Geek Daily EP280 : ปัญหา Tesla ใหญ่กว่าแค่เรื่อง Elon Musk? เจาะลึกวิกฤตที่ไม่ใช่แค่เรื่องของการเมือง

เมื่อไม่นานมานี้ Elon Musk ผู้เป็น CEO ของ Tesla ได้จัดประชุมพนักงานแบบฉุกเฉิน พร้อมให้คำมั่นสัญญากับทีมงานว่าอนาคตของบริษัทจะ “สดใสและน่าตื่นเต้น” แต่เหตุใดเขาถึงต้องรีบเร่งให้ความมั่นใจเช่นนี้? คำตอบอยู่ที่สถานการณ์ปัจจุบันของ Tesla ที่กำลังเผชิญวิกฤตรอบด้าน ทั้งราคาหุ้นที่ดิ่งลง ยอดขายที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในตลาดยุโรปที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการประท้วงต่อต้านบริษัทที่ขยายวงกว้างขึ้นทุกสัปดาห์

บริษัทที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งอนาคตกลับกลายเป็นเป้าหมายของความโกรธแค้น จนมีเจ้าของรถ Tesla หลายรายตัดสินใจขายรถทิ้งแม้จะขาดทุน เพราะรู้สึกไม่พอใจกับกลยุทธ์ทางการเมืองของ Musk ที่เข้าไปสนับสนุนฝ่ายบริหารของ Trump อย่างเต็มตัว

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5tedn67s

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/jjjh5tyv

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/KUD7bcGBALE

อำนาจมืดของ Big 4 ยักษ์ใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแตะสู่อิทธิพลที่อยู่เหนือรัฐบาลทั่วโลก

กลุ่มบริษัทที่ถูกขนานนามว่า “Big 4” ภารกิจของพวกเขาดูเรียบง่าย คือตรวจสอบบัญชีบริษัทใหญ่ๆ ของโลกเพื่อให้มั่นใจว่าตัวเลขถูกต้อง แต่ภายใต้ภาพลักษณ์นี้ซ่อนความจริงที่น่าสยดสยอง พวกเขาคือพี่ใหญ่แห่งวงการการเงินโลกที่หลบเลี่ยงการตรวจสอบมานานเกินไป

พวกเขามีอำนาจมากมายมหาศาล แผ่อำนาจไปทั่วธุรกิจระดับโลกและท้องถิ่น อำนาจนี้ไม่ถูกตรวจสอบ ไม่โปร่งใส และมองไม่เห็น ซึ่งปัจจุบันงานตรวจสอบบัญชีสร้างรายได้แค่หนึ่งในสามของรายได้ทั้งหมด ที่เหลือมาจากการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลและบริษัทเดียวกับที่พวกเขากำลังตรวจสอบ

ปัจจุบัน Big 4 มีพนักงานมากกว่าล้านคนใน 180 ประเทศ ภายใต้ร่มการให้คำปรึกษา พวกเขาแทรกซึมเข้าไปในรัฐบาลและเขียนช่องโหว่ในการปฏิรูปภาษี คำถามก็คือ “มันเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขากำลังนั่งในห้องร่างกฎหมายภาษี แต่ขณะเดียวกันก็ขายวิธีหลบเลี่ยงให้บริษัทต่างชาติ?”

ด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญ พวกเขาแปลงกลายเป็นสถาปนิกสำหรับแผนการหลีกเลี่ยงภาษี สร้างช่องโหว่ แนะนำบริษัทใช้ช่องโหว่นั้น และยังตรวจสอบบริษัทเหล่านั้นด้วย ผู้เชี่ยวชาญประมาณการว่าแผนการของพวกเขาทำให้รัฐบาลทั่วโลกสูญเสียเงินที่ควรได้รับไปอย่างน้อย 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี

แต่ Big 4 กลายเป็นผู้ทรงอำนาจได้อย่างไร? ใครอยู่เบื้องหลังการครอบงำระดับโลกของพวกเขา? เราต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นอันต่ำต้อย

ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 19 โครงการรถไฟขนาดใหญ่กำลังบูม การปฏิวัติอุตสาหกรรมดำเนินไปอย่างเต็มที่ โลกเปลี่ยนแปลงแบบฉุดไม่อยู่ แต่มีปัญหาใหญ่ โลกการเงินยุคนั้นมีการควบคุมน้อยมาก คล้ายบริษัทคริปโตในบาฮามาสปัจจุบัน เต็มไปด้วยนักต้มตุ๋นที่พยายามรวยจากเงินของนักลงทุนที่ไม่ระวัง

นักลงทุนจะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทใดของแท้หรือเป็นแค่แผนการฉ้อโกงอีกรูปแบบ? รัฐบาลตระหนักว่าความเชื่อมั่นในตลาดการเงินจำเป็นสำหรับการเติบโตและรายได้ภาษี พวกเขาจึงคิดทางออก: บัญชีของทุกบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต้องได้รับการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ

นี่เป็นจุดกำเนิดของอุตสาหกรรมใหม่ และการเติบโตแบบก้าวกระโดดของบริษัทตรวจสอบบัญชีเริ่มต้นขึ้น แต่รัฐบาลไม่รู้เลยว่าพวกเขาเพิ่งให้กำเนิดสัตว์ประหลาดที่จะเอาชนะพวกเขาในไม่ช้า

ตอนแรก ทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอย บริษัทอิสระมากมายเกิดขึ้นทุกที่และมุ่งเน้นเพียงการตรวจจับการฉ้อโกงและการรักษาบัญชีให้สะอาด แต่อย่างที่เห็นในไม่ช้า การตรวจสอบบริษัทครั้งเดียวและไม่ทำอะไรเลยสำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปีไม่ใช่ธุรกิจที่ร่ำรวยได้

บริษัทตรวจสอบบัญชีตระหนักอย่างรวดเร็วว่าพวกเขากำลังปล่อยเงินจำนวนมากให้ลอยวับไปกับตาและตัดสินใจใช้ความสามารถของพวกเขาในทางอื่นที่ทำกำไรได้มากกว่า ผู้ตรวจสอบบัญชีรู้กฎระเบียบและบริษัทที่พวกเขาทำงานให้เป็นอย่างดี จึงเริ่มช่วยลูกค้าลดภาษี

จากจุดนี้เอง บริการให้คำปรึกษาซึ่งเป็นสายธุรกิจใหม่ที่ทำเงินได้มากมายถูกเปิดตัว ท้ายที่สุด ทำไมบริษัทตรวจสอบบัญชีควรทำงานเพื่อผลประโยชน์ของหน่วยงานกำกับดูแลเท่านั้น ในเมื่อพวกเขาสามารถเล่นได้ทั้งสองฝ่าย? นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ลึกลับซับซ้อนระหว่างผู้ตรวจสอบบัญชีกับบริษัทที่พวกเขาตรวจสอบ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ร่วมกัน

มันจะนำไปสู่ผลกระทบต่อคนนับแสนและทำให้เงินหลายพันล้านดอลลาร์สูญหายไป นี่คือเรื่องราวของการที่ “Big 5” ซึ่งเกิดจากการควบรวมบริษัทตรวจสอบบัญชีระดับโลก กลายเป็น “Big 4” ผ่านเหตุการณ์อันร้ายแรงที่สั่นคลอนโลกธุรกิจ

เรื่องราวเริ่มขึ้นในปี 2000 ช่วงที่ธุรกิจกำลังพุ่งทะยาน Arthur Anderson หนึ่งใน Big 5 เรียกเก็บเงินจาก Enron Corporation มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์สำหรับค่าบริการตรวจสอบและให้คำปรึกษา Enron ถูกยกย่องว่าเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมเจ๋งที่สุดของอเมริกาและเป็นที่รักของ Wall Street

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อ Arthur Anderson เข้าไปพัวพันกับ Enron มากขึ้น อีกครั้งที่การให้คำปรึกษาทำกำไรได้มากมายจนพวกเขาทำเงินได้มากกว่าจากการให้คำปรึกษามากกว่าการตรวจสอบบัญชี และลำดับความสำคัญอันดับหนึ่งคือทำให้ลูกค้ามีความสุขและเรียกเก็บเงินต่อไป

Enron ตระหนักถึงอิทธิพลของตนและเริ่มกดดันผู้ตรวจสอบของ Anderson พวกเขาใช้กลยุทธ์สุดโหด เช่น การขังผู้ตรวจสอบของ Anderson ไว้ในห้องจนกว่าเขาจะออกจดหมายสนับสนุนเครดิตภาษีให้กับบริษัทของพวกเขา

ภายใต้แรงกดดันจาก Enron และเจ้านายที่ Anderson ผู้ตรวจสอบบัญชีพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วน เมื่อธุรกรรมทางการเงินของ Enron เริ่มมีพิรุธ ในเดือนสิงหาคม 2001 แม้แต่ CEO ของ Enron อาจตระหนักว่าสิ่งต่างๆ ดำเนินมาถึงจุดพีคและได้ตัดสินใจลาออก

ในเดือนต่อมา เกิดความตื่นตระหนกที่ Anderson เครื่องย่อยกระดาษทำงาน 24 ชั่วโมงต่อวันบนชั้น 37 ใกล้ Enron Tower โดยมีพนักงานที่ทำงานจนมือบาดจากกระดาษป้อนเข้าเครื่องตลอดทั้งคืน นี่ไม่ใช่เพียงการทำความสะอาดเอกสารธรรมดา แต่เป็นภารกิจกำจัดหลักฐานทั้งหมด รวมถึงอีเมลกว่า 30,000 ฉบับ

เป็นความพยายามอย่างสิ้นหวังในการปกปิดการมีส่วนร่วมของพวกเขาในการหลอกลวงที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ความจริงปรากฏว่า Enron ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมอย่างที่อวดอ้าง แต่ใช้การตกแต่งบัญชีหรือพูดให้ตรงกว่านั้นคือการบัญชีที่ผิดกฎหมายเพื่อสร้างกำไรที่ไม่มีอยู่จริง

ไม่กี่เดือนต่อมา พวกเขายื่นล้มละลาย ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้มหาศาล งานนับหมื่นตำแหน่งสูญหายไปและมูลค่าตลาดหลายพันล้านดอลลาร์ถูกทำลายเมื่อ Enron ล้มละลาย การล่มสลายของ Enron ยังพา Arthur Anderson ล่มไปด้วย เปลี่ยนจาก Big 5 ให้เหลือเพียง Big 4

มีเพียงแผนกให้คำปรึกษาของ Arthur Anderson ที่รอดและกลายมาเป็นบริษัทที่เรารู้จักในปัจจุบันในชื่อ Accenture แต่หลายคนคงคิดว่าอุตสาหกรรมจะได้เรียนรู้บทเรียนจากความล้มเหลวครั้งนี้? แต่ต้องบอกว่า คุณคิดผิด!

แม้ว่าวิกฤต Enron จะสร้างความเสียหายอย่างมากและทำให้เงินพันล้านสูญหาย แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น สิ่งที่ตามมาจะรุนแรงกว่า ก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงินหลายล้านล้านและความทุกข์ยากอย่างแพร่หลาย

เรื่องราวย้อนไปที่เดือนกันยายน 2006 ภายในสำนักงานของ Ernst and Young พนักงานหนุ่มคนหนึ่งกำลังตรวจสอบงบการเงินของ Lehman Brothers อย่างละเอียด โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าอีกเพียง 2 ปี ธนาคารแห่งนี้จะประสบกับการล่มสลายอย่างหายนะ ซึ่งเป็นจุดเริ่มของวิกฤตการเงินโลกครั้งใหญ่

ในขณะนั้น ทุกอย่างดูเป็นปกติ แต่เมื่อเขาศึกษาเอกสารลึกลงไป รูปแบบที่น่าสงสัยเริ่มปรากฏ เทคนิคทางบัญชีที่เรียกว่า “Repo 105” ซึ่งเปรียบเสมือนกลเม็ดทางการเงินปรากฏขึ้นอย่างสม่ำเสมอ จุดประสงค์หลักคือการจัดการงบการเงินของบริษัทและปกปิดสถานะทางการเงินที่แท้จริง

ความสงสัยเข้าครอบงำผู้ตรวจสอบหนุ่ม เขาตระหนักถึงความเสี่ยงด้านชื่อเสียงและการเงินที่กำลังจะเกิดขึ้นกับ Lehman จึงขอคำแนะนำจากผู้บังคับบัญชาที่ Ernst and Young โดยสอบถามว่าสิ่งที่เขาพบสอดคล้องกับกฎระเบียบหรือไม่ น่าเสียดายที่ความกังวลของเขาไม่ได้รับความสนใจอย่างจริงจัง

ภายในเดือนมิถุนายน 2008 ธุรกรรม Repo 105 ที่ Lehman Brothers พุ่งทะยานจนแม้แต่รองหัวหน้าฝ่ายการเงินของธนาคารเองยังรู้สึกวิตกกังวล ในจุดนี้ จำนวนเงินที่เกี่ยวข้องอยู่ในระดับหลายหมื่นล้านดอลลาร์ เขาเข้าหาผู้บริหารระดับสูงของ Ernst and Young ด้วยความกังวล

แต่เมื่อเขากล่าวถึงตัวเลขที่น่าตกใจถึง 50 พันล้านดอลลาร์ ผู้บริหารกลับยังคงรักษาสีหน้าเฉยเมย เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น Ernst and Young ลงนามในรายงานไตรมาสของ Lehman Brothers แม้จะรู้อย่างชัดเจนว่าตัวเลขของธนาคารถูกปรับแต่งไปถึง 50 พันล้านดอลลาร์

ในต้นปี 2008 Lehman ได้แสดงผลประกอบการทางการเงินที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท พร้อมจ่ายโบนัสมหาศาลให้ผู้บริหาร แต่เราทุกคนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น วันที่ 15 กันยายน 2008 Lehman Brothers ประกาศล้มละลาย ภาพพนักงานเดินออกจากตึกพร้อมกล่องสัมภาระในมือกลายเป็นภาพจำของวิกฤตการเงินโลก

การล่มสลายของ Lehman Brothers ส่งผลกระทบแบบโดมิโนไปทั่วโลก และกลายเป็นจุดสูงสุดของวิกฤตการเงินโลก จนถึงทุกวันนี้ Ernst and Young ยังคงปฏิเสธการกระทำผิดอย่างรุนแรง โดยเน้นย้ำว่าไม่มีศาลใดตัดสินว่าพวกเขามีความผิด

วิกฤตการเงินครั้งนั้นสร้างความเสียหายมากกว่า 9 ล้านล้านยูโรทั่วโลก ผู้เสียภาษีทั่วโลกต้องช่วยเหลือธนาคารหลายแห่งซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการตรวจสอบโดย Big 4 นั่นเอง โลกการเงินเต็มไปด้วยความล้มเหลวในการตรวจสอบของ Big 4 และด้วยเหตุผลที่ชัดเจน พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบอย่างเต็มที่

สิ่งที่ Big 4 เชี่ยวชาญจริงๆ คือการเป็นสถาปนิกของการหลีกเลี่ยงภาษีทั่วโลก หรือพูดให้ถูกต้องกว่าคือการหลบเลี่ยงภาษีที่กึ่งถูกกฎหมายสำหรับบริษัทที่พวกเขาทำงานให้ ด้วยรูปแบบนี้ Big 4 มอบแผนการหลีกเลี่ยงภาษีพร้อมใช้งาน พร้อมการรับประกันว่าผู้ตรวจสอบของพวกเขาจะให้ไฟเขียว

เป็นกลยุทธ์ที่สร้างผลกำไรหลายพันล้านให้กับทั้งบริษัทลูกค้าและ Big 4 เอง ในขณะที่ปล่อยให้ผู้เสียภาษีรายย่อยแบกรับภาระแทน ตัวอย่างที่โดดเด่นคือการจัดตั้งบริษัท Shell Company มักอยู่ในประเทศที่เป็นสวรรค์ภาษีที่มีการเก็บภาษีน้อยหรือไม่มีเลย

ในเอกสาร Panama Papers ซึ่งเปิดเผยแผนการทางภาษีของชนชั้นนำระดับโลกและบริษัทข้ามชาติ Big 4 ถูกกล่าวถึงมากกว่า 100,000 ครั้ง พวกเขามีบทบาทมากกว่ากลุ่มอื่นในการรักษาระบบสวรรค์ด้านภาษีทั่วโลก

แล้วทำไมรัฐบาลจะไม่ควรได้รับประโยชน์จากความรู้ของ Big 4 ด้วย? ในปี 2014 รัฐบาลออสเตรเลียตัดสินใจทำเช่นนั้น ในขณะนั้นพวกเขาคิดว่ากำลังทำการตัดสินใจที่ฉลาด แต่พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังเข้าถ้ำเสือ

รัฐบาลออสเตรเลียรู้สึกหงุดหงิดกับบริษัทข้ามชาติเช่น Google, Facebook และ Apple ที่โยกย้ายกำไรไปยังสวรรค์ภาษีและเลี่ยงการจ่ายภาษีในออสเตรเลีย พวกเขาหันไปหาผู้เชี่ยวชาญและปรึกษากับ PWC เพื่อช่วยสร้างนโยบายที่เป็นธรรมและปิดช่องโหว่

แต่อย่างที่เห็นในภายหลัง บริษัทที่ปรึกษามีแผนลับหลัง ในขณะที่ดูเหมือนจะช่วยรัฐบาลในการปฏิรูปกฎหมายภาษี PWC กลับวางแผนที่จะทำกำไรได้มากกว่าอย่างลับๆ พวกเขาปล่อยข้อมูลรัฐบาลที่เป็นความลับระดับสูงเกี่ยวกับการปฏิรูปที่กำลังจะเกิดขึ้นให้กับลูกค้าของตน

จากนั้น PWC เข้าหาบริษัทข้ามชาติเดียวกันที่การปฏิรูปมุ่งเป้าไปที่แผนที่จะช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงกฎหมายใหม่ เมื่อกฎหมายผ่านและมีผลบังคับใช้ บริษัทเหล่านั้นเตรียมพร้อมรับมือไปแล้ว และการปฏิรูปทั้งหมดก็ไม่ได้ผลแต่อย่างใด

ทำไมรัฐบาลจึงจ้างผู้อยู่เบื้องหลังการหลีกเลี่ยงภาษีทั่วโลกให้ช่วยแก้ปัญหาที่พวกเขาเองสร้างและทำกำไรอยู่? มันเหมือนการให้จิ้งจอกเฝ้าเล้าไก่! มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระอย่างสิ้นเชิง

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาที่ลึกซึ้งกว่านั้นคือความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับบริษัทที่ปรึกษา วงจรที่เกิดขึ้นเป็นดังนี้: เมื่อรัฐบาลยังคงจ้างที่ปรึกษาเพราะขาดความเชี่ยวชาญภายใน พวกเขาจะยิ่งหยุดสร้างความรู้ของตัวเอง ซึ่งทำให้พวกเขาต้องพึ่งพาที่ปรึกษาภายนอกมากขึ้น

ผลกระทบจากวงจรนี้กว้างมาก Big 4 ไม่ได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าของพวกเขาเสมอ พวกเขาล่อลวงเจ้าหน้าที่ที่มีทักษะของรัฐด้วยข้อเสนอการเงินสุดเทพ ในปี 2018 นักสืบสวนภาษีที่มีชื่อเสียงที่สุดสองคนในเยอรมนีเปลี่ยนฝั่งโดยเข้าร่วม Deloitte

ปัจจุบัน Big 4 มีอยู่ทุกหนทุกแห่งและมีอำนาจกว่าที่เคย จำนวนเงินมหาศาลที่พวกเขาดูแลดูเหมือนจะคุ้มครองพวกเขาจากการควบคุมและการตรวจสอบอย่างจริงจัง แต่เมื่อพิจารณาผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจโลก มันทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความยุติธรรมของระบบปัจจุบัน

ยักษ์ใหญ่ด้านการให้คำปรึกษาเหล่านี้ช่วยสร้างช่องโหว่ที่ทำให้รัฐบาลทั่วโลกสูญเสียรายได้ราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ทุกปี ในขณะที่รายได้รวมของพวกเขาเองมีมูลค่าไม่ถึง 200 พันล้านดอลลาร์ ความไม่สมดุลนี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงระบบที่ต้องได้รับการแก้ไข

Big 4 – PwC, Deloitte, Ernst & Young, และ KPMG – เป็นมากกว่าบริษัทตรวจสอบบัญชี พวกเขาเป็นสถาบันทางการเงินที่ทรงอิทธิพลในโลกสมัยใหม่ และเหมือนสถาบันการเงินอื่นๆ พวกเขาควรอยู่ภายใต้การตรวจสอบ ความโปร่งใส และความรับผิดชอบต่อประชาชน

ขณะที่เราก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่ซับซ้อนมากขึ้น บทบาทของผู้ตรวจสอบและที่ปรึกษาจะยิ่งสำคัญขึ้น อนาคตของเศรษฐกิจโลกขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาเหล่านี้ และถึงเวลาแล้วที่จะต้องแก้ไขปัญหามันอย่างจริงจัง ก่อนที่วิกฤตการเงินโลกครั้งต่อไปมันจะวันลูปกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง

References :
https://www.investopedia.com/terms/a/anderseneffect.asp
https://www.wsj.com/articles/ernst-amp-young-agrees-to-pay-99-million-in-lehman-settlement-1382126205
https://en.wikipedia.org/wiki/Bankruptcy_of_Lehman_Brothers
The Shady Business of the Big 4 -> https://youtu.be/KxUDLCpy54A
https://www.forbes.com/sites/antoinegara/2015/04/15/ernst-young-settles-new-york-lehman-brothers-repo-105-deals/
https://www.reuters.com/world/asia-pacific/pwc-australia-chief-faces-senate-fury-over-tax-leak-scandal-2023-10-12/

Geek Story EP332 : Foursquare หายไปไหน? จากโซเชียลล้มเหลวสู่ยักษ์ใหญ่เบื้องหลังแอปที่คุณใช้ทุกวัน

ในโลกของสตาร์ทอัพที่เติบโตและล่มสลายอย่างรวดเร็ว เรื่องราวของ Foursquare เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าเกี่ยวกับการปรับตัวและการค้นพบคุณค่าที่แท้จริงในสิ่งที่คุณมี กว่าทศวรรษที่ผ่านมา Foursquare ได้เดินทางจากแอปพลิเคชันสังคมยอดนิยมสู่บริษัทข้อมูลที่ทรงอิทธิพลซึ่งอยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนแพลตฟอร์มชั้นนำมากมายในปัจจุบัน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/42fcn2ma

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/5fj8ddwp

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/37sdnskp

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/hXiI5yyP0TA

“สิงห์ เลมอนโซดา” ปลุกซัมเมอร์ให้ฉ่ำ เสิร์ฟรสชาติใหม่ “Melon Lemon Soda” เติมความสดชื่น ดับร้อนนี้

“สิงห์ เลมอนโซดา” ปลุกตลาดซัมเมอร์นี้ เปิดตัวรสชาติใหม่ล่าสุด “เมลอน เลมอนโซดา” หอมหวานฉ่ำจากเมลอนญี่ปุ่นผสานความเปรี้ยวสดชื่นของเลมอนแท้ โดยคงจุดเด่นไม่มีน้ำตาล 0 แคลอรี และวิตามินซีสูง

คุณพรรณทิพย์ ลีตะชีวะ ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาดแบรนด์น็อนแอลกอฮอล์ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า “สิงห์ เลมอนโซดา เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มอัดลมหรือ CSD (Carbonated Soft Drink) ที่พัฒนาออกมาสู่ตลาดไม่นาน แต่สามารถครอง Market Share อันดับ 1 ของเครื่องดื่มน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล ในรูปแบบกระป๋อง

โดยไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จนสามารถครองใจกลุ่มเป้าหมายกลายเป็นโปรดักท์ฮีโร่ที่ผลักดันแบรนด์และยอดขายสินค้าให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง”

ที่ผ่านมาสิงห์ เลมอนโซดาได้มีการพัฒนารสชาติใหม่ๆเข้าสู่ตลาดทุกปีต่อเนื่อง ทั้ง Singha Lemon Soda, Singha Yuzu Lemon Soda, Singha Red Lemon Soda, Singha Ume Lemon Soda และปีที่แล้วได้ออก Singha Pink Lemon Soda ซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก

และรสชาติใหม่ล่าสุดในปีนี้ “เมลอน เลมอนโซดา” ที่มีจุดเด่นอยู่ที่รสชาติเปรี้ยวของเลมอนแท้ ผสานกลิ่นหอมของเมลอนจากประเทศญี่ปุ่น มาพร้อมกับความหอม หวานฉ่ำ ละมุน และความซ่าสดชื่นที่แตกต่างแบบไม่มีน้ำตาล ไม่มีแคลอรี และสามารถนำมาเป็น Mixer ผสมกับเครื่องดื่มต่างๆ ได้หลากหลาย เติมความสดชื่น ดับกระหาย ไม่เหมือนใครให้กับช่วงซัมเมอร์สนุกสนานยิ่งขึ้น

สำหรับสิงห์เมลอน เลมอนโซดา เป็นสินค้าลิมิเต็ด เอดิชั่น วางจำหน่ายรับซัมเมอร์นี้ต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือน เฉพาะช่องทางร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นทั่วประเทศ และออนไลน์ที่ Singha Online Shop https://www.singhaonline.com เท่านั้น