผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วยซ้ำถ้านั่นคือสิ่งที่ต้องทำ

เมื่อไม่กี่ปีก่อน Nest กำลังผลิตฮับระบบอัตโนมัติภายในบ้านที่เรียกว่า Revolve และวันหนึ่งพวกเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่สนับสนุนอุปกรณ์นี้อีกต่อไป

พวกเขาส่งอีเมลถึงทุกคนที่ซื้อสิ่งเหล่านี้ในราคา 300 ดอลลาร์ และบอกว่า “เฮ้ ในวันที่ 24 พฤษภาคม สิ่งนี้ไม่ทำงานอีกต่อไป เรากำลังปิดพวกมัน”

Spotify ทำสิ่งเดียวกันกับอุปกรณ์ Car Thing ราคา 90 ดอลลาร์ของพวกเขา น้อยกว่าสองปีหลังจากที่มันวางตลาด เช่นเดียวกับ Juicero กับเครื่องคั้นน้ำผลไม้ราคา 400 ดอลลาร์

หรือเคสของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า Fisker ได้ยื่นขอล้มละลาย ทำให้หลายพันคนที่ซื้อรถคันนั้นสงสัยว่าพวกเขาจะยังคงสามารถขับขี่มันได้หรือไม่เมื่อเซิร์ฟเวอร์ล่ม หรือตอนนี้พวกเขาเป็นเจ้าของที่ทับกระดาษที่แพงที่สุดในโลก

สรุป

ระบบ Subscription แบบรายเดือนได้แปรเปลี่ยนจากสิ่งที่เคยให้คุณค่าและความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภค มาเป็นกลยุทธ์ที่บริษัทใช้ควบคุมและรีดเงินจากเราอย่างไม่จบสิ้น

จาก Salesforce สู่ HP, BMW และ Mercedes เราเห็นรูปแบบเดียวกัน: บริษัทใช้ software tethering เพื่อล็อคสินค้าที่เราซื้อแล้ว บังคับให้เราจ่ายค่าสมาชิกอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้สิ่งที่เราควรเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่

คำถามก็คือ อะไรคือความหมายของ “การเป็นเจ้าของ” ในยุคดิจิทัล? เมื่อซื้อสินค้า เราควรได้เป็นเจ้าของมันอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงผู้เช่าที่ต้องจ่ายเงินไม่รู้จบ

ก่อนที่จะซื้อสินค้าครั้งต่อไป ลองถามตัวเองว่า: คุณกำลังซื้อเพื่อเป็นเจ้าของ หรือเพียงเช่าในราคาแพงลิบ? คำตอบอาจทำให้คุณต้องคิดทบทวนเรื่องการใช้จ่ายใหม่ทั้งหมด!

Geek Story EP333 : ถอดรหัสเทคโนโลยี EUV ของจีน Huawei จะเปลี่ยนอนาคตวงการชิปโลกอย่างไร

ข่าวเรื่องเครื่องจักร EUV (Extreme Ultraviolet) ที่พัฒนาโดย Huawei ของจีน ซึ่งมีการอ้างว่ากำลังอยู่ในช่วงทดสอบ เรื่องนี้สร้างความตื่นเต้นในวงการเทคโนโลยีไม่น้อย เพราะถ้าเป็นจริง นี่อาจเป็นก้าวสำคัญของจีนในการแข่งขันด้านเทคโนโลยีการผลิตชิปกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง ASML ของเนเธอร์แลนด์

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/44twd2y5

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/5h3732a3

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/43kdfray

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/2aVAsXXZefc

BYD ยึดครองตลาดบราซิลอย่างไร? เมื่อยักษ์ใหญ่จากจีนปฏิวัติวงการรถยนต์ไฟฟ้าในแดนแซมบ้า

ในทุกวันนี้ท้องถนนในเซาเปาโลกำลังเปลี่ยนไป เสียงเครื่องยนต์ที่เคยดังกระหึ่มค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความเงียบสงบของรถยนต์ไฟฟ้า และส่วนใหญ่จะมีโลโก้ BYD ปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัด

บราซิลเคยขึ้นชื่อเรื่องรถ flex fuel ที่ใช้เอทานอล แต่ตอนนี้มีสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงพัดเข้ามา ยุคแห่งรถยนต์ไฟฟ้ากำลังมาถึง และ BYD กำลังเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

เมื่อไม่กี่ปีก่อน ใครจะเชื่อว่าแบรนด์จีนที่แทบไม่มีใครรู้จักจะกลายเป็นชื่อคุ้นหูในบราซิล? แต่ BYD ทำสำเร็จ พวกเขามองเห็นโอกาสทองในประเทศที่มีประชากรกว่า 200 ล้านคน

BYD ไม่ได้แค่บุกตลาดแบบมั่วซั่ว พวกเขาวางแผนอย่างรอบคอบ นำเสนอสิ่งที่ชาวบราซิลต้องการจริงๆ: รถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาเข้าถึงได้ ไม่ใช่ของเล่นสำหรับคนรวยอีกต่อไป

ความสำเร็จของ BYD ไม่ได้มาจากแค่ราคาถูก แต่เป็นเรื่องของจังหวะเวลาที่เหมาะสม กลยุทธ์ที่ชาญฉลาด และความกล้าที่จะเข้าถ้ำเสือในตลาดที่ไม่มีใครกล้าเสี่ยง

เมื่อ BYD เริ่มบุกบราซิล พวกเขาเจอกำแพงยักษ์: ผู้บริโภคที่ไม่คุ้นเคยกับรถไฟฟ้า ความสงสัยในแบรนด์จีน และโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จที่แทบไม่มี แต่พวกเขามีกลยุทธ์โครตเทพ

แทนที่จะนำรถหรูราคาแพงมาขาย BYD แนะนำรุ่น Dolphin ที่ราคาเข้าถึงได้ ให้ระยะทางพอใช้ในเมือง และมีดีไซน์ที่ถูกใจคนบราซิล บริษัทเข้าใจความต้องการของตลาดอย่างลึกซึ้ง

Carlos Silva นักวิเคราะห์อุตสาหกรรม บอกว่า: “BYD รู้ว่าชาวบราซิลอยากได้อะไร – รถที่ดูเท่ ประหยัด และคุ้มค่า พวกเขาไม่ได้ขายรถไฟฟ้าเป็นของหรู แต่เป็นทางเลือกฉลาดสำหรับคนทั่วไป”

BYD สร้างเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายอย่างรวดเร็ว ทำให้คนได้ลองขับจริง ความนิยมพุ่งทะยานเมื่อเจ้าของรถคนแรกๆ เริ่มแชร์ประสบการณ์ดีๆ ความกังวลเรื่องความน่าเชื่อถือและปัญหาเรื่องซ่อมบำรุงก็เริ่มหายไป

กลยุทธ์สุดเจ๋งของ BYD คือไม่จำกัดตัวเองแค่ตลาดรถส่วนตัว พวกเขาเสนอรถบัสไฟฟ้าให้เทศบาลต่างๆ เมือง São José dos Campos เป็นเมืองแรกๆ ที่ใช้รถบัส BYD และความสำเร็จนี้ทำให้เมืองอื่นๆ เริ่มสนใจตาม

แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น รัฐบาลของประธานาธิบดี Luis Inácio Lula da Silva ประกาศกลับมาเก็บภาษีนำเข้ารถไฟฟ้า ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์ของ BYD ดิ่งลงเหวได้

BYD ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พวกเขาประกาศลงทุน 1.5 พันล้านดอลลาร์สร้างโรงงานในรัฐ Bahia ซึ่งไม่เพียงช่วยหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า แต่ยังสร้างงานนับพันในพื้นที่ยากจน ทำให้ได้ใจผู้นำท้องถิ่นและชุมชน

ในเวลาเดียวกัน การแข่งขันเริ่มรุนแรง บริษัทจีนอื่นๆ อย่าง GAC และ Great Wall Motors เห็นช่องทางและเริ่มส่งรถเข้ามาแข่ง แต่ BYD ยังได้เปรียบเพราะมีสายการผลิตแบตเตอรี่เอง ทำให้ควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า

ปัญหาไม่คาดฝันโผล่มาเมื่อองค์กรสิทธิแรงงาน ALPES รายงานว่า BYD มีปัญหาด้านแรงงาน มีการใช้คำว่า “กึ่งๆความเป็นทาส” ในข่าว ซึ่งอาจทำลายชื่อเสียงของ BYD ได้

BYD รีบแก้ไขสถานการณ์ ปฏิเสธข้อกล่าวหาและเชิญสื่อเยี่ยมชมโรงงาน เพื่อแสดงว่าพวกเขาทำตามมาตรฐานแรงงานบราซิล นี่เป็นบทเรียนว่าการเติบโตเร็วมาพร้อมการจับตามองที่เข้มข้น

แม้เจอปัญหารุมเร้า แต่ BYD ยังรักษาความได้เปรียบด้วยความสามารถในการปรับตัว พวกเขาปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการออกรุ่นใหม่ หรือพัฒนาความสัมพันธ์กับคนท้องถิ่น

มองย้อนกลับไป การเดินทางของ BYD ในบราซิลแสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนแปลงตลาดได้อย่างไร ในเวลาไม่กี่ปี พวกเขาเปลี่ยนรถไฟฟ้าจากของแปลกหรูหราให้กลายเป็นตัวเลือกจริงจังสำหรับชนชั้นกลางบราซิล

ปัจจุบัน การเห็นรถ BYD ในเซาเปาโลหรือริโอเดจาเนโรเป็นเรื่องปกติ ความสำเร็จนี้ส่งผลกระทบลึกซึ้งต่อตลาด ทำให้ค่ายรถเดิมอย่าง Volkswagen และ GM ต้องเร่งแผนรถไฟฟ้าของตัวเองเพื่อไม่ให้ตกขบวน

Ana Pereira ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ในเซาเปาโลกล่าวว่า: “BYD ทำให้ผู้ผลิตรถทุกรายในบราซิลต้องตื่นตัว พวกเขาพิสูจน์ว่ามีตลาดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาเหมาะสม และตอนนี้ทุกคนกำลังวิ่งไล่ตาม”

โรงงานใหม่ของ BYD ในรัฐ Bahia จะเปิดปี 2026 คาดว่าจะผลิตรถได้ถึง 150,000 คันต่อปี การลงทุนนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นระยะยาวต่อบราซิล และมองประเทศนี้เป็นศูนย์กลางการขยายตัวทั่วละตินอเมริกา

Maria Consuelo นักวิเคราะห์การค้าระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัย São Paulo บอกว่า: “การสร้างโรงงานของ BYD มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์มาก บราซิลมีข้อตกลงการค้ากับประเทศในภูมิภาค ซึ่งหมายความว่ารถที่ผลิตที่นี่ส่งออกไปยังอาร์เจนตินา ชิลี และประเทศอื่นๆ โดยไม่เสียภาษีสูง”

รัฐบาลของประธานาธิบดี Lula ยังประกาศแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยขจัดอุปสรรคใหญ่ของการยอมรับรถไฟฟ้า: ความกังวลเรื่องระยะทาง แผนนี้รวมถึงการติดตั้งสถานีชาร์จตามทางหลวงและในเมืองต่างๆ

อนาคตยังมีความไม่แน่นอน แบรนด์จีนอื่นๆ กำลังบุกตลาด และค่ายรถตะวันตกก็เร่งแผนรถไฟฟ้าของตนเอง แม้แต่ Tesla ที่เคยมองว่าบราซิลไม่ใช่ตลาดเป้าหมาย ก็กำลังพิจารณานำรุ่นราคาถูกกว่ามาขาย

ความท้าทายของ BYD คือการรักษาโมเมนตัมในช่วงรอโรงงานในบราซิลสร้างเสร็จ พวกเขาต้องสมดุลระหว่างการนำเข้ารถที่แข่งขันได้ในระยะสั้น กับการเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตในท้องถิ่นระยะยาว

Roberto Veiga นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมยานยนต์จาก Rio de Janeiro บอกว่า: “สองสามปีข้างหน้าเป็นช่วงสำคัญสำหรับ BYD ในบราซิล พวกเขาสร้างฐานแข็งแกร่ง แต่ต้องทำงานหนักเพื่อรักษาไว้ ขณะที่คู่แข่งกำลังตามมาติดๆ”

สำหรับชาวบราซิล การเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้าหมายถึงการประหยัดระยะยาวและการลดมลพิษในเมืองที่คุณภาพอากาศแย่มาก การเปลี่ยนแปลงนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น รถไฟฟ้ายังมีเพียง 5% ของยอดขายรถใหม่ แต่ตัวเลขนี้กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ในภาพกว้าง ความสำเร็จของ BYD เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงระดับโลก บริษัทจีนกำลังใช้ความเชี่ยวชาญด้านรถไฟฟ้าขยายอิทธิพลในตลาดเกิดใหม่ ขณะที่ยุโรปและอเมริกาเป็นตลาดยากเพราะมาตรการกีดกัน แต่ละตินอเมริกา แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปิดโอกาสให้แบรนด์จีน

เมื่อยุครถไฟฟ้าในบราซิลเบ่งบาน BYD ขีดชะตาตัวเองให้อยู่แถวหน้าของการเปลี่ยนแปลงนี้ และดูเหมือนว่าจังหวะก้าวของพวกเขาจะไม่หยุดแค่นี้ แต่จะก้าวต่อไปบนถนนแห่งความสำเร็จที่พวกเขาปลุกปั้นขึ้นด้วยตัวเอง