Geek Story EP322 : เจาะลึกคดีช็อควงการสตาร์ทอัพเมื่อ JPMorgan ถูกหลอกซื้อบริษัทด้วยรายชื่อลูกค้าที่ไม่มีตัวตน

JPMorgan Chase ได้ทำการฟ้องร้องผู้ก่อตั้ง Frank อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพฟินเทคที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยซื้อกิจการไปในราคา 175 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากอ้างว่าเธอโกหกเกี่ยวกับขนาดและความสำเร็จของบริษัท ด้วยการสร้างรายชื่อผู้ใช้งานปลอมจำนวนมหาศาลเพื่อจูงใจให้ยักษ์ใหญ่ทางการเงินรายนี้ซื้อกิจการ

Frank ก่อตั้งโดย Charlie Javice ในปี 2016 (อดีตซีอีโอ) นำเสนอซอฟต์แวร์ที่มุ่งปรับปรุงกระบวนการสมัครเงินกู้นักศึกษาสำหรับชาวอเมริกันรุ่นใหม่ที่ต้องการความช่วยเหลือทางการเงิน เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของเธอในการพัฒนาสตาร์ทอัพให้กลายเป็น “Amazon สำหรับการศึกษาระดับอุดมศึกษา”

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/ybsdvr56

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3t77prx6

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2xydkhmu

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/AWaydbk1XcI

เปลี่ยนไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้ว กับบทเรียนจากเอสโตเนียสู่การปฏิวัติการศึกษาด้วยเทคโนโลยี AI

ประเทศเล็กๆ ในยุโรปที่ชื่อว่าเอสโตเนียกลายเป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีได้ภายในเวลาแค่ 30 ปี พวกเขามียูนิคอร์น (สตาร์ทอัพมูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์) ต่อประชากรเยอะที่สุดในโลก

แล้วบ้านเราล่ะ? เรามีโอกาสที่จะทำแบบนั้นบ้างไหม? ตอบเลยว่ามีแน่นอน! แต่ต้องมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและกล้าหาญพอที่จะปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะในด้านการศึกษาและเทคโนโลยี AI

เอสโตเนียเคยเป็นส่วนหนึ่งของโซเวียต เศรษฐกิจเละเทะจนแทบไม่เหลือซาก มีประชากรแค่ 1.3 ล้านคน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย ใครต่างก็คิว่าประเทศนี้คงจะล่มสลายหลังได้รับเอกราชในปี 1991

แต่พวกเขากลับตัดสินใจโครตเจ๋ง ด้วยการทุ่มเททุกอย่างไปที่เทคโนโลยีดิจิทัล ในปี 1996 พวกเขาเริ่มโครงการ “Tiger Leap” ปั้นระบบการศึกษาให้โรงเรียนทุกแห่งมีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต

ต่อมาพวกเขาจัดหนักด้วยการเป็นประเทศแรกของโลกที่สอนเด็ก 6 ขวบให้เขียนโค้ด และยกระดับการศึกษาด้าน STEM อย่างจริงจัง ผลลัพธ์? นักเรียนเอสโตเนียในปี 2022 ทำคะแนน PISA ได้ดีกว่าทั้งยุโรป สหรัฐฯ และแคนาดา คะแนนสูงเป็นอันดับ 8 ของโลก

บ้านเราอยู่จุดที่ต่างออกไป มีประชากร 70 ล้าน เศรษฐกิจใหญ่กว่ามาก แต่เรายังติดกับดักรายได้ปานกลาง ขาดแคลนคนที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ และระบบการศึกษายังไม่ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล

แต่ประเทศเราก็มีจุดแข็ง ตำแหน่งที่ตั้งเป็นศูนย์กลางอาเซียน คนไทยเข้าถึงสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตสูงมาก และเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ไว

เราอาจสร้างแผน “Thailand AI Leap” โดยเอาแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของเอสโตเนียนี่แหละ คำถามก็คือเอสโตเนียทำอะไรไปบ้าง และเราจะปรับใช้ยังไง?

เอสโตเนียให้ความสำคัญกับการเข้าถึงเทคโนโลยีและทักษะดิจิทัลตั้งแต่เด็ก ส่วนไทยอาจทำแบบนี้:

สร้างห้องเรียน AI อัจฉริยะทั่วประเทศภายในปี 2026 สอนเด็กไทยตั้งแต่ประถมให้เข้าใจ AI พื้นฐานและเขียนโค้ดได้

อัดฉีดงบประมาณฝึกอบรมครูให้ใช้ AI ในการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ ปรับวิธีการสอนวิทย์-คณิตแบบท่องจำเป็นการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา

เอสโตเนียใช้งบต่อนักเรียนน้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ เยอะมาก แต่ผลลัพธ์กลับดีเยี่ยม ไทยก็ทำได้! มันไม่ได้ใช้งบประมาณมากมายขนาดนั้น กับงบกระทรวงศึกษาที่ไทยใช้เยอะมากที่สุดในประเทศในทุก ๆ ปีแต่ไม่เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมอะไรเลย ลองดูเอสโตเนีย ไม่ได้ใช้งบมากมายแต่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเป็นอย่างมาก

เอสโตเนียมีรัฐบาลดิจิทัลที่เจ๋งมากๆ คนที่นั่นยื่นภาษีออนไลน์ได้ตั้งแต่ปี 2000 ใช้เวลาแค่ 3 นาที ลงคะแนนเสียงออนไลน์ได้ตั้งแต่ปี 2005 แม้แต่แต่งงานก็ทำออนไลน์ได้

ไทยควรทำแบบนี้:

พัฒนารัฐบาลดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI ให้สำเร็จภายในปี 2030 ทำให้การเริ่มต้นธุรกิจในไทยใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวผ่านระบบออนไลน์ ไม่ต้องวิ่งไปหาคนโน้นคนนี้ให้ปวดหัวอีกต่อไป

ไทยเราเริ่มสร้าง National Digital ID (NDID) เรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ผลักดันให้คนไทยทุกคนต้องมีสิ่งนี้ ซึ่งสุดท้ายสามารถใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตัดสินใจเชิงนโยบายที่แม่นยำได้

เอสโตเนียลดค่าใช้จ่ายภาครัฐไปเยอะด้วยการทำทุกอย่างให้เป็นดิจิทัล ไทยอาจไปไกลกว่านั้นด้วย AI

เอสโตเนียตลาดเล็กมาก เลยบังคับให้สตาร์ทอัพต้องมองตลาดโลกตั้งแต่วันแรก นี่เป็นข้อดีที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในระดับโลก

ไทยควรทำแบบนี้:

สร้างศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพ AI ในทุกภูมิภาค ด้วยนโยบายภาษีและการลงทุนที่ดึงดูด ผลักดันให้สตาร์ทอัพไทยมองตลาดอาเซียนและโลกตั้งแต่เริ่มต้น

ดึง talent จากทั่วโลกให้มาทำงานในไทย สร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย เอกชน และรัฐบาลในการวิจัยและพัฒนา AI

ใช้ความเข้มแข็งด้านวัฒนธรรมและตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของไทยในการสร้างนวัตกรรม AI ที่ตอบโจทย์ตลาดเอเชีย

แต่มันก็มีความต่างที่สำคัญระหว่างไทยกับเอสโตเนียที่ต้องคำนึงถึง:

เอสโตเนียมีประชากรแค่ 1.3 ล้าน ปฏิรูปจึงเร็วและง่าย ส่วนไทยมีประชากร 70 ล้าน ต้องวางแผนซับซ้อนและใช้เวลานานกว่า

เอสโตเนียเริ่มจากศูนย์หลังยุคโซเวียต ไม่มีระบบเดิมให้ปรับเปลี่ยน ส่วนไทยมีระบบที่มีอยู่แล้ว ต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่น

แต่ไทยก็มีข้อได้เปรียบ:

ตลาดในประเทศใหญ่พอที่จะทดสอบไอเดียใหม่ๆ ก่อนพุ่งทะยานสู่ภูมิภาค เป็นศูนย์กลางของอาเซียนที่มีประชากรรวม 650 ล้านคน

มีวัฒนธรรมหลากหลายและสร้างสรรค์ซึ่งเป็นพื้นฐานของนวัตกรรม มีฐานการผลิตที่แข็งแกร่งที่สามารถผสานกับ AI

ต้องบอกว่าประเทศอย่างเอสโตเนียสอนอะไรเรา? เยอะมาก!

ลงทุนระยะยาว: พวกเขามุ่งเน้นการศึกษาและเทคโนโลยีที่ให้ผลในระยะยาว ไม่ใช่แค่กระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราว ไม่มีนโยบายประชานิยมบ้าบอที่คิดเพียงแค่จะซื้อเสียงในระยะสั้น ๆ

วิสัยทัศน์แน่วแน่: ผู้นำเอสโตเนียมีวิสัยทัศน์ชัดเจนและไม่เปลี่ยนแม้จะเปลี่ยนรัฐบาล การปฏิรูปดิจิทัลดำเนินมา 20 ปี ไม่ว่าพรรคไหนจะขึ้นมาเป็นรัฐบาล

ปฏิรูปทั้งระบบ: ไม่ทำแค่บางส่วน แต่ปฏิรูปทั้งการศึกษา รัฐบาล และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจพร้อมกัน

เปลี่ยนข้อเสียเป็นข้อดี: พวกเขาใช้ข้อเสียเรื่องตลาดเล็กให้เป็นข้อดี โดยผลักดันให้สตาร์ทอัพต้องมองตลาดโลกตั้งแต่เริ่มต้น

เอสโตเนียพิสูจน์แล้วว่าประเทศที่เริ่มจากจุดยากลำบากสามารถพลิกโฉมเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีได้ในเวลาแค่ 20 ปี

ไทยมีศักยภาพที่จะทำแบบนั้นได้ และด้วยทรัพยากรที่มีมากกว่า อาจทำได้ยิ่งใหญ่กว่าด้วยซ้ำ แต่ต้องอาศัยผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ระยะยาว ความกล้าหาญทางนโยบาย ความต่อเนื่อง และการลงทุนที่ฉลาด

ถ้า “Thailand AI Leap” เกิดขึ้นจริง อีก 15 ปีข้างหน้าเราอาจได้เห็นไทยเป็นศูนย์กลาง AI แห่งอาเซียน มียูนิคอร์นเยอะแยะ มีระบบการศึกษาล้ำสมัย และเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม

ทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่บทเรียนจากเอสโตเนียชี้ชัดว่ามันคุ้มค่า นี่อาจเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยจะก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางและปั้นอนาคตที่ยั่งยืนให้คนรุ่นต่อไป

จริงอยู่ว่าจะต้องเจ็บปวดบ้างในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่ถ้าเราไม่เริ่มวันนี้ เมื่อไหร่จะถึงวันที่เราจะได้ยืนบนเวทีโลกอย่างภาคภูมิ?

เอสโตเนียเริ่มจากศูนย์ เราเริ่มจากตรงนี้ เขาทำได้ เราก็ต้องทำได้!