ทำไม Apple ถึงทิ้ง Intel? ความกล้าที่เปลี่ยนโลก เส้นทาง 30 ปีของ Apple สู่การปฏิวัติวงการชิป

หลายคนอาจจะสงสัยกันว่าทำไม Apple ถึงเลิกใช้ชิป Intel? เรื่องนี้ต้องบอกว่าน่าสนใจมากๆ เพราะเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สั่นคลอนวงการเทคโนโลยี แถมยังเป็นการตัดสินใจที่กำหนดชะตาอนาคตของ Apple ไปอีกหลายสิบปี

ย้อนกลับไปในปี 2005 Steve Jobs เคยกล่าวชื่นชม Intel ว่าเป็นผู้ผลิตชิปที่โครตเทพทั้งในด้านประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน แต่ความสัมพันธ์ที่ว่าก็มีรอยร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ

ในยุคแรกของ Macintosh นั้นใช้ชิปจาก Motorola ซึ่งตอนแรกทำงานได้เข้าท่าอยู่ แต่พอถึงปี 1990 Motorola ก็เริ่มหันไปให้ความสนใจกับตลาด embedded computer แทน ทำให้การพัฒนาชิปสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเริ่มล่าช้า

ตอนนั้นชิป x86 ของ Intel มีความเร็วเหนือกว่าและรองรับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ PC ได้หลากหลายกว่า แต่เมื่อ Apple ต้องหาผู้ผลิตชิปรายใหม่ พวกเขากลับไม่เลือก Intel เพราะอีกฝ่ายมีพันธมิตรกับ Microsoft และผู้ผลิต PC รายใหญ่อยู่แล้ว

Apple จึงร่วมมือกับ IBM ซึ่งกำลังประสบปัญหาส่วนแบ่งตลาดลดฮวบจาก 40% ในปี 1981 เหลือแค่ 14% ในปี 1990 และเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ ที่ IBM ที่เคยโดน Steve Jobs ชูนิ้วกลางใส่ในปี 1985 กลับมาจับมือเป็นพันธมิตรกัน

ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นเพราะตลาด PC กำลังถูกครอบงำโดย PC โคลนที่นำโดย Compaq ที่ใช้วิธีวิศวกรรมย้อนกลับเพื่อสร้างคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ของ IBM ได้ 100% และมีราคาถูกกว่า

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี 1991 เมื่อ Apple, IBM และ Motorola รวมตัวกันก่อตั้ง AIM Alliance โดยมีเป้าหมายสร้างชิปประมวลผลใหม่ชื่อ PowerPC

PowerPC เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ จนทำให้ Intel ต้องออกโฆษณาทีวีซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากสำหรับผู้ผลิตชิป นี่เป็นที่มาของสติกเกอร์ “Intel Inside” ที่ติดอยู่บนคอมพิวเตอร์เกือบทุกเครื่อง

แม้ Steve Jobs กลับมาที่ Apple ในปี 1996 แต่เขาไม่ได้ยกเลิก AIM Alliance กลับสนับสนุนการพัฒนา PowerPC G3 ที่เร็วกว่า Intel 2-3 เท่า เรียกได้ว่าเป็นความเจ๋งที่สุดของยุคนั้น

จุดพีคของชิป PowerPC คือ G5 ที่เปิดตัวเป็นโปรเซสเซอร์เดสก์ท็อป 64 บิตตัวแรกของโลก แต่ความเจ๋งนี้อยู่ได้แค่ 1 เดือน ก่อนที่ AMD จะเปิดตัว Opteron 64 บิต ที่เร็วกว่าประมาณ 25%

ปัญหาใหญ่ของ G5 คือใช้พลังงานมากกว่า G4 ทำให้ต้องมีระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน และแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะนำไปใช้ในแล็ปท็อป ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะ 64% ของ Mac ทั้งหมดที่ขายเป็นแล็ปท็อป

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายเมื่อ IBM ชะลอการพัฒนาชิป PowerPC เพื่อไปโฟกัสกับธุรกิจเซิร์ฟเวอร์ที่ทำกำไรได้มากกว่า ทำให้ Motorola ขาดทุน และ Apple ต้องรอนานขึ้นสำหรับชิปรุ่นใหม่

Steve Jobs ถึงขั้นต้องกลับคำพูดที่เคยสัญญาว่าจะมีชิป 3 กิกะเฮิรตซ์ภายในหนึ่งปี โดยบอกว่าอุตสาหกรรมทั้งหมด “ชนกำแพง” ที่เทคโนโลยี 90 นาโนเมตร ซึ่งจริงๆ แล้วมีเพียงแค่ PowerPC เท่านั้นที่มีปัญหา

ในที่สุด ปี 2005 Jobs ก็ประกาศเปลี่ยนจาก PowerPC ไปใช้ Intel โดยเหตุผลหลักคือประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่ Intel ให้ได้ถึง 70 หน่วย เทียบกับ PowerPC ที่ให้ได้แค่ 15 หน่วย

การเปลี่ยนไปใช้ Intel ทำให้ Mac มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างชัดเจน MacBook Pro ใหม่เร็วกว่า PowerBook G4 ถึง 4-5 เท่า ในดีไซน์ที่บางกว่าเดิม นอกจากนี้ยังทำให้เกิด MacBook Air ที่บางที่สุดในโลกในปี 2008

แต่ความสัมพันธ์กับ Intel ก็มีรอยร้าวเมื่อ Apple ขอให้ Intel สร้างชิปสำหรับ iPhone แต่ถูกปฏิเสธ ทำให้ Apple ต้องจับมือกับ Samsung แทน และเริ่มตระหนักว่าพวกเขาควรมีชิปของตัวเองเพื่อไม่ต้องพึ่งพาใคร

ในปี 2008 Apple ตัดสินใจซื้อกิจการ PA Semi มูลค่า 278 ล้านดอลลาร์ เพื่อเริ่มต้นพัฒนาชิปของตัวเอง ซึ่งตอนนั้นหลายคนมองว่าเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ เพราะไม่มีบริษัทเทคโนโลยีไหนเคยทำสำเร็จ

ผลงานชิ้นแรกคือชิป A4 ที่ใช้ใน iPhone 4 ในปี 2010 ซึ่งไม่เพียงทำให้เครื่องเร็วขึ้น 40% แต่ยังเพิ่มอายุการใช้งานแบตเตอรี่จาก 5 เป็น 7 ชั่วโมง ในดีไซน์ที่บางลง 21%

จุดเปลี่ยนใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2015 เมื่อ Apple พบปัญหากับชิป Skylake ของ Intel และความล่าช้าในการพัฒนาชิป 10 นาโนเมตร จนอดีตวิศวกรของ Intel เผยว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ Apple ตัดสินใจเลิกใช้ Intel

ในปี 2020 Apple เปิดตัวชิป M1 ของตัวเอง ซึ่งเป็นชิปที่โครตโหดทั้งความเร็วและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จนทำให้ The Verge ยกให้ MacBook Air M1 เป็นแล็ปท็อปที่น่าประทับใจที่สุดในรอบหลายปี

ปัจจุบันชิป M4 Max ของ Apple เป็นโปรเซสเซอร์สำหรับผู้บริโภคที่เร็วที่สุดในโลก สามารถถอดเสียงได้เร็วกว่า PC ที่แข่งขันเกือบสองเท่า ในขณะที่ใช้พลังงานน้อยกว่า 7.5 เท่า นับเป็นความเทพองค์ใหม่ของวงการชิป

ความสำเร็จนี้ยังขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Apple ไม่ว่าจะเป็นชิป W1 สำหรับ AirPods, ชิป T1 ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และชิป M-series ที่จัดการข้อมูลจากเซนเซอร์ต่างๆ

ด้าน Intel กลับประสบปัญหารุมเร้า ทั้งรายได้ลด 6%, ส่วนแบ่งตลาดลดลง 88.9% และราคาหุ้นดิ่งลงเหว 59% จนต้องตัดงบประมาณบริษัท 20% และ CEO ต้องลาออก

การที่ Apple พัฒนาชิปเองไม่เพียงสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้บริษัทอื่นๆ อย่าง Huawei, Google และ Microsoft หันมาพัฒนาชิปของตัวเองตาม

เส้นทางของ Apple จากการพึ่งพาผู้ผลิตชิปภายนอกสู่การพัฒนาชิปเองแสดงให้เห็นว่าการควบคุมเทคโนโลยีหลักเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล และใครที่กล้าลงทุนในนวัตกรรมย่อมได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาว

สรุปง่ายๆ คือ Apple ไม่ยอมยืมจมูกคนอื่นหายใจอีกต่อไป พวกเขาสร้างทุกอย่างเองตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด และนี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกแบบที่ไม่มีใครเทียบได้

Geek Talk EP74 : จีนขโมยเทคโนโลยีของสหรัฐฯ อย่างไร เมื่อ F-35 พบกับ J-20 ของต้นฉบับ vs ของเลียนแบบ

ต้นปี 2022 เหนือผืนน้ำทะเลจีนใต้ เกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อเครื่องบินรบล่องหน F-35 ของอเมริกาบินผ่านเครื่องบินรบ J-20 ของจีน ไม่ใช่การปะทะกัน แต่เป็นการบินสวนกันเฉยๆ กองทัพอากาศสหรัฐฯ ยอมรับว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงในเดือนมีนาคม โดยไม่ระบุรายละเอียดเวลาและสถานที่ กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนก็ยอมรับเช่นกันในอีกหลายเดือนต่อมา

การพบกันของเครื่องบินทหารในน่านฟ้าที่มีข้อพิพาทไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้การเผชิญหน้าครั้งนี้พิเศษมาก นั่นคือ J-20 ได้รับการพัฒนาโดยอิงจากเทคโนโลยีเครื่องบินล่องหนของสหรัฐฯ ที่จีนขโมยมาจากผู้รับเหมาด้านการป้องกันของอเมริกา

การเผชิญหน้าในครั้งนั้นจึงเป็นเสมือนจุดสูงสุดของแคมเปญระยะยาวที่จีนใช้ในการขโมยเทคโนโลยีทางทหารของสหรัฐฯ แต่ทำไมจีนถึงต้องขโมย? พวกเขาทำอย่างไร? และทำไมการขโมยเหล่านี้จะไม่มีวันสิ้นสุด?

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/57ethkpu

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/bdhthbrz

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/yc23n669

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/OqTt_Fhm-Yc

Geek Story EP319 : Wan Gang บิดาแห่งรถไฟฟ้าจีน สุดยอดกุนซือผู้พาจีนครองตลาดรถไฟฟ้าโลก

ในทศวรรษ 1930 รัฐบาลสหรัฐฯ จ่ายเงินเพื่อก่อสร้างถนนมากกว่า 100,000 ไมล์ภายใต้นโยบาย New Deal ของประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ต่อมาได้จัดตั้งโครงการวิจัยเพื่อผลักดันให้มีเครื่องยนต์ที่ประหยัดน้ำมันมากขึ้นและกำหนดระเบียบด้านความปลอดภัยที่ดีขึ้น ในทศวรรษเดียวกัน รัฐบาลญี่ปุ่นให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ ให้ทุนโครงการเทคโนโลยี และใช้ภาษีศุลกากรเพื่อลดความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตสหรัฐฯ เพื่อปกป้องบริษัทในประเทศ กล่าวอีกนัยหนึ่ง แนวทางนโยบายอุตสาหกรรมของจีน ซึ่งจะพึ่งพาเงินอุดหนุนและกฎระเบียบ เป็นวิธีที่ผ่านการทดสอบและพิสูจน์แล้วในการกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์

แผนของ Wan Gang ยิ่งใหญ่กว่านั้น ผู้ผลิตรถยนต์ที่เขาจะปลดปล่อยจะไม่เพียงรับใช้ลูกค้าชาวจีนเท่านั้น แต่จะผลิตรถยนต์แบบที่จะครองอนาคตของอุตสาหกรรมรถยนต์ – ด้วยการทิ้งเครื่องยนต์สันดาปภายในและทุ่มเทการลงทุนทั้งหมดของประเทศไปที่การขนส่งที่ไม่ปล่อยมลพิษ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5xtt8j8v

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/ydk5ezez

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/hvs4zfby

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/DoIo3g_iDmc

เมื่อ Microsoft คิดจะโค่น iPod ปรากฏการณ์ Zune ผลิตภัณฑ์พันล้านที่ล้มเหลวอย่างยับเยิน

ปี 2006 วงการเทคโนโลยีสั่นสะเทือนเมื่อ Microsoft ได้สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่หลายสื่อเรียกว่า “iPod Killer” นั่นคือ Microsoft Zune เครื่องเล่นเพลงพกพาที่ต้องการจะโค่นบัลลังก์ของ Apple ที่ครองตลาดมานับตั้งแต่ iPod รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2001

Microsoft มีทุนหนาเป็นพันล้านดอลลาร์และทีมงานระดับเทพ พวกเขาตั้งใจจะสร้างของแท้ที่เจ๋งกว่า iPod ในทุกด้าน และเมื่อมองผิวเผิน Zune ดูจะมีสเปคโหดกว่าจริงๆ ทั้งหน้าจอใหญ่กว่าขนาด 3 นิ้ว วิทยุ FM ในตัว Wi-Fi และแม้แต่สีตัวเครื่องน้ำตาลที่แตกต่างจากคู่แข่ง

Zune มีฟีเจอร์เจ๋ง ๆ หลายอย่าง ทั้งการตั้งภาพพื้นหลังกำหนดเอง (ที่ iPod ทำไม่ได้) ตัวอักษรใหญ่เมื่อเลื่อนรายการเร็วๆ และการแสดงระดับเสียงที่ด้านข้างหน้าจอ รวมถึงภาพปกอัลบั้มเต็มหน้าจอขณะเล่นเพลง

นอกจากนี้ ฮาร์ดแวร์ของ Zune ยังก้าวล้ำกว่า iPod เป็นอย่างมาก ทั้งวิทยุ FM ที่ช่วยให้พักจากเพลงตัวเองได้ และ Wi-Fi ซึ่งถือเป็นของแปลกใหม่สำหรับอุปกรณ์พกพาในปี 2006 แม้สีน้ำตาลอาจดูไม่โสภานัก แต่อย่างน้อยก็แสดงว่า Microsoft พยายามให้ตัวเลือกมากกว่า iPod ที่มีแค่สีดำกับขาว

เมื่อ Zune เปิดตัว หลายคนเริ่มหันมามองและสงสัยว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มของการเปลี่ยนแปลงในวงการเครื่องเล่นเพลงพกพาที่ Apple ครอบงำมานาน แต่ความจริงแล้ว การเข้าสู่ตลาดของ Zune เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเรื่องราวลึกลับซับซ้อนมากกว่านั้น

แม้ว่า Zune จะดูน่าทึ่งตอนเปิดตัว แต่เมื่อผู้ใช้ได้สัมผัสของจริง ความตื่นเต้นก็มลายหายไป ข้อบกพร่องและข้อจำกัดเริ่มโผล่มาให้เห็นอย่างชัดเจน

Wi-Fi ที่โฆษณาว่าเจ๋งกลับมีข้อจำกัดที่น่าผิดหวัง มันไม่ได้ให้เข้าเน็ตตามที่คาดหวัง แต่มีไว้แค่แชร์เพลงแบบไร้สายเท่านั้น และไม่สามารถแชร์ไฟล์ทางอีเมลหรือไปยังอุปกรณ์ Wi-Fi อื่นๆ ได้ มันใช้ได้กับเครื่อง Zune เครื่องอื่นเท่านั้น

นั่นคือปัญหาแรก เพราะ Zune ยังไม่แพร่หลาย การหาผู้ใช้ Zune คนอื่นเพื่อแชร์ไฟล์ยากมาก แต่แม้จะเจอผู้ใช้คนอื่น ก็ยังมีข้อจำกัดอีกเพียบ เพลงหรือวิดีโอที่แชร์เล่นได้แค่สามครั้ง และแชร์ใช้เวลานานถึง 15 วินาทีต่อหนึ่งเพลง

Steve Jobs ซีอีโอ Apple ถึงกับพูดประชดว่า “คุณจะทำได้ดีกว่าถ้าถอดหูฟังข้างหนึ่งและใส่ในหูเพื่อน แล้วต่อกันด้วยสายหูฟังยาว 2 ฟุต” คำวิจารณ์นี้แสดงให้เห็นว่าฟีเจอร์นี้ไร้สาระเพียงใด

ที่น่าขำกว่านั้นคือ Microsoft เรียกฟีเจอร์การแชร์ไฟล์นี้ว่า “squirting”และพยายามทำให้เป็นเทรนด์ Steve Ballmer ซีอีโอ Microsoft ถึงกับพูดว่า “ผมอยาก squirt รูปลูกๆ ให้คุณ คุณอยาก squirt วิดีโอวันหยุดกลับมาให้ผมไหม นั่นคือประสบการณ์ซอฟต์แวร์” คำพูดนี้กลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ในวงการเทค

ประสบการณ์ผู้ใช้ Zune เริ่มตั้งแต่แกะกล่อง เมื่อเปิดเครื่องครั้งแรก ผู้ใช้เจอข้อความ “Welcome to the social” (ยินดีต้อนรับสู่โซเชียล) ซึ่งทำให้หลายคนงงว่าซื้อเครื่องเล่นเพลงหรือลงทะเบียนโซเชียลมีเดียกันแน่

ความจริง Microsoft มีแผนสร้างเครือข่ายโซเชียลที่มีเพลงเป็นศูนย์กลางชื่อ Zune Social ได้แรงบันดาลใจจาก Last.FM ให้ผู้ใช้แชร์เพลงที่กำลังฟัง ดูแทร็กล่าสุด ศิลปินโปรด และรับเหรียญตามจำนวนการเล่นเพลง

แนวคิดนี้ถือว่าเจ๋ง เป็นความพยายามผสานเครื่องเล่นเพลงกับแพลตฟอร์มโซเชียลแบบไร้รอยต่อ คล้ายโมเดล Xbox และ Xbox Live ที่ประสบความสำเร็จ แต่ปัญหาคือ Zune Social ยังไม่พร้อมเมื่อ Zune รุ่นแรกเปิดตัว ทำให้ผู้ใช้ไม่ได้ “ยินดีต้อนรับสู่โซเชียล” แต่ได้รับความผิดหวังและความโกรธเกรี้ยวแทน

Ryan Block จาก Engadget เขียนบทความชื่อ “การติดตั้ง Zune แย่มาก” เล่าประสบการณ์ที่แสนน่าปวดหัวของเขา Block บ่นว่าหวังให้การติดตั้ง Zune ราบรื่นเหมือน iTunes และ iPod แต่กลับเจอปัญหาเยอะแยะไปหมดไม่ต่างจากซอฟต์แวร์เวอร์ชันแรกทั่วไป

Block บันทึกขั้นตอนติดตั้งสุดปวดหัว มีเมนู 18 รายการเพื่อตั้งค่า Zune เขายังแชร์ภาพที่น่าสนใจ เช่น ภาพข้อความ “Spread the music” (แพร่กระจายเพลง) แต่กลับแสดงคนสองคนใช้หูฟังคู่เดียวกัน ไม่ใช่การแชร์ไร้สายที่โฆษณา

อีกภาพเขียนว่า “Free your inner DJ” (ปลดปล่อย DJ ในตัวคุณ) แสดงคนกำลังแร็ปหรือร้องเพลงใส่ไมโครโฟน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ DJ ทำ และ Zune ก็ไม่มีฟีเจอร์เกี่ยวกับ DJ เลย

การติดตั้งซอฟต์แวร์ Zune เองก็เป็นฝันร้าย Block เจอการหยุดทำงานสี่ครั้งระหว่างติดตั้ง และเมื่อเชื่อมต่อ Zune กับคอมพิวเตอร์ ระบบแจ้งว่าอุปกรณ์ถูกตั้งค่าบนเครื่องอื่นแล้ว ทั้งที่เขาไม่เคยแตะเครื่องนี้มาก่อน ทำให้ต้องลบข้อมูลทั้งหมดเพื่อซิงค์กับคอมพิวเตอร์ตัวเอง

กระบวนการติดตั้งมีเมนูเพียบ ทั้งตั้งค่าไลบรารี สตรีมไป Xbox 360 สร้างไลบรารี สร้าง Zune Tag และอื่นๆ อีกมากมาย แม้จะเป็นประสบการณ์คนเดียว แต่ก็สะท้อนความไม่พร้อมของซอฟต์แวร์ Microsoft ต่างจาก iPod ที่ผสานกับ iTunes และบัญชีผู้ใช้อย่างลงตัว

เมื่อผ่านการติดตั้งแสนยากและเข้าสู่ Zune Market ได้ ผู้ใช้ยังเจอปัญหาระบบ Microsoft Points ซึ่งเป็นสกุลเงินเสมือนสำหรับซื้อเพลง เพลงหนึ่งเพลงราคา 79 แต้ม (ประมาณ 99 เซ็นต์) แต่คุณไม่สามารถจ่ายแค่ 99 เซ็นต์ได้ ต้องซื้อแพ็คเกจ 400 แต้มราคา 5 ดอลลาร์, 800 แต้มราคา 10 ดอลลาร์ หรือใหญ่สุด 8,000 แต้มราคา 100 ดอลลาร์

ระบบนี้ทำให้ผู้ใช้ต้องซื้อแต้มมากกว่าที่ต้องการเพื่อซื้อเพลง หากต้องการเพียงเพลงเดียว ต้องจ่าย 5 ดอลลาร์ แทนที่จะเป็น 99 เซ็นต์ Microsoft บอกว่าระบบนี้ช่วยลดค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต แต่จริงๆ มันเป็นวิธีบังคับให้ผู้ใช้จ่ายเงินมากขึ้น

Zune Market ยังเสนอแพ็คเกจ 15 ดอลลาร์ต่อเดือน ให้สตรีมและดาวน์โหลดเพลงไม่จำกัด และเก็บเพลง 10 เพลงไว้ถาวรทุกเดือน เทียบกับราคาเพลง 10 เพลงประมาณ 10 ดอลลาร์ ถือว่าคุ้ม แต่การสตรีมเพลงในปี 2006 ยังไม่ฮิต ส่วนใหญ่เพราะเครื่องเล่น MP3 ไม่มีอินเทอร์เน็ต และแม้ Zune มี Wi-Fi แต่ใช้สตรีมเพลงไม่ได้

การตลาดของ Zune ก็เป็นอีกปัญหาที่ทำให้ล้มเหลว ในขณะที่ Apple โฆษณา iPod สร้างแรงบันดาลใจและทำให้ผู้คนจดจำได้ Microsoft กลับใช้โฆษณาแปลกๆ ไม่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เช่น วิดีโอสุนัขเกาตัว หรือสัตว์กินกันเอง โฆษณาพวกนี้แทบไม่มี Zune โผล่มาเลย ทำให้คนไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร

ความไม่ตรงกันระหว่างสิ่งที่ Microsoft สัญญาและส่งมอบจริงทำให้ลูกค้าผิดหวังอย่างหนัก เมื่อเห็นสโลแกนอย่าง “Welcome to the social”, “Spread the music” และ “Free your inner DJ” แต่กลับพบว่าไม่มีฟีเจอร์ทางสังคมในปีแรก การแชร์เพลงมีข้อจำกัด และไม่มีอะไรเกี่ยวกับ DJ เลย

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาคุณภาพฮาร์ดแวร์ หน้าจอใหญ่ 3 นิ้วมีความละเอียดเท่า iPod ที่เล็กกว่า ทำให้ภาพเบลอไม่คมชัด ตัวเครื่องพลาสติกดูถูกกว่า iPod โลหะ และการออกแบบโดยรวมหนักกว่า 14%, หนากว่า 29% และใหญ่กว่า 34% โดยปริมาตร

อีกจุดที่น่าหงุดหงิดคือ แม้ Zune มีพื้นที่ 30 GB เท่า iPod รุ่นที่ 5 แต่มันมาพร้อมเพลง วิดีโอ หนังสั้น และภาพที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า ใช้พื้นที่ประมาณ 1 GB (เทียบเท่า 250 เพลง) ทำให้ผู้ใช้ต้องเสียเวลาลบออกเพื่อเพิ่มเพลงของตัวเอง

แม้จะมีปัญหาเพียบ ในปีแรก Microsoft ขาย Zune ได้มากกว่า 1 ล้านเครื่อง ไม่แย่เท่าไร แต่เทียบกับ iPod ที่ขายได้เกือบ 10 ล้านเครื่อง ช่องว่างยังห่างลิบ

Microsoft จึงมุ่งมั่นปรับปรุง และในปี 2007 เปิดตัว Zune รุ่นที่สอง สามรุ่น ได้แก่ Zune 80 ขนาดเต็ม และ Zune 4 และ 8 ที่เล็กกว่า รุ่น 80 ออกแบบใหม่ให้บางกว่า 12% และเบากว่า 20% เทียบได้กับ iPod 5G ส่วนรุ่น 4 และ 8 คล้าย iPod Nano ด้วยหน้าจอ 1.8 นิ้ว

ทั้งสามรุ่นมีส่วนควบคุมหน้าจอใหม่ที่นำทางเร็วขึ้น ด้วยการปัดนิ้ว ผู้ใช้เลื่อนดูรายการได้เร็วขึ้น ขณะใช้ปุ่มในตัวเพื่อเลือกได้อย่างแม่นยำขึ้น ยังมีฟีเจอร์ใหม่อื่นๆ เช่น ซิงค์ Wi-Fi ซึ่งช่วยให้ Zune ซิงค์กับคอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องต่อสาย อินเทอร์เฟซใหม่ และการเปิดตัว Zune Social ให้ผู้ใช้ดูว่าเพื่อนฟังอะไร ส่งลิงก์เพลง และคอมเมนต์ได้

แต่เหมือนรุ่นแรก เมื่อใช้จริง ผู้ใช้ก็พบข้อจำกัดอีก การซิงค์ Wi-Fi ไม่ต้องต่อคอมพิวเตอร์ แต่ต้องต่อสายไฟแทน ทำให้หลายคนยังเลือกต่อคอมพิวเตอร์โดยตรงเพราะเร็วกว่า และ Zune Social ทั้งหมดเข้าถึงได้จากคอมพิวเตอร์เท่านั้น เมนู Social บนอุปกรณ์ยังคงแชร์เพลงและวิดีโอแบบไร้สายเท่านั้น

อินเทอร์เฟซใหม่ดูดีขึ้น แต่ยังมีความละเอียดแค่ 320×240 ซึ่งยิ่งแย่ลงเมื่อใช้กับหน้าจอใหญ่ขึ้น 3.2 นิ้ว ทำให้พิกเซลเห็นชัดยิ่งขึ้น แม้จะปรับปรุงหลายด้าน แต่ Zune รุ่นที่สองก็ยังเทียบกับ iPod ไม่ได้เลย

นักวิจารณ์จาก Wired กล่าวว่า “หากไม่ได้ลงทุนในระบบ iPod-iTunes ถือว่า Zune เป็นคู่แข่งที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็น แต่จริงๆ แล้ว ยากที่จะจินตนาการว่า Zune จะโน้มน้าวให้คนเลิกใช้ iPod ได้ เพราะมันยังไม่มีประสบการณ์ผู้ใช้ระดับเดียวกับ Apple”

Zune รุ่นที่สองเปิดตัวพฤศจิกายน 2007 ซึ่งตอนนั้น Apple ไม่ได้มีแค่ iPod, iPod Nano และ iPod Shuffle แต่มี iPod Touch และ iPhone ด้วย ทำให้ Zune ดูล้าสมัยทันที ในขณะที่ Microsoft เพิ่งเริ่มใช้หน้าจอสัมผัส Apple ก้าวไปไกลกว่าด้วยหน้าจอสัมผัสเต็มรูปแบบแล้ว

ขณะที่หน้าจอ Zune เพิ่มเป็น 3.2 นิ้ว iPod Touch มีขนาด 3.5 นิ้วพร้อมความละเอียดสูงกว่าที่ 480×320 และมี Wi-Fi ที่ท่องเน็ตได้เต็มที่ ทำให้ iPod Touch เข้าถึงเว็บโซเชียลมีเดียเพลงอย่าง Last.FM หรือ SoundCloud ได้ ในขณะที่ Zune เข้าเว็บ Zune Social ของตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ

Microsoft เพิ่งเริ่มในตลาด MP3 ตอนที่คนกำลังหันหลังให้เครื่องเล่น MP3 และหันไปใช้สมาร์ทโฟนอย่าง iPhone แทน ยอดขาย iPod พีคสุดในปี 2008 และลดลงหลังจากนั้น แต่ Microsoft ไม่ได้มองการณ์ไกลพอที่จะปรับกลยุทธ์และสร้างสมาร์ทโฟน Zune แต่ยังคงพัฒนาเครื่องเล่น MP3 ต่อไป

ปลายปี 2008 Microsoft เปิดตัว Zune รุ่นที่สาม และหลายคนคาดหวังว่าจะมีฟีเจอร์คล้าย iPod Touch เช่น หน้าจอสัมผัส เว็บเบราว์เซอร์ดีๆ และ App Store แต่ Zune รุ่นใหม่ไม่มีอะไรเหล่านี้ กลับเน้นปรับปรุงฟีเจอร์เดิม เช่น ประสบการณ์วิทยุ FM ให้ซื้อเพลงจากวิทยุได้โดยตรง หรือเพิ่มฟังก์ชัน Zune Social บนอุปกรณ์

ฟีเจอร์พวกนี้จะดีถ้ามีตั้งแต่รุ่นแรก แต่ปี 2008 มันเป็นแค่ของเล่นเล็กๆ ในยุคที่ App Store กำลังเปลี่ยนโลก ให้ผู้ใช้ iPod Touch และ iPhone ทำได้ทุกอย่าง และยอดขายก็ยืนยันความจริงนี้ ไตรมาส 4 ปี 2008 ยอดขาย Zune ลดฮวบถึง 54% เทียบกับปี 2007

เมื่อถาม Steve Ballmer ซีอีโอ Microsoft ว่าจะทำโทรศัพท์ Zune สู้ Apple ไหม เขาตอบว่า “ลูกค้าไม่ควรคาดหวังโทรศัพท์ Zune เพราะ Microsoft จะรวมฟีเจอร์หลักของ Zune เข้ากับโทรศัพท์ Windows อื่นๆ” กลยุทธ์สุดแปลกนี้มาจากความกลัวว่าการสร้างสมาร์ทโฟนเอง Microsoft จะแข่งกับตัวเอง เพราะ Windows Mobile เป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมอยู่แล้ว

ดังนั้น Zune จึงยังเป็นเครื่องเล่น MP3 ต่อไป และปลายปี 2009 มีรุ่นที่สี่ คราวนี้มีรุ่นหน้าจอสัมผัสชื่อ Zune HD เพื่อสู้กับ iPod Touch แต่ไม่ได้ให้ประสบการณ์เท่ากัน หน้าจอเล็กกว่าที่ 3.3 นิ้ว มีแอป third party น้อยมาก และเว็บเบราว์เซอร์ใช้งานยากและช้า แม้ราคาถูกกว่าที่ 220 ดอลลาร์ เทียบกับ iPod Touch ที่ขาย 300 ดอลลาร์ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือก iPod Touch

สิ้นปี 2010 ตลาด MP3 โดยรวมหดตัวลง 20% ขณะที่ตลาดสมาร์ทโฟนพุ่งกระฉูด 70% เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าผู้คนอยากได้อุปกรณ์รวมทุกอย่างในเครื่องเดียว Microsoft เปลี่ยน Windows Mobile เป็น Windows Phone 7 ซึ่งมีโปรแกรม Zune ที่รองรับการเล่นมัลติมีเดียต่างๆ

นี่ยิ่งทำให้เครื่องเล่น Zune ตัวจริงไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะคนที่มีโทรศัพท์ Windows ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องเล่น MP3 แยกอีกแล้ว ดังนั้นในปี 2011 Microsoft จึงประกาศอย่างเป็นทางการว่า “เราจะไม่ผลิตเครื่องเล่น Zune อีกต่อไป Windows Phone จะเป็นศูนย์กลางของกลยุทธ์เพลงและวิดีโอมือถือของเรา”

แต่แม้ว่า Microsoft จะเริ่มทุ่มเทแข่งในตลาดสมาร์ทโฟน พวกเขายังคงยึดติดกลยุทธ์เดิมโดยไม่ยอมสร้างฮาร์ดแวร์เอง แต่เลือกให้สิทธิ์ Windows Phone OS แก่ผู้ผลิตรายอื่น นี่เป็นหนึ่งในความผิดพลาดที่ทำในตลาดสมาร์ทโฟน ซึ่งทำให้สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับ Android และ iOS

สำหรับบริการอย่าง Zune Social และ Zune Market Microsoft ยังเปิดให้บริการต่ออีกสักพัก แต่วันเวลาของพวกมันก็ถูกนับถอยหลังสู่การดับสูญ

ในปี 2012 Zune Social ปิดตัวลง และในปี 2015 Zune Market ก็ปิดตามไป โดย Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้ย้ายไปยังบริการใหม่ที่เรียกว่า Groove Music แต่แม้แต่ Groove Music เองก็ถูกปิดตัวลงเช่นกันเพียงสองปีต่อมาในปี 2017

แม้ว่า Microsoft จะพยายามฝ่าฟันปรับปรุง Zune อย่างต่อเนื่อง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะ Apple ได้ในตลาดเครื่องเล่นเพลงพกพา บทเรียนสำคัญจาก Zune คือการเข้าสู่ตลาดช้าเกินไปด้วยผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่สมบูรณ์ การตลาดสับสน และการไม่สามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของตลาดได้แม่นยำ Microsoft เข้าสู่สงครามเครื่องเล่น MP3 ในเวลาที่สงครามกำลังจะจบ และผู้บริโภคกำลังจะหันไปสู่สมาร์ทโฟนแทน

การไม่ยอมปรับตัวทันเทรนด์ การยึดติดกับกลยุทธ์เดิมที่ไม่ประสบความสำเร็จ และการตัดสินใจช้าเกินไปในการเปลี่ยนทิศทาง ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ Zune ล่มสลายไม่เป็นท่า แม้จะมีทรัพยากรและเงินทุนมหาศาลของบริษัทพี่ใหญ่อย่าง Microsoft ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม แม้ Zune จะไม่ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาด แต่มันได้สร้างกลุ่มแฟนคลับที่ทุ่มเทและจงรักภักดี ซึ่งยังคงรักษาความทรงจำของอุปกรณ์นี้ไว้แม้หลังจากที่มันถูกยกเลิกไปแล้ว มีเว็บไซต์ที่ดำเนินการโดยแฟนๆ ที่ให้บริการเซิร์ฟเวอร์เพื่อเปิดใช้งาน Zune เก่าที่มิฉะนั้นจะใช้งานไม่ได้

ในแง่หนึ่ง ความล้มเหลวของ Zune อาจเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ Microsoft เปลี่ยนวิธีคิดในภายหลัง เมื่อพวกเขาเริ่มปลุกปั้นผลิตภัณฑ์ Surface และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์อื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จมากขึ้น โดยการควบคุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ด้วยตัวเอง แทนที่จะเป็นเพียงผู้ให้สิทธิ์ซอฟต์แวร์แก่ผู้ผลิตรายอื่น

Zune อาจไม่เคยดังกระฉ่อนในวงกว้าง แต่มันเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์อันยาวนานของ Microsoft และเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการที่แม้แต่บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ยังพลาดได้ เมื่อพวกเขาไม่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง หรือเข้าสู่ตลาดช้าเกินไปด้วยผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่พร้อม

เรื่องราวของ Zune เป็นกรณีศึกษาที่มีคุณค่าสำหรับนักการตลาด นักพัฒนาผลิตภัณฑ์ และนักธุรกิจในทุกวงการ ไม่เพียงแค่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเท่านั้น ว่าแม้แต่ยักษ์ใหญ่ก็ยังพลาดท่าได้ ถ้าไม่ฟังเสียงผู้บริโภค และไม่ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด

การเดิมพันครั้งสุดท้ายของ Intel เมื่อแผนกู้วิกฤติของ Pat Gelsinger กลายเป็นหายนะ

23 มีนาคม 2021 Pat Gelsinger ซีอีโอคนใหม่ของ Intel เตรียมประกาศกลยุทธ์กอบกู้บริษัทที่เคยยิ่งใหญ่แต่สถานการณ์ในตอนนั้น ขวัญกำลังใจพนักงานกำลังตกต่ำ นักลงทุนเริ่มหมดความอดทนกับราคาหุ้นที่ไม่ขยับมากว่า 20 ปี

กล้องเริ่มถ่าย ทุกคนจับจ้องด้วยความตื่นเต้น Gelsinger เผยวิสัยทัศน์ “บริษัทที่ยิ่งใหญ่สามารถกลับมาจากวิกฤติได้แข็งแกร่งกว่าเดิม” เขากล่าวอย่างมั่นใจ “IDM 2.0 เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด ซึ่งมีเพียง Intel เท่านั้นที่ทำได้ – นี่คือสูตรแห่งชัยชนะ!”

ช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยความหวัง ทุกคนเชื่อมั่นว่า Gelsinger จะนำพา Intel กลับสู่จุดพีคอีกครั้ง แต่ความจริงกลับไม่เป็นอย่างที่ฝัน

ไม่ถึงสี่ปีหลังจากนั้น Intel อยู่ในสภาพเละเทะ กลยุทธ์ IDM 2.0 ย้อนมาทำร้ายบริษัท มีการตัดลดต้นทุนแหลก ราคาหุ้นลดฮวบ และ Gelsinger ถูกบีบให้ออกจากตำแหน่ง นี่คือเรื่องราวการทำลายตัวเองของยักษ์ใหญ่แห่งวงการชิป

เพื่อเข้าใจว่าทำไม Intel ถึงต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เราต้องย้อนดูประวัติของบริษัท แม้ Intel จะเป็นผู้บุกเบิกไมโครโพรเซสเซอร์ชิปเชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลกอย่าง Intel 4004 แต่บริษัทกลับพลาดการเติบโตของตลาดสมาร์ทโฟนอย่างน่าเสียดาย

แม้แต่เมื่อ Steve Jobs เสนอโอกาสให้ผลิตชิปสำหรับ iPhone พวกเขากลับปฏิเสธด้วยเหตุผลว่ากำไรขั้นต้นน้อยเกินไป ความผิดพลาดไม่ได้หยุดแค่นั้น Intel ยังประเมิน GPU (หน่วยประมวลผลกราฟิก) ต่ำเกินไป

พวกเขามองว่า GPU เป็นเพียงผลิตภัณฑ์สำหรับเกมเมอร์ และยังคงเทิดทูน CPU แทน ซึ่งเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่เมื่อพิจารณาถึงการเติบโตของการขุดคริปโตและโดยเฉพาะยุค AI ที่ GPU กลายเป็นหัวใจสำคัญ

ความมั่นใจมากเกินไปทำให้ Intel ประเมินการกลับมาของ AMD ด้วยสถาปัตยกรรม Ryzen ต่ำไป ทำไมถึงขาดวิสัยทัศน์? คำตอบอยู่ที่ความสำเร็จในอดีตที่ทำให้ Intel ค่อยๆ กลายเป็นบริษัทที่หยุดนิ่ง

พวกเขาเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ผ่านข้อตกลงกับ Microsoft Windows หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Wintel” ซึ่งสร้างรายได้อย่างมหาศาล

แต่ Intel กลับไม่ทันสังเกตเห็นการชะลอตัวของตลาดคอมพิวเตอร์ในช่วงทศวรรษ 2010 การเรียก Intel ว่า “เชื่องช้า” คงเป็นการประเมินที่ต่ำเกินไป บริษัทต้องการการเปลี่ยนแปลงก่อนจะสูญสิ้นทุกสิ่ง

ในต้นปี 2021 คณะกรรมการแต่งตั้ง Gelsinger เป็นซีอีโอ และมีเหตุผลที่จะมั่นใจ ในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งล้มเหลวจากการแต่งตั้งผู้บริหารบัญชีหรือธุรกิจทั่วไป Gelsinger กลับแตกต่าง

เขาเคยเป็นวิศวกรที่ Intel มากว่า 30 ปีและเคยเป็นซีอีโอของ VMware เขายังเป็นสถาปนิกหลักของโพรเซสเซอร์ 486 ซึ่งเป็นชิป x86 ตัวแรกของ Intel ที่ยังคงเป็นส่วนสำคัญของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน

พนักงาน Intel เองก็ตื่นเต้นมาก แม้แต่คนที่เคยถูก Gelsinger ปลดออกก็ยังเชื่อว่าเขาเป็นคนที่ใช่ แล้วแผนของเขาคืออะไร?

ในการประกาศวิสัยทัศน์ Gelsinger ได้เผยกลยุทธ์ที่เขาเชื่อว่าจะพาบริษัทกลับมาเจ๋งอีกครั้ง “เรากำลังกำหนดเส้นทางสู่ยุคใหม่แห่งนวัตกรรมและความเป็นผู้นำที่ Intel” เขากล่าว

แต่ IDM 2.0 คืออะไรกันแน่? ในแก่นแท้แล้ว Gelsinger กำลังทุ่มเททรัพยากรมหาศาลเข้าไปกับธุรกิจ Foundries หรือโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่

ต่างจาก NVIDIA หรือ AMD ที่ออกแบบไมโครชิปแล้วจ้างบริษัทอื่นผลิต Intel มีประวัติในการออกแบบและผลิตชิปเอง แต่ภายใต้แผน IDM 2.0 Gelsinger วางแผนขยายธุรกิจนี้อย่างไม่เคยมีมาก่อน

เหตุผลมีความชัดเจน ในขณะที่ Intel กำลังล้าหลัง พวกเขาต้องเล่นใหญ่ ในการไล่ตามให้ทัน โดยเฉพาะกับ TSMC ยักษ์ใหญ่จากไต้หวันที่ครองส่วนแบ่งตลาด foundry ทั่วโลกมากกว่า 50%

TSMC แตกต่างจาก Intel ตรงที่พวกเขาไม่ได้ออกแบบชิปของตัวเอง แต่มุ่งผลิตให้กับบริษัทอื่นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น Nvidia, Apple หรือบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ ทั่วโลก

ในอุตสาหกรรมนี้มีตัวเลือกผู้ผลิตน้อยมาก ทุกบริษัทต้องพึ่งพา TSMC ในระดับหนึ่ง TSMC ผลิตชิปที่เจ๋งมากๆ ในขณะที่ Intel ซึ่งเน้นผลิตเฉพาะชิปตัวเองกำลังตามหลังอย่างหนัก

Intel จึงต้องพัฒนาเพื่อตามให้ทัน พวกเขามี Foundries อยู่แล้ว แต่ด้วยกลยุทธ์ใหม่ พวกเขาจะขยายให้สามารถผลิตชิปสำหรับคนอื่นด้วย ซึ่งหมายถึงโอกาสสร้างรายได้มหาศาล

Intel อยู่ในตำแหน่งเป็นเอกลักษณ์เป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่เพียงรายเดียวในสหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลมองว่าเป็นประเด็นสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในการรักษาตำแหน่งผู้นำด้านเทคโนโลยีชิปของอเมริกา

เมื่อมีการเสนอกฎหมาย CHIPS Act Intel มีโอกาสเข้าถึงเงินทุนและเงินอุดหนุนจากรัฐบาลหลายพันล้าน และทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะสนับสนุนวิสัยทัศน์ของ Gelsinger

แต่การเดิมพันครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก Intel ต้องลงทุนมากกว่า 20 พันล้านดอลลาร์เพื่อเริ่ม IDM 2.0 และยังมีค่าใช้จ่ายอีกมหาศาลตามมา รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 100 พันล้านดอลลาร์

Intel พึ่งพารายได้จาก CPU สำหรับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปมากเกินไป ทำให้ผลประกอบการผูกติดกับความผันผวนของตลาด แม้แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็ส่งผลกระทบรุนแรง

นักลงทุนมีความเชื่อมั่น หลังจาก Gelsinger เข้ารับตำแหน่ง ราคาหุ้นของ Intel พุ่งสูงถึง 64 ดอลลาร์ สูงที่สุดในรอบสองทศวรรษ ทุกอย่างดูแจ่ม แต่รอยร้าวแรกกำลังปรากฏ

แม้กลยุทธ์ IDM 2.0 จะดูน่าประทับใจ แต่ Intel ยังมีปัญหาพื้นฐานที่ยังไม่ได้แก้ไข หนึ่งในปัจจัยสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์คือขนาดของทรานซิสเตอร์บนชิป

ยิ่งเล็กเท่าไหร่ ก็ยิ่งบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากขึ้น ซึ่งหมายถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง

ในช่วงทศวรรษ 2010 Intel ประกาศจะผลิตชิป 10 นาโนเมตร (nm) ให้พร้อมใช้งานในปี 2016 สร้างความตื่นเต้นให้วงการ แต่เวลาผ่านไปหลายปี กลับไม่มีชิปให้เห็น มีการเลื่อนกำหนดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แม้จะมีกลยุทธ์ทะเยอทะยานภายใต้ Gelsinger แต่ Intel กลับไม่ได้แก้ปัญหารากฐาน พวกเขายังคงพยายามพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ขนาดเล็กลงด้วยเทคโนโลยีล้าสมัย

ชิป 10nm ถูกเลื่อนไปถึงปี 2019 ซึ่งหากเกิดขึ้นในปี 2016 อาจจะเจ๋ง แต่ในปี 2019 นวัตกรรมดังกล่าวกลายเป็นของเก่าไปแล้ว เมื่อคู่แข่งอย่าง TSMC ก้าวไปไกลกว่ามาก

สถานการณ์ยิ่งแย่เมื่อชิป 10nm จำนวนมากที่ผลิตได้มีข้อบกพร่อง ปัญหานี้ทำให้การพัฒนาชิป 7nm รุ่นถัดไปต้องเลื่อนจากปี 2021 เป็นปี 2023

ในขณะที่ Intel ยังใช้เทคโนโลยีแบบเดิม บริษัทอื่นอย่าง TSMC และ Samsung ได้นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้แล้ว นั่นคือ Extreme Ultraviolet Lithography หรือ EUV

EUV เป็นเทคโนโลยีที่ปฏิวัติการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แต่ Intel กลับพยายามสร้างนวัตกรรมโดยไม่ใช้มัน พวกเขาทะเยอทะยานและมองโลกในแง่ดีเกินไป โดยไม่วางรากฐานที่แข็งแกร่งพอ

ในปี 2021 ขณะที่ Intel เริ่ม IDM 2.0 พวกเขายังคงแก้ปัญหาการผลิตไปพร้อมกัน ยังดิ้นรนส่งมอบเซมิคอนดักเตอร์ 10nm และ 7nm ตามสัญญา

สถานการณ์ยิ่งแย่เมื่อเทียบกับ TSMC เพราะพวกเขาผลิตชิปให้ลูกค้าหลากหลาย จึงมีประสบการณ์มากกว่า Intel ที่เคยผลิตเฉพาะชิปตัวเอง ทั้งยังนำ EUV มาใช้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ในขณะที่ Intel ยังดิ้นรนกับชิป 10nm TSMC กำลังผลิตชิปด้วยเทคโนโลยี 7nm, 5nm และกำลังพัฒนาไปสู่ 3nm แล้ว ความแตกต่างทางเทคโนโลยีนี้เป็นอุปสรรคใหญ่

ขณะที่ Intel ทุ่มเงินมหาศาลสร้าง Foundries ใหม่ พวกเขากระตือรือร้นที่จะแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก TSMC แต่พบความจริงที่น่าผิดหวัง: ความต้องการบริการของพวกเขาไม่สูงอย่างที่คาด

เหตุผลไม่ซับซ้อน Intel กำลังตามหลังมากขึ้น และทุกคนเห็นชัด บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ไม่ไว้วางใจความสามารถของ Intel โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ TSMC

แม้ Intel จะทะเยอทะยานสูง แต่พวกเขาวางแผนเกินความสามารถของตัวเอง ตอนนี้พวกเขากำลังไล่ตาม และความล่าช้านี้กำลังส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์ IDM 2.0 อย่างหนัก

Intel มีความแตกต่างจาก TSMC ในประเด็นที่เป็นหัวใจธุรกิจ ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีการผลิต แต่เป็นปรัชญาพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจ

TSMC ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับลูกค้า พวกเขามีชื่อเสียงในเรื่องนี้ ตลอดหลายทศวรรษ ธุรกิจของ TSMC มุ่งเน้นบริการลูกค้าภายนอก “ความไว้วางใจของลูกค้า” จึงเป็นหัวใจหลัก

สำหรับ Intel สถานการณ์ซับซ้อนกว่ามาก พวกเขาประสบปัญหาหนักในการสร้างความไว้วางใจกับบริษัทอย่าง Apple หรือ NVIDIA

ปัญหาหลักมาจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์ Intel ไม่เพียงผลิตชิป แต่ยังออกแบบเอง ซึ่งทำให้พวกเขาย่อมให้ความสำคัญกับชิปตัวเองมากกว่าลูกค้าที่เป็นคู่แข่ง

Nvidia จึงไม่ไว้วางใจ Intel ทำให้การดึงดูดธุรกิจจากพวกเขายาก Apple ก็ละทิ้ง Intel ไปแล้วอย่างชัดเจน ทั้งที่เคยเป็นพันธมิตรแข็งแกร่ง

ในปี 2020 Apple ประกาศจะใช้ซิลิคอนที่ออกแบบเองสำหรับ Mac “Apple Silicon จะทำให้ Mac แข็งแกร่งและมีความสามารถมากกว่าที่เคย” Tim Cook ประกาศ

และเหตุผลเบื้องหลังมันก็ถูกเฉลยจากวิศวกรของ Intel เองที่ได้เปิดเผยว่า “การประกันคุณภาพของ Skylake มีปัญหามากกว่าที่คนรู้”

“มันแย่ผิดปกติ เรากำลังได้รับแจ้งข้อผิดพลาดเล็กๆ ภายใน Skylake มากเกินไป เพื่อนที่ Apple กลายเป็นผู้รายงานปัญหาอันดับหนึ่ง และมันแย่มากจริงๆ”

“เมื่อลูกค้าพบข้อบกพร่องเกือบมากเท่าที่คุณพบเอง หมายถึงคุณกำลังเดินผิดทาง” Apple เริ่มหงุดหงิดกับการพลาดกำหนดและปัญหาคุณภาพ จนสุดท้ายก็พูดว่า “พอกันที”

ลองคิดดู ทำไมคุณจะใช้บริการจากบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์ด้อยกว่า เทคโนโลยีล้าหลัง มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และบริการลูกค้าแย่กว่า? แม้ Intel จะเสนอราคาถูกกว่า แต่ก็ไม่มีความหมาย

“คำตอบในอุตสาหกรรมนี้ไม่ใช่ราคา แต่เป็นการบริการลูกค้า” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว

สถานการณ์ยิ่งแย่เมื่อแนวโน้มที่ Intel วางเดิมพันกำลังผันผวน การเติบโตของเซมิคอนดักเตอร์ในปี 2020 เริ่มชะลอและเข้าสู่ภาวะถดถอย สิ่งที่ตลาดต้องการคือ GPUs สำหรับ AI มากกว่า CPUs

Intel จึงไม่เพียงต่อสู้เพื่อดึงดูดลูกค้า แต่ยังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เตรียมพร้อม

ในขณะนี้ Intel ลงทุนหลายพันล้านไปแล้ว พวกเขาวางแผนสร้างโรงงานสองแห่งในอริโซนา และยังต้องลงทุนปรับปรุงโรงงานเดิม รวมเป็นเงินกว่า 100 พันล้านดอลลาร์

เพื่อแก้ปัญหา ในปี 2024 Intel ตัดสินใจจัดตั้งบริษัทย่อยอิสระสำหรับธุรกิจ foundry เพื่อกำจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์

จากนั้นยังประกาศการตัดลดต้นทุน 10 พันล้านดอลลาร์ พนักงาน 15% จะถูกปลด รวม 15,000 ตำแหน่งหายไป นี่คือสัญญาณความเลวร้ายของสถานการณ์

แม้จะมีความพยายามกู้วิกฤติและข่าวดีจากสัญญากับ Amazon’s AWS แต่มันน้อยและช้าเกินไป ภายในสิ้นปี 2024 ราคาหุ้น Intel เหลือเพียงกว่า 20 ดอลลาร์ บริษัทเริ่มขาดทุน

ธันวาคม 2024 Intel ประกาศการเกษียณของ Gelsinger อย่างกะทันหัน แต่หลายคนเชื่อว่านี่คือการบีบให้ออก การประกาศเกิดเร็วมากจนคณะกรรมการยังไม่มีผู้สืบทอด

แต่ปัญหาไม่จบเพียงแค่นั้น Intel ยังฟ้อง Gelsinger พยายามเรียกคืน 207 ล้านดอลลาร์ที่จ่ายให้ โดยกล่าวหาว่าเขาปกปิดความล้มเหลวและปัญหาของกลยุทธ์ Foundry จากนักลงทุน

กลยุทธ์ Foundry อาจมีจุดอ่อนตั้งแต่เริ่มต้น พวกเขาทำผิดพลาดมาก่อน และพยายามใช้เงินแก้ปัญหาแทนที่จะแก้ที่รากเหง้าของปัญหา

ตั้งแต่เริ่มแผน “นักวิจารณ์เชื่อว่าการใช้จ่ายอย่างเร่งด่วนในเวลาที่มันสายไปแล้วจะไม่สามารถแก้ไขความผิดพลาดในการผลิตที่สั่งสมมานานหลายปีได้” และพวกเขาคิดถูกต้อง

เรื่องราวของ Intel เป็นกรณีศึกษาเกี่ยวกับความเสี่ยงของการทุ่มเงินมหาศาลแก้ปัญหาโดยไม่แก้รากฐาน ความล้มเหลวในการปรับตัวตามตลาด และการขาดความไว้วางใจจากลูกค้า

ในโลกที่เทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้าเร็ว แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง Intel ก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้ การยึดติดความสำเร็จในอดีตและขาดวิสัยทัศน์ในการมองเห็นการเปลี่ยนแปลง สามารถทำให้แม้แต่บริษัทที่มีทรัพยากรมหาศาลต้องดิ่งลงเหว

Intel จะฟื้นตัวได้หรือไม่ยังเป็นคำถามที่ไร้คำตอบ ฟ้าอาจไม่ได้ลิขิตให้พวกเขาล้มหายตายจากไปเลยทีเดียว แต่บทเรียนนี้บอกเราว่าแม้แต่พี่ใหญ่ในวงการ ถ้าไม่ปรับตัวก็อาจล่มสลายได้เช่นกัน

ตอนนี้ Intel อยู่ในจุดที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงแบบถึงรากถึงโคน พวกเขาไม่ใช่แค่ต้องตามคู่แข่งให้ทัน แต่ต้องรังสรรค์นวัตกรรมที่จะทำให้กลับมาเป็นที่เชิดหน้าชูตาในวงการอีกครั้ง

คงยากที่ Intel จะกลับไปเป็นลูกพี่ในตลาดเหมือนเก่า แต่ความเจ็บปวดจากความล้มเหลวครั้งนี้ อาจเป็นบทเรียนล้ำค่าที่ทำให้พวกเขาเลิกยืมจมูกคนอื่นหายใจ และหันมาปรับกลยุทธ์ที่เข้าท่าขึ้น

เรื่องราวการล่มสลายของ IDM 2.0 เตือนใจเราว่า ความสำเร็จในอดีตไม่ได้การันตีอนาคต และการเพ้อฝันว่าเงินทุนมหาศาลจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ อาจเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ที่นำไปสู่ความหายนะ

ในวงการที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ผู้นำที่แท้จริงไม่ใช่คนที่ทุ่มเงินมากที่สุด แต่เป็นคนที่ปรับตัวเร็วที่สุด นี่คือบทเรียนที่ Intel ได้เรียนรู้แบบเจ็บแสบ และเป็นเรื่องที่ทุกธุรกิจควรเรียนรู้ก่อนจะสายเกินไป

กรณีของ Intel เป็นเหมือนสิ่งเตือนใจว่า แม้แต่บริษัทที่มีชื่อเสียงโชกโชนกว่าครึ่งศตวรรษก็อาจตกอยู่ในสภาพสิ้นไร้ไม้ตอกได้ หากขาดวิสัยทัศน์และการเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง

ท้ายที่สุด บทเรียนที่ชัดเจนที่สุดจากการล้มเหลวของ Intel คือ การพยายามสร้างอนาคตด้วยเครื่องมือจากอดีต และการแก้ปัญหาโดยไม่เข้าใจรากเหง้าอย่างแท้จริง อาจทำให้แม้แต่ยักษ์ใหญ่ก็ต้องหยุดชะงักและล่มสลายได้ในท้ายที่สุด