Geek Story EP327 : อำนาจมืดของ Big 4 ยักษ์ใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแตะสู่อิทธิพลที่อยู่เหนือรัฐบาลทั่วโลก 

ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยตัวเลขและงบการเงิน มีกลุ่มบริษัทกลุ่มหนึ่งที่มีอิทธิพลมากกว่าที่เราคิด พวกเขาเรียกตัวเองว่า “Big 4” ภารกิจของพวกเขาดูเหมือนเรียบง่าย คือตรวจสอบบัญชีบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของโลกเพื่อให้มั่นใจว่าตัวเลขต่างๆ ถูกต้องและบัญชีมันเที่ยงตรง แต่ใต้ภาพลักษณ์ที่เรียบง่ายนี้ ซ่อนความจริงที่น่าตกใจ

เมื่อมองลึกลงไป เราจะพบว่าบิ๊กโฟร์มีอำนาจมหาศาล พวกเขาแผ่อิทธิพลไปทั่วธุรกิจใหญ่ในระดับโลก อำนาจนี้แทบไม่ถูกตรวจสอบ ไม่โปร่งใส และมักมองไม่เห็น สิ่งที่น่าสนใจคือปัจจุบันบทบาทดั้งเดิมในฐานะผู้ตรวจสอบบัญชีสร้างรายได้เพียงหนึ่งในสามของรายได้ทั้งหมดเท่านั้น ส่วนที่เหลือมาจากแหล่งที่ทำกำไรมากกว่า นั่นคือบริการให้คำปรึกษาที่พวกเขาให้แก่รัฐบาลและบริษัทเดียวกันกับที่พวกเขากำลังตรวจสอบ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/3rs5mxcf

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4wrhcdux

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/465uarkz

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/wn15pOKIw28

ทำไม Lenovo จึงไม่ถูกแบน? กับความสำเร็จที่ไม่เหมือนใคร เรื่องราวของบริษัทจีนเพียงแห่งเดียวที่อเมริกายอมรับ

ช่วงหลังมานี้ หากสังเกตให้ดี บริษัทเทคโนโลยีจีนต่างกำลังเจอกระแสการต่อต้านในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็น TikTok, Huawei, Alibaba หรือ Tencent ซึ่งเป็นเรื่องยากที่บริษัทเหล่านี้คิดจะลุยในตลาดต่างประเทศ

แต่มีหนึ่งบริษัทที่โลกกลับไว้วางใจ นั่นคือ Lenovo นั่นเอง พวกเขาครองตำแหน่งผู้นำตลาด PC ระดับโลกอย่างไม่มีใครเทียบ และประสบความสำเร็จแม้ในประเทศที่มองเทคโนโลยีจีนด้วยความระแวง อย่างสหรัฐอเมริกา และอินเดีย

น่าแปลกที่แม้แต่ในสหรัฐฯ ซึ่งการเข้าตลาดของโทรศัพท์ Huawei ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้า แต่ Lenovo กลับเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์รายใหญ่อันดับ 3 ผ่านแบรนด์ Motorola ของพวกเขา คำถามก็คือ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ตั้งแต่ปี 2014 เมื่อ Lenovo ซื้อธุรกิจเซิร์ฟเวอร์ของ IBM บริษัทก็พุ่งทะยานเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดนี้ ให้บริการทั้งบริษัทใหญ่และรัฐบาลทั่วโลก ความน่าทึ่งคือพวกเขาซื้อธุรกิจอเมริกันที่เป็นตำนานถึงสองแห่ง โดยไม่มีใครตะหงิดใจเลยสักนิด

ลองคิดดู ถ้าวันนี้ Xiaomi จะซื้อธุรกิจ PC ของ Dell หรือ Huawei จะซื้อธุรกิจเซิร์ฟเวอร์ของ HP มันคงเป็นไปไม่ได้ แต่นั่นคือสิ่งที่ Lenovo ทำสำเร็จ โดยที่แทบไม่มีใครคัดค้าน บริษัทนี้ได้รับการปฏิบัติจากทั้งผู้กำกับดูแลและผู้บริโภคราวกับไม่ใช่บริษัทจีน

ความแตกต่างของ Lenovo คือการมีประวัติความเป็นมา รูปแบบการบริหารและกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใคร พวกเขาสร้างเส้นทางสู่ความเป็นสากลมานานแล้ว ซึ่งต่างจากบริษัทจีนอื่นๆ

แม้ทุกวันนี้ Lenovo จะเป็นเหมือน “ยูนิคอร์น” แต่จุดเริ่มต้นของพวกเขากลับเป็นเรื่องราวคลาสสิกทั่วไป บริษัทก่อตั้งในปี 1984 ที่ปักกิ่ง เกิดขึ้นก่อนทั้ง ZTE, Huawei, กลุ่ม BBK และ Xiaomi หลายปี

ในยุคนั้น อุตสาหกรรมเทคโนโลยีเอกชนในจีนแทบไม่มี พนักงานทั้ง 11 คนแรกและเงินทุนตั้งต้นมาจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยของรัฐขนาดใหญ่

หลังจากนำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ไม่นาน Lenovo ก็เริ่มประสบความสำเร็จในการผลิต PC ช่วงทศวรรษ 1990 ด้วยนวัตกรรมสุดเทพ พวกเขาพัฒนาแผงวงจรที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์พิมพ์ตัวอักษรจีนได้อย่างลื่นไหล

อีกหนึ่งความเจ๋งคือคอมพิวเตอร์ “Tianchi” ที่มีปุ่มเดียวสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและเปิดเว็บบราวเซอร์ได้โดยอัตโนมัติ พวกเขาร่วมมือกับ China Telecom ทำให้การเข้าเน็ตง่ายขึ้นมาก Tianchi จึงกลายเป็น PC ยอดฮิตในจีนปี 2000 ขายได้กว่าล้านเครื่องในปีเดียว

บริษัทเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคจีนอย่างลึกซึ้ง และรังสรรค์โซลูชั่นที่ตอบโจทย์ ทำให้พวกเขาไม่เพียงรอดจากการแข่งขันกับบริษัทต่างชาติในช่วงปลายทศวรรษ 1980 แต่ยังขึ้นเป็นผู้นำตลาดในประเทศภายในปี 1996 อีกด้วย

สิ่งที่ทำให้ Lenovo พิเศษคือการเดินเกมที่ไม่เหมือนใคร พวกเขาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงตั้งแต่ปี 1994 ในขณะที่บริษัทฮาร์ดแวร์จีนยักษ์ใหญ่อย่าง Huawei หรือกลุ่ม BBK ปฏิเสธการเข้าตลาดหลักทรัพย์โดยสิ้นเชิง

Lenovo ยังเล็กมากตอน IPO และระดมทุนได้เพียง 30 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ Xiaomi ที่ระดมทุนได้ 3 พันล้านดอลลาร์ตอน IPO นี่ทำให้บริษัทถูกจับตาโดยนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งส่งผลต่อวัฒนธรรมองค์กรอย่างมาก

อีกกลยุทธ์คือการเปลี่ยนชื่อจากชื่อยาวๆ เป็น “Legend” ก่อน แล้วจึงเปลี่ยนเป็น “Lenovo” ในภาษาอังกฤษ ด้วยชื่อแบรนด์ที่ฟังดูเป็นสากล ประสบการณ์กับนักลงทุนต่างชาติ และการครองตลาดในประเทศ พวกเขาจึงพร้อมบุกตลาดโลก

จุดพีคของ Lenovo เกิดขึ้นในปี 2004 เมื่อ IBM ตัดสินใจขายธุรกิจ PC อันเป็นตำนาน ตลาด PC ในเวลานั้นมีกำไรต่ำเพราะ Microsoft และ Intel ทำให้ตลาดเป็นมาตรฐานเดียวกันหมด และการแข่งขันก็ดุเดือด

การรวมกับ Lenovo ทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ส่วน Lenovo ก็ได้แบรนด์ ThinkPad อันเลื่องชื่อ รวมถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจของ IBM ที่มีมากมาย นี่เป็นโอกาสทองสำหรับทั้งสองฝ่าย

แต่มีปัญหาหนึ่ง คือธุรกิจ PC ของ IBM มีรายได้มากกว่า Lenovo ถึงสามเท่า ทำให้ทั้งวงการต่างทึ่งกับสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นเหมือน “งูกลืนช้าง” ธุรกิจของ IBM มีพนักงานถึง 10,000 คน มากกว่าที่ Lenovo มีอยู่ และส่วนใหญ่อยู่ในนอร์ทแคโรไลนา

Lenovo ต้องการรักษาการดำเนินงานไว้ จึงทำให้บริษัทมีสำนักงานใหญ่ระดับโลกสองแห่ง และมีอดีตพนักงาน IBM บริหารทั้งองค์กร ผู้บริหารชาวอเมริกันจาก IBM ได้กลายเป็น CEO ของบริษัทที่รวมกัน

ที่น่าทึ่งคือ หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Lenovo ที่สร้างแบรนด์ระดับโลกเป็นชาวอเมริกันที่เคยทำงานที่ Apple, NVIDIA และ HP มาก่อน การตลาดและประชาสัมพันธ์ระดับโลกของบริษัทดำเนินการหลักๆ จากลอนดอนและสหรัฐฯ

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Lenovo กระจายอยู่ในหลายประเทศ ทีมผู้นำและคณะกรรมการบริษัทก็มีผู้บริหารระดับนานาชาติมากมาย ต่างจาก Huawei ที่ผู้ตัดสินใจเกือบทุกคนเป็นชาวจีน ความแตกต่างชัดเจนมาก

Yang Yuan Ching ผู้บริหารเก่าของ Lenovo ได้กลายเป็น CEO ในที่สุด แต่การซื้อกิจการครั้งนี้ได้เปลี่ยน Lenovo ให้เป็นองค์กรที่แตกต่างจากบริษัทอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง

รายงานเกือบทุกฉบับชื่นชมการบริหารของ Lenovo อย่างสูงในการจัดการดีลนี้ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกรู้สึกยินดีต้อนรับ ซึ่งหาได้ยากมากสำหรับการควบรวมของบริษัทข้ามชาติ

บริษัทประสบความสำเร็จอย่างดี จากปี 2005 จนถึงปัจจุบัน พวกเขาเพิ่มส่วนแบ่งตลาด PC จาก 7% เป็นมากกว่า 24% และเป็นผู้นำตลาดที่ชัดเจนทั่วโลก

เมื่อเห็นว่าโมเดลนี้ประสบความสำเร็จ Lenovo ก็เดินหน้าขยายธุรกิจต่อ พวกเขาซื้อธุรกิจเซิร์ฟเวอร์ x86 ของ IBM ในปี 2014 ซึ่งผลิตและขายเซิร์ฟเวอร์ให้บริษัทใหญ่โดยใช้ชิปของ Intel และ AMD

พวกเขายังซื้อธุรกิจโทรศัพท์ Motorola จาก Google ในปีเดียวกัน และมีการซื้อกิจการขนาดเล็กอื่นๆ อีก เช่น Medion ของเยอรมนี, Digibras ของบราซิล และซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในแผนก Fujitsu Client Computing Division ของญี่ปุ่น

ในแต่ละการซื้อกิจการ บริษัทยิ่งกระจายอำนาจและเป็นสากลมากขึ้น จนถึงจุดที่ปัจจุบันจีนมีสัดส่วนเพียงประมาณหนึ่งในสี่ของยอดขาย Lenovo เท่านั้น แม้แต่ในจีนเอง ผลิตภัณฑ์ของพวกเขามักขายภายใต้ชื่อแบรนด์ภาษาอังกฤษ เช่น Moto หรือ Legion

ในเรื่องความเป็นเจ้าของ Lenovo มีโครงสร้างที่น่าสนใจมาก ในตอนแรก สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีนและรัฐบาลจีน รวมถึงพนักงานรุ่นแรกเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แต่สิ่งนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

ปัจจุบัน CEO Yang Ching และการถือครองของเขามีสัดส่วนประมาณ 6.3% ของหุ้นทั้งหมด ขณะที่ Legend Holdings ซึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าของดั้งเดิมรายอื่นๆ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดที่ 35.7% และที่เหลือเป็นนักลงทุนจากทั่วโลก

Legend คือชื่อเดิมของ Lenovo และชื่อภาษาจีนของทั้งสององค์กรยังเหมือนกัน ตอนนี้เป็นบริษัทโฮลดิ้งที่นอกจากถือหุ้น Lenovo แล้ว ยังลงทุนในธุรกิจหลากหลาย ตั้งแต่บริษัทเกษตรไปจนถึงสายการบิน

บริษัทนี้ยังมีสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีนเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดที่ 29% และมีภารกิจชัดเจนในการพัฒนาเศรษฐกิจจีน โดยรวมแล้ว ประมาณ 42% ของความเป็นเจ้าของ Lenovo เชื่อมโยงกับเจ้าของดั้งเดิมและ CEO ปัจจุบัน

หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ Lenovo ได้รับการยอมรับทั่วโลกก็คือ โครงสร้างของบริษัทไม่เหมาะที่จะทำอะไรที่เป็นอันตราย พวกเขาเป็นเพียงผู้ประกอบระบบ สิ่งที่ขายทั้งหมดทำจากชิ้นส่วนมาตรฐานที่ใครๆ ก็รู้จัก

นอกจากนี้พวกเขายังใช้ซอฟต์แวร์มาตรฐาน คนที่มีความสามารถสามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่บนอุปกรณ์ได้ง่ายๆ โทรศัพท์ Motorola ก็ใช้ Android ที่เกือบจะเป็นเวอร์ชันดั้งเดิม ไม่มีบริการคลาวด์หรือแอพพลิเคชั่นพิเศษของ Lenovo มากนัก

เมื่อเทียบกับ Huawei ที่มีฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และชิปที่ออกแบบเองทั้งหมด เครื่องของ Lenovo เป็นที่กังวลน้อยกว่ามาก และที่สำคัญ ไม่มีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากผลิตภัณฑ์ของ Lenovo เลย

การมุ่งเน้นที่จะเป็นเพียงผู้ประกอบระบบหมายความว่า Lenovo เติบโตช้ากว่า และความสามารถในการทำกำไรก็อ่อนแอกว่าบริษัทอย่าง Huawei มาก เพราะมีเทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์น้อยกว่าที่จะเรียกเก็บเงินพิเศษได้

แม้แต่ Xiaomi ที่มีกำไรจากฮาร์ดแวร์ต่ำก็ยังทำกำไรได้ดีกว่า เพราะพวกเขาใช้ซอฟต์แวร์และระบบนิเวศของตนสร้างรายได้ ซึ่งต่างจาก Lenovo มาก

แต่ข้อดีคือ ในโลกที่มีความแตกแยกมากขึ้น ที่ปัจจัยทางการเมืองมีความสำคัญต่อความสำเร็จทางธุรกิจมาก รูปแบบที่ช้ากว่า เป็นการทูตมากกว่า และกระจายอำนาจมากกว่าของ Lenovo อาจเป็นแนวทางที่ชนะในระยะยาว

ในวงการธุรกิจเทคโนโลยีจีน มีการถกเถียงกันว่าแนวทางการก้าวสู่ความเป็นสากลแบบไหนดีกว่ากัน ระหว่าง Huawei กับ Lenovo ซึ่งถือเป็นขั้วตรงข้ามกัน บริษัทอื่นๆ พยายามเลือกโมเดลใดโมเดลหนึ่งเป็นต้นแบบ

Lenovo แสดงให้เห็นว่าการเป็นบริษัทจีนไม่จำเป็นต้องหมายถึงการถูกปฏิเสธในตลาดโลก พวกเขาเลือกเส้นทางที่แตกต่าง กระจายอำนาจ เป็นมิตรกับนักลงทุนต่างชาติ และสร้างองค์กรที่มีความเป็นสากลอย่างแท้จริง

ในโลกที่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มขึ้น แนวทางของ Lenovo อาจเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับบริษัทจีนอื่นๆ ที่ถวิลหาความสำเร็จในระดับโลก เมื่อการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง บางทีการเดินช้าลงแต่มั่นคงอาจเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดกว่าก็เป็นได้นั่นเองครับผม

Geek Story EP326 : 5 สุดยอดนักคิด ผู้อยู่เบื้องหลัง iPod เมื่อ Steve Jobs รวมพลทวยเทพ สร้างผลิตภัณฑ์เปลี่ยนโลก

หลายคนอาจเข้าใจว่า iPhone คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก แต่แท้จริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ Apple เริ่มต้นขึ้นก่อนหน้านั้น เมื่อบริษัทตัดสินใจก้าวออกจากการเป็นเพียงผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ มาสู่การสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค โดยมี iPod เป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้

ความสำเร็จของ iPod ไม่เพียงช่วยพลิกฟื้น Apple จากบริษัทที่กำลังจะล้มละลาย ให้กลายเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่นำไปสู่การพัฒนา iPhone และ iPad ในเวลาต่อมา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/2s46wk87

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/32dy3dwr

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/45u58kbn

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/VWLRZ4ExGjI