Geek Talk EP79 : กลลวงของธุรกิจ Subscription โลกยุคใหม่ที่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งที่คุณซื้ออีกต่อไป

ในทุกวันนี้เราจะเห็นบริการ Subscription มากมาย บางครั้งมันก็ดูน่ารำคาญ และมันมีอยู่ทุกที่ ทั้งบริการ Streaming ฟังเพลง ช้อปปิ้ง เล่นวิดีโอเกม ใช้จักรเย็บผ้า แปรงฟัน มีดโกนหนวด รถยนต์ ตู้เย็น เครื่องกรองน้ำ หรือแม้แต่ขวดน้ำ มีการสมัครสมาชิกมากมายจนแทบจะแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นบริการจริงและอะไรที่แต่งขึ้น

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ธุรกิจที่ใช้โมเดล Subscription เติบโตเร็วกว่าบริษัทแบบดั้งเดิมเกือบสี่เท่า คนส่วนใหญ่คิดว่าการสมัครสมาชิกเป็นเพียงวิธีหารายได้ที่น่ารำคาญและน่าหงุดหงิดโดยบริษัทที่โลภ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่เรากำลังสูญเสียมากกว่าเงิน การสมัครสมาชิกกำลังเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของเรากับสิ่งที่เราใช้และพึ่งพาทุกวัน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/n5kadx4p

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/ymccysjs

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2ztzjcrv

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/a7UmW90mXVc

Apple ที่ไร้ซึ่งนวัตกรรม จากยุค Steve Jobs ถึงปัจจุบัน Apple หมดไอเดียแล้วจริงหรือ?

ช่วงต้นปี 2025 วงการเทคโนโลยีกำลังเผชิญกับจุดพีคของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และมีแนวโน้มจะขีดชะตาอุตสาหกรรมในทศวรรษหน้า

บทสนทนาระหว่าง Mark Zuckerberg และ Joe Rogan ใน The Joe Rogan Experience podcast ได้เปิดเผยมุมมองที่หลายคนอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ที่กำลังสั่นคลอนวงการเทคโนโลยี

เราจะอยู่ในโลกที่ Apple ไม่ได้เป็นลูกพี่ใหญ่อีกต่อไปหรือไม่? ทำไม Joe Rogan ถึงหันหลังให้ iPhone? แล้ว Meta Quest ราคาแค่หนึ่งในสิบของ Vision Pro แต่ทำไมถึงเทพกว่า?

Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ในปี 2004 และปัจจุบันเป็นบิ๊กบอสของ Meta ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นการก่อร่างสร้างตัวของเขาว่าเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ Steve Jobs กำลังรังสรรค์ iPhone รุ่นแรก ซึ่งเปิดตัวในปี 2007

ในขณะที่ Zuckerberg กำลังพัฒนา Facebook ในห้องพักมหาวิทยาลัย Jobs และทีมงานที่ Apple กำลังปลุกปั้นสิ่งที่จะกลายเป็นผลิตภัณฑ์เปลี่ยนโลก ไม่มีใครปฏิเสธว่า iPhone เป็นนวัตกรรมที่เจ๋งมากในยุคนั้น

แต่หลังจากการจากไปของ Jobs ทิศทางของ Apple ได้เปลี่ยนไป พวกเขามุ่งเน้นการหาเงินจากระบบนิเวศมากกว่าการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ที่เคยเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาของบริษัทพี่ใหญ่แห่ง Silicon Valley

การสนทนาในรายการเริ่มต้นจากการที่ Joe Rogan เปิดเผยว่ากำลังจะเปลี่ยนจาก iPhone ไปใช้ Android ซึ่งสะท้อนปัญหาของระบบนิเวศแบบปิดที่จำกัดการใช้งานผลิตภัณฑ์จากบริษัทอื่น

ถึงแม้หูฟังยี่ห้ออื่นอาจจะเจ๋งกว่า AirPods แต่คุณก็ไม่สามารถใช้มันกับ iPhone ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ข้อจำกัดนี้ทำให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนติดอยู่ในกรงทอง

Zuckerberg วิจารณ์แบบตรงไปตรงมาว่า Apple เก็บค่าธรรมเนียมสูงถึง 41% จากนักพัฒนาแอปพลิเคชัน ส่งผลโดยตรงต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมและทำให้บริษัทเล็กๆ หลายแห่งแทบจะสิ้นไร้ไม้ตอก

ถ้าไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมสูงลิ่วแบบนี้ Meta อาจสร้างรายได้มากกว่าปัจจุบันได้ถึงสองเท่า Zuckerberg ให้ลองคิดดูว่าบริษัทเล็กๆ จะอยู่รอดได้อย่างไร

ตัวอย่างที่ชัดเจนของการเล่นเกมสกปรกคือกรณีของแว่น Meta Ray-Ban ที่พยายามเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Apple Meta ขอใช้โปรโตคอลการเชื่อมต่อแบบเดียวกับที่ Apple ใช้กับ AirPods

แต่ Apple ปฏิเสธด้วยข้ออ้างเรื่องความปลอดภัย ทั้งที่โปรโตคอลที่พวกเขาใช้เองก็เป็นเพียงข้อความธรรมดาไม่ได้มีความปลอดภัยอะไรเป็นพิเศษ

ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา Apple ผลิตสมาร์ทโฟนที่แทบไม่ต่างกันเลย แค่เพิ่มปุ่มนู่นนิดนี่หน่อย แต่โดยรวมแล้วยังคงเป็น iPhone หน้าตาเดิมๆ ทำให้ส่วนแบ่งตลาดลดฮวบ

ขณะที่คู่แข่งอย่าง Google Pixel มีความสามารถด้านกล้องและ AI ที่สุดเทพ ส่วน OnePlus 13 ที่เพิ่งเปิดตัวต้นปี 2025 ก็โครตโหดจนหลายคนคาดว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนแห่งปี

Samsung และบริษัทอื่นๆ ไม่ได้นั่งเฉยๆ พวกเขากำลังสยายปีกและพัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือกว่า ขณะที่ Apple ยังคงขายผ้าเอาหน้ารอดด้วยผลิตภัณฑ์คล้ายๆ เดิม

ในด้าน wearable device และเทคโนโลยีเสมือนจริง Apple Vision Pro ราคา 3,500 ดอลลาร์ มีแอปพลิเคชันให้ใช้งานจำกัด ส่วนใหญ่เป็นแอปของ Apple เอง

ขณะที่ Meta Quest 3 ราคาเพียง 300-400 ดอลลาร์ กลับมีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายและเข้าท่ากว่า เรียกได้ว่าถูกกว่า 10 เท่าแต่ใช้งานได้มากกว่าซะอีก

Zuckerberg ยอมรับตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมว่า Vision Pro มีจอภาพที่คมชัดกว่าสำหรับการดูหนัง แต่มีข้อเสียเยอะมาก ทั้งน้ำหนักมาก ภาพเบลอเมื่อขยับศีรษะ และราคาสูงลิบลิ่ว

การศึกษาล่าสุดพบว่า 84% ของนักเรียนมัธยมปลายในสหรัฐอเมริกาใช้ iPhone โดยเหตุผลหลักไม่ใช่เพราะสมรรถนะของเครื่อง แต่เป็นเพราะแรงกดดันจากเพื่อน

ระบบฟองข้อความสีฟ้า (iPhone) และสีเขียว (Android) ได้สร้างการแบ่งแยกทางสังคมขึ้นมา ทำให้ผู้ที่ไม่ได้ใช้ iPhone รู้สึกเหมือนเป็นเหลือบไรในกลุ่มเพื่อน

ผลสำรวจนี้มาจากการศึกษาในโรงเรียนมัธยมปลายประมาณ 10 แห่งทั่วประเทศ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเมืองใหญ่ แสดงให้เห็นว่าปัญหานี้เป็นเรื่องระดับชาติที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางสังคมของเยาวชน

หนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือเรื่องความปลอดภัยในการสื่อสาร Zuckerberg อธิบายว่าแม้แต่ WhatsApp และ Signal ที่เข้ารหัสอย่างดี ก็ยังมีความเสี่ยงจากการโจมตีด้วยมัลแวร์ Pegasus

Pegasus เป็นมัลแวร์สุดโหดที่พัฒนาโดย Mossad ใช้แค่เบอร์โทรศัพท์ของเป้าหมาย ก็สามารถเจาะเข้าระบบได้โดยที่คุณไม่ต้องคลิกอะไรเลย

เมื่อติดตั้งแล้ว มันจะควบคุมกล้อง ไมโครโฟน เข้าถึงทุกแอป รวมถึงแอปธนาคาร และเห็นทุกอย่างในมือถือคุณ ทำงานแบบเงียบๆ จนคุณแทบไม่รู้ตัว

การสื่อสารระหว่าง iPhone และ Android ยังคงเป็นจุดอ่อนด้านความปลอดภัย แม้ว่า Apple จะยอมรับโปรโตคอล RCS แล้ว แต่การส่งข้อความระหว่างต่างแพลตฟอร์มก็ยังไม่มีการเข้ารหัสที่ดีพอ

Apple เริ่มตระหนักถึงปัญหาและกำลังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น iPhone Flip สมาร์ทโฟนพับได้รุ่นแรก และ iPhone 17 Series ที่จะปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหญ่

แต่คำถามคือ พวกเขาปรับตัวทันหรือไม่? ในยุคที่ Samsung และ Google จับมือกันพัฒนาอุปกรณ์สุดล้ำด้วยเทคโนโลยี AI สุดเทพ และบริษัทจีนอย่าง OnePlus ก็กำลังบูมในตลาดสมาร์ทโฟน

Zuckerberg มองว่าบริษัทที่ไม่สร้างนวัตกรรมใหม่ในช่วง 10 ปี จะถูกคู่แข่งแซงหน้าอย่างแน่นอน และ Apple ก็กำลังเดินทางไปสู่จุดนั้น

การสนทนาระหว่าง Zuckerberg และ Rogan ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าวงการเทคโนโลยีกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่เราจะเห็น Apple ตกจากบัลลังก์ผู้นำตลาดเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

การยึดติดกับระบบปิดและการเก็บค่าธรรมเนียมสูงอาจทำให้ Apple เป็นเสือนอนกินที่จะถูกลืมในไม่ช้า ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Google, Samsung และ Meta กำลังร่วมมือกันสร้างนวัตกรรมที่จะเปลี่ยนโลก

ในท้ายที่สุด ผู้ชนะคือผู้บริโภคที่จะได้ใช้เทคโนโลยีที่ดีขึ้น ราคาถูกลง และมีทางเลือกมากขึ้น เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวงการเทคโนโลยี

Geek Story EP329 : เรื่องราวสุดพีคของ Louis Vuitton จากเด็กนอนป่าสู่เจ้าของแบรนด์แฟชั่นอันดับ 1 ของโลก

Louis Vuitton เป็นแบรนด์แฟชั่นหรูที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ซีอีโอของบริษัท Bernard Arnault ยังเป็นมหาเศรษฐีอันดับสองของโลกด้วยทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 180 พันล้านดอลลาร์ หากมองความสำเร็จของ Louis Vuitton ในปัจจุบัน คุณคงไม่มีวันเดาได้เลยว่าบริษัทนี้ก่อตั้งโดยชายคนหนึ่งที่เคยไร้บ้านในวัยรุ่น ไม่ได้รับการศึกษา และต้องนอนในป่า

Louis Vuitton เป็นเรื่องราวแท้จริงของการต่อสู้จากความยากจนสู่ความร่ำรวย แต่บริษัทก็ต้องเผชิญกับการเข้าครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตร คดีความมากมาย และข้อถกเถียงอื่นๆ อีกมากมาย นี่คือเรื่องราวอันน่าทึ่งของ Louis Vuitton และวิธีที่ธุรกิจครอบครัวเล็กๆ พัฒนาจนกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในโลก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/fu95kdxn

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2d689htb

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4e3yscdh

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/0z0pu4wHUgQ

Ford สูญ 1 แสนล้านกับฝันร้าย EV เมื่อยักษ์ใหญ่สั่นคลอน การเดิมพันผิดพลาดที่สั่นสะเทือนวงการยานยนต์โลก

บรรยากาศในห้องประชุมวันที่ 24 กรกฎาคม 2024 เต็มไปด้วยความตึงเครียด ผู้บริหาร Ford ต่างวิตกกังวลในขณะที่กำลังรายงานผลประกอบการต่อหน้านักลงทุนที่โกรธเกรี้ยวและนักวิเคราะห์ที่ต่างจ้องมองด้วยความสงสัย

กำไรที่ต่ำกว่าที่ Wall Street คาดไว้ ทำให้หุ้นดิ่งลงต่ำสุดตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008 หนี้สินมหาศาลกว่า 103 พันล้านดอลลาร์ ยิ่งทำให้นักลงทุนรู้สึกตะหงิดใจ

“คุณบอกว่า Ford เป็นบริษัทที่แตกต่างจากเมื่อสามปีก่อน” นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley กล่าว “แต่ตลาดหุ้นกลับไม่เห็นด้วยกับคุณเลย”

Ford ทุ่มเดิมพันครั้งใหญ่กับตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้วยเงินมหาศาลถึง 100 พันล้านดอลลาร์ แต่ตอนนี้การเดิมพันนั้นกำลังล้มเหลว และดูเหมือนพวกเขากำลังจะถอยหลังเข้าคลอง

เกิดอะไรขึ้นกับยักษ์ใหญ่วงการยานยนต์? พวกเขามาถึงจุดวิกฤตนี้ได้อย่างไร? ความจริงแล้ว ปัญหานี้มีความลึกลับซับซ้อนกว่าแค่เรื่อง EV มากนัก

ถ้ามองผิวเผิน คนส่วนใหญ่อาจคิดว่า Ford ยังทำผลงานได้เจ๋งมาก รายได้พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง!

ช่วง COVID-19 รายได้ของ Ford ลดฮวบกว่า 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่หลังผ่านช่วงยากลำบาก สถานการณ์เริ่มฟื้นตัว

รายได้ประจำปีอยู่ที่ 127 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2020 เพิ่มเป็น 137 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2021 ต่อมาเป็น 158 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2022 และสุดท้าย 176 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2023 เป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับตลาดที่อิ่มตัวแล้ว

แต่ความสำเร็จของบริษัทไม่ได้วัดกันแค่รายได้ เมื่อมองลึกลงไป มุมมืดก็เริ่มปรากฏ

ความสามารถในการทำกำไรของ Ford ผันผวนสูง แม้รายได้จะเติบโตในปี 2023 แต่เมื่อเวลาผ่านไป มุมมองนักลงทุนเปลี่ยนจากความหวังสู่ความกังวล

กำไรลดลงในขณะที่รายรับเพิ่มขึ้น สัญญาณอันตรายที่ทำให้ Ford ร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 494 ของ S&P500 เกือบหลุดจากรายชื่อบริษัทชั้นนำ

ก่อนจะเข้าใจปัญหาทั้งหมด เราต้องพิจารณาปัจจัยที่ทำให้สัญญาณเตือนภัยของ Ford ดังขึ้น นั่นคือหนี้สินมหาศาลของพวกเขา

ด้วยหนี้สินรวมเกือบ 150 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2023 Ford มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) สูงถึง 2.2 หมายความว่าหนี้สินมากกว่าส่วนของผู้ถือหุ้นกว่าสองเท่า และตัวเลขนี้ยังเพิ่มเป็น 3.59 ในปัจจุบัน

เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมผู้ผลิตยานยนต์ที่ 1.01 BMW อยู่ที่ 1.17 และ Toyota ประมาณ 0.6 ตัวเลขของ Ford จึงน่าสะพรึงกลัว

สิ่งที่น่าแปลกคือ นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แม้ก่อน COVID-19 พวกเขามีอัตราส่วน D/E สูงถึง 3 ในปี 2019 ลดลงได้บ้างในปี 2021 แต่หนี้สินก็เพิ่มขึ้นอีกกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2023

ที่ขัดแย้งสุดๆ คือ Ford F-Series ยังคงเป็นรถยนต์ขายดีที่สุดในอเมริกาติดต่อกันกว่า 40 ปี แต่ทางการเงิน สถานการณ์กลับสั่นคลอนอย่างหนัก

ส่วนสำคัญของวิกฤตนี้คือความทะเยอทะยานด้าน EV ของ Ford ที่น่าเศร้าคือ ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยกลีบกุหลาบ

ช่วงปี 2010 Ford เริ่มหันมามองอุตสาหกรรม EV แต่ยังไม่ลงทุนจริงจัง ในปี 2017 พวกเขาก่อตั้งทีมวิจัย “Team Edison” โดยตั้งเป้าผลิต SUV ไฟฟ้าภายในปี 2020

พฤศจิกายน 2019 Ford เปิดตัว Mustang Mach-E สร้างความฮือฮา แต่ Ford มีแผนยิ่งใหญ่กว่านั้น ความจริงแล้ว Mach-E เป็นเพียงการทดสอบตลาด และก้าวกระโดดครั้งใหญ่กำลังจะมาถึง

ในขณะที่ Tesla, GM Hummer EV หรือ Rivian สร้างยานยนต์ไฟฟ้าที่ดูโดดเด่นและทันสมัย Ford กลับมีกลยุทธ์แตกต่าง พวกเขามองไปที่จุดแข็งของตัวเอง

Ford F-Series เป็นรถกระบะขายดีที่สุดในอเมริกามา 43 ปี และเป็นรถบรรทุกขายดีที่สุดมา 48 ปี Ford จึงใช้ “ห่านทองคำ” ของพวกเขาเป็นแม่แบบ

พฤษภาคม 2021 พวกเขาเปิดตัว Ford F-150 Lightning รถกระบะไฟฟ้าที่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิม เพื่อดึงดูดลูกค้าที่ต้องการรถบรรทุกที่เรียบง่าย มีประสิทธิภาพ แต่ใช้พลังงานไฟฟ้า

การคำนึงถึงลูกค้าในทุกขั้นตอนทำให้ F-150 Lightning กลายเป็นรถกระบะไฟฟ้าขายดีที่สุดในสหรัฐฯ และทำให้ Ford ก้าวขึ้นเป็นผู้จำหน่าย EV อันดับสองรองจาก Tesla

แล้วถ้า Ford โครตเจ๋งในตลาด EV ขนาดนี้ พวกเขาจะมีปัญหาได้อย่างไร? เรามาดูตัวเลขให้ชัดเจน

ปี 2023 Mach-E ขายได้กว่า 40,000 คัน เพิ่มขึ้น 3% และ F-150 Lightning ขายได้กว่า 15,000 คัน เพิ่มขึ้น 18% ฟังดูเข้าท่า

แต่เมื่อเทียบกับภาพรวม กลับพบว่าเป็นเพียงเศษเสี้ยว Ford มียอดขายรถยนต์เกือบ 2 ล้านคัน แต่ EV มีเพียง 64,000 คัน คิดเป็นแค่ 3.2% ของยอดขายทั้งหมด

แม้จะเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ปัญหาคือ EV กำลังเปรียบเสมือน “หลุมดูดเงิน” ของ Ford บริษัทลงทุนมหาศาล 11.4 พันล้านดอลลาร์ ในโรงงานแบตเตอรี่สองแห่ง 1.8 พันล้านดอลลาร์ ในแคนาดา และอีก 2 พันล้านดอลลาร์ ในเยอรมนี

แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่ม Ford อัดฉีดเงินถึง 50 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2022 เพื่อลงทุนด้าน EV เพียงอย่างเดียว

EV แตกต่างจากรถยนต์น้ำมันโดยสิ้นเชิง ต้องการโรงงานและเทคโนโลยีเฉพาะทาง เงินมหาศาลเหล่านี้มุ่งไปสู่ธุรกิจที่เป็นส่วนเล็กๆ ของรายได้ทั้งหมด

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายเมื่อตลาด EV เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปี 2022 เกิดสงครามราคาเมื่อ Tesla เผชิญการแข่งขันจากจีน ลดราคา Model 3 ลง 6% และ Model Y ลง 11%

คู่แข่งอย่าง BYD จากจีนเสนอ EV ราคาถูกกว่ามาก และเพราะ Tesla เป็นผู้นำตลาด การลดราคาส่งผลกระทบแบบโดมิโนทั่วอุตสาหกรรม

Ford จำเป็นต้องลดราคา F-150 Lightning ลง 7,000 ดอลลาร์ ขณะที่ต้นทุนวัสดุเพิ่มสูงขึ้นและห่วงโซ่อุปทานตึงตัว

ผลลัพธ์คือ ไตรมาสแรกปี 2024 หน่วย EV ของ Ford ขาดทุน 1.3 พันล้านดอลลาร์ หมายความว่า EV ทุกคันที่ผลิต บริษัทขาดทุนถึง 130,000 ดอลลาร์ ต่อคัน

ขณะเดียวกัน ความกระตือรือร้นของผู้บริโภคและการสนับสนุนจากรัฐก็ลดลง หลายประเทศถอนมาตรการสนับสนุน EV เยอรมนีในเดือนธันวาคม 2023 ตามมาด้วยนิวซีแลนด์ ฝรั่งเศส และสวีเดน

ตลาด EV กลายเป็นสนามรบที่แดงเดือดและยังไม่สร้างกำไร Ford จึงตระหนักว่าปัญหานี้ใหญ่เกินกว่าจะแก้ไข พวกเขายกเลิกแผนผลิต SUV ไฟฟ้าและตัดการลงทุนด้าน EV

ธุรกิจ EV ของ Ford ขาดทุน 5 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2024 และคาดว่าจะขาดทุนเท่ากันในปี 2025 ในการประชุมล่าสุด Ford เปิดเผยว่ากำลังลดการลงทุนสำหรับ EV จาก 40% เหลือ 30% และลดกำลังผลิต F-150 Lightning

แม้ความล้มเหลวในตลาด EV จะเป็นปัญหาใหญ่ แต่ Ford ยังมีวิกฤตอีกด้านที่อาจแย่ยิ่งกว่าปัญหา EV

แม้ครองตำแหน่นรถยนต์ขายดีที่สุดในอเมริกา แต่ Ford มีปัญหาเรื่องคุณภาพอย่างต่อเนื่อง พวกเขาควบคุมคุณภาพได้ไม่ดี ทำให้รถยนต์จำนวนมากต้องถูกเรียกคืน

ปี 2020 Ford เรียกคืนรถกว่า 700,000 คันเนื่องจากปัญหากล้องมองหลัง สี่ปีต่อมา มีการเรียกคืนถึง 37 ครั้ง รวมถึง Ford Explorers 2 ล้านคันและรุ่นอื่นๆ อีกเกือบ 800,000 คัน

ยิ่งกว่านั้น ในปีเดียวกัน Ford ยังถูกปรับ 165 ล้านดอลลาร์ เพราะเรียกคืนรถล่าช้าและให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง

ค่าใช้จ่ายด้านการรับประกันสะท้อนปัญหาได้ชัดเจน ปี 2014 Ford มีค่าใช้จ่ายด้านการรับประกัน 4.8 พันล้านดอลลาร์ แต่ปี 2023 เพิ่มเป็น 11.5 พันล้านดอลลาร์ และค่าซ่อมเพิ่มอีก 2 พันล้านดอลลาร์

นักลงทุนเริ่มหมดความอดทน ในการประชุมไตรมาส 2 ปี 2024 นักวิเคราะห์ถาม Ford ว่า “นักลงทุนจะเชื่อมั่นได้อย่างไร เมื่อทุกปี ปัญหาการรับประกันที่น่าประหลาดใจเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้น?”

Jim Farley ตอบอย่างกระอักกระอ่วนว่าคุณภาพเป็น “ลำดับความสำคัญอันดับหนึ่ง” แต่นักลงทุนไม่เชื่อ อัตราส่วนราคาต่อกำไรของ Ford อยู่ในระดับต่ำเพียง 6.32

ไตรมาสนั้นเพียงไตรมาสเดียว Ford ใช้เงิน 2.3 พันล้านดอลลาร์ สำหรับการเรียกคืนและรับประกัน บางวันสูงถึง 25.5 ล้านดอลลาร์ ต่อวัน

ที่น่าสนใจคือ F-Series ไม่ใช่ต้นเหตุหลัก แต่เป็นรุ่นใหม่ๆ อัตราข้อบกพร่องของ Ford เพิ่มขึ้น 70% หลังเปิดตัวรุ่นใหม่ ขณะที่ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเพิ่มเพียง 20%

Ford อยู่ในสถานการณ์ขัดแย้ง ด้านหนึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้น แต่อีกด้านกลับควบคุมต้นทุนและคุณภาพไม่ได้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นไม่มีความหมายถ้าไม่สร้างกำไร

ปัญหาเหล่านี้ทำให้ Ford สูญเสียทั้งเงินและความเชื่อมั่นจากนักลงทุน พวกเขาลงทุนมหาศาลในโรงงาน EV ที่ยังไม่ทำกำไร จึงถอนตัวได้ไม่เต็มที่

EV อาจเป็นการลงทุนที่น่าดึงดูดในอนาคต แต่ทำให้ Ford เสียสมาธิจากปัญหาพื้นฐาน พวกเขาต้องแก้ไขการควบคุมคุณภาพก่อนที่จะสูญเสียความน่าเชื่อถือไปทั้งหมด

Ford เป็นบริษัทรถยนต์อเมริกันรายเดียวที่ไม่เคยล้มละลาย แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน อนาคตดูไม่แน่นอน

ปัญหาของ Ford สะท้อนความท้าทายของบริษัทยักษ์ใหญ่ในยุคเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี การปรับตัวให้ทันนวัตกรรมใหม่เป็นความท้าทายมหาศาลสำหรับบริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรฝังรากลึก

การจัดการหนี้สินมหาศาลในช่วงดอกเบี้ยสูงยิ่งเพิ่มแรงกดดัน Ford ไม่ใช่รายเดียวที่เผชิญวิกฤต ยักษ์ใหญ่อีกรายคือ AT&T ที่มีหนี้สิน 180 พันล้านดอลลาร์ แม้มีส่วนแบ่งตลาดแข็งแกร่ง

วิกฤตคุณภาพของ Ford สะท้อนปัญหาการจัดการองค์กรขนาดใหญ่ การเติบโตและขยายธุรกิจหลายทิศทางทำให้ควบคุมคุณภาพยาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมซับซ้อนอย่างยานยนต์

บทเรียนจาก Ford คือ การเติบโตต้องมาพร้อมความยั่งยืน รายได้ที่เพิ่มไม่ได้หมายถึงความสำเร็จระยะยาวหากไม่รักษาความสามารถในการทำกำไร

การบริหารหนี้สินอย่างระมัดระวังและการให้ความสำคัญกับคุณภาพคือกุญแจสู่ความยั่งยืน Ford ต้องปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็วและกล้าหาญ ลดการลงทุนในโครงการที่ไม่ทำกำไร แก้ปัญหาคุณภาพเร่งด่วน และสร้างสมดุลของผลิตภัณฑ์

แม้ Ford จะมีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีผลิตภัณฑ์เป็นตำนานอย่าง F-Series แต่อดีตอันรุ่งโรจน์ไม่ได้รับประกันความสำเร็จในอนาคต ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงเร็ว แม้แต่ยักษ์ใหญ่ก็อาจล้มลงได้