Geek Story EP324 : เมื่อ Tim Cook ชนะทั้ง Trump และจีน กับแผนลับของ Apple ในการปลดแอกจากจีน

Tim Cook คือคนที่ทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก เพิ่มมูลค่าขึ้น 25 เท่าตั้งแต่เขาเป็น CEO เมื่อ 14 ปีที่แล้ว และแปดปีในนั้นเกิดขึ้นระหว่างสงครามการค้าที่ใหญ่ที่สุดในยุคสมัยของเรา ซึ่ง Apple ควรจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เพราะในท้ายที่สุดแล้ว Apple เป็นบริษัทสหรัฐฯ ที่พึ่งพาทั้งการผลิตในจีนและผู้บริโภคชาวจีนมากที่สุด

และตอนนี้ด้วยความตึงเครียดระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น Cook กำลังวางแผนที่ซับซ้อนที่สุดของเขา – การย้ายการผลิตออกจากจีนโดยไม่ทำให้ความสัมพันธ์ทางการค้าและการเมืองเสียหาย ถ้าเขาสามารถทำสำเร็จได้อีกครั้ง เขาอาจได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งใน CEO ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/28edthje

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yxnt3tpb

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/tuyra8uu

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/-2pIut0FHkw

ทำไม Walkman ถึงเปลี่ยนโลก? ย้อนรอยตำนานเครื่องเล่นเพลงที่ปฏิวัติวิถีชีวิตคนทั้งโลก

เรื่องราวเริ่มต้นในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1979 เมื่อโซนี่เปิดตัวเจ้ากล่องเล็กๆ ที่เรียกว่า “วอล์คแมน” ในญี่ปุ่น ใครจะคิดว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้จะพลิกโฉมวงการเพลงไปตลอดกาล

ย้อนกลับไป ไม่มีใครเชื่อว่ามันจะขายได้ แต่ภายในสี่ทศวรรษ วอล์คแมนถูกขายไปแล้วกว่า 385 ล้านเครื่องทั่วโลก

วอล์คแมนไม่ใช่แค่อุปกรณ์เล่นเพลง แต่เป็นการปฏิวัติวิธีที่เราฟังเพลง ปูทางให้เทคโนโลยีรุ่นหลังอย่าง MP3 และ iPod ความเทพของมันคือการทำให้ทุกคนพกพาเพลงโปรดไปได้ทุกที่

ก่อนยุควอล์คแมน คนเราฟังเพลงนอกบ้านผ่านวิทยุทรานซิสเตอร์เป็นหลัก ซึ่งเกิดขึ้นในทศวรรษ 1950 ที่วิทยุมีขนาดเล็กลงพอใส่กระเป๋าได้

แต่ก็มีข้อจำกัดเป็นอย่างมาก เพราะฟังได้แค่เพลงที่สถานีวิทยุเปิด ไม่มีสิทธิ์เลือกเพลงโปรดเอง และต้องรับสัญญาณได้ด้วย ไม่งั้นก็จบเห่

วิทยุทรานซิสเตอร์ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น ที่อยากพกพาไปฟังเพลงฮิตทุกที่ แต่ยังเป็นการฟังแบบไม่เป็นส่วนตัว ต้องฟังผ่านลำโพงที่ทุกคนได้ยินร่วมกัน

โซนี่เองก็สร้างชื่อจากการผลิตวิทยุทรานซิสเตอร์คุณภาพเยี่ยม Masaru Ibuka และ Akio Morita ผู้ก่อตั้งโซนี่ มองเห็นศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ตั้งแต่แรก และพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ

อีกทางเลือกหนึ่งคือ Boombox เครื่องเสียงพกพาขนาดใหญ่ที่มีลำโพงแรงๆ เล่นได้ทั้งเทปและวิทยุ ไม่ได้ออกแบบให้ฟังคนเดียว แต่เอาไว้แบ่งปันเพลงในที่สาธารณะ

Boombox กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรม Hip Hop และ Break Dancing ในยุค 70s โดยเฉพาะในนิวยอร์ก มันไม่ใช่แค่อุปกรณ์เสียง แต่เป็นเครื่องมือแสดงออกทางวัฒนธรรม

แต่ความดังของ Boombox ก็นำมาซึ่งปัญหา เมืองใหญ่ๆ เริ่มออกกฎหมายควบคุมเสียงรบกวน และขนาดน้ำหนักก็ไม่เหมาะกับการพกพาไปไหนมาไหนทุกวัน

ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ผู้บริโภคต้องการความเป็นส่วนตัวและอิสระในการเลือกฟังเพลงมากขึ้น อยากฟังเพลงโปรดได้ทุกที่โดยไม่รบกวนคนอื่น

เทคโนโลยีหูฟังพัฒนาไปมากแล้ว โดยเฉพาะหูฟังแบบ Supra-aural น้ำหนักเบาคุณภาพดี แต่ยังขาดเครื่องเล่นพกพาที่ออกแบบมาใช้กับหูฟังโดยเฉพาะ

นี่คือช่องว่างที่รอให้ใครสักคนมาเติมเต็ม และโซนี่ก็มองเห็นโอกาสในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะตอบโจทย์ความต้องการนี้

จุดเริ่มต้นของวอล์คแมนเกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน เมื่อ Masaru Ibuka หนึ่งในผู้ก่อตั้งโซนี่ อยากฟังเพลงโอเปร่าระหว่างเดินทาง

ตอนนั้น Ibuka ใช้เครื่องบันทึกเทปคาสเซ็ต Sony TC-D5 แต่มันใหญ่และหนักเกินไป เขาจึงปรึกษา Norio Ohga ประธานโซนี่ ถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาเครื่องเล่นเพลงขนาดเล็กที่ออกแบบมาเพื่อฟังผ่านหูฟังโดยเฉพาะ

Ibuka เชื่อว่าการฟังเพลงส่วนตัวผ่านหูฟังเป็นประสบการณ์ที่พิเศษ และถ้าทำให้พกพาได้สะดวก จะเป็นที่ต้องการของคนจำนวนมาก

ทีมวิศวกรโซนี่ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่ดัดแปลงจาก Sony Pressman (TC-20) เครื่องบันทึกเทปพกพาที่ออกแบบสำหรับนักข่าว

พวกเขาถอดกลไกบันทึกเสียงออก เพิ่มวงจรขยายเสียงสเตอริโอคุณภาพสูงเข้าไปแทน ใช้แบตเตอรี่ AA แค่สองก้อน ทำให้ตัวเครื่องเล็กและเบาลงมาก

วอล์คแมนรุ่นแรก หรือ TPS-L2 มีจุดที่เจ๋งคือช่องเสียบหูฟังสองช่อง พร้อมปุ่ม “Hotline” ที่เมื่อกดแล้วจะลดเสียงเพลงและเปิดไมค์เล็กๆ ให้คนฟังสองคนคุยกันได้โดยไม่ต้องถอดหูฟัง

TPS-L2 มีสีน้ำเงินเงิน ปุ่มใหญ่ใช้ง่าย ขนาดประมาณซองบุหรี่ หนาแค่ 3 ซม. น้ำหนักเพียง 390 กรัม ซึ่งถือว่าเล็กและเบามากเมื่อเทียบกับอุปกรณ์เสียงพกพาอื่นๆ ในยุคนั้น

การตั้งชื่อ “วอล์คแมน” เป็นการดัดแปลงจาก “Pressman” เปลี่ยนจาก “Press” (สื่อมวลชน) เป็น “Walk” (เดิน) สื่อถึงการพกพาขณะเดินทาง

แต่เมื่อเปิดตัวในต่างประเทศ โซนี่มีปัญหาจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า จึงใช้ชื่อต่างกันไป เช่น “Sound-About” ในอเมริกา “Stowaway” ในอังกฤษ และ “Freestyle” ในสวีเดน

วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1979 โซนี่เปิดตัว TPS-L2 ในญี่ปุ่น คาดว่าจะขายได้แค่เดือนละ 5,000 เครื่อง แต่ภายในสองเดือนแรก ขายไปแล้ว 50,000 เครื่อง มันสูงเกินความคาดหมายถึง 5 เท่า!

หลังความสำเร็จเกินคาด โซนี่รีบพัฒนารุ่นใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว เพียง 19 เดือนหลังเปิดตัว TPS-L2 ก็มี WM-2 ที่เล็กและเบากว่าเดิมมาก

WM-2 กลายเป็นไอคอนของวอล์คแมนที่หลายคนจดจำ ด้วยรูปทรงเรียบง่ายสง่างาม สีดำเมทัลลิคสุดเท่ และปุ่มควบคุมออกแบบลงตัว

ในยุค 80s โซนี่เปิดตัววอล์คแมนหลายรุ่น เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น วิทยุ AM/FM ระบบกลับเทปอัตโนมัติ ระบบลดเสียงรบกวน และแบตเตอรี่อยู่ได้นานขึ้น

ภายในปี ค.ศ. 1990 มีวอล์คแมนกว่า 80 รูปแบบ ยอดขายทั่วโลกกว่า 150 ล้านเครื่อง บริษัทคู่แข่งพยายามทำตาม แต่ไม่มีใครสู้ความนิยมของวอล์คแมนได้

คำว่า “วอล์คแมน” กลายเป็นคำเรียกเครื่องเล่นเทปพกพาทุกยี่ห้อ เหมือนที่เราเรียกเครื่องถ่ายเอกสารว่า “ซีร็อกซ์” นี่คือความสำเร็จขั้นสูงสุดของแบรนด์!

การเปิดตัวซีดีในปี ค.ศ. 1982 โดยฟิลิปส์และโซนี่เอง เริ่มยุคใหม่ของเสียงดิจิทัล หลายคนคิดว่าเทปคาสเซ็ตและวอล์คแมนจะหมดยุค

แต่โซนี่ไม่รอช้า ในปี ค.ศ. 1984 เพียงสองปีหลังซีดีเปิดตัว โซนี่ก็สร้าง “Discman” (D-50) เครื่องเล่นซีดีพกพาเครื่องแรกของโลก ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “CD Walkman”

Discman ใหญ่กว่าวอล์คแมน แต่ก็เล็กกว่าเครื่องเล่นซีดีทั่วไปมาก และให้คุณภาพเสียงดีกว่าเทปอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้ Discman จะได้รับความนิยมในกลุ่มคนรักเสียงคุณภาพสูง แต่วอล์คแมนก็ยังขายดีเพราะราคาถูกกว่า เล็กกว่า และแบตอยู่นานกว่า

ในช่วงปลายยุค 90s เมื่อ MP3 เริ่มแพร่หลาย โซนี่พัฒนา “Network Walkman” แต่น่าเสียดายที่ปรับตัวช้าเกินไป ยังยึดติดกับไฟล์เสียงของตัวเอง ทำให้แพ้ iPod ที่ Apple เปิดตัวปี 2001

วอล์คแมนเปลี่ยนแปลงการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้คนกับเพลงและสภาพแวดล้อมรอบตัว มันสร้างพื้นที่ส่วนตัวในที่สาธารณะ ให้คุณฟังเพลงโปรดได้ทุกที่โดยไม่รบกวนใคร

นักสังคมวิทยาศึกษาปรากฏการณ์ “การสร้างพื้นที่ส่วนตัว” จากวอล์คแมน คนในเมืองใช้วอล์คแมนสร้างโลกส่วนตัวขณะเดินทาง นำไปสู่พฤติกรรมสังคมแบบใหม่

ในหนังสือ “The Walkman Effect” นักสังคมวิทยาชาวญี่ปุ่น Shuhei Hosokawa อธิบายว่าวอล์คแมนเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับสังคม ระหว่างส่วนตัวกับสาธารณะ

วอล์คแมนยังส่งอิทธิพลต่อวงการแฟชั่นและโฆษณา กลายเป็นเครื่องประดับแฟชั่นชิ้นสำคัญในยุค 80s การคลิปวอล์คแมนที่เข็มขัดกลายเป็นสัญลักษณ์ของคนทันสมัย

นอกจากนี้ วอล์คแมนยังมีผลต่ออุตสาหกรรมเพลง การบันทึกเพลงลงเทปเพื่อฟังในวอล์คแมน ทำให้เกิดวัฒนธรรม “มิกซ์เทป” รวบรวมเพลงโปรดเพื่อมอบให้คนรัก

วอล์คแมนไม่เพียงเปลี่ยนวิธีฟังเพลงในยุคของมัน แต่ยังวางรากฐานแนวคิดเครื่องเสียงพกพายุคต่อมา หลักการที่ว่าคนต้องการฟังเพลงที่เลือกเองได้ทุกที่อย่างเป็นส่วนตัว

เมื่อ Steve Jobs เปิดตัว iPod ปี 2001 ด้วยแนวคิด “พกพาเพลงทั้งหมดไปได้ทุกที่” เป็นการต่อยอดจากวอล์คแมน แต่เก็บเพลงได้มากกว่า 1,000 เพลง เทียบกับเทปที่มีแค่ 10-15 เพลง

ต่อมา บริการสตรีมมิ่งอย่าง Spotify, Apple Music พัฒนาแนวคิดนี้ไปอีกขั้น ให้เข้าถึงเพลงนับล้านได้ทันทีผ่านสมาร์ทโฟน ไม่ต้องเก็บไฟล์ในอุปกรณ์อีกต่อไป

แม้วอล์คแมนแบบเทปจะเลิกผลิตไปแล้ว แต่โซนี่ยังใช้แบรนด์ “วอล์คแมน” กับเครื่องเล่นเพลงดิจิทัลพกพาคุณภาพสูง เน้นกลุ่มออดิโอไฟล์ที่หมายปองเสียงคุณภาพเยี่ยม

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทปคาสเซ็ตกลับมาฮิตในกลุ่มนักสะสมและคนรุ่นใหม่ที่หลงใหลวัฒนธรรมเรโทร หลายบริษัทเริ่มผลิตเครื่องเล่นเทปพกพารุ่นใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจจากวอล์คแมน

ความหลงใหลในวอล์คแมนยังสะท้อนในวัฒนธรรมป๊อป สื่อบันเทิงที่เล่าเรื่องยุค 80s-90s มักมีวอล์คแมนเป็นสัญลักษณ์ของยุคนั้น เช่น ในซีรีส์ “Stranger Things” ที่ตัวละคร “โจนาธาน” มักปรากฏพร้อมวอล์คแมน

เรื่องราวของวอล์คแมนมีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวให้เรียนรู้ วอล์คแมนแสดงพลังของนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการที่ซ่อนอยู่ของผู้บริโภค

อีกบทเรียนคือความสำคัญของการออกแบบที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง วอล์คแมนประสบความสำเร็จเพราะใช้ง่าย สวยงาม และตอบสนองความต้องการได้ตรงจุด

ในด้านความล้มเหลว โซนี่พลาดโอกาสเป็นผู้นำตลาดเครื่องเล่น MP3 เพราะยึดติดกับรูปแบบไฟล์ของตัวเองมากเกินไป แทนที่จะปรับตัวตามความต้องการของผู้บริโภค

วอล์คแมนอาจไม่ใช่สินค้ายอดฮิตในปัจจุบัน แต่อิทธิพลของมันยังคงอยู่ในเทคโนโลยีและวัฒนธรรมรอบตัวเรา มันเปลี่ยนวิธีที่เราฟังเพลง เปลี่ยนวิธีที่เราปฏิสัมพันธ์กับโลก

มรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวอล์คแมนคือการเป็นจุดเริ่มต้นแนวคิดว่าเทคโนโลยีสามารถสร้างประสบการณ์ส่วนตัวแบบพกพาได้ แนวคิดที่พัฒนาต่อเป็นสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์พกพาทุกวันนี้

เมื่อมองย้อนกลับ วอล์คแมนไม่ใช่แค่เครื่องเล่นเพลง แต่เป็นสัญลักษณ์การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมครั้งสำคัญ เตือนใจว่าบางที นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนที่สุด แต่ต้องเข้าใจความต้องการของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง

วอล์คแมนอาจจะกลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่มันได้ขีดชะตาโลกแห่งเทคโนโลยีและวัฒนธรรมการบริโภคสื่อไว้อย่างไม่มีวันลบเลือน

Geek Story EP323 : ทำไม Elon Musk ถึงเกลียด Lidar? เรียบง่ายแต่ปฏิวัติวงการ เบื้องหลังการถอดเซนเซอร์ของ Tesla

การพัฒนารถยนต์ขับขี่อัตโนมัติเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและท้าทาย โดยเฉพาะในประเด็นของเทคโนโลยีเซนเซอร์ที่ใช้ในการรับรู้สภาพแวดล้อม ในช่วงที่ผ่านมา Tesla ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการถอดเซนเซอร์ออกจากระบบขับขี่อัตโนมัติของพวกเขา เริ่มจากการถอดเรดาร์ออกเมื่อปี 2021 และได้ทำการถอดเซนเซอร์อัลตร้าโซนิกทั้งหมดออกไปด้วย เหลือเพียงระบบกล้อง (Vision) เท่านั้น

การตัดสินใจนี้สร้างคำถามมากมายในวงการยานยนต์และเทคโนโลยี หลายคนสงสัยว่าการพึ่งพาเพียงกล้องอย่างเดียวจะทำให้ปัญหาด้านการรับรู้ยากขึ้นหรือง่ายขึ้น พอดแคสต์ EP นี้จะพาคุณไปสำรวจแนวคิดเบื้องหลังการตัดสินใจของ Tesla ผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม รวมถึงเปรียบเทียบกับแนวทางของบริษัทอื่นๆ ที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติเช่นกัน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/2jmyfn82

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/5fjh5f7r

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/262uxmaw

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/PneQmheETwE

ทำไม LinkedIn ซื้อ Lynda.com? เริ่มจากเว็บไซต์สอนกราฟิก สู่ดีลพันล้านกับ LinkedIn

ย้อนกลับไปในปี 1995 อินเทอร์เน็ตเปรียบเสมือนเด็กน้อยที่กำลังเติบโต เครื่องมือสำหรับท่องโลกดิจิทัลยังมีจำกัดสุดๆ สำหรับคนส่วนใหญ่ อินเทอร์เน็ตคือดินแดนลึกลับซับซ้อนที่ยังไม่มีใครสำรวจ เต็มไปด้วยความหวังและความสับสน

เว็บไซต์ยุคนั้นยังดูเละเทะ ใช้งานยาก และการสร้างเว็บไซต์เองยิ่งเป็นเรื่องสุดโหด สงวนไว้สำหรับเหล่านักเทคโนโลยีตัวพ่อเท่านั้น

ลองจินตนาการถึง Linda Weinman ครูสอนกราฟิกดีไซน์ที่ต้องฝ่าฟันความท้าทายในการสอนนักเรียน ขณะเดียวกันก็ต้องมานั่งปวดหัวกับเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ อย่าง Photoshop และ Illustrator

เครื่องมือพวกนี้สุดเทพแต่น่ากลัวมากสำหรับมือใหม่ สำหรับ Linda การสอนในห้องเรียนอย่างเดียวไม่เพียงพอ เธอต้องการวิธีที่จะเพิ่มพลังให้ทั้งนักเรียนและตัวเธอเองในการจัดการกับความวุ่นวายนี้

และแล้วไอเดียเจ๋งๆ ก็เกิดขึ้น Linda ตัดสินใจสร้างเว็บไซต์ เป็นพื้นที่ที่เธอสามารถทดลองใช้เครื่องมือต่างๆ และแชร์ผลงานของนักเรียนสู่โลกกว้าง เธอตั้งชื่อว่า linda .com

แต่การสร้างเว็บไซต์ในยุคนั้นมันยากมาก เหมือนกับการต่อจิ๊กซอว์โดยไม่รู้ว่าภาพสุดท้ายจะออกมาเป็นยังไง การเขียนโค้ดเป็นงานยุ่งยาก ทรัพยากรมีจำกัด และเทคโนโลยียังไม่เป็นมิตรเลย

แต่เธอยังสู้ต่อไป ผลักดันด้วยความเชื่อว่าพื้นที่ดิจิทัลเล็กๆ นี้จะกลายเป็นสิ่งที่มีความหมาย เธอไม่เคยคิดเลยว่าโปรเจกต์เล็กๆ ที่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นจะเติบโตเป็นแพลตฟอร์มมูลค่าพันล้านดอลลาร์

ก่อนที่จะมีดีลพันล้าน ก่อนที่จะเป็นที่จับตามอง Linda Weinman เป็นเพียงครูที่มีความอยากรู้และหลงใหลในการสอน

เธอเติบโตที่ Los Angeles รัฐ California บ้านของเธอเป็นศูนย์รวมความคิดสร้างสรรค์ พู่กัน สมุดวาดภาพ และอุปกรณ์ถ่ายภาพประดับประดาอยู่รอบตัว ประสบการณ์เหล่านี้ปลูกฝังความรักในการเล่าเรื่องผ่านภาพให้กับเธอ

วัยรุ่นอย่าง Linda มักจะถือกล้องถ่ายภาพ จับภาพสิ่งธรรมดาแล้วรังสรรค์ให้เป็นงานศิลปะ ครูเห็นมุมมองเจ๋ง ๆ ของเธอและสนับสนุนให้ตามความฝันด้านศิลปะ

ความคิดสร้างสรรค์ของ Linda ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สื่อเดียว เธอลองทั้งการวาดภาพ ประติมากรรม และแม้แต่การทำหนังสมัครเล่น เธอไม่ใช่คนที่เดินตามเส้นทางปกติ แต่ชอบสำรวจ ทดลอง และเรียนรู้จากการลงมือทำจริงๆ

เมื่อถึงเวลาเข้ามหาวิทยาลัย Linda เลือก Evergreen State College ใน Olympia รัฐ Washington เป็นทางเลือกที่ไม่ธรรมดา แต่ก็เข้าท่ากับตัวเธอ

Evergreen เป็นที่รู้จักในด้านแนวทางการศึกษาแบบใหม่ ไม่มีเกรด ไม่มีโครงสร้างหลักสูตรที่เคร่งครัด มีเพียงการเน้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง

สภาพแวดล้อมนี้ผลักดันให้ Linda คิดอย่างมีวิจารณญาณและสำรวจความหลงใหลโดยไม่มีขอบเขต ตอนนั้นเธอยังไม่รู้ว่าปรัชญาแห่งการสำรวจนี้จะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์สำหรับงานในชีวิตเธอ

หลังจบการศึกษา อาชีพของ Linda พาเธอเข้าสู่วงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด เธอทำงานเป็นนักแอนิเมชันในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ มีส่วนร่วมในโปรเจกต์ใหญ่ๆ มากมาย

ช่วงเวลาที่ DreamWorks มีความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะแอนิเมชันในยุคนั้นกำลังเปลี่ยนผ่านจากการวาดด้วยมือแบบดั้งเดิมไปสู่ดิจิทัล Linda ยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และจมดิ่งไปกับเทคโนโลยีสุดล้ำในยุคนั้น

แต่มีบางอย่างหายไป แม้ว่าเธอจะชอบด้านเทคนิคของงาน Linda กลับถวิลหาการสอน เธอชอบกระบวนการแตกแนวคิดที่ซับซ้อนให้เป็นบทเรียนง่ายๆ

การสอนทำให้เธอได้แบ่งปันความรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น ความรู้สึกที่เธอไม่เจอในสตูดิโอแอนิเมชัน

และสิ่งนี้คือจุดเริ่มต้นของบทใหม่ Linda รับตำแหน่งอาจารย์ที่ Art Center College of Design ใน Pasadena รัฐ California

ที่นี่เองที่เธอเจอความท้าทายครั้งแรกในการสอนกราฟิกดีไซน์ยุคดิจิทัล เครื่องมืออย่าง Photoshop และ Illustrator กำลังกลายเป็นของจำเป็น แต่มีทรัพยากรน้อยมากที่จะใช้สอนแบบเป็นจริงเป็นจัง

นักเรียนส่วนใหญ่พยายามตามให้ทัน และตัว Linda เองก็ต้องเรียนรู้เครื่องมือเหล่านี้ผ่านการลองผิดลองถูก การขาดแคลนสื่อการเรียนรู้ที่เข้าถึงได้ทำให้เธอหงุดหงิด แต่ก็จุดประกายความคิดเจ๋งๆ

จะเป็นไงถ้ามีวิธีที่ดีกว่านี้ในการสอนทักษะเหล่านี้? จะเป็นไงถ้าเธอสามารถสร้างแหล่งความรู้ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือมีภูมิหลังยังไง? คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในใจเธอ

ตอนแรก ความคิดนี้ดูเป็นไปไม่ได้เลย คนๆ เดียวจะสร้างแหล่งการเรียนรู้ที่ครอบคลุมทั้งหมดนี้ได้ยังไง? และจะทำให้มวลชนเข้าถึงได้ยังไง? Linda ไม่มีคำตอบทั้งหมด แต่เธอมีความมุ่งมั่น

เธอเริ่มทดลอง สร้างเอกสารและคู่มือแบบทีละขั้นตอนสำหรับนักเรียน สไตล์การสอนของเธอพัฒนาขึ้น มุ่งเน้นการประยุกต์ใช้งานจริงและการแก้ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง นักเรียนชอบมาก และชื่อเสียงก็เริ่มตามมา

ชื่อเสียงของ Linda ในฐานะครูที่สามารถไขปริศนาเครื่องมือที่ซับซ้อนเริ่มแพร่กระจาย ดึงดูดนักเรียนและโอกาสมากขึ้น จุดพีคมาถึงเมื่อ Linda เข้าร่วมการประชุมเกี่ยวกับการออกแบบเว็บ

เป็นยุคแรกเริ่มของอินเทอร์เน็ต และความเป็นไปได้ดูไม่มีที่สิ้นสุด ได้แรงบันดาลใจจากสิ่งที่เห็น Linda ตัดสินใจก้าวกระโดด เธอจะสร้างเว็บไซต์ ไม่ใช่แค่เครื่องมือสอน แต่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับแบ่งปันความรู้กับโลก

เป็นความคิดที่ทะเยอทะยานสุดๆ แต่ Linda ไม่ใช่คนแปลกหน้ากับความท้าทาย เธอพับแขนเสื้อและลงมือทำ วางรากฐานสำหรับสิ่งที่จะกลายเป็น linda .com

linda .com เริ่มต้นเป็นสนามเด็กเล่นดิจิทัล สถานที่ที่นักเรียนสามารถแสดงผลงานและสำรวจความเป็นไปได้ของกราฟิกดีไซน์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป Linda ตระหนักว่าเว็บไซต์ของเธอสามารถเป็นได้มากกว่านั้น

ในปี 2002 เธอตัดสินใจครั้งใหญ่ที่จะย้ายการสอนทั้งหมดไปอยู่ออนไลน์ ไม่ใช่เรื่องง่าย การศึกษาออนไลน์แทบไม่มีใครรู้จัก ไม่ต้องพูดถึงโมเดลธุรกิจ มีคนสงสัยมากมาย “ทำไมต้องเรียนออนไลน์ในเมื่อเข้าเรียนในห้องได้?”

แต่ Linda มองเห็นศักยภาพของสิ่งนี้ เธอเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่เข้าชั้นเรียนได้ บางคนมีงาน มีครอบครัว หรืออยู่ไกลเกินไป การศึกษาออนไลน์สามารถทำลายอุปสรรคเหล่านั้นได้

การตัดสินใจนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของศรัทธา แต่เป็นความเสี่ยงที่คำนวณแล้ว เธอลงทุนจัดหนักในการสร้างบทเรียนวิดีโอคุณภาพสูง

เธอทำให้แน่ใจว่าเนื้อหาออนไลน์ไม่ใช่แค่ตัวแทนการเรียนในห้องเรียน แต่เป็นการพัฒนาที่ดีกว่า บทเรียนเข้าถึงง่าย น่าสนใจ และนำไปใช้ได้จริง ไม่นานผู้ชมก็เริ่มเติบโตเร็วแบบฉุดไม่อยู่

linda .com กลายเป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับทุกคนที่ต้องการเรียนรู้กราฟิกดีไซน์ การเขียนโค้ด และอื่นๆ อีกมากมาย ปัญหาที่นักเรียนของ Linda เผชิญ – ระยะทาง เวลา และการเข้าถึง – กลายเป็นแรงขับเคลื่อนความสำเร็จของเธอ

เมื่อแพลตฟอร์มได้รับความนิยมมากขึ้น linda .com กลายเป็นมากกว่าเครื่องมือสำหรับนักออกแบบกราฟิก มันเปลี่ยนเป็นยักษ์ใหญ่ด้านการศึกษาที่สอนผู้คนนับล้านทั่วโลกในทักษะที่เปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขา

และในปี 2015 เรื่องราวก็ถึงจุดสูงสุดเมื่อ LinkedIn ซื้อกิจการ linda .com ด้วยมูลค่าที่น่าทึ่งถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์

ลองคิดดู แนวคิดเรียบง่ายที่เกิดจากแรงผลักดันที่จะสอนและแบ่งปัน เติบโตเป็นสิ่งที่ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ใช้ แต่ยังเปลี่ยนเกมของการศึกษาออนไลน์

ทุกวันนี้ สิ่งที่เริ่มต้นเป็น linda .com ยังคงดำเนินต่อในชื่อ LinkedIn Learning แพลตฟอร์มที่ยังคงเสริมพลังให้ผู้คนได้เรียนรู้และเติบโต

เรื่องราวของ Linda สอนเราเกี่ยวกับพลังของการคิดที่โคตรเจ๋ง การท้าทายแนวทางดั้งเดิมเพื่อบรรลุผลลัพธ์ที่สุดยอด เธอไม่ได้เดินตามเส้นทางแบบดั้งเดิม แต่สร้างเส้นทางของตัวเอง

เริ่มเล็กคิดใหญ่: สิ่งที่เริ่มต้นเป็นเครื่องมือในห้องเรียนกลายเป็นธุรกิจพันล้าน ทุกไอเดียใหญ่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ

แก้ปัญหาจริง: Linda มุ่งเน้นทำให้การศึกษาเข้าถึงได้ แก้ปัญหาที่สะท้อนกับคนนับล้าน นี่คือการเข้าถึงมุมมืดของการศึกษาที่ไม่มีใครมองเห็น

ยอมรับการเปลี่ยนแปลง: การย้ายไปสู่การสอนออนไลน์เป็นก้าวที่กล้าหาญและพิสูจน์แล้วว่าเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ บางทีนี่อาจเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้เธอได้พบกับความสำเร็จ

รักษาความอยากรู้: ความปรารถนาที่จะสำรวจและเรียนรู้ของ Linda เป็นเชื้อเพลิงในการเดินทางของเธอ และถือเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเทียบได้

ความงดงามของเรื่องราวนี้คือความเรียบง่าย มันเริ่มต้นด้วยความปรารถนาที่จะสอนและพัฒนาเป็นแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนแปลงโลก

เรื่องราวของคุณอาจจะยังไม่ดูยิ่งใหญ่ในตอนนี้ แต่จำไว้ว่าแม้แต่ Linda ก็เริ่มต้นด้วยเพียงแค่ไอเดียและเว็บไซต์

ความสำเร็จยิ่งดีขึ้นเมื่อได้แบ่งปัน และเรื่องราวของ Linda เป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าแม้แต่ความฝันที่เรียบง่ายที่สุดก็สามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้ เมื่อขับเคลื่อนด้วยความหลงใหลและจุดประสงค์ที่ชัดเจน

Linda ได้แสดงให้เราเห็นว่าการเสี่ยงอาจนำไปสู่รางวัลที่คุ้มค่า และบางครั้งการเริ่มต้นจากความเข้าใจต่อปัญหา อาจกลายเป็นโอกาสให้คุณได้รังสรรค์สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงโลก

เมื่อจีนแฮกความลับรถยนต์ Apple-Tesla แผนร้ายสายลับนักเรียนทุน ที่แทรกซึมขโมยเทคโนโลยีทั่วโลก

ผมว่าหลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมประเทศจีนถึงพัฒนาเทคโนโลยีได้รวดเร็วมากในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา? ซึ่งหนึ่งในคำตอบที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงก็คือการจารกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ

จีนส่งคนนับแสนไปทั่วโลกเพื่อเก็บข้อมูล เทคโนโลยี และข่าวกรอง พวกเขามีเครื่องบิน F35 ที่เหมือนต้นแบบของสหรัฐฯ แทบทุกรายละเอียด ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยว่ามันถูกขโมยมา

แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Tesla ยังตกเป็นเหยื่อ ลองคิดดูสิว่าบริษัทขนาดกลางและเล็กจะปลอดภัยได้อย่างไร

แคลิฟอร์เนียเป็นศูนย์กลางการพัฒนาคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ของสหรัฐฯ ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 จาก Palo Alto ลงไปถึงลอสแองเจลิส นี่คือแหล่งกำเนิดของบริษัทอย่าง Google, Apple และอุตสาหกรรมการบินอวกาศ

Apple มีโรงงานในจีนเพื่อผลิตเทคโนโลยีเจ๋งๆ แต่ความคิดสร้างสรรค์และงานวิจัยพัฒนาทั้งหมดเกิดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นจุดที่หน่วยจารกรรมหมายปองมากที่สุด

Kathy Serman อดีตเจ้าหน้าที่ FBI กว่า 26 ปี อธิบายว่าภัยคุกคามมีหลายแบบ ทั้งทางไซเบอร์จากภายนอก และภัยคุกคามภายในจากคนที่ทำงานในบริษัทนั้น ซึ่งกลายเป็นเหมือนเกลือเป็นหนอนให้กับผู้สั่งการภายนอก

ในปี 2014 Apple เริ่มโครงการ Titan เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า และต่อมาได้เปลี่ยนเป็นรถยนต์ไร้คนขับ ซึ่งเป็นโครงการ AI ที่สำคัญที่สุดของบริษัท

การวิจัยของ Morgan Stanley ชี้ว่ารถยนต์ไร้คนขับจะช่วยประหยัดเงินในระบบเศรษฐกิจถึง 488 พันล้านดอลลาร์ต่อปีจากการลดอุบัติเหตุ และอีก 158 พันล้านจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลง

Jong Jalong วิศวกรฮาร์ดแวร์ชาวจีนวัย 30 ปี เป็นหนึ่งในทีมงานของ Apple ที่มีสิทธิ์เข้าถึง source code โปรแกรมการขับเคลื่อนอัตโนมัติ หลังจากทำงานมา 3 ปี เขาขอลาหยุดเพื่อกลับไปจีนดูแลภรรยาที่เพิ่งคลอดลูก

เมื่อกลับมาทำงาน Jong แจ้งว่าต้องการลาออกโดยให้เหตุผลว่าแม่ป่วย แต่ต่อมาเขาเปลี่ยนเรื่องเล่าเป็นว่ากำลังจะไปทำงานให้กับ XMotors (XPeng) สตาร์ทอัพรถยนต์ของจีนที่ก่อตั้งโดย He Xiaopang

ทีมรักษาความปลอดภัยของ Apple สงสัยจึงตรวจสอบกิจกรรมของ Jong อย่างละเอียด พบว่าเขาเข้าไปในห้องปฏิบัติการวันเสาร์และออกมาพร้อมกล่องที่เต็มไปด้วยฮาร์ดแวร์ Apple จึงแจ้ง FBI ทันที

การสืบสวนพบว่า Jong ดาวน์โหลดข้อมูล 40 GB และใช้ AirDrop ส่งไปยังแล็ปท็อปของภรรยา เป็นการละเมิดมาตรการความปลอดภัยของ Apple อย่างร้ายแรง 10 วันหลังการสอบสวน เขาถูกจับที่สนามบินซานโฮเซขณะกำลังจะกลับจีน

Jong เผชิญโทษจำคุกสูงสุด 10 ปีและค่าปรับ 250,000 ดอลลาร์ ถูกพิจารณาว่าเสี่ยงหลบหนี จึงถูกสั่งให้สวมเครื่องติดตาม GPS ระหว่างรอการพิจารณาคดี

แปลกมากที่เพียง 6 เดือนหลังจับ Jong ได้ Apple ถูกโจมตีอีกครั้ง คราวนี้เป็น Chun Ji Joon วิศวกรชาวจีนอีกคนที่ทำงานในโครงการ Titan เช่นกัน

เพื่อนร่วมงานเห็น Chun ถ่ายภาพแล็ปท็อป Apple ของเขาเอง จึงรายงานเรื่องนี้ การวิเคราะห์ทางนิติวิทยาศาสตร์พบว่าเขาดาวน์โหลดเอกสารโครงการ Titan หลายพันฉบับ

เหมือนกับ Jong เป๊ะ เขาอ้างว่าต้องกลับจีนเพื่อเยี่ยมญาติป่วย และก็ถูกจับที่สนามบินซานโฮเซเช่นกัน ความบังเอิญที่แบบนี้ไม่ใช่บังเอิญเลย

ไม่ใช่แค่ Apple เท่านั้นที่ตกเป็นเป้า Tesla ผู้นำในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและระบบขับขี่อัตโนมัติก็โดนแบบเดียวกัน

Wanger วิศวกรไฟฟ้าชาวจีนที่ทำงานให้ Tesla ในจีน เป็นหนึ่งใน 40 คนที่มีสิทธิ์เข้าถึงซอร์สโค้ด Autopilot ทั้งหมด ในวันที่ 3 มกราคม 2019 เขาประกาศลาออกแบบกะทันหันเพื่อไปทำงานที่ XMotors

การสืบสวนพบว่า Wanger ได้รับข้อเสนองานจาก XMotors ตั้งแต่ 12 ธันวาคม 2018 และได้ดาวน์โหลดไฟล์สำคัญประมาณ 300,000 ไฟล์ไปยังบัญชี iCloud ส่วนตัว

เนื่องจาก FBI ไม่มีอำนาจในจีน Tesla จึงฟ้องเขาเอง คดียุติด้วยการตกลงเงินชดเชยที่ไม่เปิดเผย แม้ Wanger จะปฏิเสธการขโมยข้อมูล แต่ตามโปรไฟล์ LinkedIn เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีที่ XMotors ซึ่งพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ

สิ่งที่น่าสนใจคือทั้งสองกรณีนี้ XMotors เป็นผู้ได้ประโยชน์ แม้พวกเขาจะปฏิเสธว่าไม่ได้รับข้อมูลอะไรเลย แต่ Serman เชื่อว่าข้อมูลถูกส่งไปให้แน่นอน นี่เป็นการกระทำที่แสบสันที่สุด

นอกจากซอฟต์แวร์ จีนยังหมายปองเทคโนโลยีอื่นๆ ด้วย Dr. Shan Xi ศาสตราจารย์ที่ Texas A&M ที่ย้ายจากจีนมาอเมริกาในทศวรรษ 1990 มีสตาร์ทอัพชื่อ CBM International ที่พัฒนา Syntactic Foam

Syntactic Foam เป็นวัสดุโครตเจ๋งที่ให้ความได้เปรียบกับเรือดำน้ำและเรือพิฆาตล่องหนของกองทัพสหรัฐฯ ทำให้ดำลึกได้มากขึ้น เงียบกว่า และลดการตรวจจับจากเรดาร์

มีเพียงสามบริษัทในโลกที่ผลิตมันได้ และต้องมีใบอนุญาตส่งออกพิเศษหากจะส่งไปบางประเทศรวมถึงจีน FBI สงสัยว่า Dr. Shan กำลังพยายามส่งเทคโนโลยีนี้ไปจีน

การสืบสวนพบว่า CBM มี Microspheres ส่วนประกอบสำคัญของ Syntactic Foam ที่ Trellborg ใช้เวลาพัฒนา 40 ปี แต่ CBM ทำได้ในเพียงหนึ่งปี ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

FBI จัดตั้งปฏิบัติการลับโดยปลอมตัวเป็นทีม Trellborg คุยกับ Dr. Shan ซึ่งไม่รู้ตัวว่ากำลังนำเสนอต่อสายลับ และเผยว่าทุกโครงการที่พวกเขาทำเป็นงานให้รัฐบาลจีนหรือกองทัพเรือจีน

การจารกรรมเศรษฐกิจของจีนเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ใหญ่ ในปี 2013 ภายใต้ Xi Jinping จีนเปิดตัวแผนที่เส้นทางเพื่อครองอำนาจทั่วโลก โดยมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมที่เพิ่มอำนาจทางเศรษฐกิจและการป้องกันประเทศ

กลยุทธ์ที่เจ๋งมากของพวกเขาคือ “Thousand Grains of Sand” ส่งคนจำนวนมากไปทั่วโลกเพื่อรวบรวมชิ้นส่วนเล็กๆ ของข้อมูลและเทคโนโลยี

จีนส่งคนหลายแสนคนไปทั่วโลกเพื่อรวบรวมข้อมูล แต่ละคนรับผิดชอบชิ้นส่วนเล็กๆ เพียงชิ้นเดียว บางคนอยู่อเมริกาใต้ บางคนอยู่อเมริกา บางคนอยู่อินเดีย แล้วนำทุกชิ้นกลับมารวมกัน

นี่คือการใช้นักเรียน นักท่องเที่ยว นักวิจัย นักการทูตในการเก็บข้อมูลระหว่างเยี่ยมสหรัฐฯ ผู้ที่นำเทคโนโลยีกลับจีนได้จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างดี

การขโมยความลับทางการค้าส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจอเมริกา Serman ชี้ว่าหาก Apple ไม่สูญเสียข้อมูลโครงการ Titan บางที Apple อาจมีรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว อาจสร้างโรงงาน 10 แห่งและจ้างงาน 100,000 คน

ในด้านความมั่นคง ช่วงปลายทศวรรษ 1980 มีหลักฐานว่าจีนขโมยความลับหัวรบนิวเคลียร์ W70 และข้อมูลเกี่ยวกับหัวรบทุกประเภทในคลังขีปนาวุธสหรัฐฯ

นอกจากนี้ยังขโมยเทคโนโลยี F35 ทำให้สร้างเครื่องบินคล้ายคลึงกันมาก นี่คือการโจมตีทั้งสังคมที่ขโมยความมั่งคั่ง งาน และคุกคามความมั่นคงของชาติ

สหรัฐฯ ได้ปรับปรุงกฎหมายเพื่อรับมือกับการขโมยความลับทางการค้า ซึ่งเป็นทั้งอาชญากรรมทางอาญาและทางแพ่ง แต่มาตรการทางกฎหมายอย่างเดียวไม่พอ

บริษัทต้องพัฒนาโปรแกรมความปลอดภัยภายในที่แข็งแกร่ง กรณีของ Chun ที่ถูกจับได้เพราะเพื่อนร่วมงานสังเกตเห็นพฤติกรรมน่าสงสัยแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร

ความท้าทายสำหรับบริษัทอเมริกันคือการหาสมดุลระหว่างการเข้าถึงตลาดจีนและการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นเส้นทางที่ยากลำบากมาก ๆ โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลจีนมักดำเนินการในพื้นที่สีเทาที่ยากจะพิสูจน์

เมื่อการแข่งขันเพื่อความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงร้อนแรง การจารกรรมทางเศรษฐกิจจะยังคงเป็นภัยคุกคามสำคัญ โดยเฉพาะในภาคส่วนที่มีความก้าวหน้าสูงอย่าง AI และยานยนต์ไร้คนขับ

ในยุคที่ทรัพย์สินทางปัญญาสำคัญกว่าทรัพย์สินทางกายภาพ การรับมือกับการจารกรรมทางเศรษฐกิจจึงเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 สำหรับสหรัฐฯ และพันธมิตร ถึงเวลาแล้วที่ต้องตระหนักถึงความเสี่ยงและร่วมมือกันปกป้องนวัตกรรมอันล้ำค่าเหล่านี้